ตอนที่ 278 – แยกทางใครทางมัน
หลังฉินซีและโม่เทียนเกอไป ในป่าเงียบสงัด
เหลยตงชิงลูบศีรษะล้านเลี่ยน จ้องไปทางพรตเต๋าคูมู่ “ฉินโส่วจิ้งนี่เป็นไรไปแล้ว แต่ก่อนเขาไม่เคยจิตใจดีขนาดนี้เลย”
เฟิ่งเหนียงจื่อหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง เอ่ยว่า “เกรงว่าในใจเขาจะมีความคิดแอบแฝงอะไรต่อซือเม่ยผู้นี่น่ะสิ ดูไม่ออกจริง ๆ เขาฉินโส่วจิ้งก็มีวันนี้!”
“หญิงแซ่เฟิ่ง!” เหลยตงชิงหยีตามองนาง “ตัวเจ้าล่อลวงไม่สำเร็จดังนั้นไม่พอใจใช่หรือเปล่า”
เฟิ่งเหนียงจื่อยังคงยิ้มเย็น “ถึงเขาฉินโส่วจิ้งจะพรสวรรค์สุดยอดรูปลักษณ์หล่อเหลาไร้ที่เปรียบแล้วจะทำไมกับข้าเล่า”
“ในใจเจ้าไม่อิจฉาสักนิดหรือ” เหลยตงชิงช่างไม่รู้จักความเป็นความตาย ยังจะถาม
เฟิ่งเหนียงจื่อรำคาญแล้ว “ตาเฒ่าเหลย ไสหัวไปข้าง ๆ เลย มารดามิได้น่าเบื่อเพียงนี้!”
พวกเขาสองคนเอะอะวุ่นวายอยู่ตรงนี้ อีกสามคนล้วนไม่พูดจา
ผ่านไปครู่ใหญ่ พรตเต๋าคูมู่จึงได้ครุ่นคิดในใจเรียบร้อย มองไปทางจิ่งสิงจื่อ “ไม่รู้ว่าสหายเต๋าจิ่งมีความเห็นอะไร”
จิ่งสิงจื่อหน้าตาครุ่นคิดมาตลอด ขณะนี้ส่ายหน้า “จิตใจของฉินโส่วจิ้ง ข้าเดาไม่ถูก ในเมื่อเขาไม่เต็มใจจะยอมรับก็ได้แต่เป็นเช่นนี้แล้ว”
พรตเต๋าคูมู่และถงเทียนอวิ้นสบตากัน ในใจล้วนหดหู่มิรู้แล้ว ความสามารถของฉินโส่วจิ้งพวกเขาล้วนทราบกระจ่าง ในปีนั้นเป็นคนที่ระดับการฝึกตนแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาแล้ว อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย ก่อเกิดตานเต็มขั้นเทียบกับก่อเกิดตานขั้นกลางแกร่งกว่ามาก พวกเขาที่เชื้อเชิญฉินโส่วจิ้งที่จริงในใจล้วนประหม่า ใครก็ไม่ทราบว่าเขาตอนนี้แข็งแกร่งไปถึงระดับไหนแล้ว เที่ยงคืนครั้งที่แล้วเห็นเขากับจิ่งสิงจื่อประมือกัน เคยแอบถามจิ่งสิงจื่อลับ ๆ จิ่งสิงจื่อกลับไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่ดูสีหน้าของเขาแยกออกอย่างชัดเจนว่าเกรงกลัวฉินโส่วจิ้งอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้ฉินโส่วจิ้งไปแล้ว ความแข็งแกร่งของกลุ่มเล็ก ๆ ของพวกเขาได้รับผลกระทบมาก ด่านในภายหลังก็ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านแล้ว
ถงเทียนอวิ้นทราบความคิดของพรตเต๋าคูมู่ ส่งเสียงลับต่ำ ๆ ว่า “เขาไปก็ดี ไม่เช่นนั้นพวกเรายังต้องระวังเขา”
พรตเต๋าคูมู่พยักหน้าอย่างลับ ๆ เป็นเช่นนี้จริง ๆ ฉินโส่วจิ้งย่อมเป็นตัวช่วยชิ้นใหญ่ แต่หากเขาทรยศก็ย่ำแย่แล้ว
พรตเต๋าคูมู่กระแอม ส่งเสียงดัง ๆ ว่า “ทุกท่าน ในเมื่อสหายเต๋าทั้งสองมีความเห็นเป็นอื่น พวกเราก็ไม่ควรฝืนใจ หนทางข้างหน้ามีแค่พวกเราห้าคนเดินไปด้วยกันแล้ว”
“อันนี้พวกเราล้วนทราบแล้ว” เหลยตงชิงเม้มปาก “ไม่มีหนทางอื่นแล้ว พรตเฒ่า พวกเรายังคงหาสถานที่พักผ่อนก่อนเถอะ คนน้อยแล้ว แล้วยังบาดเจ็บกันหมด”
ในพวกเขา ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คือเฟิ่งเหนียงจื่อคนเดียวเท่านั้น คำพูดนี้ย่อมคิดเผื่อเฟิ่งเหนียงจื่อ
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว สีหน้าเฟิ่งเหนียงจื่อดีขึ้นมาหน่อย มองไปทางพรตเต๋าคูมู่ด้วย
ในแววตาพรตเต๋าคูมู่มีความลังเลแวบผ่าน ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “ก็ได้ พวกเราออกไปให้เร็วที่สุด หาสถานที่ปลอดภัยพักผ่อน” ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ความแข็งแกร่งแย่ลงไปหน่อยแล้ว เฟิ่งเหนียงจื่อ…..ยังไม่สามารถขาดไปได้
ออกจากป่า ฉินซีล้วงเมฆบินออกมา อุ้มโม่เทียนเกอบินเรียดพื้น หนีออกไปหลายร้อยลี้ในรวดเดียวแล้วโม่เทียนเกอจึงได้ขยับ เงยหน้าขึ้นมา “ไม่เป็นไรแล้วหรือ”
ฉินซีหยุดเมฆบิน ปล่อยตัวนาง ใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปรับลมหายใจก่อน ผ่านไปสักครู่ พลังวิญญาณของเจ้าก็จะราบรื่น”
“อืม….”
โม่เทียนเกอมองดู สถานที่ซึ่งพวกเขาอยู่ในขณะนี้เป็นพื้นหญ้าราบเรียบ สิ่งที่หาได้ยากคือที่นี่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีปราณปีศาจเลย ดังนั้นวัชพืชงอกงามยิ่ง เขียวชอุ่ม เป็นสีสันปกติ
เลือกพื้นที่สุ่ม ๆ นั่งลง ขัดสมาธินั่งสมาธิ
ยาแปดเซียนความจริงแล้วเป็นโอสถที่ช่วยเหลือในการฝึกตนประเภทหนึ่ง ใช้หญ้าวิญญาณหายากแปดชนิดหลอมจนสำเร็จ ตอนที่ใช้ พลังวิญญาณคล้ายจะปั่นป่วน อันที่จริงแล้วสาเหตุคือพลังยาของตัวโอสถพุ่งจู่โจมชีพจรปราณ เพียงต้องนั่งสมาธิปรับลมหายใจดี ๆ สักพัก พลังยาก็จะราบรื่นไปเอง
โม่เทียนเกอเพิ่งจะกินยาแปดเซียน แล้วพวกเขาก็เอาเลือดจากซากศพของอสูรลมกำเนิดก่อนหน้านี้มาป้ายมั่ว ๆ ดูแล้วคล้ายกับเจออสูรร้ายโจมตีมาก หากดูให้ละเอียจะดูออกได้ง่ายดายมาว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างแท้จริงเลย แต่บุรุษสตรีมีข้อแตกต่าง อีกทั้งมีฉินซีอยู่ พวกคูมู่สองคนย่อมไม่ดูละเอียด
โม่เทียนเกอเริ่มปรับลมหายใจ ฉินซียกมือเรียกกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมา ยกมือขึ้น ตัวกระบี่กลายเป็นแสงกระบี่สีแดงนับพัน หมุนวนล้อมรอบสองคน กลายเป็นม่านพลังกระบี่รอบตัวทั้งสองคน
ตอนที่โม่เทียนเกอปรับลมหายใจแล้วเสร็จ พอลืมตาก็เห็นแสงกระบี่อันงดงามไร้ที่เปรียบนี้ ในใจแอบชื่นชม ไม่น่าเล่าผู้ฝึกกระบี่จึงมากขนาดนี้ ไม่เพียงวิชาต่อสู้กล้าแกร่ง กระบวนท่ากระบี่ก็สวยงามยิ่งกว่าวิชาอื่น ๆ อยู่บ้างเสมอเลย
พอเห็นว่านางปรับลมหายใจเสร็จแล้ว ฉินซีที่นั่งทำสมาธิอยู่ข้าง ๆ ด้วยกันก็ลืมตาขึ้นมา “ดีแล้วหรือ”
“อืม” นางละลายพลังยาของยาแปดเซียนจนหมดสิ้นแล้ว ในชีพจรปราณราบรื่นไร้ที่เปรียบ
ฉินซีลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นก็ไปเถิด”
โม่เทียนเกอลุกขึ้นเงียบ ๆ แล้วตามไป
ฉินซีทราบเส้นทางของคูมู่และพวกเป็นอย่างดี จงใจหลีกเลี่ยงแล้วเลือกทิศทางอื่น
“ในเมื่อไม่ร่วมทางกับพวกเขา พวกเรามิสู้เดินทางลัดเถอะ”
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ซือเกอ ในเมื่อพวกเราสามารถเดินทางลัด เหตุใดเริ่มแรกยังต้องร่วมทางกับพวกเขาเล่า”
ฉินซีไม่พูดไม่จาอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพัก เอ่ยว่า “บนเส้นทางนั้นมีหญ้าวิญญาณอย่างหนึ่งงอกอยู่ เป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมยาฟ้ากระจ่าง”
“……..”
หยุดไปพักหนึ่ง เขากล่าวต่อขึ้นมาอีกว่า “แปดสิบกว่าปีก่อน ข้าเข้าภูเขามารด้วยกันกับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือว่านิสัยใจคอล้วนยังไปได้ด้วยดี อีกอย่าง ปีนั้นบิดาเจ้ากับพวกเขาก็มีมิตรภาพต่อกัน คิดว่าเจ้าก็เต็มใจจะพบสหายเก่าของเขา”
“………”
ปัจจุบันนี้เขาก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว ไม่ว่ายาฟ้ากระจ่างจะมีประสิทธิภาพแกร่งกล้าอีกสักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา คิดว่าเหตุผลที่สองจึงเป็นสาเหตุ
โม่เทียนเกอก้มหน้าไม่พูดอีก นางไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่มันทำให้นางหวาดกลัวจริง ๆ ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนเสวียนชิงด้วยกันกับเขา เรื่องราวเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ฉากเหตุการณ์เหล่านี้ที่อยู่ร่วมกัน นางถึงขนาดอดกังขาเรื่องที่ตนเองเคยเชื่อมั่นมิได้ รับรู้อย่างเหม่อลอยว่านี่คือฉินซือเกอของปีนั้น
มีบางเรื่องเขาไม่จำเป็นต้องทำเลยแต่ก็ทำไปแล้ว นอกจากคิดเผื่อนางก็ไม่มีเหตุผลอื่นใด หรือว่าความเข้าใจแต่ดั้งเดิมของนางผิดไปแล้ว ไม่ใช่ว่าฉินซีคือฉินโส่วจิ้ง ทว่าฉินโส่วจิ้งคือฉินซี?
“ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้อีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” เขาถอนหายใจเบา ๆ กระวนกระวายอย่างยิ่ง “ครั้งนี้ไม่พูดถึงคนอื่น คูมู่กับตาเฒ่าถงสองคนมีจิตใจเป็นอื่นอย่างชัดเจน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรายังคงอย่าไปร่วมทางกับพวกเขาจึงจะดี ให้ดีที่สุดต่อไปก็ไม่ต้องไปพบเจอกันอีกแล้ว”
โม่เทียนเกอตอบรับคำหนึ่ง ก้มหน้าก้มตา จิตใจไม่อยู่กับตัว
ฉินซีพบเห็น หันหน้ามาจับจ้องนาง “เจ้าคิดอะไรอยู่”
“เอ๊ะ?” โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา ปั่นป่วนไปพักหนึ่ง “ไม่ ไม่มี…..”
ฉินซีมองนางพักใหญ่แล้วหันหน้ากลับไป “ตั้งสติหน่อย มีแค่พวกเราสองคน ไม่สามารถแบ่งแยกจิตใจได้”
“ทราบแล้ว” ก่อนออกเดินทาง นางไม่พอใจที่ฉินซีละเลยการคงอยู่ของนาง ขณะนี้เข้าภูเขามารแล้ว หากไม่อยากจะถูกเขาดูเบายิ่งควรจะระมัดระวังรอบคอบ โม่เทียนเกอสูดลมหายใจลึก ๆ โยนความคิดวุ่นวายทิ้งไป เดินตามไปเร็ว ๆ
เดินไประยะทางหนึ่ง ฉินซีหยุดลงกะทันหัน เอียงหูเงี่ยฟังเหมือนกับใช้จิตหยั่งรู้สังเกตดูอะไร ผ่านไปพักหนึ่ง เขาเอ่ยว่า “วิชาซ่อนลมหายใจของเจ้าเป็นอย่างไร”
วิชาซ่อนลมหายใจหรือ โม่เทียนเกอไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ถึงวิชาซ่อนลมหายใจของนางจะพื้น ๆ มีป้ายซ่อนวิญญาณอยู่บนตัวปลอมเป็นปุถุชนยังไม่เป็นปัญหา ขณะนี้เก็บงำศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิด เก็บงำลมหายใจ ถามว่า “อย่างนี้ได้หรือยัง”
ในแววตาฉินซีมีความประหลาดใจวูบผ่าน “เจ้าใช้วิชาซ่อนลมหายใจอะไร มหัศจรรย์ขนาดนี้เชียวหรือ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “วิชาซ่อนลมหายใจของข้าที่จริงแล้วธรรมดา นี่ยังต้องขอบคุณป้ายซ่อนวิญญาณของซือเกอมาก ปีนั้นตอนที่พบกับบรรพบุรุษ บรรพบุรุษชำระใหม่ให้อีกรอบ ด้วยของสิ่งนี้สามารถซ่อนลมหายใจได้ทั้งหมด”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” อธิบายออกมาอย่างนี้ ฉินซีค่อยโล่งใจ ผ่านการชำระของผู้อาวุโสแปลงเทพย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาหลอมสร้างมากมาย
โม่เทียนเกอลังเลชั่วขณะ อ้าปากถามว่า “ซือเกอ หากเก็บงำลมหายใจทั้งหมด เช่นนั้นแม้แต่พลังวิญญาณคุ้มครองกายยังไม่สามารถปล่อยออกมาได้ เจอกับกำแพงอาคมล่องลอยจะทำอย่างไร”
ฉินซีไม่ได้ตอบทันที ทว่าโบกแขน เก็บม่านแสงที่กลายรูปมาจากกระบี่อัคนีสามพลังหยางซึ่งคุ้มครองอยู่ตรงหน้าพวกเขามาตลอดกลับมา จากนั้นใช้ศาสตร์เวท ผ่านไปครู่หนึ่งก็เป็นเหมือนกับนาง บนร่างไม่หลงเหลือพลังวิญญาณใด ๆ
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เขาหยิบเครื่องรางออกมาอีกสองแผ่น ยื่นให้นางแผ่นหนึ่ง “นี่คือเครื่องรางแปลงวิญญาณ จะสร้างเขตอาคมอันหนึ่งขึ้นรอบตัว คนนอกสัมผัสไม่ได้ แต่สามารถหยุดกำแพงอาคมเหล่านั้น”
โม่เทียนเกอรับมา พยักหน้า แล้วก็แปะไว้บนตัวตามที่เขาบอก
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว ฉินซีจึงเอ่ยว่า “ข้างหน้ามีคนกำลังต่อสู้ ระดับการฝึกตนของพวกเขามีเพียงระดับสร้างฐานพลัง แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องมากความ อ้อมไปก็พอ”
“อืม” โม่เทียนเกอไม่มีคำคัดค้านต่อเรื่องนี้ พวกเขามีจุดหมายของตนเอง ไม่คุ้มค่าที่จะถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้งเพื่อสมบัติรอบนอกพวกนี้ ตอนนี้เป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ไม่แน่ว่ารอตอนหลังจะมีเซียนฝึกตนก่อเกิดตานเดินทางผ่าน หากสอดมือ ภายหลังจะต้องเก็บกวาดได้ไม่หมดจด
ทั้งสองคนทำทุกสิ่งนี้แล้วก็กลายเป็นแสงหลบหนี เดินไปข้างหน้าต่อไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ผ่านไปพักหนึ่งจิตหยั่งรู้ของโม่เทียนเกอก็สัมผัสได้แล้ว ในที่ไกล ๆ มีความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณ มีคนสองกลุ่มต่อสู้กัน
ในภูเขามาร นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถึงในเขาจะมีสมบัติลับมากมาย แต่ทุกแห่งหนล้วนอันตราย ผู้ฝึกตนต่ำกว่าจิตวิญญาณใหม่ไม่กล้าเข้าไปลึกจนเกินไป ได้แต่เสี่ยงโชคอยู่รอบนอก หากโชคดีเห็นสมบัติอะไรก็จะเป็นอย่างอาวุธเวทรูปร่างเรือนั้นที่พวกเขาเห็น จะก่อให้เกิดการแย่งชิงของคนมากมาย
ดังนั้นในภูเขามารนี้ ไม่เพียงแต่ต้องป้องกันกำแพงอาคมที่หลงเหลือ ยังต้องป้องกันอสูรร้ายและพิษ ยิ่งต้องป้องกันการลอบโจมตีของผู้ฝึกตนคนอื่น คำนวณกันอย่างนี้แล้ว ผู้ฝึกตนที่ตายในนี้เกินครึ่งล้วนตายจากน้ำมือพวกเดียวกัน
ตอนที่กำลังจะอ้อมผ่านไปเงียบ ๆ จู่ ๆ โม่เทียนเกอหยุดชะงักลง
ผู้ที่กำลังต่อสู้กับคือคนสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มหกคน หนึ่งกลุ่มห้าคน กลุ่มหกคนเป็นบุรุษสี่สตรีสอง ระดับการฝึกตนส่วนมากเป็นสร้างฐานพลังขั้นต้น ในนี้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเป็นสร้างฐานพลังขั้นกลาง ถึงพวกเขาจะมีคนมากกว่าศัตรูอยู่หนึ่งคน แต่กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน เพราะว่าศัตรูห้าคนนั้น สี่คนเป็นสร้างฐานพลังขั้นกลาง มีเพียงหนึ่งคนเป็นสร้างฐานพลังขั้นต้น
ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด อุปกรณ์เวทควักออกมาหมดสิ้น วิชาเวทลอยเต็มฟ้า
ที่ใกล้ ๆ กับพวกเขา โม่เทียนเกอเห็นหญ้าวิญญาณหนึ่งต้น หน้าตาประมาณพันปี ถึงพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่กลับระมัดระวังหลบเลี่ยงหญ้าวิญญาณต้นนั้น ดูท่าพวกเขาจะแย่งชิงหญ้าวิญญาณนี้
ฉินซีเห็นนางหยุดนิ่งไม่ขยับ หันศีรษะมาถามว่า “ทำไมหรือ”
โม่เทียนเกอมองคนในสนามรบไม่ละสายตา เอ่ยว่า “ท่านดูพวกเขา”
………………………….
เฟิ่งเหนียงจื่อกับเหลยตงชิงตอนแรก ๆ ยังไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้เริ่มอยากชิปเบา ๆ เจ๊แกก็เป็นคนดีพอสมควรเลยนะเนี่ย ถึงตอนแรกจะอยากวางยาพิษโม่เทียนเกอก็เถอะ
ส่วนพี่ฉินซี สรุปว่าพี่มาภูเขามารเพื่อพาน้องทัวร์ล้วน ๆ เลยสินะคะ…….
ตอนที่ 279 – สหายเก่า
คนรู้จักแหละ เดาได้ไหมเอ่ย