The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 895 – ความห่างชั้นขนานใหญ่

ตอนที่ 895 - ความห่างชั้นขนานใหญ่

DND.
“เจ้าเห็นคำพวกนั้นหรือไม่?เจ้ารู้จักกี่ตัว?”
หัวซ้ายถาม
“ในเก้าอักษรข้ารู้ไม่ถึงสามตัว”
เมื่อได้ฟังหัวขวาก็พูดขึ้นบ้าง
“ข้ารู้แค่สองตัวเท่านั้น”
พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งอักษรไม่ต้องพูดถึงการแปลประโยคเลย ขั้นสุดท้ายนั้นนอกเหนือความสามารถของพวกเขาที่จะแตะต้องได้แล้ว
ทั้งสองหัวหันมองซือหยูพร้อมกัน
“เขาจะแปลได้ไหม?”
ซือหยูที่อยู่บนแท่นบูชามิได้ผ่อนคลายเหมือนเดิมและเขาก็ไม่สามารถแปลได้ด้วยการเหลือบมองเพียงครั้งเดียวอีกแล้ว หลังจากมองข้อความ เขาเงียบไปสองวินาทีก่อนจะเริ่มเขียนคำแปล
คำแปลส่งไปถึงหัวแถวต่อหน้าสายตาทุกคนพวกเขาโยนของเซ่นออกไป
พลังสีขาวน้ำนมอันบริสุทธิ์กระจายออกไหลเข้าสู่ศีรษะของซือหยูพลังนี้หนาแน่นกว่าพลังในขั้นแรกสามเท่า
“เขาแปลสำเร็จ!”
ผู้คนอุทานด้วยความยอมรับนับถือ
“เขาใช้เวลาแค่สองวินาทีอาจารย์ฉินหลินยังต้องใช้สี่วินาทีในขั้นแรก แต่กลับเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาแม้แต่ในขั้นสุดท้ายหรือ?”
“ดินแดนพรสวรรค์เชิญคนยิ่งใหญ่เพียงใดมากัน?เจ้าแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้คนจากเผ่าไม้?”
ขณะที่ผู้คนพูดคุยซือหยูยังคงแปลต่อไปไม่หยุด เขาแปลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ผิดพลาดแม้สักครั้ง
“รอบที่หนึ่งซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
“รอบที่สองซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
“รอบที่สามซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”

“รอบที่สามสิบซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
เขามาถึงรอบที่สามสิบแล้วและยังผ่านมาถึงครึ่งของขั้นสุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้น คนจำนวนมากก็เริ่มสังเกตว่าความเร็วในการแปลของเขาช้าลงไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งผ่านไปเท่าใด ความยากก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เมื่อซือหยูมาถึงรอบที่สิบห้าสองหัวฉินหลินก็ไม่เข้าใจแม้แต่อักษรเดียว
“ในรอบที่สามสิบเอ็ดซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”

“ในรอบที่สามสิบแปดซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”

“ในรอบที่สี่สิบซือหยูเซี่ยนแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
ในรอบนี้ซือหยูต้องใช้เวลามากกว่าสิบวินาทีในการแปลความเพราะมันค่อนข้างยาก ซือหยูคือคนเดียวที่รู้ว่าทำไมมันถึงยากขึ้น เพราะตั้งแต่ที่มาถึงรอบสามสิบ อักษรที่ปรากฏออกมานั้นไม่ใช่ภาษาไม้ธรรมดาอีกแล้ว มันมีส่วนของอักษรไม้โบราณอยู่ด้วย มันคือภาษาที่ไม้แต่เผ่าไม้เองยังอ่านไม่ออก
มีเพียงหยุนย่าสีที่ใช้เวลาศึกษาตลอดชีวิตเท่านั้นที่รู้คำเหล่านี้
หลังจากที่ซือหยูมาถึงรอบสี่สิบเขาก็เริ่มรู้สึกว่าเขาแปลต่อไม่ได้แล้ว
“รอบที่สี่สิบเอ็ดแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
“รอบที่สี่สิบสองแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
“รอบที่สี่สิบสามแปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
“รอบที่สี่สิบสี่แปลสำเร็จ ได้สามคะแนน”
เมื่อผ่านรอบนี้ไปซือหยูก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว เขามิอาจแปลได้อีกต่อไป เขาไม่มีความมั่นใจเหลือในรอบที่สี่สิบห้า และเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม เขาเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วินาที นั่นไม่เพียงพอที่จะแปล
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออักษรปรากฏ ซือหยูเห็นว่าอักษรกลุ่มสุดท้ายนั้นเปล่งแสงสีทอง มันแตกต่างกับอักษรก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซือหยูแปลกใจแต่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดอีก เขาเพียงแค่จดอักษรที่ปรากฏขึ้นมา นี่เป็นเวลาที่เขาล้าสมองเต็มที่
“รอบที่สี่สิบห้าแปลล้มเหลว”
ฝ่ามือของผู้จัดพิธีสั่นเทิ้มเขามิอาจก้าวข้ามความตกใจที่เกิดขึ้นในพิธีครั้งนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผ่าไปนานกว่าเขาจะพูด
“ฉินหลินได้สามสิบเอ็ดคะแนนซือหยูเซี่ยนได้สองร้อยเจ็ดคะแนน”
ความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายนั้นเคยเกินกว่าสี่ร้อยคะแนนแต่ซือหยูคนเดียวก็สามารถได้สองร้อยคะแนนคืนกลับมาในคราเดียว และเขาไม่ใช่แค่แก้วิกฤติเท่านั้น…ซือหยูทำมากกว่านั้น
ซือหยูไม่ต้องลงจากแท่นบูชาเพราะเป็นผู้ชนะเขาสามารถอยู่บนแท่นบูชาต่อเพื่อที่จะท้าชิงกับตัวแทนอื่นได้ต่อไป
“พวกเจ้ามาทีละคน…”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็นเขาอยากจะยืนยันว่าอักษรสีทองในขั้นสุดท้ายของรอบสี่สิบห้าจะเหมือนเดิมหรือไม่
หูหวังกุยใจสั่นถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ซือหยูเซี่ยนจะได้สองร้อยคะแนนในแต่ละรอบ เขาจะไม่ได้สามพันคะแนนในสิบสี่รอบงั้นหรือ? ต่อให้หักคะแนนสี่ร้อยคะแนนของฝั่งเขาไป มันก็จะยังเหลืออีกราวสองพันห้าร้อยคะแนน
คู่แข่งจะได้ร้านในความแตกต่างของคะแนนแต่ละคะแนนขณะที่ร้านในดินแดนพรสวรรค์ที่ถูกดินแดนมีดสวรรค์ชิงไปนั้นอยู่ที่ราวสองพันร้านหากนับร้านโอสถระดับต่ำเข้าไปด้วย
เช่นนั้นก็แสดงว่าดินแดนพรสวรรค์จะได้ร้านทั้งหมดที่เขาสะสมในปีที่ผ่านๆมากลับไป!
หูกวังกุยเห็นฟ้าถล่มตรงหน้าและเรื่องราวก็ยังดำเนินต่อไปไม่จบ
คนจากฝั่งมีดสวรรค์ต่อๆไปนั้นมิอาจผ่านขั้นแรกไปได้แม้แต่คนเดียวพวกเขาถูกคัดทิ้งหมดสิ้น ขณะที่ซือหยูก็ไปถึงขั้นสุดท้ายในรอบสี่สิบสี่ทุกครั้ง
ครั้งแรกผ่านไปครั้งสองค่อยๆผ่านไป มันเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนถึงสิบสี่ครั้ง พิธีเซ่นจึงจบลง
ในใจหูหวังกุยมีแต่ความเศร้าทุกอย่างจบแล้ว! ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้ว!
ตรงกันข้ามกับหูหวังกุยนักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่นั้นสุขใจ ทั้งสองยินดีราวกับได้ยกภูเขาที่ทับอกอยู่หลายปีทิ้งไป
คนอื่นๆเห็นได้ชัดว่าทั้งสองตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
ประวัติศาสตร์เมืองเทียนหยาเปลี่ยนไปในวันนี้พวกเขาสามารถชิงทุกร้านที่ถูกชิงในอดีตคืนกลับมาโดยไม่เหลือแม้แต่ร้านเดียวของดินแดนมีดสวรรค์เอาไว้เลย หรือพูดได้เลยว่าพวกเขาขับไล่ดินแดนมีดสวรรค์ออกจากเมืองเทียนหยาได้สำเร็จ
เมืองเทียนหยากลายเป็นของดินแดนพรสวรรค์โดยสมบูรณ์แล้ว!
ซือหยูลงจากแท่นบูชาเขายังคงคิดถึงเรื่องอักษรสีทอง เขามิอาจแปลพวกมันได้เพราะว่าไม่รู้จักตัวอักษรมากนัก
แต่เขาก็พบว่าแต่ละครั้งที่ได้พบกับอักษรสีทองทรายสีทองที่เขามีในแหวนมิติจะฟุ้งกระจายราวกับกระโดดโลดเต้น การเคลื่อนไหวของมันรุนแรงมากขึ้นในแค่ละครั้ง
ถ้าซือหยูนำมันออกมามันอาจจะบินออกไปทันทีก็ได้ และซือหยูก็ระบุได้ว่าทรายทั้งหมดจะบินไปที่ป่าปีศาจร้าง
มันเหมือนกับว่าทรายสีทองที่ซือหยูมีตื่นขึ้นด้วยอักษรสีทองบนแท่นบูชาราวกับมันถูกเรียกด้วยอะไรบางอย่าง
“ต้องเป็นป่าปีศาจร้างที่เหยามู่ตาย…”
ซือหยูพูดกับตัวเองเขาควรจะปล่อยทรายสีทองออกมาแล้วเสี่ยงตามไปหรือไม่? ทรายสีทองเหล่านั้นอาจจะกลับไปในจุดที่เหยามู่เต๋าเหรินตาย
“ฮ่าๆๆๆซือหยุเซี่ยน เจ้าทุ่มเทเพื่อดินแดนพรสวรรค์และตำหนักโลหิตของพวกเราครั้งใหญ่ ข้าจะต้องรายงานตำหนักแน่นอน พวกเขาจะต้องให้หนึ่งแสนคะแนนเป็นรางวัลแน่ นั่นรวมถึงโอกาสที่จะเลือกสมบัติใดก็ได้จากห้องสมบัติของตำหนัก”
รองผู้จัดการใหญ่หัวเราะชอบใจเขาดีใจมากและมองซือหยูด้วยความยินดียิ่งกว่าเดิม เขาเริ่มจะถูกใจซือหยูมากขึ้น
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“ขอบคุณรองผู้จัดการใหญ่”
หนึ่งแสนคะแนนเป็นรางวัลที่เขาคิดไม่ถึงเป็นที่รู้กันว่าแม้เขาจะใช้เวลาทั้งเดือนกับร้านตงหลิน เขาก็ได้คะแนนกลับมาแค่สองแสนคะแนน เวลานี้ เขาได้หนึ่งแสนคะแนนเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ต้องเสียเวลามากนัก มันเป็นรางวัลใหญ่โดยแท้จริง
ส่วนเรื่องการเลือกสมบัติในตำหนักซือหยูก็สนใจเรื่องนี้เช่นกัน เขาใช้พลังอสูรจากขนอสูรหมดไปแล้ว เขาต้องการสมบัติอสูรชิ้นใหม่เพื่อดูดซับพลัง สิทธิ์การเลือกสมบัติในตำหนักครั้งนี้มาได้ทันเวลาพอดี
“หึหึเจ้าสมควรได้รับมันอยู่แล้ว”
รองผู้จัดการใหญ่เดินไปตบบ่าซือหยูด้วยรอยยิ้มแต่เมื่อเดินไปถึงเขาก็พบเรื่องแปลกๆ
“ฐานพลังของเจ้าเป็นอะไร?ทำไมเจ้ายังเป็นภูติระดับห้าหลังจากดูดซับพลังบริสุทธิ์ไปมากขนาดนั้น? ต่อให้เจ้าเป็นภูติระดับเจ็ด เจ้าก็น่าจะเลื่อนระดับพลังไปแล้ว”
เขาจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าซือหยูมีจุดกำเนิดพลังสองจุด?พลังที่ได้มานั้นเติมจุดกำเนิดพลังของซือหยูได้เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น เขายังห่างไกลจากการเลื่อนเป็นระดับต่อไป
“ข้าพบปัญหาในการบ่มเพาะแต่ข้าจะรีบแก้ไขมัน ท่านไม่ต้องห่วง…”
ซือหยูตอบ
รองผู้จัดการใหญ่คิดว่ามันน่าเสียดาย
“เจ้าพลาดโอกาสดีไปเสียแล้วถ้าหากเจ้าเป็นปกติ เจ้าก็คงจะเป็นภูติระดับเจ็ดไปแล้ว”
ซือหยูเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดอะไร
“ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องถามเจ้าอยู่อีกแต่ถ้าเจ้าไม่อยากจะตอบ ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
รองผู้จัดการใหญ่ครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจถามแต่เขาก็ไม่อยากจะให้ซือหยูติดใจที่เขาถามมากเกินไป
ตราบเท่าที่มีคนอย่างซือหยูดินแดนมีดสวรรค์ก็จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้อีก แล้วเขาจะกล้าทำให้ซือหยูโกรธหรนือ?
ซือหยูตอบ
“รองผู้จัดการใหญ่ท่านถามข้าได้เลย”
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ารู้ภาษาไม้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?เจ้าเรียนจากตำราโบราณเล่มเดียวจริงหรือ?”
รองผู้จัดการใหญ่พยายามจะพูดเบาๆเพื่อที่จะไม่ให้ซือหยูชิงชัง
นักบวชโซหูผึ่งเขาฟังทั้งสองพูดคุย ฉินหลิน ลู่จือยี่ และคนอื่นๆก็มองมาเช่นกัน ทุกคนสงสัยในเรื่องนี้
“มิใช่จากตำราโบราณหรอกข้าต้องขอโทษด้วยที่มิอาจบอกความจริงได้ ต้องขออภัยที่ปิดเป็นความลับ…”
“ที่จริงข้าได้รับการสอบมาจากผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เตรียมวารีผงกลั่นดวงใจให้ข้า เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไม้ ส่วนข้ามีพรสวรรค์ถึงมาตรฐาน เขาเลยสอนภาษาไม้ให้ข้าเพื่อที่ความรู้จะได้ไม่สูญหายไป”
รองผู้จัดการใหญ่เข้าใจทุกอย่างแล้วเป็นฝีมือของผู้อาวุโสที่นำวารีผงกลั่นดวงใจมาสร้างความแตกตื่นในเมืองเทียนหยา หลายคนคาดเดาไปต่างๆนานาว่าเขาคือใคร พวกเขายังสงสัยในเรื่องนี้อีกด้วย ทำไมผู้อาวุโสท่านนั้นถึงเตรียมโอสถโบราณให้ซือหยูเซี่ยนที่เป็นคนธรรมดาและบกพร่องในการบ่มเพาะพลังกัน?
ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ในด้านภาษาของเขานั่นทำให้ซือหยูเซี่ยนได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโส ด้วยเหตุนี้ เขาจึงบอกให้ซือหยูเซี่ยนจัดการเรื่องวารีผงกลั่นดวงใจ
เพราะซือหยูเซี่ยนยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีแต่เขาก็สามารถเข้าใจภาษาไม้ได้ดี แสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในด้านนี้
หลังจากสิ่งเคลือบแคลงใจกระจ่างรองผู้จัดการใหญ่ก็ไม่สืบสาวต่อไป เขาเพียงแค่มองปีศาจเด็ดดาวด้วยรอยยิ้ม
“หึหึปีศาจเด็ดดาว ขอต้องขอโทษจริงๆ หายากที่เจ้าจะมาพิธีนี้ แต่เจ้ากลับได้เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น ดินแดนพรสวรรค์มิได้ปฏิบัติต่อแขกอย่างเจ้าดีนัก”
รองผู้จัดการใหญ่ย่ามใจเขาหัวเราะเสียงดัง เขาดีใจจนตัวเกือบลอย
นักบวชโซหน้าแดง
“ฮ่าๆๆถึงเจ้าจะเสียร้านทั้งหมดไปในตอนนี้ก็อย่าเสียใจไป เรายังมีข้อตกลงระหว่างกันอยู่ เจ้าก็แค่หาคนที่ยอดเยี่ยมในภาษาไม้มากกว่ามา หึหึ”
คนดินแดนมีดสวรรค์ใบหน้าแข็งทื่อสีหน้าของพวกเขาดำมืด พวกเขายืนนิ่งเงียบราวกับว่าบิดามารดาเพิ่งหมดลมหายใจ
หูหวังกุยใบหน้าเศร้าหมองดวงตาเศร้าจนน่าสงสาร เขาคิดไม่ตกว่าจะหาวิธีรอดจากการลงโทษของจ้าวดินแดนมีดสวรรค์ได้อย่างไร
ชุดขาวของปีศาจเด็ดดาวโบกสะบัดตามแรงลมเมื่อเขายืนขึ้นช้าๆใบหน้าแก่เฒ่านั้นไม่มีความสบายใจไร้กังวลเมื่อครู่อยู่อีกแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของปีศาจเด็ดดาวนักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่เริ่มกังวล ทั้งสองเข้าใกล้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเงียบๆ
“อะไรของเจ้า?ปีศาจเด็ดดาว เจ้าคิดจะถอนข้อตกลงแล้วทำลายมันเสียเองรึ?”
รองผู้จัดการใหญ่ถามอย่างเยือกเย็น
ปีศาจเด็ดดาวส่ายหน้า
“ข้าก็แค่คนธรรมดาข้าจะกล้าทำลายกฎจากสองดินแดนได้อย่างไรเล่า? ถ้าข้าทำ คนแรกที่จะไม่ให้อภัยก็คือจ้าวดินแดนของพวกข้าเอง พวกเจ้าสบายใจได้ เราจะให้ร้านทั้งหมดของพวกเจ้าคืนตามความแตกต่างของคะแนน เราจะไม่เหลือไว้เลยสักร้าน”
ถ้าหากเล่นตามกฎแม้ว่าดินแดนมีดสวรรค์จะให้ร้านทั้งหมด มันก็ยังชดเชยไม่พอ
“แต่ข้ายังคิดว่าครั้งนี้ไม่ยุติธรรมนักถ้าหากพวกเจ้ามีปราชญ์ภาษาไม้ในระดับนี้ แล้วพวกเราจะแข่งขันกันต่อไปในอนาคตได้อย่างไร?”
ปีศาจเด็ดดาวพูดอย่างใจเยือกเย็น

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท