อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ขององค์ชายใหญ่เป็นบาดแผลภายนอก บาดแผลถึงแก่ชีวิตมีอยู่สองจุด จุดหนึ่งอยู่ตรงหน้าอก เกือบจะแทงโดนหัวใจแล้ว เลือดไหลไม่หยุด ส่วนอีกจุดหนึ่งอยู่บริเวณคอ หลอดเลือดได้รับความเสียหาย ดีที่เฉินลั่วเร่งไปถึง ไม่รู้ว่าคนที่เขาพาไปด้วยเอาอะไรเหนียวๆ สีเขียวทาเอาไว้หนึ่งชั้น แม้เลือดไม่ไหลแล้ว แต่คนกลับหายใจไม่ค่อยสะดวกนัก
เมื่อมาถึงวัดเจินอู่ ไอ้ของเหนียวๆ สีเขียวนั่นก็แข็งตัวเป็นชั้นบางๆ หนึ่งชั้นไปแล้ว ล้างด้วยน้ำไม่ออก แต่เมื่อดึงเลือดก็กระฉูดออกมา เซียวเหยาจื่อตกใจจนแทบสิ้นสติ จำต้องเรียกจอมยุทธ์รับจ้างมาติดอีกครั้ง
แต่จอมยุทธ์ผู้นั้นบอกว่า “นี่เป็นสูตรลับเฉพาะของเจ้าสำนักของพวกข้า ใช้ห้ามเลือดได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจใช้รักษาได้ หากต้องการรักษาให้หาย คงต้องเชิญหมอมีชื่อมารักษาถึงจะใช้ได้”
เซียวเหยาจื่อจึงส่งนกพิราบส่งสารไปที่เขาอู่ไถ ตั้งใจเชิญสหายสนิทที่เป็นพระของเขาผู้หนึ่งออกหน้ามาช่วยเย็บแผลให้องค์ชายใหญ่ จากนั้นค่อยทาด้วยยาสมานแผลอันเลื่องชื่อของตระกูลหวัง ดูว่าจะทำให้บาดแผลค่อยๆ ดีขึ้นได้หรือไม่
ด้วยเหตุนี้ตอนที่องค์ชายใหญ่ถูกหามไปยังห้องยาของเซียวเหยาจื่อนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอยังทาไว้ด้วยของเหนียวสีเขียวนั่นอยู่ ทำให้องค์ชายใหญ่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหุ่นที่ทำจากกระดาษ ไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจตายเพราะเลือดไหลไม่หยุดได้
เขาถามเซียวเหยาจื่ออย่างตระหนกว่า “นี่เจ้าจะหามข้าไปไหนหรือ”
เซียวเหยาจื่อคิดว่าในเมื่อเขาเดินเข้ามาถึงขั้นนี้แล้ว แม้นกล่าวว่าไม่อยากประจบองค์ชายใหญ่ แต่ดีร้ายก็ไม่ควรทำให้คนรังเกียจถึงจะถูก
เขากล่าว “ใต้เท้าเฉินให้ข้าช่วยตามหาหมอมีชื่อในใต้หล้ามาให้พระองค์ ก่อนที่หมอจะมา ข้าต้องรักษาชีวิตของพระองค์ให้พ้นขีดอันตรายถึงจะถูก”
องค์ชายใหญ่เองก็สังเกตเห็นว่าตัวเองเปลี่ยนมาอยู่ในห้องยาแล้ว ในใจรู้สึกสงบเล็กน้อย กล่าวว่า “หลินหลาง อ่า หมายถึงเฉินลั่วเล่า?”
“เขากับศิษย์หลานผู้หนึ่งของข้ากำลังคุยกันอยู่ในห้อง” เซียวเหยาจื่อกล่าว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินลั่วถึงสนใจการหลอมดาบหลอมกระบี่นัก นี่เป็นเรื่องของพวกช่างฝีมือมิใช่หรือ แต่เขาเห็นโลกกว้างมามาก คนมีพรสวรรค์โดดเด่นจำนวนมากล้วนมีงานอดิเรกลับเฉพาะของตัวเอง บางทีนี่อาจเป็นงานอดิเรกลับเฉพาะของเฉินลั่วก็เป็นได้
องค์ชายใหญ่นอนอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นเงียบๆ มองเพดานสีขาวอย่างใจลอย
ชีวิตของเขาน่าจะปลอดภัยแล้ว แต่หลังจากปลอดภัยแล้วควรทำอย่างไรต่อ?
ฮ่องเต้สังหารเขาหนึ่งครั้งได้ ก็ย่อมสังหารเขาสองครั้งสามครั้งได้เช่นกัน
ครั้งนี้เขาโชคดีที่คนที่อยู่กับเขาคือเฉินลั่ว เฉินลั่วเองก็ฉลาดพอ ไม่นานก็ได้สติและคิดวิธีโต้กลับได้ ถ้าคนที่เจอคือผู้อื่นเล่า?
เขาคงจะตายไปอย่างไร้เกียรติแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้อยากให้เขาตาย หากเขาไม่มีรอยมลทิน ผู้อื่นจะขึ้นเป็นไท่จื่ออย่างมีเกียรติได้อย่างไร
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่ฮ่องเต้โปรดปรานผู้นั้นคือใคร?
มิใช่องค์ชายรองอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นเขา ฮ่องเต้คงไม่ต้องเปลืองเรี่ยวแรงในการกำจัดตนมากมายขนาดนี้
และไม่น่าใช่น้องชายทั้งสองคนที่ถือกำเนิดจากซูเฟยเหนียงเหนียงด้วย
หากเป็นพวกเขา ชิ่งอวิ๋นโหวไม่มีทางยื่นมือออกมาช่วยชีวิตเขา
เป็นไปไม่ได้ที่องค์ชายหกจะแก่งแย่งบัลลังก์ เช่นนั้นก็เหลือเพียงองค์ชายสี่กับองค์ชายเจ็ดแล้ว
ขณะที่องค์ชายใหญ่คิดนั้น หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
องค์ชายสี่เองก็สนิทสนมกับเฉินลั่วเช่นกัน นอกจากนี้ฮ่องเต้ยังอนุญาตให้เขาเสกสมรสกับสตรีสกุลถานอีกด้วย
หรือว่าจะเป็นองค์ชายสี่?
แต่ถ้าเป็นคนที่ทุกคนต่างคาดเดาได้ ฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องลงมืออย่างโหดร้ายเช่นนี้
ทว่าหากเป็นองค์ชายเจ็ดจริง นี่ฮ่องเต้คิดจะสังหารพวกเขาพี่น้องทั้งหมดเลยหรือ?
องค์ชายใหญ่รู้สึกหัวใจว้าวุ่นปั่นป่วน ในหัวยุ่งเหยิงไปหมด อดไม่ได้สั่งการนักพรตเด็กที่คอยดูแลเขาอยู่ในห้องยาว่า “เจ้าช่วยไปเชิญใต้เท้าเฉินมาให้ข้าที บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญต้องการหารือกับเขา หากเขาไม่มา เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีอะไรต่อพวกเรานัก!”
นักพรตเด็กผู้นั้นได้รับการกำชับจากเซียวเหยาจื่อว่า ขอเพียงองค์ชายใหญ่ไม่ลุกจากเตียง ไม่พยายามเดินออกไปจากห้องยาแห่งนี้ ที่เหลือเขาอยากทำอะไรก็อย่าฝืนใจเขา ให้รับคำสั่งมาก่อน รอรายงานเซียวเหยาจื่อแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
นักพรตเด็กผู้นั้นย่อมเชื่อฟังคำสั่ง ได้ยินเช่นนั้นก็รับคำอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นหมุนกายออกไปพบเซียวเหยาจื่อ
เซียวเหยาจื่อกำลังศึกษาอาการป่วยขององค์ชายใหญ่อยู่ คิดว่าองค์ชายใหญ่อยากพบเฉินลั่วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงพยักหน้าอนุญาต นอกจากนี้ยังกล่าวกับนักพรตเด็กผู้นั้นด้วยว่า “ประเดี๋ยวเจ้าไปติดตามอยู่ข้างกายใต้เท้าเฉินด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับใต้เท้าเฉิน พวกเจ้าเองก็ไม่มีจุดจบที่ดีนักเหมือนกัน จำเอาไว้ว่าต้องอารักขาใต้เท้าเฉินให้ดี”
นักพรตเด็กผู้นั้นขานรับคำติดๆ กันหลายคำ ไปเชิญตัวเฉินลั่วมา
เฉินลั่วเงียบมาครู่ใหญ่แล้ว กำลังอยากเจอองค์ชายใหญ่พอดี จึงมาหาอย่างยินดีราวกับนัดกันเอาไว้ นั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนตัวที่อยู่ไกลๆ กล่าวว่า “องค์ชายใหญ่หาข้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ ข้ากำลังตามหาหมอมาให้เจ้า บาดแผลของเจ้ารักษาไม่ง่ายนัก ต่อให้ฮ่องเต้ส่งคนมารับเจ้ากลับเข้าเมือง เจ้าก็อาจตายอยู่กลางทางได้อย่างง่ายดาย”
เหตุใดคนผู้นี้ถึงด้อยเรื่องสื่อสารขนาดนี้!
องค์ชายใหญ่โมโห อดกล่าวประชดประชันไม่ได้ว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าเขียนสารส่วนตัวฉบับหนึ่งเอาไว้หรือไม่ พิสูจน์ว่าต่อให้ข้าตาย ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา”
เฉินลั่วปากร้ายมาตลอดอยู่แล้ว พอเปลี่ยนนิสัยแล้วก็ยิ่งตามใจตัวเองมากขึ้น ได้ยินเช่นนั้นก็รีบโจมตีกลับอย่างไม่เกรงใจสักนิดว่า “หากสารส่วนตัวของเจ้ามีประโยชน์ เหตุใดข้าต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยเจ้าด้วย? แค่ปลอมชื่อเจ้าสักครั้งก็ได้แล้ว เจ้าลองคิดให้ดีว่าจะใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างไรดีดีกว่ากระมัง ส่วนข้านั้นอะไรก็ได้อยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ถูกลดฐานะลงเป็นคนธรรมดา เจ้าเล่า? เกรงว่าคงไม่ได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ด้วยชื่อเสียงที่ดีสักเท่าไรนัก!”
องค์ชายใหญ่โกรธจนแทบกระอักเลือด แต่เขาอยู่กับการประนีประนอมต่อหน้าผู้คนมานานหลายปี จึงรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าอัตตานั้นไม่ควรมีอยู่ตอนที่กำลังเผชิญกับความเป็นความตาย เขาเองก็โมโหเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานก็กลับมาสงบและมีเหตุผลดังเดิม กล่าวว่า “หลินหลาง ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการคุยกับเจ้า เจ้าคิดว่าฮ่องเต้ต้องการให้ข้าหลีกทางให้ผู้ใด? ข้าดูแล้วไม่น่าใช่องค์ชายสี่ และยิ่งไม่น่าจะเป็นองค์ชายเจ็ด ข้ารู้สึกจิตใจไม่สงบนัก คิดว่าต่อให้กลับจวนไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย แต่เกรงว่าก็คงมีชีวิตต่อได้ไม่ยืนยาว เจ้าเป็นคนฉลาด ไม่สู้ชี้แนะแนวทางให้ข้าสักทางหนึ่ง ข้าจะได้ไม่เดินทางผิดโดยที่ไม่รู้อะไรเลย”
เฉินลั่วไม่เคยมององค์ชายใหญ่ในแง่ดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่อยากสุงสิงกับเขา กล่าวพอเป็นพิธีว่า “เจ้ายังไม่รู้แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร”
ส่งองค์ชายใหญ่กลับไปอย่างปลอดภัย หลังจากนั้นความเป็นตายขององค์ชายใหญ่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขาแล้ว
องค์ชายใหญ่กลับกล่าวขึ้นว่า “ไม่รู้จักโฉมหน้าของเขาหลูซาน เพราะตัวเองอาศัยอยู่กลางขุนเขาแห่งนั้น เจ้าเองก็อย่าแกล้งทำตัวโง่งมกับข้าเลย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องรู้อะไรมาแน่ หาไม่เจ้าคงไม่ย้อนกลับมาช่วยข้ารวดเร็วเพียงนี้ ข้ารู้ว่าเจ้ากับเจ้ารองและเจ้าสี่สนิทสนมกัน ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะบอกอะไรข้าบ้าง หวังแค่ว่าต่อให้ตายก็ได้เป็นวิญญาณที่เข้าใจทุกอย่างดี”
เฉินลั่วมองใบหน้าของเขาที่พูดไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ เศร้าสลดลง รู้สึกเห็นใจสงสารขึ้นมาหลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าหากเขาไม่ได้เจอหวังซี เขาอาจเป็นองค์ชายใหญ่คนที่สอง
เฉินลั่วคิดแล้วกล่าวว่า “ความจริงเจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจดีอยู่แล้ว ผู้ใดได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับผู้นั้น เพียงแต่เจ้าไม่กล้ายอมรับก็เท่านั้น” กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาหยุดลงเล็กน้อย จากนั้นกล่าวต่อว่า “บางทีเจ้าหาได้ไม่ยอมรับ แต่แค่รู้สึกว่ามันเป็นไม่ได้กระมัง?”
องค์ชายใหญ่ไม่ได้เปล่งคำใดไปครู่ใหญ่ หันไปทำสัญญาณมือเป็นเลข ‘เจ็ด’ ให้เฉินลั่วครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบเฉยครั้งหนึ่ง
องค์ชายใหญ่พลันทรุดตัวลงบนแหย่งหลัวฮั่นอย่างหมดสภาพคล้ายถูกกระชากวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ส่วนตัวสำคัญเพียงนี้เชียว? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขาต้องแต่งฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วย? เช่นนั้นซูเฟยนับเป็นตัวอะไร?”
เฉินลั่วอยากพูดเหลือเกินว่า ถ้าเขารู้เขาก็คงไม่ใช้เวลานานขนาดนี้กว่าจะตระหนักได้ว่าฮ่องเต้ต้องการทำอะไรกันแน่หรอก
ในฐานะโอรส องค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้โชคดีไปกว่าเขาที่เป็นแค่หลานชายผู้หนึ่งนัก
เฉินลั่วกล่าว “ต่อจากนี้เจ้ามีแผนการอะไร”
องค์ชายใหญ่จิตใจว้าวุ่น ได้แต่พึมพำกล่าวว่า “ข้ายอมรับไม่ได้ ข้าไม่ยอม ข้า…”
เขาใช้เวลาคิดครู่ใหญ่ ทันใดนั้นมองเฉินลั่วด้วยแววตาเป็นประกาย ถามอย่างลังเลว่า “หากข้ากับเจ้ารองร่วมมือกัน เจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้กี่ส่วน”
เฉินลั่วใจเต้นตึกๆ ไม่หยุด
ก่อนหน้านี้เขาเองก็คิดเรื่องนี้มาโดยตลอด คิดว่าเมื่อกลับไปแล้วอย่างไรก็ต้องทำให้องค์ชายสามกับองค์ชายรองร่วมมือกันให้ได้ ถึงแม้จะเป็นการรับศึกนอกก่อนแล้วค่อยสู้ศึกในก็ตาม แต่ก็ดีกว่าถูกผู้อื่นปั่นหัว แล้วถูกกำจัดไปพร้อมกันทั้งรังในคราวเดียวเช่นนี้
ถ้าหากมีองค์ชายใหญ่เพิ่มเข้ามาอีกคน…
เฉินลั่วยิ้ม
ภายในห้องยาอันมืดสลัวทำให้รอยยิ้มของเขาดูสุกใสราวกับไข่มุก องค์ชายใหญ่เห็นแล้วบังเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา
แต่ถ้าหวังซีอยู่ที่นี่ นางมีแต่จะถอยหลบออกไปสามเซ่อ[1]
ยิ่งรอยยิ้มของเฉินลั่วสุกใสเท่าไร นัยน์ตาก็ยิ่งเย็นชาเท่านั้น
น่าเสียดายที่องค์ชายใหญ่มิใช่หวังซี แววตาของเขายิ่งร้อนแรงขึ้น ถึงกับมองเฉินลั่วอย่างมีความหวังหลายส่วน เอ่ยถามว่า “เจ้าเองก็คิดว่าเป็นไปได้หรือ”
“ข้าคิดว่าดียิ่ง” เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ เหยียดริมฝีปากออก แฝงความเจ้าเล่ห์และหยอกเย้าอย่างที่จอมวายร้ายชอบมีกัน กล่าวว่า “พวกเราถูกฮ่องเต้ขุดหลุมฝังอย่างโหดร้ายขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องสู้กลับสักหน่อย ไม่เช่นนั้นผู้อื่นคงคิดว่าพวกเราเป็นมะพลับอ่อน คิดจะบีบจะเค้นอย่างไรก็ได้!”
องค์ชายใหญ่ฟังแล้วอดบ่นไม่ได้ว่า “ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ เหตุใดไม่นัดแนะข้าด้วย?”
เฉินลั่วกล่าว “มิใช่เพราะข้ากลัวเจ้าทำใจสละเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรนั้นไม่ได้หรอกหรือ หลายปีมานี้ เพื่อทำให้ฮ่องเต้ยกย่องเจ้าแล้ว เจ้ายอมอดทนอดกลั้นพวกพี่ชายรองกับพี่ชายสามไปไม่น้อย”
แววตาขององค์ชายใหญ่สลดลงเล็กน้อย เงียบไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าฝันเฟื่อง ประเมินตัวเองสูงเกินไป บัดนี้ข้ายังคงคิดว่าหากมีโอกาส ข้าก็อาจจะยังไปแย่งชิงเหมือนเดิม แต่ข้าก็ได้เข้าใจมากขึ้น อันดับแรกข้าต้องมีชีวิตรอดก่อน หากไร้ชีวิต อะไรก็ไร้ความหมาย”
เฉินลั่วพยักหน้า รู้สึกว่าองค์ชายใหญ่ยังนับว่าเป็นคนที่สมควรช่วยเหลืออยู่ เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
องค์ชายใหญ่ยังไม่ได้คิดดีๆ เลย
แน่นอนว่าย่อมต้องถอนตัวออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนหน้านี้จอมยุทธ์ที่เฝ้าอารักขาเขาบอกเขาว่า จวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นคนส่งกองพลขนนกซ้ายมา เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองกับองค์ชายรองแตกต่างกันมากเพียงใด และเมื่อมองญาติผู้น้องที่มีหน้าตาโดดเด่นและได้ชื่อว่ามีนิสัยน่ารังเกียจไปทั่วจิงเฉิงของเขาท่านนี้ ญาติผู้น้องผู้นี้ไม่เพียงหนีเอาชีวิตรอดได้เร็วกว่าเขา การรับรู้ความเป็นจริงก็เร็วกว่าเขา ความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองก็ยอดเยี่ยมกว่าเขาเป็นร้อยเท่า ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเหตุใดเขาถึงเชื่อมั่นในตัวเองขนาดนั้นว่าฮ่องเต้จะถูกใจเขา
เขากัดฟัน กล่าวกับเฉินลั่วว่า “เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือไม่ ระหว่างพวกเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมไปมา ข้างกายข้าเหลือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ต่อให้เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรให้ ข้าก็ทำให้ไม่ได้อยู่ดี ไม่สู้เชื่อฟังเจ้าดีกว่า”
เฉินลั่วมององค์ชายใหญ่ครั้งหนึ่ง
เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเขาจะทำใจปล่อยได้จริงหรือไม่แล้ว!
เฉินลั่วกล่าว “พวกเราลองดูก่อนว่าผู้ใดเป็นคนมา ถึงเวลาก็บอกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องรักษาตัวเงียบๆ เป็นเวลานาน นั่นย่อมเท่ากับว่าเจ้าไร้วาสนาต่อบัลลังก์ไปโดยปริยายแล้ว”
นั่นมิเท่ากับเปิดทางสะดวกให้เจ้ารองกับเจ้าสามหรอกหรือ
องค์ชายใหญ่ปรายตามองเฉินลั่วครั้งหนึ่ง ถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าควรคุยกับเจ้ารองตามลำพังหรือควรคุยกับเจ้าสามตามลำพังดี?”
อย่างไรก็ต้องมีใครสักคนมารับน้ำใจของเขาในครั้งนี้กระมัง
“นั่นก็ต้องดูว่าพี่ชายใหญ่ถูกชะตาผู้ใดมากกว่าแล้ว” เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
องค์ชายใหญ่ไม่พอใจอย่างยิ่ง
เฉินลั่วกล่าวอย่างดูแคลนว่า “นี่ต่างกันอย่างไร? เมื่อเจ้าถอนตัวอย่างไรองค์ชายรองกับองค์ชายสามก็ต้องแย่งชิงกันเองอยู่ดี ไม่แน่ว่าเจ้าอาจได้กลายเป็นตาอยู่ได้ปลาไปครองก็ได้? เจ้ามีอะไรต้องไม่พอใจด้วยหรือ”
องค์ชายใหญ่คิดตามแล้วหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เรื่องนี้ช่างน่าขันจริงๆ เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าจะได้ดูเรื่องสนุกของข้ากับเจ้ารอง แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นได้ดูเรื่องสนุกของเจ้ารองกับเจ้าสามแทนแล้ว อย่างไรเสียพวกเขาล้วนมิใช่ที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ประจบประแจงขออะไรจากพวกเขาไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะพูดกับใครก็ไม่สำคัญจริงๆ เช่นนั้นข้าไม่พูดกับใครเลยดีกว่า พวกเขาอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด!”
ไม่แน่อาจเป็นอย่างที่เฉินลั่วกล่าวมา สุดท้ายเขาอาจกลายเป็นตาอยู่ที่ได้ปลาไปครองผู้นั้นก็เป็นได้
องค์ชายใหญ่นอนหลับไปอย่างสบายใจ
กลางดึก มีคบเพลิงล้อมวัดเจินอู่เอาไว้
ไม่คาดคิดว่าคนที่มารับองค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วกลับเข้าเมืองจะเป็นอวี๋จงอี้ เสนาบดีกรมกลาโหมและมหาบัณฑิตพระที่นั่งอู่อิง
………………………………………………………………….
[1] เซ่อ หน่วยบอกระยะทาง หนึ่งเซ่อประมาณสามสิบลี้
ตอนต่อไป