หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 288 – แผ่นดินไหวภูเขาสะเทือน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 288 – แผ่นดินไหวภูเขาสะเทือน

โม่เทียนเกอถือก้อนหินไว้ในมือมองอยู่นานมาก นี่ก็คือศิลาเมฆานิ่งที่ได้รับจากมือนักเดินทางจื่อเวยแล้วถูกนางลืมอยู่ในส่วนลึกของกระเป๋าเอกภพ

ศิลาเมฆานิ่งก้อนนี้ไม่ได้ใหญ่เลย เพียงขนาดเท่ากำปั้นเด็ก ฉินซีกลับพูดว่าศิลาเมฆานิ่งที่ใหญ่ขนาดนี้หายากมากแล้ว ศิลาเมฆานิ่งก้อนที่เขาเคยเห็นเล็กกว่าอีก

เอาเถิด นางไม่โลภ มีก็ดีมากแล้ว เพียงแต่ศิลาเมฆานิ่งที่เล็กขนาดนี้ตอนที่หลอมสร้างอาวุธเวทจะทำสูญเปล่าไม่ได้ มากที่สุดก็สามารถหลอมสร้างได้เพียงสองครั้ง ข้อเรียกร้องต่อทักษะหลอมอุปกรณ์สูงเกินไป

พรสวรรค์ในการหลอมอุปกรณ์ของนางไม่ค่อยเท่าไหร่จริง ๆ หลายปีนี้นางมิใช่ไม่ได้ฝึกฝน แต่ตอนนี้ก็เพียงแค่สามารถหลอมสร้างอุปกรณ์เวท อัตราความสำเร็จไม่สูงอีกต่างหาก เดิมทีในการหลอมสร้างอาวุธเวทนางเตรียมที่จะหาช่างหลอมอุปกรณ์ในโรงเรียน แต่ถ้ามีศิลาเมฆานิ่งเพียงสองส่วน นางแม้แต่ช่างหลอมอุปกรณ์ก็ยังไม่กล้าหาแล้ว

เรื่องอย่างการหลอมสร้างอาวุธเวทคู่ชีพเดิมทีก็ไม่อาจเทียบกับอาวุธเวทสามัญ อาวุธเวทคู่ชีพต้องสื่อใจถึงใจกับผู้ฝึกตน ดังนั้นในการหลอมสร้างอาวุธเวทผู้ฝึกตนคนนั้นจะต้องอยู่ด้วย เวลาใดที่จะเพิ่มเลือดสกัด จะเอาผลลัพธ์อะไร ต้องให้ช่างหลอมอุปกรณ์เข้าใจตัวผู้ฝึกตนและอาวุธเวทถึงสิบส่วนจึงจะได้

วิธีที่ดีที่สุดยังคงเป็นการที่นางหลอมสร้างด้วยตัวเอง แต่ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสิ้นเปลืองความพยายามและเวลาไปพัฒนาทักษะหลอมอุปกรณ์

“ยุ่งยากแท้……” นางพึมพำกับตัวเอง

“อะไรยุ่งยาก” ฉินซีที่กำลังนั่งสมาธิรักษาตัวอยู่ข้าง ๆ ลืมตาขึ้นมองนาง

โม่เทียนเกอถือศิลาเมฆานิ่งไว้ในมือ พูดว่า “มีวัสดุแล้ว แต่การหลอมสร้างขึ้นมากลับยุ่งยากมาก สิ่งของนั้นเป็นเพียงแค่อาวุธเวทที่ปี้สุยหยวนจวินจินตนาการออกมา ไม่เคยทดสอบเลยว่าจะทำสำเร็จได้หรือไม่ อีกอย่าง วัสดุน้อยขนาดนี้”

ฉินซีเอ่ยง่าย ๆ ว่า “ตนเองหลอมสร้างอาวุธเวทคู่ชีพถึงดี คนอื่นช่วยหลอมสร้างจะไม่ได้ดั่งใจอย่างที่ตนเองหลอมสร้างหรอก”

โม่เทียนเกอยิ้มขมพูดว่า “ทำได้ง่ายดายขนาดนั้นก็ดีสิ แต่ข้าไม่ค่อยเก่งการหลอมอุปกรณ์นัก”

“เรียนสิ ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น”

พอได้ยินประโยคประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงนี้แล้ว โม่เทียนเกอก็ถลึงตาใส่เขา “ท่านพูดเสียง่ายดาย แต่ไม่ใช่ว่าทุก ๆ คนล้วนจะมีพรสวรรค์ในการหลอมอุปกรณ์ดีขนาดนั้นนะ”

ฉินซีเลิกคิ้ว “ข้าเห็นว่าทักษะหลอมยาของเจ้าดีมาก หลอมอุปกรณ์หลอมยา หลักการเดียวกัน ว่าตามตรรกะทักษะหลอมอุปกรณ์น่าจะไม่ได้แย่กว่าสักแค่ไหน”

“มันไม่เหมือนกัน” ทักษะหลอมยาของนางเป็นการใช้หญ้าวิญญาณนับไม่ถ้วนกลั่นออกมา แต่ทักษะหลอมอุปกรณ์จะไปเอาวัสดุมากขนาดนั้นมาจากที่ไหน หากรับซื้อปริมาณมากก็จะดึงดูดสายตาผู้คนเกินไป

“เพราะอะไรถึงไม่เหมือน”

“……ภายหลังท่านก็รู้เอง”

ฉินซีก็ไม่ได้พูดมาก เพียงใช้สายตาที่ทำให้นางไม่สบายใจมากอย่างหนึ่งมองนาง

โม่เทียนเกอถูกเขามองจนครั่นเนื้อครั่นตัว “มองอะไร อาการบาดเจ็บของท่านหายแล้วหรือ”

ฉินซีหันหลังมา “อยากจะมาตรวจสอบหน่อยหรือไม่”

“ช่างเถอะ……” นางพึมพำ สำหรับผู้ฝึกตน อาการบาดเจ็บเช่นนี้ถึงจะดูน่ากลัว แต่ผ่านไปหลายวันก็จะหายดีจนแม้แต่แผลเป็นก็ไม่มี เห็นชัด ๆ ว่าเขาฉวยโอกาส……ทำอะไรอื่น

ฉินซีผิดหวังขนาดหนัก ยังคงถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ไม่อยากจริงหรือ”

โม่เทียนเกอกลอกตาใส่เขา เก็บศิลาเมฆานิ่ง ใคร่ครวญเรื่องของอาวุธเวทต่อไป

พวกเขาสองคน การบาดเจ็บของชีพจรปราณตานเถียนรักษาให้กันและกัน แทบจะฟื้นฟูหายแล้ว ตอนนี้อาการบาดเจ็บของฉินซีหลัก ๆ แล้วคือการบาดเจ็บที่เนื้อหนัง ผ่านไปหลายวันก็จะดี อาการบาดเจ็บของนางคือการบาดเจ็บของจิตหยั่งรู้ มองแล้วไม่เห็นอะไรสักนิด แต่ต้องฟูมฟักกันนานหลายปี

“พวกเราจะขึ้นไปเมื่อไหร่”

คำถามนี้ทำให้ฉินซีเก็บรอยยิ้ม สายตาที่มองนางลุ่มลึก “เจ้าไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่สักหลายวันหรือ”

“มิใช่ว่ายังมีธุระต้องทำหรือ” โม่เทียนเกอก้มหน้า ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเขา “ไม่ทำให้เสร็จจะรู้สึกไม่วางใจอยู่ตลอดเลย”

“……”

เขาไม่ได้พูดจาอีก ทั้งสองคนต่างคนต่างทำธุระของตนเอง

ที่นี่เป็นภายในกำแพงภูเขาของยอดเขาว่านเริ่น ภายนอกถึงจะมีปราณปีศาจแต่กลับถูกพวกเขาตั้งกำแพงอาคมขวางกั้น จะบอกว่าเป็นพื้นที่อันปลอดภัยที่สุดในภูเขามารก็ไม่เกินไป ปัจจุบันนี้เป็นเวลาห่างจากที่ภูเขามารเปิดมาได้เจ็ดแปดวันแล้ว ภายนอกมีผู้ฝึกตนมากมายเผชิญอันตราย หากพวกเขาต้องการรักษาพละกำลังก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการรั้งอยู่ที่นี่แล้ว

เขาเดิมทีรู้สึกว่ารั้งอยู่ที่นี่อีกเจ็ดวันจะดีที่สุด เวลาครึ่งเดือนเพียงพอที่จะทำธุระแล้ว อีกทั้งที่นี่จะไม่ได้รับการรบกวน……

“ครืน ๆ……” ไม่รู้ว่าเกิดเสียงดังสนั่นมาจากที่ไหน จากนั้นภูเขาก็เริ่มสั่นสะเทือน

“เกิดอะไรขึ้น” สัมผัสได้ว่าถ้ำภูเขาเล็ก ๆ ที่พวกเขาอยู่ก็สั่นสะเทือน โม่เทียนเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย “หรือว่าหรือว่าภูเขาที่นี่ก็จะพังถล่มแล้ว”

ฉินซีสีหน้าเคร่งขรึม ในช่วงเวลาสั้นแค่นี้ พวกเขาเห็นก้อนหินนับไม่ถ้วนกลิ้งลงมาผ่านช่องแตกของปากถ้ำ กำแพงอาคมป้องกันที่พวกเขาตั้งเอาไว้ขวางกั้นปราณปีศาจที่ภายนอกรับไม่ไหว ผ่านไปไม่นานนักก็แตกสลายไป

“ไม่ดี! มีกำแพงอาคมใหญ่พังทลายแล้ว!”

โม่เทียนเกอตะลึง “เหมือนกับแปดสิบกว่าปีก่อนน่ะหรือ”

ฉินซีส่ายหน้า “น่าจะไม่ได้ร้ายแรงขนาดแปดสิบกว่าปีก่อน แต่สิ่งที่ยุ่งยากคือครั้งนี้พวกเราอยู่ใกล้มาก” พูดจบแล้วเขาก็ขึ้นหน้าไปดึงตัวโม่เทียนเกอ กระบี่อัคนีสามพลังหยางหลุดจากมือ ก่อเป็นม่านพลังกระบี่ป้องกันรอบตัวทั้งสองคน “อาวุธเวทป้องกันของเจ้าเล่า”

โม่เทียนเกอค้นกระเป๋าเอกภพ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลายร่างเป็นเมฆหมอกห่อหุ้มทั้งสองคน

การสั่นสะเทือนยิ่งมายิ่งรุนแรง ทั้งสองคนเกาะกันและกันแน่นจึงยืนนิ่งอยู่ได้อย่างเต็มฝืน โชคดีที่ถ้ำภูเขาซึ่งพวกเขาอยู่อยู่ลึกในภูเขา แข็งแรงมาก อีกทั้งขนาดเล็ก ไม่มีสัญญาณว่าจะพังถล่มเลย

ได้แต่มองดูการสั่นสะเทือนนี้ต่อเนื่องนานถึงเกือบครึ่งชั่วยามก็ยังไม่หยุด ยังคงมีก้อนหินจำนวนมากตกลงมาจากด้านบน โม่เทียนเกออดเงยหน้าถามไม่ได้ “ทำไมถึงนานขนาดนี้”

ฉินซีเอ่ยว่า “ปีนั้นข้ากับบิดาเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่ ในเวลาเจ็ดวัน สามวันแรกมีก้อนหินตกลงมาตลอด แทบจะฝังพวกเราเอาไว้ที่นี่ ภายหลังพวกเราขึ้นสู่ยอดเขาไปดู ยอดเขาที่เดิมทีสูงชันถึงกับราบเรียบแล้ว วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

โม่เทียนเกอไม่ได้กังวลว่าจะมีอะไร อาศัยอาวุธเวทและระดับการฝึกตนของทั้งสองคน ถึงกำแพงอาคมบนยอดเขาว่านเริ่นนี่จะพังทลาย ตัวพวกเขาอยู่ที่นี่คิดจะรักษาชีวิตยังคงไม่มีปัญหา เพียงแต่นางกังวลว่ากำแพงอาคมที่ทางเข้าจะได้รับผลกระทบแล้วปรากฏขึ้นก่อนกำหนด ถูกขังอยู่ที่นี่……

เสียง “ครืน ๆ” ยิ่งดัง มองทะลุช่องแตก ก้อนหินจำนวนมากยิ่งกว่าเดิมกลิ้งลงมา ทั้งสองคนล้วนสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าความเคลื่อนไหวจะมากเกินไปแล้ว

ทันใดนั้น ในระหว่างก้อนหินเหล่านี้มีเงาร่างสีเขียวสายหนึ่งสอดแทรก ลำแสงสีขาวสายหนึ่งไหววูบแล้วมุดเข้ามาในช่องแตกปากถ้ำภูเขานี้ที่พวกเขาอยู่อย่างปุบปับ จากนั้นคนชุดเขียวผู้หนึ่งพลิกตัวกระโดดเข้ามา

“แค่ก ๆ!” คนผู้นี้ไอสองคำ เศษหินเต็มตัว ฝุ่นผงเต็มหน้า ท่าทางทุลักทุเล

คนผู้นี้ปัดทำความสะอาดเศษหินบนแขนเสื้อ ดึงกระบี่บินออกมาเสียบที่ปากถ้ำ หันหน้ามา เห็นพวกเขาสองคน ตะลึงไป “เป็นพวกท่านหรือ”

คนผู้นี้ก็คือจิ่งสิงจื่อ ลูกตาของเขาหมุนวนที่ตัวพวกเขาหนึ่งรอบ จากนั้นจ้องมองมือที่เกาะกุมกันของพวกเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สองท่านช่างเลือกสถานที่แท้ ๆ อยู่ที่นี่……ไม่มีคนรบกวนเลย”

ฉินซีเดิมก็ไม่ชอบเขา อีกอย่างคำพูดของเขาคลุมเครือเช่นนี้ สีหน้ามืดลงทันที “สหายเต๋าจิ่ง ท่านโปรดให้เกียรติด้วย!”

“แค่ก ๆ” จิ่งสิงจื่อปัดเศษหินพลางเอ่ยพลางว่า “ข้าไม่ให้เกียรติอย่างไร แล้วก็ไม่ได้โทษอะไรพวกท่านเลยด้วย” กล่าวแล้วก็เหลือบหางตามองเขา “ข้าว่านะ สหายเต๋าโส่วจิ้ง เรื่องของชายหญิงเดิมก็เป็นความปรารถนายิ่งใหญ่ของมนุษย์ ท่านจะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่ออันใด”

“จิ่งสิงจื่อ!” ฉินซีตะคอก ยิ่งพูดยิ่งไม่ใช่คำพูดคนแล้ว

“เอาล่ะ ๆ!” จิ่งสิงจื่อโบกมือ พูดอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ท่านหน้าบาง ข้าไม่พูดแล้ว พอรึยัง” แววตาสั่นระริก ดวงตาดอกท้อพุ่งไปยังโม่เทียนเกอ “น่าเสียดาย สหายเต๋าชิงเวย เราท่านรู้จักกันช้าไป”

ฉินซีหยุดพูดแล้ว โบกมือตรง ๆ ให้กระบี่อัคนีสามพลังหยางลอยอยู่ข้างหน้า

จิ่งสิงจื่อพอเห็นก็ล่าถอยไปอย่างจนใจ “กลัวท่านแล้ว พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง ท่านคนนี้ทำไมถึงได้น่าเบื่ออย่างนี้นะ” จากนั้นพูดอย่างไม่เกรงใจสักนิดว่า “ขอยืมที่ให้ข้าหลบหน่อย” พูดจบแล้วแสงกระบี่วูบขึ้น กระบี่บินจมลงไปในก้อนหิน เขาจับกระบี่บินจ้องมองข้างนอกอย่างตื่นตัว

ท่าทางนี้ของเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นการระวังอะไรอยู่ โม่เทียนเกอถามว่า “สหายเต๋าจิ่ง ท่านเหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่”

สายตาจิ่งสิงจื่อยังคงจับจ้องภายนอก พูดตามสบายว่า “ยังจะเพราะเหตุใดได้เล่า ถูกตาเฒ่าสองคนนั้นวางแผนใส่ ยังคงเป็นพวกท่านที่ฉลาด จากไปแต่เนิ่น ๆ”

เขาพูดอย่างนี้ ความสนใจของฉินซีก็ถูกดึงดูดไปแล้ว

จิ่งสิงจื่อหันหน้ามาเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าเดิมทีก็เดาไว้อยู่แล้วว่าคูมู่กับถงเทียนอวิ้นตาเฒ่าสองคนนี้จะต้องมีเป้าหมายอื่น แต่จะพูดอย่างไรก็เป็นสหายเก่ากันมานับร้อยปีแล้ว ก็ไม่ได้ระวังป้องกันพวกเขาจนเกินไป พวกเราเดิมทีวางแผนจะแยกทางที่ใต้ยอดเขาว่านเริ่น พอดีพวกเขาพูดว่า เป้าหมายในการเดินทางของพวกเขาคือซากโบราณสถานเหล่าเซียน พวกเราสามคนก็ตามไปกันหมด……”

“พวกท่านไปถึงซากโบราณสถานเหล่าเซียนได้อย่างราบรื่นหรือ” ฉินซีถาม

จิ่งสิงจื่อส่ายหน้า “ไม่ราบรื่นสักนิด อาการบาดเจ็บของเฟิ่งเหนียงจื่อยิ่งมายิ่งหนักหนา ตอนที่ข้ามแม่น้ำรั่วสุยก็ถูกพวกเขาทิ้ง เหลยตงชิงถึงกับหันกลับไปช่วยนาง ตายอยู่ในแม่น้ำรั่วสุยด้วยกัน เฮ้อ ดูไม่ออกเลยจริง ๆ เดิมทีข้านึกว่าเหลยตงชิงเพียงรักชอบความงามของเฟิ่งเหนียงจื่อ ดังนั้นในเวลาปกติก็กล่าวแทะโลมอยู่สองคำ คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับเป็นผู้งมงายในรัก น่าเสียดาย……”

ฉินซีและโม่เทียนเกอสบตากัน ทั้งคู่ตะลึงและแอบรู้สึกยินดี โชคดีที่พวกเขาถอนตัวทันเวลา ถ้าไม่อย่างนั้น ถึงจะมีการระวังป้องกันแต่แรก การถูกม้วนเข้าไปในความขัดแย้งพวกนี้จะต้องดึงดูดความยุ่งยามมาเป็นกอง

“เช่นนั้นท่านเล่า เหตุใดท่านจึงตกลงมาจากด้านบนอีก ท่านน่าจะไปถึงซากโบราณสถานเหล่าเซียนพร้อมกับพวกเขารึเปล่า”

จิ่งสิงจื่อพยักหน้า “เหลยตงชิงและเฟิ่งเหนียงจื่อพอตาย ข้าก็รู้ว่าตาเฒ่าสองคนนี้ไม่มีเจตนาดีงาม ตลอดทางนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากพวกเรา แต่ไปถึงครึ่งทางแล้ว อย่าว่าแต่แตกหักกับพวกเขา ลำพังข้าคนเดียวรุกไม่ได้ถอยไม่ได้ ได้แต่เดินหน้าไปกับพวกเขาดี ๆ โชคดีที่ภายหลังไม่ได้พบเจอกับเรื่องที่อันตรายเกินไป”

“เช่นนั้นเหตุใดท่านตกมาจากด้านบนเล่า หรือว่าถูกพวกเขาแอบวางแผนร้าย”

“ข้ากระโดดลงมาเอง” จิ่งสิงจื่อผู้ที่เกือบจะสิ้นชีพที่ภูเขามารสีหน้ากลับยังคงไม่แยแส คล้ายกับว่าไม่ได้เคียดแค้นคูมู่และถงเทียนอวิ้นทั้งสองคนเลยสักนิด “ตาเฒ่าสองคนนั่นที่แท้นัดผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ที่หน้าซากโบราณสถานเหล่าเซียน เหมือนกับว่าอยากจะติดตามพวกเขาเข้าไปเสาะหาสมบัติ ตอนที่พวกเขาเข้าซากโบราณสถานเหล่าเซียนก็โยนข้าทิ้งเอาไว้ภายนอก ไม่นานนัก ในซากโบราณสถานเหล่าเซียนมีกำแพงอาคมชิ้นหนึ่งพังทลาย ก็ไม่รู้ว่าเป็นการกระตุ้นขึ้นมาของพวกเขาหรือไม่ ข้าพอเห็นว่าเรื่องราวไม่สู้ดีก็แข็งใจกระโดดลงมาจากข้างบน ในที่สุดก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้”

“ที่แท้แผนการของพวกเขาก็คือสิ่งนี้…….” ฉินซีครุ่นคิด

จิ่งสิงจื่อหันหน้ามาจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าว่านะ สหายเต๋าโส่วจิ้ง จะดีจะร้ายพวกเราก็มีมิตรภาพกันมานานนับร้อยปีแล้ว ขณะนี้ตกอยู่ในความยากลำบากด้วยกัน ตอนที่พวกท่านขึ้นไปไม่ถือสาที่จะพาข้าขึ้นไปด้วยสินะ?”

…………………………………………

จบแล้วค่ะพาร์ทความรัก ตัว กขค. มันมาแล้ว

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท