หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 252

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 252 – บาดเจ็บสาหัส

อากาศเหนือยอดเขาชิงฉวน (วสันต์กระจ่าง) หมื่นลี้ไร้เมฆ พลังวิญญาณล่องลอย

โม่เทียนเกอหลับตา ยืนอยู่กลางอากาศ ฝ่ามือหันเข้าหากัน พลังวิญญาณบางเบาสายหนึ่งหมุนวนไป ๆ มา ๆ อยู่ระหว่างสองฝ่ามือ

พลังวิญญาณนี้คราแรกอ่อนจาง ค่อย ๆ หนาแน่นขึ้นมา สุดท้ายควบรวมจนกลายเป็นสีส้มที่เข้มอย่างยิ่ง

ใบหน้าของโม่เทียนเกอคิ้วขมวดแนบแน่น คล้ายกับอดทนต่ออะไรบางอย่าง ผ่านไปไม่นาน พลังวิญญาณก้อนนี้จู่ ๆ ก็ปะทุขึ้น ครอบคลุมทั่วทั้งร่างของนาง กลายเป็นม่านพลังวิญญาณหนึ่งผืน

โม่เทียนเกอลืมตา ถอนหายใจโล่งอก

หลังจากได้รับพลังวิญญาณหยางก้อนนี้มา ในร่างของนางในที่สุดก็ปรากฏต้นกำเนิดที่แท้จริง โชคร้ายที่พลังวิญญาณก้อนนี้มีน้อยมากจริง ๆ เพียงสามารถใช้วิชาเวทเล็ก ๆ บางอย่าง นี่เป็นวิชาเวทเล็ก ๆ อย่างหนึ่งที่บันทึกไว้ในบันทึกไท่หยวน มีนามว่าศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิด

ศาสตร์นี้อาศัยพลังวิญญาณป้องกันตัว เผาผลาญพลังวิญญาณน้อยยิ่ง ความสามารถป้องกันกลับไม่เลวเลย ถ้าหากใช้อย่างเชี่ยวชาญ ตอนที่ต่อสู้สามารถดูดกลืนการโจมตีได้ไม่น้อย การต่อสู้ของผู้ฝึกตนเหนือระดับสร้างฐานพลัง ในอุปกรณ์เวทมักจะมีการโจมตีของพลังวิญญาณ ดังนั้นตอนที่ต่อสู้กันล้วนจะใช้ม่านพลังวิญญาณ ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดก็เป็นม่านพลังวิญญาณประเภทหนึ่ง แต่เผาผลาญวิญญาณน้อยกว่าของทั่วไปมาก

ขณะที่กำลังฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมา โม่เทียนเกอจู่ ๆ ก็ใจเต้นผิดจังหวะ ทอดตามองไปที่ไกล ๆ ตามสัญชาตญาณ

ฉินซีรู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณในร่างปั่นป่วน ควบคุมไม่อยู่โดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นชีพจรปราณก็ถูกทำให้บาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งทันที

กลางอากาศ วัตถุรูปร่างมนุษย์ที่ทั่วทั้งตัวปกคลุมด้วยปราณมืดผู้หนึ่งตกลงมา หัวเราะฮี่ ๆ อย่างเย็นชาสองคำ “ฉินโส่วจิ้ง เป็นอย่างไร รสชาติของปราณปีศาจเกาะร่างไม่สบายเลยสินะ”

ฉินซีปาดเลือดที่ข้างปาก ยืนขึ้นมาอย่างโงนเงน ถึงสีหน้าจะขาวซีด สายตากลับสงบนิ่ง “ก็ไม่เท่าไหร่”

หยุดยืนอยู่ในพื้นที่ห่างออกไปหลายจ้าง คนผู้นั้นได้ยินคำพูดนี้แล้วก็หัวเราะใหญ่ “ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของจิ้งเหอจริง ๆ หัวแข็งเกินพอ!”

ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาโบกมือหนึ่งที ปราณมืดหนึ่งสายขึ้นมารัดพันอีกครั้ง ฉินซีถอยจนไร้ทางถอย เห็น ๆ อยู่ว่าจะถูกรัดพัน จู่ ๆ สองมือก็มีเปลวเพลิงหนึ่งสายพุ่งออกมา ถึงกับขับไล่ปราณมืดถอยไปหลายส่วน

คนผู้นั้นเห็นแล้วก็ประหลาดใจอย่างมาก “เจ้าถึงกับสามารถขับไล่ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของข้าไปได้เชียวหรือ”

ฉินซียิ้มเล็กน้อย ในมือจู่ ๆ ปรากฏกระบี่ยาวที่มีเปลวเพลิงไหววูบเล่มหนึ่ง เพลิงปราณน่าทึ่ง พลังวิญญาณกดดัน เขาที่มีกระบี่เช่นนี้ในมือถึงจะบาดเจ็บสาหัสก็ยังมีพลังอำนาจอยู่หลายส่วน

“กระบี่อัคนีสามพลังหยาง นี่คือกระบี่อัคนีสามพลังหยางหรือ” คนผู้นั้นพึมพำกับตัวเอง ในน้ำเสียงมีความสนใจ “เจ้าผู้เยาว์ช่างน่าสนใจ สามารถขับไล่ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของข้าไปได้ก็ถือว่าเป็นสมบัติประหลาดอย่างหนึ่งแล้ว น่าเสียดายที่วันนี้เจ้ามีชะตาต้องพ่ายแพ้ในมือของข้า! ฮี่ ๆ เหล่าฟูรักผู้มีพรสวรรค์ เจ้าก็ถือว่าเป็นบุคคลหนึ่ง จะให้เจ้าลองดูแล้วกันว่ากระบี่อัคนีสามพลังหยางของเจ้าจะสามารถทำร้ายเหล่าฟูได้หรือไม่”

ฉินซีไม่เอ่ยคำ เปลวเพลิงของกระบี่บาวในมือยิ่งส่องสว่าง ลอยขึ้นมากลางอากาศ แขวนอยู่ด้านหน้าร่างของเขา

จับจ้องกระบี่นี้ ในแววตาของเขาแฝงเอาด้วยเจตนาสังหารเจือจาง เงยหน้าขึ้นมองตัวประหลาดที่ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยปราณมืดนี้

พอเห็นแววตานี้ของเขา คนผู้นั้นยิ่งตื่นเต้น รอคอยการโจมตีตอบโต้ของผู้เยาว์ที่เขาเห็นว่าน่าสนใจนี้

กระบี่อัคนีสามพลังหยางลอยขึ้นมาช้า ๆ เปลวเพลิงยิ่งร้อนแรง ฉินซีหลับตามรวบรวมปราณ คล้ายกับว่ากำลังจะลงมือแล้ว….

จู่ ๆ ท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไป กระบี่อัคนีสามพลังหยางลุกไหม้เป็นกองไฟหนึ่งกอง ยิงเข้าใส่คนผู้นี้อย่างเกรี้ยวกราด ทว่าตัวของเขากลับกลายเป็นแสงหลบหนีสายหนึ่งในพริบตา บินไปในทิศทางตรงกันข้าม

คนผู้นี้โบกมือ เปลวเพลิงที่พุ่งมาถึงตรงหน้าดับลงทันที ไหนเลยจะมีพลังอำนาจอันกล้าแข็ง? มองอีกทีเห็นแสงหลบหนีที่ไปไกลแล้ว สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที “ฉินโส่วจิ้ง! เจ้าผู้เยาว์เจ้าเล่ห์ร้ายกาจจริง ๆ!”

เด็กนี่ไม่เคยคิดจะเสี่ยงกับเขาเลย เพียงทำให้เขาเชื่อเช่นนี้ ผลคืออาศัยตอนที่เขาประมาทหลบหนีในพริบตา

แต่ถึงคนผู้นี้จะถูกยั่วโมโหจนกระทืบเท้าแต่กลับไม่ได้นำมาใส่ใจ ฉินโส่วจิ้งผู้นี้จะอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ไม่ว่าจะเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอีกสักเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็แตกต่างกันเกินไป ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย

ดังนั้นหลังจากเขาใช้จิตหยั่งรู้จับตำแหน่งก็กลายร่างเป็นเมฆมืดก้อนหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ไล่ตามไปในทิศทางที่เขาหลบหนี

แต่ยิ่งไล่เขายิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง ฉินโส่วจิ้งนี่แทบจะหลบหนีไปถึงสุดขอบเขตจิตหยั่งรู้ของเขาแล้ว เกือบจะสลัดหลุดจากเป้าหมายไปหลายครั้ง ความเร็วเช่นนี้จะเป็นวิชาหลบหนีของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานได้อย่างไร

เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ในใจกลับยิ่งหงุดหงิด เริ่มใช้วิชาหลบหนีเต็มกำลังทันที ไล่ตามไปข้างหลังติด ๆ

โม่เทียนเกอลังเลอยู่พักหนึ่ง กลางอากาศเหนือเขาไท่คังปรากฏแสงสว่างหลายสายลอยขึ้นมาแล้ว

สีเหลืองคือประมุขเต๋าเจิ้นหยาง สีแดงคือประมุขเต๋าจิ้งเหอ สีฟ้าคือประมุขเต๋าเมี่ยวอี สีเขียวคือประมุขเต๋าเสวียนอิน

ประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่สี่ท่านเหินขึ้นกลางอากาศในพริบตา พากันมองไปตรงที่ไกล ๆ

สีหน้าของประมุขเต๋าเจิ้นหยางแปรเปลี่ยนไปเป็นคนแรก “ไม่ดีแล้ว เป็นซงเฟิงตาเฒ่านั่น!”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอหน้าซีดเผือด “เขาถึงกับกล้าเข่นฆ่ามาถึงเขาไท่คังของข้า!”

ประมุขเต๋าเจิ้นหยางขมวดคิ้ว เอ่ยทันทีว่า “จิ้งเหอซือตี้ตามข้าไป เมี่ยวอีซือเม่ย เสวียนอินซือตี้ เจ้าสองคนสนับสนุนอยู่นี้!”

เมี่ยวอีและเสวียนอินสองคนเพียงส่งเสียงตอบรับคำหนึ่ง มองดูประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่สองคนซึ่งมีระดับการฝึกตนสูงที่สุดของโรงเรียนเสวียนชิงใช้วิชาหลบหนีหายไปในพริบตา

โม่เทียนเกอที่อยู่ไกล ๆ พอเห็นก็ครุ่นคิด สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของซือฟุกับซือซูซือป๋อถึงได้เคร่งเครียดเช่นนี้

ตอนที่นางกำลังลังเลว่าจะเดินไปข้างหน้าดีหรือไม่ ประมุขเต๋าเมี่ยวอีก็กวักมือเรียกนาง

โม่เทียนเกอดีใจ รีบบินไปข้างหน้า “เมี่ยวอีซือซู เสวียนอินซือซู”

เมี่ยวอีสีหน้าเมตตา ถามว่า “เทียนเกอ เจ้าอยู่ตรงนี้มีเรื่องอะไร”

โม่เทียนเกอกับประมุขเต๋าเสวียนอินเดิมมาจากสำนักอาจารย์เดียวกัน จึงไม่ต้องหลบเลี่ยงอันใด ประมุขเต๋าเมี่ยวอีและยอดเขาชิงฉวนถึงจะมีความสัมพันธ์ไม่ได้มากมาย แต่กับพวกเขาเหล่าผู้เยาว์กลับเมตตามาตลอด ตอนนี้พอได้ยินนางถาม โม่เทียนเกอก็เอ่ยตรง ๆ ว่า “เมี่ยวอีซือซู ใจของข้าเต้นระทึกร้ายแรงมาก แต่ว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”

ได้ยินคำพูดนี้ของนาง เมี่ยวอีออกจะตะลึง แต่ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “มีเรื่องใหญ่อย่างหนึ่งจริง ๆ แต่ว่ามีซือฟุของเจ้ากับเจิ้นหยางซือป๋ออยู่ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย เจ้ากลับไปเถิด เพื่อมิให้โดนลูกหลง”

ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่นี่ ไม่มีที่ให้นางสอดมือจริง ๆ โม่เทียนเกอจนใจ ได้แต่รับคำว่า “เจ้าค่ะ”

รอจนนางไปแล้ว เมี่ยวอีมองเสวียนอินคราหนึ่ง เอ่ยว่า “เสวียนอินซือตี้ ซือเม่ยคนนี้ของเจ้าประสาทสัมผัสแหลมคมยิ่ง”

เสวียนอินกำลังหลับตากระจายจิตหยั่งรู้ ขณะนี้ลืมตาทั้งสอง ไม่ได้พูดตอบ แต่กลับเอ่ยว่า “เจ้าปีศาจซงเฟิงนั่น ไล่ฆ่ามาถึงเขาไท่คังของเราได้อย่างไร โรงเรียนเสวียนชิงของเราจะอย่างไรก็เป็นสำนักอันดับหนึ่งอันดับสองของเทียนจี๋ เขาช่างกล้าหาญนัก!”

เมี่ยวอียิ้ม “ตอนพิธีผูกจิตวิญญาณของเจ้า เขาไม่ใช่ว่ามาก่อเรื่องวุ่นวายด้วยหรือ ตาแก่ซงเฟิงนี่ถือดีที่วิชาต่อสู้ของตนเองร้ายกาจ เกรงว่าถึงจะเป็นสำนักเทียนเต้าก็กล้าบุก”

เสวียนอินส่ายหน้าถอนหายใจว่า “ไม่รู้ซือฟุกับเจิ้นหยางซือเกอจะมาทันช่วยชีวิตโส่วจิ้งซือตี้หรือไม่”

“ต้องดูโชคของเขาแล้ว” พูดประโยคนี้จบ เมี่ยวอีก็หยุดเอ่ยคำ ทั้งสองคนล้วนกระจายจิตหยั่งรู้ สังเกตการณ์สถานการณ์ในที่ห่างไกล

ผู้ฝึกตนต่ำกว่าระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงไม่มีสักคนที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่พวกเขาสองคนกลับทราบกระจ่างถึงการหลบหนีสุดชีวิตในที่ไม่ห่างไกล

ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหนี่งคนจะสามารถหนีจากเงื้อมมือผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายได้อย่างไร ในใจของพวกเขาล้วนทราบดีว่าขอเพียงไม่ระมัดระวังหรือว่าเจิ้นหยางกับจิ้งเหอสองประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ไม่ทันระวัง ชีวิตนี้ของฉินโส่วจิ้งก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ประมุขเต๋าเมี่ยวอีสีหน้ายินดี “เสวียนอินซือตี้ พวกเราไปรับกันเถอะ!”

เสวียนอินตอบรับคำหนึ่ง ทั้งสองคนก็กลายร่างเป็นแสงหลบหนีสายหนึ่ง หายตัวไปจากกลางอากาศเหนือเขาไท่คัง

โม่เทียนเกอยืนอยู่หน้าวังซ่างชิง มองดูท้องฟ้าที่ไร้ผู้คนเงียบ ๆ ในใจของนางเต้นรัว แต่บอกสาเหตุได้ไม่ชัดเจน

ผ่านไปไม่นาน กลางอากาศในที่สุดก็ปรากฏร่างของคนหลายคน เจิ้นหยางและเมี่ยวอีสองคนจากไปกลางทาง ประมุขเต๋าเสวียนอินพยุงตัวคนผู้หนึ่งตามติดประมุขเต๋าจิ้งเหอลงมาที่ยอดเขาชิงฉวน

โม่เทียนเกอจับจ้องอย่างใกล้ชิด พอเห็นคนที่พิงร่างของประมุขเต๋าเสวียนอินอย่างเอนจอนาถนั้นแล้ว นางก็เบิกสองตาขึ้นกว้าง

“เทียนเกอ?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเห็นนางก็ตะลึงอยู่บ้าง แต่กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ไม่มีเวลาแล้ว ไป!” พูดแล้วก็เดินนำเข้าประตูไปก่อน

ประมุขเต๋าเสวียนอินตามหลังมาติด ๆ พยุงตัวฉินซีที่ไม่ได้สติเข้าวังซ่างชิง

โม่เทียนเกอก็เดินตามไป

ประมุขเต๋าเสวียนอินวางฉินซีลง ประมุขเต๋าจิ้งเหอป้อนโอสถหลายเม็ดให้เขาทันที จากนั้นใช้พลังวิญญาณรักษาเขา

อาการบาดเจ็บที่ฉินซีได้รับแค่มองก็ดูออกว่าสาหัสมาก บนชุดย้อมไปด้วยรอยเลือดหลายแห่ง สีหน้าซีดเขียว สองตาปิดสนิท พลังวิญญาณทั่วร่างอ่อนแอและไม่เสถียร

ที่แท้เมื่อครู่ที่จิตใจไม่สงบนั้นกลับเป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บหรือ ใครกันที่สามารถทำร้ายเขาจนกลายเป็นเช่นนี้ แถมยังทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สี่ท่านในโรงเรียนตกใจได้อีกด้วย ในสมองปั่นป่วนว้าวุ่น คิดหาเหตุผลไม่ออก

ประมุขเต๋าเสวียนอินสังเกตเห็น กระซิบบอกว่า “เทียนเกอ ถ้าเจ้ากระวนกระวายก็ไม่สู้ออกไปรอข้างนอกก่อน อย่ารบกวนซือฟุ”

โม่เทียนเกอกำลังจะพูดอะไร กลับได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งเสียงอย่างกะทันหันว่า “ไม่ เทียนเกอ เจ้าเข้ามา”

โม่เทียนเกอสะดุ้ง เดินเข้าใกล้ “ซือฟุ?”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอชี้ฉินซี กล่าวว่า “เขาขณะนี้พลังวิญญาณในร่างสับสน ชีพจรปราณและตานเถียนล้วนเจ็บหนัก ถึงข้าจะใช้โอสถและพลังวิญญาณกดอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้ แต่ยากมากที่จะจัดระเบียบให้พลังวิญญาณของเขา ชีพจรปราณและตานเถียนของเขาบาดเจ็บหนักเกินไป ใช้พลังหนักเกินไปสักครั้งก็จะยิ่งซ้ำเติมอาการบาดเจ็บ มีเพียงพลังวิญญาณหยินของเจ้าดึงดูดซึ่งกันและกัน อีกทั้งมีคุณสมบัติอ่อนโยน จึงสามารถลองดูได้”

ได้ยินเช่นนี้แล้ว โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “ซือฟุ……”

“อย่าชักช้า!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอสีหน้าเคร่งขรึม ตะโกนว่า “เร็ว ใช้พลังวิญญาณของเจ้าเข้าสู่ชีพจรปราณของเขา ค่อย ๆ บำรุง ชักนำพลังวิญญาณของเขากลับสู่ชีพจรปราณ อย่ากังวล ข้าจะชี้แนะเจ้าว่าต้องทำอย่างไร!”

ไม่มีเวลาอธิบายโดยละเอียด ประมุขเต๋าจิ้งเหอยกตัวฉินซีขึ้น สั่งโม่เทียนเกอให้วางฝ่ามือลงบนจุดหลิงไถด้านหลังเขา ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป

โม่เทียนเกอทำตามสั่ง ค่อย ๆ ถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนเองเข้าไป แต่กลับตัวสั่นสะท้านทั้งร่าง

พลังวิญญาณในตัวของฉินซีหลุดจากการควบคุมโดยสิ้นเชิง! พลังวิญญาณของผู้ฝึกตนโดยทั่วไปแล้วจะถูกควบคุมอยู่ในชีพจรปราณ พวกมันไหลเวียนอยู่ระหว่างชีพจรปราณ สุดท้ายรวมตัวที่ตานเถียนเหมือนกับโลหิต ทว่าพลังวิญญาณในร่างของฉินซีขณะนี้แตกกระจายไปทั่ว ไม่ได้ถูกกักไว้ในชีพจรปราณเลย

สถานการณ์เช่นนี้ค่อนข้างอันตราย ผู้ฝึกตนฝึกเป็นเซียน สิ่งที่ฝึกคือชีพจรปราณแล้วก็กายเนื้อ แต่ล้วนเน้นหนักที่ชีพจรปราณปล่อยปละกายเนื้อโดยตลอด กายเนื้อถึงจะเต็มไปด้วยพลังวิญญาณแต่ไม่อาจทนรับพลังวิญญาณที่หนาแน่นอย่างในชีพจรปราณ โดยเฉพาะระดับการฝึกตนยิ่งสูง สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งร้ายแรง!

ฉินซีขณะนี้เป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดตานขั้นสูงสุดแล้ว ความหนาแน่นของพลังวิญญาณในร่างของเขามิอาจดูเบา ขณะนี้พลังวิญญาณเหล่านี้ปั่นป่วนอยู่ในร่างของเขา พลังอำนาจนั้นทำให้ในร่างของเขาเกิดอาการบาดเจ็บภายในแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเขาฝึกวิชากายาพิสุทธิ์ ขณะนี้เกรงว่าจะตายไปครึ่งตัวแล้ว

พลังวิญญาณของโม่เทียนเกอเข้าสู่ภายในร่างของเขาแต่เป็นการถมดินลงทะเล ไร้ร่องรอยให้เสาะหา ไม่มีทางชักนำเลย

ความแตกต่างของระดับการฝึกตนของพวกเขากว้างใหญ่เกินไป

“ซือฟุ……” นางกำลังจะถามอะไรหน่อย แต่แล้วก็พบทันทีว่าพลังวิญญาณของตนเองก็หลุดจากการควบคุมแล้ว ถูกพลังชนิดหนึ่งชักนำโถมเข้าไปในร่างของฉินซี

…………………………………….

ตอนที่ 253 – รู้แต่แรกแล้ว

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท