หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 295 – สตรีชุดดำ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 295 – สตรีชุดดำ

หลังพรตเฒ่าฝูหลิงจากไป เฟิ่งเซียวหยิบสารสกัดหยกเพลิงประกายก้อนนั้นขึ้นมา นิ้วมือกดลงไป ใช้พลังวิญญาณตรวจสอบ ยิ้มเอ่ยว่า “เด็กสกุลฉิน โชคของเจ้าไม่เลวเลย สารสกัดหยกก้อนนี้มีแร่อวี้สุ่ยจริง ๆ”

“จริงหรือ” ฉินซีมีสีหน้าปิติยินดีขึ้นมา

เฟิ่งเซียวพอออกแรงที่ปลายนิ้ว สารสกัดหยกเพลิงประกายก็เกิดรอยแตกขึ้นหนึ่งรอย ของเหลวหยกอันใสกระจ่างไหลเป็นน้ำออกมาทันที พอเจออากาศก็แข็งตัวกลายเป็นผลึกสีใสในทันใด

เมื่อของเหลวหยกไหลออกมาหมดสิ้น เฟิ่งเซียวก็โยนผลึกในอุ้งมือไปให้ฉินซี “ภรรยาเอ่ยวาจาแล้ว แร่อวี้สุ่ยนี้ยกให้เจ้า” สีสันอันบริสุทธิ์ขนาดนี้ แร่อวี้สุ่ยก้อนนี้ต้องเกินกว่าพันปีเป็นแน่

ฉินซีรับมา คารวะอย่างไม่อาจปกปิดความยินดี “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสามมากขอรับ ความเอ็นดูนี้ผู้เยาว์จะจดจำไว้ในใจ”

ติงหลวนกลับยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่มาเป็นลูกเขยให้เฟิ่งหนิงบ้านข้า จะจดจำไว้ทำอะไร”

ถึงฉินซีจะจัดการเรื่องราวดุจดั่งพรตเฒ่า หนังหน้ากลับบางอยู่บ้าง ได้ยินติงหลวนล้อเลียนก็เพียงแค่ยิ้มไม่ตอบคำ

ประมุขเต๋าจิ้งเหอกวาดตามองไปรอบ ๆ เอ่ยว่า “ข้าว่านะ พวกท่านสองสามีภรรยาอย่ามารังแกศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ของข้าเลย ถ้าไม่มีเรื่องแล้วพวกเราก็ไปล่ะ”

ถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอจะพูดแต่แรกว่าจะไม่สอดมือ แต่พวกเขากลุ่มผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สี่คนอยู่นี่ก็ย่อมมีตัวแปรเพิ่มขึ้นมาเสมอ สามีภรรยาหลวนเฟิ่งรวมทั้งพรตเต๋าจี้ล้วนตั้งตาคอยให้เขาไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเกรงใจ เฟิ่งเซียวเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พบกันภายหลังเถอะ”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้า พาฉินซีกับประมุขเต๋าหัวเหยียน, เฮยเฟิงเต้าเหรินและพวกจากไปด้วยกัน

บินออกจากขอบเขตจิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางสามคน กลุ่มห้าคนหยุดลง ประมุขเต๋าจิ้งเหอถามว่า “เทียนเกอพลัดหลงที่ไหน”

ฉินซีชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ทางนั้น ระยะทางประมาณครึ่งวัน”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอมองดูทิศทางที่เขาชี้ ขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าพูดถึงในหมอกหนาหรือ”

“ใช่ขอรับ”

“พวกเจ้าพลัดหลงกันนานแค่ไหน มีคนอื่นร่วมทางหรือไม่ เทียนเกอที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ขั้นตอนโดยคร่าว ๆ เป็นอย่างไร เจ้าค่อย ๆ พูดมา”

ประมุขเต๋าจิ้งเหอถามออกมาทีละข้อ ฉินซีระงับจิตใจอันกระวนกระวายลงไป บอกเล่าสถานการณ์ของทั้งสองคนในหลายวันนี้อย่างคร่าว ๆ หนึ่งรอบ แน่นอนว่าข้ามเนื้อหาส่วนที่ไม่สะดวกจะพูดในที่สาธารณะไป

ตอนที่เขาพูดถึงว่าทั้งสองคนพลัดหลงกันอย่างไร ประมุขเต๋าจิ้งเหอกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามคนผู้ร่วมทางแลกเปลี่ยนสายตากัน เฮยเฟิงเต้าเหรินผู้สวมชุดดำทั้งร่างอย่างกับผู้ฝึกตนมารกล่าวว่า “เด็กสกุลฉิน หมอกหนาที่เจ้าพูดพวกเราก็พบเจอเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ลงมือลงเท้าไปเยอะจึงเดินออกมาได้ ไปหาคนที่นั่นมันไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ”

คำตอบนี้ฉินซีไม่ได้ประหลาดใจเลย เขาจับสายตาไปที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอ

ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะก่อเกิดตานคนหนึ่งหากไม่มีฝีมือพิเศษเฉพาะจะมีชีวิตอยู่ที่ซากโบราณสถานเหล่าเซียนได้ไม่กี่วัน เทียนเกอเป็นศิษย์ข้า ไม่มีทางจะทิ้งนางเอาไว้ที่นั่นคนเดียวได้หรอก”

พอได้ฟังจุดยืนของเขา เฮยเฟิงเต้าเหรินใบหน้าไร้อารมณ์ “ในเมื่อจิ้งเหอเต้าเกอตัดสินใจว่าจะไปช่วยศิษย์ พวกเราก็ไม่ควรจะขัดขวาง ข้ากับหลู่ซือตี้จะรอทุกท่านอยู่ที่วังอวี้เสิน”

เฮยเฟิงเต้าเหรินกับผู้ฝึกตนศีรษะโล้นมิใช่ผู้ฝึกตนโรงเรียนเสวียนชิง ถึงจะมีความสัมพันธ์อันดีกับประมุขเต๋าจิ้งเหอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อศิษย์ของเขา ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ประมุขเต๋าจิ้งเหอเพียงเอ่ยว่าเฉยเมยว่า “ทราบว่า ภายในสองวัน ข้ากับหัวเหยียนซือตี้จะต้องรุดไปถึง หากว่าไม่ถึงก็ไม่จำเป็นต้องรอพวกเราแล้ว”

เฮยเฟิงเต้าเหรินและหลู่ต้าฉวนสบตากัน พยักหน้า ทั้งคู่กลายเป็นแสงหลบหนีจากไป

รอจนเงาร่างของพวกเขาสองคนหายลับไปแล้ว หัวเหยียนประมุขเต๋าที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดถามว่า “จิ้งเหอซือเกอ พวกเราจะไปหาอย่างไร”

คำถามนี้ทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอปวดหัวหนึบ พวกเขาล้วนผ่านหมอกหนามาแล้ว รู้ว่าสถานที่นั้นจิตหยั่งรู้ไม่อาจใช้การ แม้แต่พวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ต้องระมัดระวังเต็มที่

“เจ้าเด็กนี่!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเป่าหนวดชี้นิ้วใส่ฉินซี “ปกติมิใช่ว่าเก่งกล้าสามารถมากหรือ ทำไมพาเทียนเกอออกจากโรงเรียนแล้วถึงเกิดเรื่องอย่างนี้?!”

ฉินซีก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เรื่องคราวนี้เป็นเขาที่รอบคอบไม่พอจริง ๆ รู้อยู่ว่าซากโบราณสถานเหล่าเซียนภยันตรายทุกแห่งหน กลับไม่ได้ป้องกันว่าทั้งสองคนจะพลัดหลงกัน

เห็นเขาเป็นอย่างนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ไม่รู้สึกโทษเขาอีก ได้แต่กล่าวว่า “ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ไปหาเถอะ หัวเหยียนซือตี้ พวกเราแยกกัน เจ้าตะวันออกข้าตะวันตก เวลาหนึ่งวันครึ่ง ไม่ว่าจะหาเจอหรือไม่เจอล้วนมาพบกันที่นี่”

“ได้” หัวเหยียนประมุขเต๋าไม่ได้พูดไร้สาระอะไรทั้งนั้น กลายร่างเป็นแสงหลบหนีสายหนึ่งหายลับไปในหมอกหนาที่อยู่ไม่ไกลตรง ๆ เลย

ประมุขเต๋าจิ้งเหอมองดูร่างของหัวเหยียนประมุขเต๋าหายลับไป ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ ๆ ก็เอ่ยว่า “ว่ามา เจ้ากับเทียนเกอเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”

ฉินซีตะลึงไป ตระหนักว่าสิ่งที่ซือฟุถามคือด้านไหน ไอออกมาหนึ่งคำ เบือนหน้าหนี “อันนี้…… ภายหลังค่อยว่ากันเถอะ”

เห็นท่าทางนี้ของเขา ประมุขเต๋าจิ้งเหอประหลาดใจล้นเหลือ “หรือว่าเด็กน้อยเจ้าสำเร็จเรื่องราวแล้ว”

“……”

ฉินซีไม่ได้ตอบ แต่ความยินดีที่หัวคิ้วหางตาคนตาบอดก็ยังมองออก ประมุขเต๋าจิ้งเหอทั้งอยากหัวเราะทั้งรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง สีหน้าบิดเบี้ยวไปครู่หนึ่ง ได้แต่ตบไหล่ของเขา “ไม่เลว ในที่สุดก็ไม่เสียความตั้งใจของซือฟุ”

ถึงแม้ฉินซีคิดถึงเรื่องนี้แล้วจะดีใจ แต่กลับห่วงความปลอดภัยของเทียนเกอยิ่งกว่า เอ่ยว่า “ซือฟุ พวกเราไปหาคนก่อนเถอะนะ ยิ่งช้าเทียนเกอจะยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน……”

โม่เทียนเกอขณะนี้เผชิญกับอันตรายจริง ๆ ในหมอกหนา หนูลายทองฝูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนไม่รู้ ถึงระดับการฝึกตนจะไม่สูง จำนวนกลับมากมายนัก อีกทั้งเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ดั่งภูตผีในหมอกหนา นางกับจิ่งสิงจื่อฆ่ามาครึ่งวันแล้วแต่ฆ่าไม่หมดไม่สิ้นเสียที

โม่เทียนเกอกลืนยาฟื้นฟูพลังวิญญาณหลายเม็ดอีกครั้ง มองดูเสี่ยวหั่ววิ่งขึ้นกระโดดลงใช้ทักษะเวทขับไล่อสูรมาร โม่เทียนเกอหอบหายใจเอ่ยว่า “สหายเต๋าจิ่ง เป็นเช่นนี้ต่อไปมิใช่หนทาง”

จิ่งสิงจื่อกำลังควบคุมกระบี่บินสังหารศัตรู พได้ยินคำพูดนี้ก็กลอกตา “อันนี้ข้าก็รู้ คำถามคือท่านมีหนทางไหม”

โม่เทียนเกอคิด “มีหนทางหนึ่งที่สามารถลองดู ถึงจะไม่สำเร็จพวกเราก็สามารถพักผ่อนสักครู่”

ทั้งสองคนเข่นฆ่าโดยไม่หยุดพักมาครึ่งวันแล้ว ถึงในร่างจิ่งสิงจื่อจะยังมีพลังวิญญาณ แต่ทางด้านจิตใจรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแล้ว พอได้ฟังคำพูดนี้จึงเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ไม่เลว ท่านพูดว่ามาต้องการจะทำอย่างไรเถอะ”

โม่เทียนเกอเข่นฆ่าอสูรมารอีกฝูง เอ่ยว่า “อสูรมารเหล่านี้ สหายเต๋าสกัดไว้สักครู่หนึ่งก่อน”

จิ่งสิงจื่อได้ยินคำพูดของนาง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น กระบี่ยาวในมือระเบิดแสงสีขาวอันเจิดจ้าออกมาทันใด โอบล้อมสองคนหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้

ถึงคนผู้นี้นิสัยใจคอจะไม่เป็นที่น่าพึงใจ แต่ความแข็งแกร่งไม่เป็นที่กังขา ภายใต้แสงกระบี่ ไม่มีอสูรมารสักตัวที่ผ่านขอบเขตมาได้

โม่เทียนเกอไม่เสียเวลา ล้วงกระเป๋าเอกภพ หยิบอุปกรณ์วางม่านพลังและศิลาวิญญาณออกมา วางม่านพลังรอบทั้งสองคนอย่างว่องไวเป็นที่สุด

จิ่งสิงจื่อกวาดตามอง ประหลาดใจอยู่บ้าง เต๋าแห่งม่านพลังถือได้ว่าเป็นประตูรองในประตูรอง การศึกษาม่านพลังต้องสิ้นเปลืองเวลาปริมาณมาก และผู้ฝึกตนก่อนจิตวิญญาณใหม่แต่ละคนแค่ฝึกตนก็แค้นที่เวลามีน้อยเกินไปแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเสียเวลามากเกินไปมาฝึกเต๋ารอง ๆ ดังนั้นผู้ฝึกตนต่ำกว่าจิตวิญญาณใหม่น้อยคนจะเชี่ยวชาญม่านพลัง เขากลับไม่ทราบว่าสถานการณ์ของโม่เทียนเกอพิเศษอยู่บ้าง นางตอนที่สร้างฐานพลังกังวลใจว่าจะฝึกตนเร็วเกินไปและจงใจถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าลง เสียเวลามากมายไปใช้ฝึกเต๋ารอง ดังนั้นม่านพลังเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันจึงดีกว่ามาก

ม่านพลังชุดนี้ในมือของนางตอนนี้ก็คือม่านพลังสี่คชสารร้อยบุปผาที่ปรับแก้ด้วยตนเอง สี่คชสารป้องกันเป็นหลัก ร้อยบุปผาสังหารเป็นหลัก เป็นม่านพลังลูกผสมชุดหนึ่ง แต่ว่านางก่อเกิดตานยังไม่นาน หลังก่อเกิดตานไม่ได้ใช้เวลากับม่านพลัง อุปกรณ์วางม่านพลังชุดนี้ยังเป็นการเตรียมการไว้เมื่อตอนสร้างฐานพลัง พลังอำนาจมีข้อจำกัด

ตอนที่นางวางม่านพลัง จู่ ๆ จิ่งสิงจื่อก็ตะโกนว่า “มีคนมา!”

โม่เทียนเกอตะลึง จากนั้นยินดี รีบถามว่า “ระดับการฝึกตนอะไร”

จิตหยั่งรู้ของนางได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันนี้เทียบกับจิ่งสิงจื่อแล้วอ่อนกว่าหน่อย หมอกหนานี้ยังปิดกั้นจิตหยั่งรู้อีก จิ่งสิงจื่อสัมผัสอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยว่าไม่ค่อยจะมั่นใจว่า “คล้ายกับว่า……ระดับก่อเกิดตาน”

“ระดับก่อเกิดตาน? หรือว่าจะเป็น……”

คำพูดยังไม่หลุดจากปาก ในหมอกหนาปรากฏร่างคนชุดดำอันเลือนรางแล้ว คนผู้นี้พอปรากฏตัว หนูลายทองรอบบริเวณค้นพบเป้าหมายใหม่ มีอยู่หลายร้อยตัวหันหน้าไปกรูเข้ามาคนผู้นี้ทันที

โม่เทียนเกอพอเห็นก็ไม่วางม่านพลังแล้ว สบตากับจิ่งสิงจื่อ ต่างคนต่างควบคุมกระบี่บินในมือเข่นฆ่าไปทางคนผู้นั้น

“สหายเต๋าท่านนี้!” จิ่งสิงจื่อเอ่ยเสียงดัง “จ้ายเซี่ยผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยน ขอบังอาจถามชื่อแซ่สูงส่งของสหายเต๋า”

ในหมอกหนา ร่างคนชุดดำนั้นได้ยินเสียงของเขา ร่างหยุดชะงักไปแต่ไม่ตอบวาจา ยังคงจดจ่อกับการฆ่าฟัน

โม่เทียนเกอหรี่ตามองดู ถามว่าลังเลอยู่บ้างว่า “ท่านดูสิ นั่นเป็นผู้ฝึกตนสตรีหรือไม่”

ถึงแม้หมอกหนาจะพร่ามัว แต่ร่างชุดดำที่ปรากฏอย่างรางเลือนนั้นบอบบางเช่นสตรีจริง ๆ จิ่งสิงจื่อเพียงมองคราเดียวก็เอ่ยว่า “เป็นผู้ฝึกตนสตรี”

พอได้ยินคำตอบยืนยันของเขา โม่เทียนเกอแอบผิดหวัง

ถึงนางจะรู้ว่าฉินซีไม่ว่าจะระดับการฝึกตนหรือว่าฝีมือล้วนเหนือกว่าตนเอง ประสบการณ์ก็เพียบพร้อมยิ่ง แต่ที่นี่คือภูเขามาร พลัดหลงกับเขานานขนาดนี้ จิตใจนางไม่สงบเป็นที่สุด

จิ่งสิงจื่อกวาดมองรอบบริเวณ เอ่ยว่า “ไปดูกันเถอะ คนเพิ่มหนึ่งคนจะมั่นใจขึ้นอีกหนึ่งส่วน”

“อืม” โม่เทียนเกอไม่มีความเห็น ถ้าเป็นผู้ฝึกตนสตรี น้อยคนจะโหดเหี้ยม แล้วอีกฝ่ายยังถูกขังอยู่ในหมอกหนาอย่างนี้เช่นเดียวกันอีก น่าจะสามารถเป็นพันธมิตรกันได้

ทั้งสองคนควบคุมกระบี่บิน เสี่ยวหัวพ่นไฟแท้ไท่หยาง เข่นฆ่าไปทางสตรีชุดดำผู้นั้น

ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของสตรีนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว เห็นเพียงมือทั้งคู่ของนางสวมกรงเล็บ ฆ่าฟันกับอสูรมารอยู่กับที่ ถึงกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์

“อ้าว?” เสียงของจิ่งสิงจื่อเจือว่าตื่นเต้น “เป็นสาวงามเสียด้วย!”

โม่เทียนเกออดค้อนเขาไม่ได้ เจ้าคนคนนี้นี่ สุนัขไม่อาจห้ามกินอาจมจริง ๆ นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังมัวจะสนใจว่าคนเขาเป็นสาวงามอีก!

แม้คำพูดจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอก็ยังอยากรู้อยู่บ้าง มองไปที่ใบหน้าของสตรีผู้นั้น พอมองแล้วก็ตะลึงงัน

ใบหน้าที่อ่อนช้อยมาก ไม่ถือว่างดงามมากมายนัก แต่มีความงามอย่างสงบยิ่งเย็นชาประการหนึ่ง แน่นอนว่านี่มิใช่สาเหตุที่นางประหลาดใจ สิ่งที่นางรู้สึกว่าประหลาดคือดูไปแล้วคุ้นเคยอยู่บ้าง

สตรีอันอ่อนช้อย ฝึกยุทธ์ ใช้กงเล็บ…… ความทรงจำของผู้ฝึกตนล้วนดีมาก โม่เทียนเกอค่อย ๆ รำลึกถึงบุคคลอย่างนี้ได้คนหนึ่ง นางรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครแล้ว

โม่เทียนเกอสูดลมหายใจเข้าลึก ส่งเสียงลับไปว่า “สหายเต๋าจิ่ง คนคนนี้กับซงเฟิงซ่างเหรินเกี่ยวข้องกัน!”

ความเคลื่อนไหวของมือจิ่งสิงจื่อหยุดชะงัก สายตาจับจ้องนางอย่างระแวง

นามของซงเฟิงซ่างเหริน ในคุนอู๋ไม่มีผู้ใดไม่ล่วงรู้ จิ่งสิงจื่อก็ย่อมจะทราบถึงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ผู้นี้ รวมทั้งชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของเขาด้วย เขาส่งเสียงลับกลับมาว่า “ท่านรู้จักหรือ”

“เคยพบหนึ่งครั้ง” สายตาของโม่เทียนเกอก็จับจ้องผู้ฝึกตนสตรีนี้ตาไม่กะพริบ มิผิด ห้าสิบกว่าปีก่อนหน้า ผู้ฝึกตนสตรีที่ปรากฏตัวในพิธีฉลองจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินและยังลงมือต่อนางก็คือสตรีที่อยู่เบื้องหน้านี้!

………………..

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท