หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า [超级奶爸] – บทที่ 275 พลังวิญญาณเหลว

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า [超级奶爸]

บทที่ 275 พลังวิญญาณเหลว

บทที่ 275 พลังวิญญาณเหลว

รถสีแดงจอดอยู่ในทุ่งกว้าง

การตกแต่งภายในรถเป็นโทนสีชมพู อีกทั้งยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงจาง ๆ อยู่ในรถ และนี่ก็คือรถที่โจวอี้ยืมมาจากเหลียนซานชั่วคราว

เขาขึ้นรถแล้วสตาร์ต

รถสีแดงพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู

“พี่เอารถคันนี้มาจากไหน?” ถงหู่ซึ่งนั่งประจำตำแหน่งที่นั่งผู้โดยสารถามด้วยความสงสัย

“ฉันยืมมาชั่วคราวน่ะ” โจวอี้ยิ้ม

เขาบังคับพวงมาลัยและเหยียบคันเร่ง

พวกเขาทั้งสามได้กำจัดศพทั้งสี่ระหว่างทางมาที่นี่แล้ว แม้จะมีคนพบศพทั้งสี่ในภายหลัง แต่จะไม่มีใครสามารถหาเบาะแสใด ๆ ได้เลย

แม่เฒ่าเทียนจี้นั่งอยู่เบาะหลัง เธอรู้ว่าโจวอี้มีความลับซ่อนอยู่ แต่เธอไม่มีความคิดที่อยากจะถาม

เธอมองไปยังทิศทางที่เคยต่อสู้และเผยยิ้มออกมา “ฉันเข้าใจได้ที่เสี่ยวอี้สามารถฆ่าปรมาจารย์ไปได้คนหนึ่ง แต่ความสามารถของเสี่ยวหู่ในการฆ่าปรมาจารย์นั้นก็เกินความคาดหมายของฉันมาก”

“ผม?” ถงหู่ตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะ “คุณย่า ถ้าผมไม่ได้รับบาดเจ็บ ผมก็มั่นใจว่าถ้าเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ผมสามารถฆ่าปรมาจารย์คนนั้นได้แน่นอน แต่วันนี้ผมบาดเจ็บสาหัสนี่นา ผมฆ่าเขาไม่ได้หรอก”

“เจ้าไม่ได้ฆ่าเขา? ถ้างั้นใครเป็นคนฆ่าปรมาจารย์คนนั้น?”

“พี่โจวอี้ไง!” ถงหู่ตอบ

“เสี่ยวอี้ฆ่าปรมาจารย์ถึงสองคน?” แม่เฒ่าเทียนจี้ตกใจมาก

“ผมแค่โชคดีเท่านั้น” โจวอี้ยิ้ม

เขาเองก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อตัวเองเช่นกัน เพราะเขาเพิ่งทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้ไม่นาน สาเหตุหลักที่เป็นผลให้เขาสามารถฆ่าปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดายนั้นเป็นเพราะอักขระ “เพิ่ม” ที่ปะทุขึ้นระหว่างการต่อสู้

ด้วยเหตุนี้ โจวอี้จึงเริ่มตระหนักได้ว่าอักขระที่ได้รับจากเตาหลอมสยบวิญญาณนั้นมีประโยชน์สำหรับเขามากแค่ไหน

‘ในที่สุด ฉันก็เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ฉู่เทียนฮุ่ยถึงขอให้เก็บมันเป็นความลับ!’

แม่เฒ่าเทียนจี้ตกใจ

ตอนที่โจวอี้สังหารปรมาจารย์คนแรก แม้ว่าเธอจะไม่เห็นวิธีการสังหาร แต่เธอทันเห็นฉากที่ร่างอันน่าสังเวชของปรมาจารย์คนนั้นล้มลงไปกับพื้น หลังจากนั้นเธอก็ไล่ล่าเฮยอู่หยาอยู่นานกว่าหนึ่งนาที

แต่เวลาเพียงหนึ่งนาทีตอนนั้น โจวอี้กลับสามารถฆ่าปรมาจารย์ที่ถูกถงหู่กำลังถ่วงเวลาได้งั้นเหรอ?

มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอที่จะฆ่าปรมาจารย์ได้ในหนึ่งนาที?

ความเร็วนี้…

โจวอี้ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าเทียนจี้คิดอย่างไร เขายังคงบังคับพวงมาลัยขณะขับรถ ก่อนจะเหลือบมองถงหู่และถามว่า “เสี่ยวหู่ พวกมันเป็นคนจากนิกายเร้นลับจริงเหรอ?”

“ถูกต้อง” ถงหู่พยักหน้าและเริ่มเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้ทุกคนฟัง

“นายแกล้งปลอมเป็นสาวกของนิกายเร้นลับต่อหน้าปรมาจารย์ของนิกายเร้นลับ? แถมนายยังโชคดีอ้างว่ากู่เทียนหลางเป็นอาจารย์ของนาย ซึ่งกู่เทียนหลางเองก็เป็นสมาชิกของนิกายเร้นลับพอดี?” โจวอี้แสดงสีหน้าโง่งม

“ใช่! ผมแค่อยากจะถ่วงเวลาไว้เท่านั้น แต่จู่ ๆ กลับคิดถูกซะงั้น” ถงหู่หัวเราะ

โจวอี้ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาขับรถไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ความคิดมากมายกำลังวิ่งวุ่นอยู่ในหัว

วันนี้เขาได้พบกับปรมาจารย์ของนิกายเร้นลับถึงสี่คน

สี่คน!

มันเยอะมากจนน่าใจหาย

เขาเคยเดาความแข็งแกร่งของนิกายเร้นลับว่าน่าจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นปรมาจารย์ทั้งสี่ที่แข็งแกร่งในที่เดียวกัน

สรุปว่านิกายเร้นลับมีปรมาจารย์ทั้งหมดกี่คน?

“คุณย่ารู้จักกู่เทียนหลางไหม? เขาแข็งแกร่งแค่ไหน?” จู่ ๆ โจวอี้ก็ถามขึ้น

“บรรพจารย์ยุทธ์” แม่เฒ่าเทียนจี้ตอบอย่างใจเย็น

บรรพจารย์ยุทธ์?

สีหน้าของโจวอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขามีลางสังหรณ์ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับนิกายเร้นลับทั้งหมดในไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ตามนิกายเร้นลับนั้นไม่เพียงแต่มีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งจำนวนมากเท่านั้น แต่น่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับบรรพจารย์ยุทธ์จำนวนไม่น้อยอีกด้วย

เขาเริ่มกดดันเล็กน้อย

เวลานี้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่เชิงเขา

เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ๆ อายุราว ๆ 40 ปี ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตร เธอสวมชุดสีดำรัดรูปและยืนตัวตรงประหนึ่งหอกยาวที่เธอกำลังสะพายอยู่บนหลัง

เธอมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็หยิบขวดลายครามออกมาเทผงบางอย่างออกไป ผงนั้นลอยไปในอากาศและกระจัดกระจายออกไปในระยะหลายร้อยเมตร

ทันใดนั้น รอยเท้าบางส่วนและร่องรอยบางอย่างที่หลงเหลือจากการต่อสู้ก็ปรากฏขึ้น มันเรืองแสงสีน้ำเงินออกมาให้เห็นชัดเจน

ผู้หญิงคนนั้นพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และรีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่ลังเล

ชื่อของเธอคือ โหยวเก๋อซาง

เธออยู่ในระดับบรรพจารย์ยุทธ์และเกือบจะก้าวเข้าสู่ระดับผสานเต๋า

หากมองอย่างผิวเผินอาจคิดว่าเธออายุแค่ 40 ปี แต่คนที่คุ้นเคยกับเธอจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธออายุเกือบ 100 ปีแล้ว

เธอเป็นคนไร้ความปรานี มือทั้งสองของเธอพรากชีวิตของผู้คนมามากมาย มันคล้ายกับว่าในสายตาของเธอนั้น ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด

ราว ๆ แปดนาทีต่อมา แม่น้ำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ

เมื่อร่างของเธอหยุดลง โหยวเก๋อซางก็มองไปรอบ ๆ และในที่สุดก็จ้องไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่

ฟุบ!

เธอพุ่งไปข้างหน้าและมองไปที่แอ่งเลือดทั้งสี่บนพื้น ซึ่งเวลานี้ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง รวมทั้งเสื้อผ้าที่เปื่อยยุ่ย…

“แอ่งเลือด?”

“ผงทำลายศพ?”

“ดูเหมือนว่าเฮยอู่หยาและอีกสามคนจะถูกฆ่าตายหมดแล้ว”

“อย่างน้อยผู้ลงมือต้องอยู่ในระดับบรรพจารย์ยุทธ์”

“ใครกัน? นิกายอะไรที่กล้ายั่วยุนิกายเร้นลับของเรา?”

แววตาของโหยวเก๋อซางเต็มไปด้วยความอาฆาต เนื่องจากเบาะแสถูกทำลายหมดแล้ว เธอจึงอยู่ต่ออีกไม่นานนัก จากนั้นก็เตรียมที่จะไปต่อทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

ปรมาจารย์ทั้งสี่ถูกสังหาร

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก

แต่แผนการของนิกายเร้นลับไม่สามารถรอช้าได้อีกต่อไป เธอจำเป็นต้องกลับไปท่าเรือที่เก็บวัตถุดิบยาเพื่อปกป้องพวกมันไว้ เธอกังวลว่านี่อาจเป็นแผนการของคนอื่นที่ล่อลวงเสือออกจากถ้ำและฉกชิงวัตถุดิบยาเหล่านั้นไป

เช้าตรู่

โจวอี้ขับรถกลับมาถึงช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า

เขาขับรถทั้งคืนและก่อนหน้านั้นก็ยังต่อสู้อย่างหนัก แม่ว่าเขาจะทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เช้านี้เขาจึงไม่ปลุกลูกสาวทั้งสองออกไปวิ่ง

ชายหนุ่มไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า จากนั้นจึงมอบหน้าที่ในการพาลูกสาวทั้งสองไปส่งที่โรงเรียนให้แก่เหม่ยหลาน ส่วนตัวเขากลับไปที่ห้องนอน

เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงและหลับตาลงช้า ๆ

อักขระสีแดงสด “เพิ่ม” ยังไม่หายไปในทะเลจิตสำนึก แม้ว่ามันจะไม่ปล่อยมวลพลังพิเศษอีกต่อไป แต่มันก็ยังคงลอยอยู่ในทะเลจิตสำนึกของเขาอย่างเงียบ ๆ

นอกจากนี้ จุดแสงสีขาวน้ำนมที่ใหญ่เท่าเมล็ดข้าวก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง

ปริมาตรของมันลดลงไปสองในสามส่วน แต่มันเริ่มควบแน่นจนดูคล้ายกับหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่เงียบ ๆ ในใจกลางทะเลจิตสำนึก และลำแสงเล็ก ๆ นี้ก็ค่อย ๆ กลับกลายเป็นของเหลวสีขาวขุ่นอย่างต่อเนื่อง

โจวอี้เข้าใจว่าของเหลวหยดนี้น่าจะเป็นมวลพลังจิตวิญญาณของเขาซึ่งควบแน่นเป็นของเหลว

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ก็ทำให้เขางงงวย

เนื่องจากครั้งหนึ่งเขาเคยอ่านตำราการฝึกยุทธ์ระดับสูง เขารู้ว่าต้องฝึกจนถึงระดับบรรพจารย์ยุทธ์เสียก่อน เพื่อที่เขาจะสามารถทำความเข้าใจพลังของฟ้าดิน ขัดเกลาพลังจิตวิญญาณของตัวเอง และควบแน่นพวกมันให้กลายเป็นสถานะของเหลว

แต่ตอนนี้เขาเพิ่งทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์เท่านั้น!

ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงไม่เป็นไปตามลำดับอย่างที่ควรจะเป็น

ทว่าเมื่อคิดถึงอักขระสีแดงสดในทะเลจิตสำนึก โจวอี้ก็ละทิ้งเกี่ยวกับลำดับที่ควรจะเป็นออกไปจากความคิดทันที

ทันใดนั้น เขาก็นึกอยากลองอะไรบางอย่าง

เขาต้องการสัมผัสอักขระ “เพิ่ม” อีกครั้งด้วยดวงจิต เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เขาจึงระดมความคิดเจตจำนงของเขา จากนั้นพลังจิตวิญญาณที่เป็นของเหลวก็ลอยออกมาจากแสงพลังจิตสีขาวขุ่น ก่อนจะกระจายไปทางอักขระ “เพิ่ม” และค่อย ๆ สัมผัสมันอย่างอ่อนโยน

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า [超级奶爸]

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า [超级奶爸]

Status: Ongoing
หลังจากอยู่บนภูเขามานานนับปี แต่ทันทีที่เห็นภาพลูกสาวผู้น่ารักที่เกิดกับภรรยาที่พรากจากกันไป ใจของเขาก็ละลายจนอยากทำหน้าที่ ‘ป๊ะป๋า’ ขึ้นมา! โจวอี้ ชายหนุ่มอัจฉริยะแพทย์แผนจีนและอาศัยอยู่บนภูเขาชางหลางมานานตัดสินใจลงจากเขาทันทีที่รู้ว่าตัวเองมีลูกสาวตัวน้อยน่ารักกับศรีภรรยาคนสวย แต่เมื่อพบกับทั้งภรรยาและลูกแล้ว ดูเหมือนภรรยาจะไม่ต้อนรับเขาสักเท่าไหร่เนี่ยซิ! นอกจากนี้ เขายังได้ค้นพบว่าการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มันช่างต่างกับอยู่บนภูเขานัก แต่โจวอี้ก็ไม่ยอมแพ้ เขาจะใช้สารพัดวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดจากสุดยอดปรมาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีน การวาดภาพและเขียนพู่กันมาสร้างความมั่งคั่ง และทำให้ภรรยาของเขาและลูกยอมรับและภูมิใจให้ได้!! โจวอี้จะทำสำเร็จหรือไม่?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท