หวังซีเพิ่งจะล้างหน้าล้างตาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่เสร็จกำลังเอนตัวนั่งอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นกินของว่างอยู่ ก็ถูกเรียกตัวกลับไปที่เรือนหยกวสันต์อีกแล้ว
พอฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางก็คว้านางเอาไว้ประหนึ่งเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย น้ำตาร่วงเผาะพลางกล่าว “เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญูที่สุด เจ้าลองบอกข้ามาว่าบัดนี้สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร ตระกูลซือเป็นเช่นไรบ้าง มีคนให้ความช่วยเหลือหรือไม่” กล่าวจบ ยังกลัวว่าหวังซีจะไม่ตั้งใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จึงกล่าวอีกว่า “เจ้าเองก็อย่าหัวเราะเยาะข้าว่าอายุปูนนี้แล้วแต่ยังห่วงหาคนตระกูลเดิมอยู่ไปเลย ความจริงแล้วตระกูลซือล้วนมีบุญคุณใหญ่หลวงทั้งต่อข้าและเจ้าด้วย หากปีนั้นมิใช่เพราะนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลซือ มารดาของเจ้าก็คงสิ้นชีวิตไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีเจ้ากับพี่ชายรองของเจ้าได้ เห็นแก่สิ่งนี้ เจ้าเองก็ไม่อาจยืนกอดอกดูตระกูลซือล่มสลายไปเฉยๆ ได้ถึงจะถูก”
หวังซีอยากเอามืออุดปากฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้เหลือเกิน
นางช่างเหลือเกินจริงๆ ไม่พูดยังดี พอได้พูดก็ทำเอาคนทั้งบ้านขุ่นเคืองใจไปหมดทุกคน
อะไรที่เรียกว่า เจ้ากตัญญูที่สุด? จะให้คนจวนหย่งเฉิงโหวที่คอยปรนนิบัติรับใช้มาตลอดหลายวันเหล่านี้คิดอย่างไร
ส่วนเรื่องช่วยไปสืบข่าวมาให้นางนั้น ตอนนี้มันช่วงเวลาอะไร แม้แต่หย่งเฉิงโหวยังต้องหลบเลี่ยงปลายหอก นับประสาอะไรกับเด็กสาวมือเปล่าอย่างนางจะทำอะไรได้
กล่าวไปกล่าวมา ก็แค่กลัวว่าหากใช้นามของจวนหย่งเฉิงโหวออกหน้าอาจถูกหย่งเฉิงโหวตำหนิ จึงใช้ตระกูลหวังไปแสดงน้ำใจ
แต่น้ำใจของตระกูลหวังของพวกนางหาได้ราคาถูกขนาดนี้
หวังซีมองโหวฮูหยินครั้งหนึ่ง ถึงได้กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ขอเพียงข้าทำได้ ข้าย่อมไม่สลัดความรับผิดชอบอย่างแน่นอน แต่เรื่องของตระกูลซือนั้น ข้าไร้หนทางจริงๆ ตระกูลหวังของพวกข้าทั้งมิได้เป็นขุนนาง และมิได้เป็นคนในท้องที่ ท่านให้ข้าช่วยสืบข่าวตระกูลซือมาให้ท่าน ท่านมองตระกูลหวังของพวกข้าสูงส่งเกินไปแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้ว ประกายในดวงตาพลันหม่นหมองลง เสียงพูดก็เปลี่ยนเป็นอ่อนแรงลงมา “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ หากได้ยินข่าวคราวอะไร อย่าลืมบอกข้าสักคำหนึ่ง”
หวังซีพยักหน้า คิดว่ายังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่บีบบังคับให้นางต้องไปสืบข่าวมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางยอมบาดหมางกับจวนหย่งเฉิงโหว
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถึงคราวให้สตรีในเรือนชั้นในต้องจัดการตั้งแต่เมื่อใดกัน
ซือจูที่ก้มหน้าฟังอยู่ด้านข้างกลับกัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น ตระกูลพ่อค้าที่ไม่ทำประโยชน์อันใด อาศัยการขึ้นเหนือล่องใต้หลอกลวงเงินมาได้เล็กน้อยอย่างตระกูลหวัง พอเห็นครอบครัวของพวกนางตกต่ำ ก็เริ่มยโสโอหังเสียแล้ว ปรสิตอะไรกันเล่านี่ ไม่รู้จักส่องกระจกดูตัวเองเสียบ้าง...
ในใจของนางเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชัง ทว่าไม่รู้จะระบายออกมาอย่างไรดี
หวังซีคอยสังเกตสีหน้าของซือจู มีอาการใจลอยเล็กน้อยไปชั่วขณะ
เรื่องของตระกูลซือเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป เมื่อวานตอนที่หวังหมัวมัวและคนอื่นๆ ไปเดินตลาดยังได้ยินคนถกเถียงเรื่องคดีของตระกูลซืออยู่เลย ต่างรู้สึกว่าการที่พวกเขาดึงองค์ชายรองและจวนชิ่งอวิ๋นโหวออกมา อย่างน้อยๆ คดีนี้ก็น่าจะต้องใช้เวลาพิจารณาประมาณสามถึงห้าเดือน ไม่คาดคิดว่าเพียงพริบตาเดียวก็ถูกตัดสินออกมาแล้ว
รวดเร็วขนาดนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการสื่ออะไรกันแน่
ต้องหาโอกาสหนึ่งไปสอบถามเฉินลั่วดูสักหน่อยถึงจะถูก
แต่เฉินลั่วที่หวังซีนึกถึงเวลานี้กำลังอยู่ในตำหนักฉือหนิง นั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้กระเบื้องกลม กั้นด้วยผ้าม่านสีเขียวนกแก้ว ฟังฮ่องเต้ตรัสกับฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วยสุรเสียงอบอุ่นว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ ไล่สืบสวนต่อไปมีแต่จะทำลายความรู้สึกของกันและกัน คนตระกูลซือถูกลงโทษประหารแล้ว เรื่องนี้ให้หยุดลงตรงนี้เถิด ต่อไปทุกคนไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก มีชีวิตอย่างสงบสุขก็พอ…
…ส่วนนิสัยของเจ้ารองนั้น หุนหันพลันแล่นเกินไป จำเป็นต้องขัดเกลาให้ดีสักหน่อย...
…ด้านชิ่งอวิ๋นโหว ละเมิดข้อห้ามไปครั้งใหญ่ ก็ถือว่าทำเกินไป…
…ให้ข้าทบทวนดูดีๆ ก่อน จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ” ทว่าในใจกลับแสยะยิ้มเย็นไม่หยุด
ลดตำแหน่งน้องชายของนาง กักบริเวณบุตรชายของนาง สังหารแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนผู้หนึ่งแล้ว ก็ให้ถือว่าเรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ มีเรื่องดีปานนั้นที่ไหนกัน!
ตำแหน่งชิ่งอวิ๋นโหวนี้มิใช่เพราะนางเป็นฮองเฮาเหนียงเหนียงถึงพระราชทานให้ตระกูลปั๋ว แต่เป็นเพราะคนหลายต่อหลายรุ่นจากตระกูลปั๋วของพวกนางแลกมากับการทำคุณูปการต่อประเทศชาติ มิใช่เรื่องที่ฮ่องเต้อยากลืมก็จะลืมกันได้ง่ายๆ
บุตรชายของนางเป็นองค์ชายจากชายาเอก หาใช่คนที่โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ถึงวัยเสกสมรสกลับไร้ซึ่งงานแต่ง ซ้ำยังถูกประวิงเวลาอย่างมีนัยแอบแฝง มีองค์ชายพระองค์ไหนที่ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทต้องทนรับความอยุติธรรมเช่นนี้บ้าง นี่ฮ่องเต้เห็นทุกคนเป็นคนโง่ไปหมดแล้วกระมัง
ฮองเฮาเหนียงเหนียงสูดหายใจเข้าลึกหลายลมหายใจ ถึงได้คงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ได้ เอ่ยถามถึงเรื่องงานแต่งของเฉินอิง “พริบตาเดียวเจิ้นกั๋วกงก็จะได้เป็นพ่อสามีแล้ว ฝ่าบาทเตรียมพระราชทานอะไรให้บ้างเพคะ แล้วเรื่องแต่งตั้งหลินหลางเป็นซื่อจื่อ จะแต่งตั้งก่อนหรือยังงานแต่งของเฉินอิงดี...
…หากก่อนงานแต่งของเฉินอิง หม่อมฉันเห็นว่าให้หม่อมฉันเป็นตัวแทนฝ่าบาทเติมหีบให้ฝ่ายสาวดีกว่า เกิดเรื่องกับตระกูลซือเช่นนี้ ย่อมมีคนยกย่องเบื้องสูงเหยียบย่ำเบื้องล่างอยู่แล้ว พวกเราให้เกียรติคุณหนูซือสักครั้งหนึ่ง นางจะได้แต่งเข้าประตูใหญ่ของตระกูลเฉินได้…
…แต่ถ้าเป็นหลังงานแต่งของเฉินอิง มิสู้พระราชทานตำแหน่งที่เป็นมรดกสืบทอดให้เฉินอิงสักตำแหน่งหนึ่งเป็นการปลอบโยนเจิ้นกั๋วกง เฉินอิงเองก็จะได้ไม่เสียหน้าด้วยเพคะ”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้จึงไม่น่าดูเล็กน้อย รู้สึกว่ากาใบไหนที่น้ำยังไม่เดือดฮองเฮาก็ยกกาใบนั้นขึ้น กำลังบอกเขาเป็นนัยว่าเรื่องนี้หาได้จบลงอย่างง่ายดายปานนั้น
ทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้ง
จ่างกงจู่พาเฉินลั่วเดินออกมาจากหลังม่าน กระซิบปลอบฮองเฮาเหนียงเหนียงที่โกรธจนหน้าซีดเผือดว่า “เหตุใดท่านต้องยั่วอารมณ์โกรธของฝ่าบาทด้วย ไม่เป็นผลดีต่อองค์ชายรองแม้แต่น้อย”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงกับจ่างกงจู่คบหากันมาหลายปี สนิทสนมยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ต้องคิดให้มากความว่า “ในเมื่อพี่สาวรู้เหตุผลข้อนี้ดี เหตุใดพูดกับเจิ้นกั๋วกงได้ไม่ถึงสองประโยคก็สะบัดแขนเสื้อหนีแล้วเล่า!”
จ่างกงจู่สะอึก
เฉินลั่วปกป้องมารดาโดยการกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง กล่าวเสียงค่อยว่า “เช่นนี้ก็ใช่ว่าไม่ดี ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานญาติผู้พี่ที่เมืองเป่าติ้งของหนิงผินท่านนั้นได้โยกย้ายมาเป็นท่านรองที่ศาลซุ่นเทียน เขามารับตำแหน่งใหม่ ตอนนี้ไปเยี่ยมเยียนขุนนางทั่วเมืองหลวง แม้นกล่าวว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติ แต่เวลานี้ควรระแวดระวังเอาไว้จะดีกว่า”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงหันไปยิ้มให้เฉินลั่วอย่างซาบซึ้ง กล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เจ้ากับองค์ชายรองเติบโตมาด้วยกัน ผู้อื่นต่างกระทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ แต่เจ้ายังนึกถึงเขาอยู่ ความใส่ใจของเจ้าข้ารับรู้แล้ว”
เฉินลั่วพยักหน้า ไม่กล่าวอะไรอีก ออกจากวังเป็นเพื่อนจ่างกงจู่
ฮองเฮาเหนียเหนียงไปหาองค์ชายรองที่ยังพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ นำถ้อยคำของเฉินลั่วไปบอกกล่าวเขา ยังกล่าวด้วยว่า “พวกเจ้าสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก หากตัดขาดกันไปเช่นนี้ ก็ออกจะน่าเสียดายเกินไป”
องค์ชายรองยิ้มอย่างขมขื่น
เวลานี้เขาอยากตัดสัมพันธ์กับเฉินลั่วที่ไหนกัน เป็นเพราะต่อให้เขาอยากสนิทสนมกับเฉินลั่วเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ไม่กล้าทำแล้วต่างหาก
เขาบอกฮองเฮาเหนียงเหนียงว่า “หมิงเย่ว์เองก็ดีมากเช่นกัน เขาเก็บรวบรวมหลักฐานให้ข้าได้เล็กน้อย ล้วนแล้วแต่เป็นการรับสินบนของญาติผู้พี่ของหนิงผินท่านนั้น เงินจำนวนนี้เขาอาจไม่ได้เป็นคนรับไว้ แต่หากกระชากเขาออกมาได้ ด้านหนิงผินก็มีเรื่องอื้อฉาว เพียงรอดูว่าจะหยิบมาใช้ตอนใดถึงจะเหมาะสม”
สีหน้าของฮองเฮาเหนียงเหนียงเผยความเกลียดชังออกมา
ส่วนเฉินลั่วที่กลับมาถึงจวนจ่างกงจู่กำลังกระซิบกระซาบคุยกับหลิวจ้งอยู่ในห้องหนังสือ
“เจ้าบอกว่า ที่ปั๋วหมิงเย่ว์ไปวัดอวิ๋นจวีวันนั้นเพราะไปเจอแม่ครัวคนหนึ่งจากจวนของญาติผู้พี่ของหนิงผิน?” คิ้วเรียวสวยของเขาขมวดมุ่นจนหว่างคิ้วเป็นรอยสามขีด กล่าวว่า “ดูแล้วปั๋วหมิงเย่ว์คงสืบข่าวอะไรมาได้แล้ว หาวิธีเอาสิ่งที่เขาสืบได้มาไว้ในมือสักส่วนหนึ่งได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าพวกเราเองก็อาจจะได้ใช้”
หลิวจ้งรับคำเสียงเบา กล่าวว่า “ยังมีด้านองค์ชายสี่อีก ดูทีแล้วคงอยากเสกสมรสโดยเร็วและรีบไปปกครองต่างเมืองให้เร็วที่สุด พวกเราควรจะเติมเชื้อไฟหรือไม่ ให้องค์ชายสี่ได้สมปรารถนา?”
“อย่าสนใจเขาเลย!” บัดนี้เฉินลั่วเห็นลูกพี่ลูกน้องเหล่านี้ของเขาแล้วก็ให้รู้สึกรำคาญใจ กล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ เขาขอร้องเองลำพังไม่มีประโยชน์ ต้องผ่านความเห็นชอบของเหล่าขุนนางใหญ่ในสภาด้วย และฮ่องเต้ก็กำลังวางแผนลดบรรดาศักดิ์ของจวนชิ่งอวิ๋นโหวจากโหวเป็นป๋อ เหล่าขุนนางใหญ่ต่างวุ่นกันหมด ผู้ใดจะมีเวลามาสนใจเขา!”
หลิวจ้งประหลาดใจเป็นอย่างมาก เอ่ยถามว่า “ลดบรรดาศักดิ์จากโหวเป็นป๋อ ชิ่งอวิ๋นโหวยอมหรือขอรับ”
“มีอะไรให้ไม่ยอมด้วย” เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ขอเพียงองค์ชายรองได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง อย่าว่าแต่เรื่องลดบรรดาศักดิ์เลย ต่อให้เป็นการริบบรรดาศักดิ์ พวกเขาก็ผงาดขึ้นมาอีกครั้งได้ในทันที แต่หากองค์ชายรองไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ต่อให้ตอนนี้ชิ่งอวิ๋นโหวได้ตำแหน่งเป็นผู้แทนรัชทายาทหรือผู้ปกป้องรัชทายาทเพิ่มอีกกี่ตำแหน่งก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับบุปผาในกระจก จันทราในน้ำ…
…เป็นฮ่องเต้ที่คำนวณแผนการนี้ได้ดียิ่ง…
…ทำลายตระกูลซือเพียงตระกูลเดียว นอกจากได้ลดบรรดาศักดิ์ของจวนชิ่งอวิ๋นโหวแล้ว เร็วๆ นี้องค์ชายรองยังต้องเดินทางไปพำนักที่วัดต้าเจวี๋ยด้วย ฮ่องเต้ให้เขาไปสวดขอพรและคัดพระธรรมให้บรรพบุรุษอยู่ที่นั่นแปดสิบเอ็ดวัน…
…หลังจากผ่านพ้นไปสามเดือน ถึงวันที่องค์ชายรองออกจากวัด ไม่รู้ว่าใต้ผืนฟ้านี้จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรแล้ว”
หลิวจ้งพูดไม่ออก
เฉินลั่วไม่อยากพูดอะไรกับเขาให้มากความ แจ้งประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้าแล้ว เย็นนี้ข้าไม่กลับมากินข้าวเย็น” จากนั้นก็วิ่งออกไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
หลิวจ้งคาดเดาว่าเขาคงวิ่งไปขอข้าวของคุณหนูหวังกินอีกแล้ว
คนครัวของคุณหนูหวังมีฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ
เขาลูบหน้าท้องของตัวเอง มุมปากคล้ายรำลึกถึงรสชาติอันล้ำเลิศของขนมเหล่านั้น ทว่าในใจกลับลอบเป็นห่วงเฉินลั่ว
มีความรู้สึกดีๆ ให้กับคุณหนูหวังขนาดนี้ ภายภาคหน้าหากแต่งภรรยาแล้ว มิเท่ากับทำให้ผู้อื่นผิดหวังหรอกหรือ
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่เขาเป็นห่วงแล้วจะมีประโยชน์อะไร คงทำได้แต่คอยดูว่าจะมีโอกาสโน้มน้าวเฉินลั่วสักสองประโยคได้หรือไม่เท่านั้น!
เนื่องจากเขาต้องการติดตามเฉินลั่วไปตลอดชีวิต หากเรื่องหลังบ้านของเฉินลั่วไม่สงบสุข ก็ง่ายที่จะส่งผลกระทบต่อเรื่องทายาทสืบสกุลและธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูล หากเป็นเช่นนั้นสายสกุลของเฉินลั่วคงไปได้ไม่ไกลนัก
เขาไปกินข้าวบ้าง
ส่วนเฉินลั่วหลังจากรับประทานอาหารแล้วก็เดินเล่นอยู่ในสวนร่มหลิวกับหวังซีไปด้วย พลางสนทนากับนางเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักไปด้วย “เจ้าคอยดูเถอะ อย่างมากไม่เกินสองถึงสามวัน ต้องมีคนถวายฎีกาขึ้นไปให้ฮ่องเต้ ขอให้ฝ่าบาทเร่งแต่งตั้งรัชทายาท และในจำนวนนี้อาจมีคนเสนอองค์ชายสาม…
…ฮ่องเต้ได้ฟังแล้วจะต้องกริ้วหนัก นอกจากเรียกตัวองค์ชายสามไปตำหนิคำรบหนึ่งแล้ว ยังถือโอกาสนี้เรียกซูเฟยเหนียงเหนียงไปสั่งสอนด้วยอีกคนหนึ่ง ดีไม่ดี แม้แต่องค์ชายห้าก็อาจติดร่างแหไปด้วย”
หวังซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ กล่าวว่า “นี่ก็ไม่ต่างจากร้านค้าเหล่านั้นของพวกข้า ยามตำแหน่งหลงจู๊ใหญ่ว่างลง ทุกคนต่างขันแข่งแย่งชิงกันไปมา ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าสร้างความวุ่นวายจนทำลายผลกำไรของตระกูลหวัง หลงจู๊น้อยใหญ่ของร้านค้านั้นจะถูกกวาดล้างทั้งหมด บางครั้งแม้แต่เสมียนที่ได้รับประโยชน์ก็ถูกกำจัดด้วย…
…ดังนั้นเวลานี้ซูเฟยเหนียงเหนียงควรอยู่เงียบๆ ถึงจะเป็นการดีที่สุด…
…เมื่อใดที่นางขยับ ฮ่องเต้หาได้โปรดปรานนาง ย่อมต้องระบายอารมณ์กับนาง!”
เมื่อก่อนยามที่เฉินลั่วคุยเรื่องใหญ่ในราชสำนักกับหวังซี หวังซียังมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่บัดนี้นางอนุมานสาเหตุของเรื่องราวตามสิ่งที่เขาพูดได้แล้ว
เขาอดทึ่งไม่ได้ หยุดฝีเท้าลงกล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่านับวันเจ้าจะเปลี่ยนเป็นคนเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!”
“ข้าหาได้เก่งกาจ” หวังซีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “เป็นเพราะกล่าวไปกล่าวมาแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากการแย่งชิงทรัพย์สมบัติของบรรดาตระกูลใหญ่ตระกูลโตเหล่านั้นก็เท่านั้น ข้าคุ้นเคยดีจึงไม่นับว่ามีอะไรน่าทึ่ง กระนั้นก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องสนุกที่น่าสนใจยิ่ง”
หวังซีหันมายิ้มให้เขาอย่างมีเสน่ห์ ดวงตาสุกสว่างระยิบระยับ เปล่งประกายไปทั่วทุกด้าน “ข่าวลือของราชสำนักไม่แน่นอนยิ่งกว่าข่าวซุบซิบของเรือนชั้นในเหล่านั้นเสียอีก อยู่เหนือความคาดหมายของคนไปมาก”
เฉินลั่วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
คนที่เอาเรื่องใหญ่ของราชสำนักไปเปรียบกับคำซุบซิบนินทาเล็กๆ น้อยๆ ได้คงมีแต่หวังซีเท่านั้นแล้ว
บางทีนี่อาจจะเป็นความพิเศษของนางก็ได้
คงเป็นจุดที่นางดึงดูดใจผู้คนได้กระมัง!
………………………………………………………….