ตอนที่ 286 – ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
หลังจากถูกบังคับให้ตกลง โม่เทียนเกอพบว่าคนที่เมื่อครู่ยังครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ ๆ ก็มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมขึ้นมา
ถ้ำภูเขานี้แคบเล็กเกินไปจริง ๆ นอนก็ยังนอนไม่ได้ เขาจึงหยิบกระบี่บินออกมาตัดผนังหินแผ่นใหญ่ลงมา อย่างนี้ให้คนสองคนลุกขึ้นนอนลงได้
โม่เทียนเกอมองจนปากอ้าตาค้าง
ฉินซีเอาหินที่ตัดออกใส่ไว้ในกระเป๋าเอกภพ แล้วก็พบเห็นสายตาของนาง “ทำไมหรือ”
“ที่แท้หินพวกนี้ก็สามารถตัดออกได้รึ?!”
เขาแตะจมูก หลบเลี่ยงสายตาของนาง “อันนี้….วัสดุอันนี้ถึงจะค่อนข้างพิเศษ แต่กระบี่ของข้าก็ไม่ใข่กระบี่สามัญ…..”
“เช่นนั้นเพราะอะไรเมื่อวานไม่ทำ?!” คนสองคนเบียดกันอยู่ที่เล็ก ๆ ขนาดนี้ ขยับก็ขยับไม่ได้ จึงถูกเขาเอาเปรียบไปมากมาย!
“ไม่จำเป็นนี่!” ฉินซีสีหน้าบริสุทธิ์ “เพียงพักอยู่ชั่วครู่จำเป็นจะต้องเปิดถ้ำพำนักหรือ ตอนนี้คือพวกเราสองคนล้วนบาดเจ็บ จำเป็นต้องอยู่ที่นี่พักฟื้นหลายวัน ดังนั้นก็เลยคิดจะให้สะดวกสบายหน่อย”
“……” โม่เทียนเกอกลืนความโกรธกลับลงไป “ท่านสาบานนะว่าท่านไม่ได้จงใจ”
“ย่อมมิใช่” เขาพูดอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม “เจ้าคิดดู ปีนั้นข้ากับบิดาเจ้าบุรุษตัวโตสองคนเบียดกันอยู่ที่นี่ยังไม่สิ้นเปลืองแรงกายนี้เลย เดิมทีก้อนหินพวกนี้ในภูเขามารก็มิใช่สิ่งของสามัญ เจ้าดูสิข้าตัดลงมาแล้วยังเตรียมที่จะแบกออกไปด้วยนะ สิ่งของนี้อย่างน้อยก็สามารถหลอมอาวุธได้!”
“……” ทำไมนางรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนะ รู้สึกอยู่ตลอดว่าตนเองคล้ายจะถูกคนหลอกลวง
“เอาเถอะ อย่าคิดมากเลย” ฉินซีพูด “รีบเก็บสิ่งของของเจ้าเข้าเถอะ นิสัยชอบทุบคนนี่ต้องเปลี่ยนนะ” หรือว่านางจะเก็บกดนานเกินไป อยากจะระบายอารมณ์ก็ตบหน้าเขาสองทีก็พอ ทำไมชอบทุบคน
“…..ท่านเรียกร้องมากจริง ๆ!”
“ข้าก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง….” พูดไปได้ครึ่งเดียวก็เปลี่ยนเรื่อง “โอสถของเจ้ามีมากจริง”
หยิบขึ้นมา เกินครึ่งล้วนเป็นขวดหยก เปิดออกมาดมล้วนเป็นโอสถ เพียงแค่ว่าเขารู้สึกไม่ถูกต้องมาตลอด คุณภาพของโอสถพวกนี้ดีเกินไป ด้วยวิชาหลอมยาของเขาถึงกับรู้สึกว่าตนเองหลอมออกมาไม่ได้ แล้วเขาก็คิดถึงโอสถนั้นที่เยี่ยเจินจีป้อนให้เสี่ยวหั่วกินในตอนเริ่มแรก
เพิ่งจะคิดอยู่ โอสถในมือก็ถูกโม่เทียนเกอฉวยไปทันที ปิดจุกขวด เก็บใส่กระเป๋าเอกภพ
นางไม่พูด เขาก็ไม่ถาม เป็นไปไม่ได้ที่ระหว่างคนสองคนจะไม่มีความลับเลยสักนิดเดียว อย่าว่าแต่พวกเขายังไม่ได้มีความสัมพันธ์ประเภทนั้น
เก็บสิ่งของไปเงียบ ๆ เก็บสิ่งของ…..
ผ่านไปพักหนึ่ง คนแรกที่ทำลายความเงียบคือโม่เทียนเกอ
จู่ ๆ นางถามว่า “เพราะอะไรทัศนคติของท่านวันนี้เปลี่ยนขึ้นมากะทันหัน ท่านมิใช่พูดว่าท่านรู้สึกว่าความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านไม่มีแล้วหรอกหรือ”
ได้ยินคำพูดนี้ ฉินซีเพียงแค่ยิ้ม
โม่เทียนเกอถูกเขายิ้มจนยิ่งมายิ่งอยากรู้ อดจ้องเขาไม่ได้ “พูดเร็ว!”
“บอกเจ้าก็มิใช่ว่าจะไม่ได้…..” เขากลั้นยิ้ม
เพียงพูดครึ่งเดียวแล้วหยุด โม่เทียนเกอทนไม่ไหวกระโจนเข้าไปหยิกเขา “อย่าอมพะนำสิ พูด!”
“ได้ ๆๆ ข้าพูดแล้ว!” เขากอดนางไว้อย่างง่ายดาย ยิ้มพลางพูดพลางว่า “เจ้า….เจ้าต้องไม่รู้แน่ ๆ ว่าเจ้าละเมอ”
โม่เทียนเกอตะลึง “ละเมอหรือ”
“อืม”
ละเมอ? ผู้ฝึกตนนอนหลับน้อยมาก อีกทั้งเวลาชั่วครั้งชั่วคราวที่นอนหลับข้างกายก็จะไม่มีคน นางไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย คิดถึงตรงนี้ นางประหม่าอยู่บ้าง “ข้าพูดอะไร”
ฉินซียังคงเม้มปากยิ้ม ก้มหน้าลงแตะริมฝีปากนาง แต่กลับเอ่ยว่า “อันนี้ ข้าจะไม่พูดแล้ว”
“พูดเร็ว!” รู้ชัด ๆ ว่านางพูดอะไรกลับไม่บอกนาง ความรู้สึกเช่นนี้อึดอัดเกินไปแล้ว หรือว่าจะพูดอะไรที่….น่าขนลุกมากเลย
“ไม่พูด” เขาท่าทางหนักแน่นว่าจะไม่เปิดปาก
“พูดไม่พูด?”
“ไม่พูดก็คือไม่พูด!”
“พูดเร็ว!”
“แค่ก ถ้าหากตอนนี้เจ้ายอมเข้าอ้อมกอดข้า ข้าสามารถใคร่ครวญดูหน่อย”
เงียบไปเลย ในถ้ำหินเล็ก ๆ เริ่มมีสิ่งของบินว่อนอีกแล้ว “ไปตายซะ!”
ก่อกวนกันมาครึ่งค่อนวันยังคงง้างปากเขาไม่ออก สิ่งของโยนกระจายอีกแล้ว อีกทั้งปากแผลของเขาก็ฉีกอีกแล้ว
ไม่มีหนทาง หยุดลงพันแผลให้เขาใหม่ ทั้งสองคนนั่งยอง ๆ เก็บสิ่งของต่อไป
ทันใดนั้น ฉินซีตะลึงไป หยิบก้อนหินที่ขนาดเท่ากำปั้นเด็กหนึ่งก้อน นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นหินแร่ ทั้งก้อนเป็นสีขาว บนผิวกลับมีรอยแตกตามธรรมชาติมากมาย ดูแล้วไม่ต่างการก้อนหินทั่วไปเลย
เขามองดูครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็กางมือขวา ใจกลางฝ่ามือจุดเปลวเพลิงขึ้นมา เปลวเพลิงเหล่านี้โอบล้อมหินแร่เอาไว้
“ทำอะไร” โม่เทียนเกอถูกเขาทำให้ตระหนกจนสะดุ้ง
ฉินซีส่ายหน้า ไม่พูดจา เพียงมองดูหินแร่ที่ใจกลางฝ่ามืออย่างจดจ่อ
ผ่านไปพักหนึ่ง หินแร่ก้อนนี้สุดท้ายก็เกิดความเปลี่ยนแปลง รอยแตกบนผิวถึงกับเปลี่ยนเป็นลายเมฆ!
สีหน้าโม่เทียนเกอแปรเปลี่ยนไปแล้ว
เปลวเพลิงที่ใจกลางฝ่ามือฉินซีพอดับลงก็ยื่นหินแร่ให้นาง “ศิลาเมฆานิ่ง เจ้าได้มาจากที่ไหน”
“ศิลาเมฆานิ่ง?” โม่เทียนเกอรับมา มึนไปเลย “นี่ก็คือศิลาเมฆานิ่ง?!”
“ใช่ น่าจะไม่ได้จำผิด” ฉินซีก็รู้สึกพิลึกอยู่บ้าง “พวกเราเสาะหากันมานานขนาดนี้ล้วนมิได้เห็น อันนี้มาจากไหน”
“นี่คือ…..” โม่เทียนเกอเกาศีรษะ นี่คือสิ่งที่ได้รับมาหลังจากแบ่งสมบัติกับพรตเต๋าฟางเจิ้งในถ้ำพำนักจื่อเวย ถึงกับเป็นศิลาเมฆานิ่งอันได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบเห็นมาโดยตลอดหรอกหรือ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ อาวุธเวทคู่ชีพของนางไยมิใช่มีความหวังแล้วหรือ ศิลาเมฆานิ่งหาพบแล้ว แร่อวี้สุ่ยพันปีไม่ได้หายากจนเกินไปเลย พวกเขาเพียงต้องหาถั่วหอมสวรรค์ที่ภูเขามารก็จะสามารถแลกเปลี่ยนแร่อวี้สุ่ยกับคนอื่น
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้รับจากการออกจากโรงเรียนท่องเที่ยวครั้งที่แล้ว….” นางค่อย ๆ เล่าเรื่องของถ้ำพำนักจื่อเวย รวมทั้งเรื่องรอยประทับที่นักเดินทางจื่อเวยทิ้งเอาไว้ในห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนางกับพรตเต๋าฟางเจิ้ง เรียกร้องให้พวกเขาเสาะหาซากสังขารของเสี่ยวจื่อหลานและฝังไว้ร่วมกันภายในสองร้อยปีจึงจะช่วยพวกเขากำจัดมัน
เรื่องราวนี้นางไม่ได้เก็บไปใส่ใจจนเกินไป เพราะว่ากำลังของนางยังไม่เพียงพอ เรื่องที่นักเดินทางจื่อเวยฝากฝังขณะนี้ยังทำไม่ได้
ฉินซีฟังแล้วสีหน้าเคร่งขรึม “พูดเช่นนี้ ในสมองของเจ้าตอนนี้มีรอยประทับอยู่อัน สองร้อยปีให้หลังจะเกิดเรื่องหรือ”
โม่เทียนเกอคิดดู เอ่ยว่า “ผ่านมาสี่สิบเก้าปีแล้ว น่าจะเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดปีให้หลัง”
เขาพยักหน้า ไม่พูดจา ก้มหน้าครุ่นคิด
โม่เทียนเกอเล่นกับศิลาเมฆานิ่งในมือ เอ่ยว่า “ยังมีหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดปีนะ ไม่พูดถึงผูกจิตวิญญาณ อย่างน้อยที่สุดข้าก็สามารถไปถึงก่อเกิดตานขั้นปลายรึเปล่า ถึงเวลาค่อยไปก็จะได้แน่นอนหน่อย”
ฉินซีกลับส่ายหน้า ดึงมือของนาง เอ่ยว่า “ในสมองมีรอยประทับถึงที่สุดแล้วมิใช่เรื่องดี รอให้พวกเรากลับไปก็ให้ซือฟุดูว่าจะแก้ได้หรือไม่ หากไม่สำเร็จก็ต้องคิดหาหนทางทำเรื่องที่ฝากฝังอะไรนั่นให้สำเร็จ”
“…….ข้ามีแผนในใจอยู่แล้ว”
คำพูดนี้กลับเป็นการปฏิเสธความเห็นของเขาตรง ๆ ฉินซีเงียบไปครู่ใหญ่จึงได้ถอนหายใจกล่าวกับนางว่า “เทียนเกอ เจ้าจะไม่เห็นข้าเป็นคนนอกได้หรือไม่”
“ข้า…..เปล่านะ” ถ้าหากเป็นคนนอก คำพูดอย่างนี้นางไม่มีทางพูดหรอก
“เช่นนั้นเพราะอะไร….” เขาหยุดไป พยายามเลือกวิธีพูดที่เหมาะสม “ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ได้เชื่อใจข้านักเลย ต้องตัดสินใจเอาเองอยู่เสมอ ไม่เต็มใจฟังคำของข้า”
โม่เทียนเกอตะลึง หมุนตัวไปจัดระเบียบสิ่งของในถ้ำหินที่โยนทิ้งอื่น ๆ เงียบ ๆ รอจนสิ่งของทั้งหมดล้วนเก็บเข้ากระเป๋าเอกภพ นางจึงพูดว่า “ท่าน….. อาจบางทีท่านไม่ตระหนักเลยว่าท่านชอบเป็นผู้นำจนเกินไปแล้ว อยู่ข้างกายท่าน ข้า…..แทบจะไม่ต้องใช้ความคิดของตัวเอง เพียงต้องตามท่านไปก็พอ”
“…..” ฉินซีตะลึงงันอยู่บ้าง อันนี้…..เขาไม่ตระหนักเลยจริง ๆ
คิดอยู่ครู่ใหญ่ เขาพูดว่า “นี่มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ มีบางเรื่องที่เจ้าไม่ได้ทราบชัดขนาดนั้น ส่วนข้ารู้…..”
คำพูดเขายังพูดไม่จบก็ถูกโม่เทียนเกอหัวเราะเบา ๆ ขัด เสียงหัวเราะนี้ไม่ใช่เสียงหัวเราะผ่อนคลายแน่นอน ทว่าแบกความจนใจนิดหน่อยและกังวลนิดหน่อยเอาไว้
นางพยักหน้าพูดว่า “ที่ท่านพูดมาก็ถูก นี่เดิมทีไม่มีปัญหาอะไร ถ้าหากพวกเราเป็นเพียงสหาย ข้าจะรู้สึกว่าท่านเป็นสหายที่ดีที่สุด แต่ว่า ไม่ใช่มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ปัญหาพื้นฐานที่สุดระหว่างเราก็คือ ระดับการฝึกตนของท่านสูงกว่าข้าเยอะมาก ประสบการณ์ของท่านก็พรั่งพร้อมกว่าข้าเยอะมาก ข้ายังต้องเรียนรู้ว่าจะตอบสนองต่อเรื่องราวบางอย่างอย่างไร ส่วนท่านผ่านขั้นนตอนนั้นไปแล้ว…. แต่ว่าท่านได้คิดหรือไม่ว่า ถ้าอยู่ร่วมกับท่านเช่นนี้ ภายภาคหน้าข้ายังต้องเติบโตอีกหรือ เรื่องราวทุกอย่างล้วนมีท่านเป็นผู้นำ ข้าเล่า ข้าเพียงต้องตามท่านไปก็พอ นี่…..ก็คล้ายกับเป็นเตาหลอมเลยใช่หรือไม่”
เขางงงัน กล่าวว่า “เจ้า….ถึงจะอยู่ร่วมกับข้าก็สามารถเติบโต หากเรื่องที่พบเจอมากเข้า เจ้าย่อมจะรู้ว่าควรทำอย่างไร”
“ไม่ใช่ไม่สามารถ ทว่าไม่จำเป็น” นางพูดเงียบ ๆ “ท่านนึกว่าข้าเพียงไม่อยากถามออกจากปากหรือ ข้าไม่กล้า ไม่ว่าคำตอบของท่านเป็นอะไร ข้าล้วนไม่กล้า ก็อย่างตอนนี้ ท่านบอก ท่านบอกว่าในใจท่านมีข้า ข้ามีความสุขมาก แต่ว่า….ถึงจะเป็นเช่นนี้ ภายหลังจะเป็นอย่างไร หากอยู่ร่วมกัน มันไม่ใช่แค่…..เพียงปัญหาเรื่องความรู้สึก…..”
สีหน้าของเขาค่อย ๆ มืดครึ้ม ผ่านไปเนิ่นนาน เอ่ยเสียงเบาว่า “หรือว่า เจ้าอยากจะทิ้งข้าไปเพราะเหตุนี้หรือ”
ความเงียบแผ่ปกคลุมในถ้ำ โม่เทียนเกอก้มหน้า ไม่ยอมพูดจา
ท่าทีของนางทำให้เขายิ่งมายิ่งร้อนรนไม่เป็นสุข เขาดึงข้อมือของนาง กระซิบถามว่า “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร หลังจากเจ้าพูดคำพูดพวกนั้นแล้วยังจะให้ข้าปล่อยมือหรือ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าเบา ๆ “เปล่า ท่านให้ข้าคิดหน่อย ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ท่านให้ข้าคิดให้ชัดเจน…..”
ถึงจะไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ แต่เขากลับผิดหวัง นี่แสดงถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ความเป็นไปได้ที่เขากลัวที่สุด
ถ้าหากเมื่อครู่ไม่รู้จิตใจของนาง ตลอดมาเขาไม่เคยได้รับ ไม่รู้ความรู้สึกของสองใจร่วมผูกพันธ์ เขาก็อาจจะค่อย ๆ ลบเลือนจิตใจนี้ เดินไปบนมหามรรคาเซียน แต่ว่า แต่ว่า…..
“ไม่มีทาง” เขาพูดเสียงค่อย “อย่าทำเรื่องอย่างนี้”
“ข้ายังไม่ได้……”
“แต่เจ้าคิดเช่นนี้อยู่!” จู่ ๆ เขาก็เสียงดัง สายตาจ้องมองนางอย่างลึกล้ำ
“เช่นนั้นท่านจะให้ข้าทำอย่างไร” โม่เทียนเกอก็ขึ้นเสียงแล้ว “ข้ามิอาจไม่ทำอะไรทั้งนั้น!”
“ถึงจะเพียงติดตามข้างกายข้าแล้วอย่างไร หรือว่าข้าไม่มีทางปกป้องเจ้ารอบด้านหรือ เพราะอะไรต้องพึ่งตนเองเท่านั้น พวกเราก็เป็นอย่างนี้ ข้าสามารถช่วยเจ้า เจ้าก็สามารถฝึกตนไปตลอด ผูกจิตวิญญาณ หรือแม้แต่แปลงเทพ ไม่จำเป็นว่ามิอาจคาดหวัง!”
โม่เทียนเกอไม่พูดจา นางเงยหน้าขึ้น ใช้แววตามองคนแปลกหน้ามองเขา ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ความเงียบเช่นนี้ทำให้เขาโกรธเคือง แต่กลับยิ่งไม่สบายใจ ผ่านไปเนิ่นนาน เขายื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อนางเบา ๆ “เทียนเกอ เจ้าพูดหน่อยนะ ได้รึเปล่า”
นางยิ้มขึ้นมาในที่สุด แต่เป็นยิ้มที่เย็นชา ยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม การยิ้มเช่นนี้ทำให้เขากลัว
นางพูดว่า “ท่านไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นจริง ๆ”
……………………………..
พี่อยากดูแลน้อง แต่น้องบอกกูดูแลตัวเองได้จ้า เรื่องความรู้สึกน้องเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่ฉินมากมายนัก
ตอนที่ 287 – กฎสองข้อ