หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 335 – ล่าอสูรทะเล

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 335 – ล่าอสูรทะเล

ตำแหน่งของถ้ำพำนักที่โม่เหยาชิงเลือกมาอยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันออกแล้ว อสูรทะเลที่ปรากฏตัวที่นี่โดยมากอยู่ขั้นห้าขั้นหกเป็นหลัก มีขั้นเจ็ดเป็นครั้งคราว ขั้นห้าขั้นหกเทียบเท่ากับก่อเกิดตานขั้นต้นขั้นกลางของผู้ฝึกตนมนุษย์ ขั้นเจ็ดเทียบเท่ากับก่อเกิดตานขั้นปลาย เหมาะกับโม่เทียนเกอพอดี

แน่นอนว่าที่นี่เป็นส่วนลึกของทะเลตะวันออก การต่อสู้กับอสูรทะเลในทะเลอาจจะยากกว่าบนบก แต่ความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกตนมนุษย์เดิมก็แกร่งกว่าอสูรมารอยู่บ้าง แม้แต่กับอสูรมารในทะเลก็เหมือนกัน ขอเพียงไม่เจอกับฝูงอสูรทะเล โม่เทียนเกอคาดว่าตนเองยังสามารถจัดการได้ ถึงจะสู้ไม่ได้ นางก็สามารถหนี

หลังตกลงใจอย่างนี้ โม่เทียนเกอเตรียมความพร้อม อย่างเช่นหากถูกล้อมโจมตีจะทำอย่างไร ยังมี ถึงแม้อสูรทะเลที่นางเคยเห็นที่นี่จะไม่เกินขั้นเจ็ด แต่ไม่แน่ว่าจะมีอสูรทะเลขั้นแปดปรากฏตัว ไม่สามารถรอจนเผชิญหน้าแล้วค่อยเตรียมการ

พูดตามเหตุผล หุบเขานี้ของโม่เหยาชิงเป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุด กำแพงอาคมที่แข็งแกร่งขนาดนี้คาดว่าถึงจะเป็นอสูรทะเลขั้นแปดก็ไม่อาจบุกเข้ามา หากนางเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่ทัน ขอเพียงพุ่งมาที่นี่ก็จะสามารถกันอสูรทะเลไว้ภายนอก แต่ว่าพอนางออกมาจากห้องฝึกตน กำแพงอาคมก็ฟื้นตัวขึ้นมาทันที ตามเหตุผลม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ก็จะฟื้นตัว อยากจะเข้าไปอีกต้องทำลายม่านพลังอีก

ด้วยเหตุนี้ โม่เทียนเกอสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอีกครั้ง เริ่มแรกอยากจะลองเปิดอีกเส้นทางจากหุบเขา ผลคือค้นพบว่ากำแพงอาคมที่โม่เหยาชิงตั้งร้ายกาจเกินไป ถึงจะอยู่ข้างในก็ทำลายได้ยาก ภายหลังคิดจะปรับม่านพลังสัตตสัมบูรณ์ ผลคือพอเข้าม่านพลังสัตตสัมบูรณ์กลับค้นพบว่าม่านพลังนี้ปล่อยให้นางไป ๆ มา ๆ โดยไร้การขัดขวาง!

นางตกตะลึงไม่รู้แล้ว เห็นชัด ๆ ว่าม่านพลังนี้ฟื้นตัวแล้ว พลังวิญญาณข้างในยังคงสับสนคล้ายกับตอนที่นางเพิ่งมา เหตุใดนางเข้าไปข้างในแล้วกลับไม่โจมตีเลย

เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอดีใจจนเก็บไม่อยู่ เช่นนี้แล้ว นางไม่ต้องเปิดกำแพงอาคมอะไรเลย แล้วก็ไม่ต้องทำลายม่านพลังสัตตสัมบูรณ์อีก

แต่ผังปากั้วไท่จี๋ชิ้นเดียวก็ร้ายกาจขนาดนี้ อาวุธเวทคู่ชีพกระดิ่งข่มวิญญาณ์ชั้นนั้นของโม่เหยาชิงควรจะทรงพลังน่าทึ่งเพียงใด โม่เทียนเกออดสนอกสนใจขึ้นมาไม่ได้ น่าเสียดายที่นั่นเป็นอาวุธเวทคู่ชีพของโม่เหยาชิง นางนั่งละสังขารแล้ว อาวุธเวทนั้นก็น่าจะเสียหายไปแล้ว

แต่ว่าอาวุธเวทคู่ชีพของนางเองก็ไม่ได้แย่ พัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือของนางเดิมทีก็เป็นสิ่งที่โม่เหยาชิงจินตนาการออกมา ในบันทึกของโม่เหยาชิงประเมินสมบัติชั้นนี้อย่างสูงยิ่ง สิ่งที่น่าเสียดายคือวัสดุที่ต้องการหายากเกินไป นางก็ไม่อาจทำออกมา ทว่าโม่เทียนเกอกลับมีวาสนาประจวบเหมาะ ได้รับกระดูกอสูรเทพมังกรเทพ

จัดแจงเส้นทางล่าถอยเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอเหยียบเมฆยกตัวขึ้น วนรอบเกาะเล็กเกาะนี้หลายรอบ

เส้นเลือดวิญญาณของเกาะเล็กเกาะนี้เดิมก็งั้น ๆ แล้วยังถูกโม่เหยาชิงใช้กำแพงอาคมผนึก เพียงหลงเหลือพลังวิญญาณบางเบาอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ในยามปกติมีเพียงอสูรทะเลสามัญท่องอยู่ใกล้ ๆ มีอสูรมารน้อย โม่เทียนเกอวิ่งออกไปไกลอีกหน่อยจึงค้นพบอสูรทะเลขั้นห้าขึ้นไป

พอค้นพบอสูรทะเล โม่เทียนเกอไม่เกรงใจสักนิด ตราบใดที่เป็นอสูรทะเลต่ำกว่าขั้นหกและน้อยกว่าสองตัว นางจะใช้พัดแห่งสวรรค์และโลกาและกระบี่บินเก็บเกี่ยวชีวิต แย่งชิงแกนปีศาจ

อสูรทะเลต่ำกว่าขั้นหกไม่ได้เป็นคู่มือของนางเลย สาเหตุที่อสูรมารวางก้าม สิ่งที่อาศัยคือกายเนื้อ ทว่ากายเนื้อของผู้ฝึกตนมนุษย์ถึงจะอ่อนแอกว่าอสูรมารมาก พวกเขากลับครอบครองสติปัญญา ด้วยอาวุธเวทที่สร้างขึ้นจากทักษะการหลอมอุปกรณ์อันกล้าแข็งจึงแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อของอสูรมาร

ม่านพลังมายาที่พัดแห่งสวรรค์และโลกานำมาพอดีเป็นดาวข่มของอสูรมาร พวกมันสติปัญญาต่ำ แยกแยกจริงเท็จของม่านพลังมายาได้ไม่ชัดเจนเลย ภายใต้พลังของพัดแห่งสวรรค์และโลกา ก็พุ่งหัวชนเข้าไปอย่างโง่ ๆ แล้วก็กลายเป็นตะพาบในไห

โม่เทียนเกอยิ่งฆ่ายิ่งชำนาญ วิธีใช้ต่าง ๆ นานาของพัดแห่งสวรรค์และโลกาค่อย ๆ จำขึ้นใจ ใช้งานได้ดังใจ

สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานี้ นางล่าสังหารโดยเฉลี่ยวันละตัว สะสมแกนปีศาจมาได้ห้าหกสิบก้อนแล้ว แต่ว่า อย่างช้า ๆ นางเริ่มหาอสูรทะเลไม่เจอ หลายวันนี้บินห่างจากเกาะเล็กไปไกลมากก็ยังคงไม่มีร่องรอยของอสูรทะเล

เป็นไปไม่ได้ที่อสูรทะเลแถว ๆ นี้ล้วนถูกนางสังหารจนเกลี้ยงกระมัง? โม่เทียนเกอแอบกังขา มหาสมุทรกว้างขวางกว่าแผ่นดินมาก จะมีเพียงอสูรทะเลน้อยเท่านี้ได้อย่างไร

นางกลับลืมไปแล้วว่าสิ่งที่นางฆ่าล้วนเป็นอสูรทะเลขั้นสูง ถึงแม้มหาสมุทรจะกว้างใหญ่ยิ่ง ในท้องทะเลบริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีทางมีอสูรทะเลขั้นสูงให้นางฆ่าไม่สิ้นสุด

เผอิญว่าโม่เทียนเกอฆ่าจนเสพติดอยู่บ้าง เพื่อที่จะหาอสูรทะเล ยิ่งวิ่งยิ่งไกล

เหยียบรองเท้าย่ำเมฆา สายตาโม่เทียนเกอจดจ้องผิวทะเลอันนิ่งสงบ จู่ ๆ มองเห็นว่าข้างในมีฟองอากาศผุดขึ้นมา นางสายตาแหลมคม ค้นพบหางสีเขียวคราม จิตหยั่งรู้เข้มข้นขึ้นทันใด ตามคาด มีอสูรทะเลหนึ่งตัวกำลังมุดลงใต้ผิวทะเลอย่างว่องไว ดูพลังวิญญาณที่กระจายทั้วตัวของมันน่าจะเป็นอสูรมารขั้นห้า

กระบี่บินหนึ่งเล่มปรากฏขึ้นในมือของนางทันที สะบัดแขนเสื้อ กระบี่บินแทงลงไปด้วยความเร็วขนาดฟ้าผ่าอุดหูไม่ทัน นำพลังวิญญาณอันปั่นป่วนพุ่งสู่ผิวทะเล แทงเข้าหางเกล็ดสีเขียวคราม

“อ๊าว!” อสูรทะเลนี้หนีออกมาจากผิวทะเลอย่างกะทันหัน สะบัดหางแล่นถลา พยายามสลัดกระบี่บินให้หลุด

“ชางหลง?” เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของอสูรทะเลนี้ โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง ชางหลงย่อมมิใช่มังกรจริง ๆ เป็นเพียงสัตว์ทะเลที่คล้ายกับมังกรชนิดหนึ่ง มันตัวสั้นกว่ามังกรมาก ปีกทั้งคู่เล็กสั้น เหมาะสมกับการท่องในน้ำยิ่งกว่า ไร้เขา ฟันแหลม บนตัวของมันปกคลุมด้วยเกล็ดสีเขียวคราม คล้ายกับมังกรยิ่ง

ถึงจะไม่ได้เป็นสายพันธุ์มังกรจริง ๆ แต่ชางหลงก็นับว่าเป็นอสูรทะเลที่มีประโยชน์ถึงสิบส่วน มีจดหมายเหตุบันทึกว่าหนังและกระดูกของชางหลงแข็งแกร่งถึงสิบส่วน เป็นวัสดุที่ดีในการหลอมอุปกรณ์ แต่ว่าในอสูรทะเลชางหลงก็นับว่าหายากยิ่ง นางยุ่งอยู่ที่นี่มาสองเดือนก็เคยเห็นชางหลงเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น อีกทั้งยังถูกหนีไปได้

ในเมื่อตรงหน้ามีชางหลงหนึ่งตัว อีกทั้งแค่ขั้นห้าเท่านั้น ย่อมไม่สามารถปล่อยไป โม่เทียนเกอกางพัดแห่งสวรรค์และโลกาแล้วพุ่งลงไปอย่างปุบปับ โบกพัด กดขุนเขาสายน้ำลงใส่ชางหลงตัวนี้หนัก ๆ

หางชางหลงตัวนี้ยังมีกระบี่บินของนางทิ่มอยู่ ไหนเลยจะซ่อนตัวได้ ถูกครอบอย่างหนาแน่นทันที

โม่เทียนเกอพอเห็นแล้วก็สั่นแขน เก็บกระบี่บินกลับมา กำลังจะแทงกระบี่ลงไป ล่าสังหารชางหลงตัวนี้

ในเวลานี้เอง พื้นทะเลจู่ ๆ เกิดคลื่นขึ้นมา พลังวิญญาณอันกล้าแข็งสายหนึ่งถ่ายทอดขึ้นมาจากพื้นทะเล ในเวลาเดียวกัน คลื่นในท้องทะเลโดยรอบปั่นป่วนขึ้นมา คลื่นลมเร่งร้อน

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว หันมองไปทั่วทุกทิศ หรือว่ามีอสูรทะเลแข็งแกร่งอะไรปรากฏตัวแล้ว?

การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณยิ่งมายิ่งชัดขึ้น โม่เทียนเกอสามารถยืนยันได้แล้วว่ามีอสูรทะเลขั้นเจ็ดหนึ่งตัว!

ขั้นเจ็ด ถึงจะยากสักหน่อย แต่ก็มิใช่ว่าไม่มีกำลังในการต่อสู้ นางคิดคำนวณอยู่ในใจ ตั้งใจจะจัดการชางหลงตัวนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยต่อสู้กับอสูรทะเลขั้นเจ็ดตัวนี้

ตอนที่นางกำลังจะขว้างกระบี่บินในมือออกไป ในสมองจู่ ๆ มีเสียงดังขึ้นมาว่า “หยุดมือ!”

โม่เทียนเกอตะลึง นี่คือจิตหยั่งรู้ถ่ายทอดเสียง! อสูรทะเลตัวนี้ถึงกับเข้าใจภาษามนุษย์หรือ

คลื่นยกตัวสูงขึ้นจากผิวทะเลหลายจ้าง โม่เทียนเกอมิอาจไม่บินสูงขึ้นไปอีกหน่อยเพื่อหลบเลี่ยงคลื่นทะเล ชางหลงที่ถูกนางกักขังไว้ตัวนั้นกลับร้อง “อ๊าว ๆ” ขึ้นมาในขณะนี้ บิดตัวอย่างตื่นเต้น

จากนั้นอสูรทะเลตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากน้ำ

นี่ก็เป็นชางหลงตัวหนึ่ง แต่เทียบกับชางหลงขั้นห้าตัวที่นางกักขังแล้วใหญ่กว่ามาก เกล็ดสีเขียวครามทั่วร่างเปล่งแสงสีทองจาง ๆ ออกมา ดวงตายาวเรียวหนึ่งคู่จ้องมองโม่เทียนเกออย่างล้ำลึก

พริบตานี้ โม่เทียนเกอรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าดวงตาคู่นี้บรรจุการผันแปรและสติปัญญาอันไร้ที่สิ้นสุด

อสูรทะเลขั้นเจ็ด ว่ากันตามเหตุผลแล้วน่าจะมีเพียงสติปัญญาณที่ต่ำยิ่งถึงจะถูก ถึงขั้นแปดความสามารถด้านปัญญาของพวกเขาจึงจะเทียบเท่ากับมนุษย์

“มนุษย์!” พอมองดูดวงตาคู่นี้ ในสมองโม่เทียนเกอเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้งว่า “อย่าทำร้ายลูกหลานข้า!”

โม่เทียนเกอหรี่ตาลงเล็กน้อยมองดูชางหลงตัวนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางสนทนากับอสูรมารด้วย

“เจ้า……เป็นใคร” นางถามหยั่งเชิง

ชางหลงตัวนี้ลอยอยู่กลางอากาศ สะบัดหางเบา ๆ จิตหยั่งรู้สื่อสารกับนางอีกครั้งว่า “ข้าเป็นบรรพบุรุษของชางหลงน่านทะเลผืนนี้”

“อ้อ……” โม่เทียนเกอพยักหน้า “เจ้าถึงกับเข้าใจภาษาของมนุษย์ด้วยหรือ”

สายตาชางหลงมองดูนาง อ้าปากขึ้นมา “ข้ามีชีวิตมาเกือบจะหมื่นปีแล้ว หลายปีก่อนข้าเคยเป็นสัตว์วิญญาณของผู้ฝึกตนผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ดังนั้นข้าก็เลยเข้าใจภาษาของมนุษย์”

“ผู้ฝึกตน?”

ชางหลงขยับหัว ดูคล้ายกับผงกศีรษะ “ไม่ผิด ผู้ฝึกตนคนนี้นั่งละสังขารแล้ว หลังจากนั่งละสังขาร สัญญาสัตว์วิญญาณเสื่อมประสิทธิภาพ ข้าจึงเป็นอิสระ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาได้หลายพันปีแล้ว”

ได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอหรี่ตา หลายพันปี ผู้ฝึกตนผู้แข็งแกร่ง สัตว์วิญญาณ หรือว่าจะเป็นสัตว์วิญญาณของโม่เหยาชิง? แต่นางไม่ได้ถามออกไปทันที ทว่าถามว่า “เจ้าเป็นแค่อสูรมารขั้นเจ็ด เหตุใดสามารถมีชีวิตมานานขนาดนี้”

ชางหลงเอ่ยว่า “ฝูงชางหลงเราครอบครองสายเลือดของอสูรเทพมังกรปฐมกาล ไม่เหมือนกับอสูรมารขั้นต่ำพวกนั้น” คำพูดนี้เจือความหยิ่งทะนงอย่างหนาแน่น เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจต่อสายเลือดของตนเองมาก “อายุขัยของอสูรมารเดิมก็ไม่เหมือนกับพวกเจ้าเหล่ามนุษย์ อย่าว่าแต่อายุขัยของพวกเราชางหลงเหนือกว่าอสูรมารสามัญไปไกล มากเป็นหมื่นปี น้อยเป็นหลายพันปี เป็นเรื่องปกติมาก”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้……”

ชางหลงพยักหน้า มองไปทางชางหลงน้อยที่ยังคงถูกนางขังไว้ในพัดแห่งสวรรค์และโลกา “มนุษย์ เจ้าออกมาที่นี่ได้หลายเดือนแล้ว ในหลายเดือนนี้ เจ้าสังหารอสูรมารขั้นสูงส่วนใหญ่ที่น่านทะเลนี้ไปแล้ว แล้วยังเคยเกือบจะสังหารสมาชิกฝูงชางหลงเราด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อสูรมารขั้นสูงของน่านทะเลนี้ก็จะถูกเจ้าล้างผลาญจนสิ้น ถึงเวลาเจ้าก็จะดึงดูดมหันตภัยมาแล้ว!”

“มหันตภัยอะไร” โม่เทียนเกอถาม ระหว่างมนุษย์กับอสูรมารเดิมก็เป็นความสัมพันธ์แบบฆ่าหรือถูกฆ่าอยู่แล้ว ดังนั้นนางไม่ได้ถูกศีลธรรมจำกัดเลย แล้วก็ไม่รู้สึกด้วยว่าตนเองกระทำผิด

ชางหลงพูดว่า “พวกเราอสูรทะเลยังมีอสูรทะเลขั้นเจ็ดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เคลื่อนไหว การกระทำของเจ้าทำให้พวกเราโมโหแล้ว ถ้าอย่างเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก พวกเราก็จะล้อมสังหารเจ้าแล้ว”

พอได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอกลับยิ้มขึ้นมา “หากพวกเจ้าสังหารข้าได้ ข้าก็ไม่มีคำพูดจะกล่าว”

ชางหลงกะพริบตา ในแววตาปรากฏความโกรธ “เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนะ! พวกเราอสูรมารถึงวิชาต่อสู้จะไม่สู้พวกเจ้าชาวมนุษย์ แต่เจ้าก็แค่เทียบเท่ากับอสูรมารขั้นหก หากอสูรมารขั้นเจ็ดสิบกว่าตัวล้อมฆ่า เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าสามารถหนีไปได้”

โม่เทียนเกอชะงัก เก็บรอยยิ้มช้า ๆ สายตากวาดไปทั่วร่างชางหลง “เช่นนั้นเจ้าคิดจะเอาอย่างไร เจ้าไม่ได้เพียงมาเตือนข้ากระมัง?”

“เตือน? นับว่าใช่กระมัง” ชางหลงพูด “แต่ว่า ข้าอยากจะทำข้อตกลงกับเจ้ามากกว่า”

“อ้อ? ข้อตกลงอะไร”

ชางหลงจ้องมองชางหลงน้อยข้างใต้ เอ่ยว่า “ปล่อยมัน เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าต้องไม่ฆ่าอสูรทะเลตัวใดที่นี่อีก”

โม่เทียนเกอไม่ขยับเขยื้อน “เช่นนั้นข้าจะได้รับอะไร”

“หากเจ้าไม่ฆ่าอีก เช่นนั้นพวกเราเหล่าอสูรทะเลขั้นเจ็ดก็จะไม่ล้อมโจมตีเจ้า นอกจากนี้ ข้าจะมอบความลับอย่างหนึ่งให้เจ้า ถือว่าเป็นรางวัล”

“ความลับ?” โม่เทียนเกอคิด ยิ้มอีก “หากความแข็งแกร่งของพวกเจ้าเพียงพอยังจะกลัวข้าฆ่าต่อไปอีกหรือ ถึงขนาดยังจะใช้ความลับมาแลกเปลี่ยนอีกด้วย?”

พอได้ยินคำพูดของนาง ในดวงตาของชางหลงปรากฏแววโกรธ ตะโกนเสียงทุ้มว่า “มนุษย์! สาเหตุที่ไม่อยากจะสู้กับเจ้าเป็นเพราะว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก ถึงพวกเราจะสามารถล้อมสังหารเจ้าก็จะมีอสูรมารสละชีพ พวกเราเหล่าอสูรทะเลใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมาหลายปีแล้ว ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับการฆ่าฟัน ไม่ใช่กลัวเจ้า!”

โม่เทียนเกอไม่ได้พูดจา นางทราบว่าสิ่งที่ชางหลงตัวนี้พูดไม่ผิด อสูรทะเลขั้นเจ็ดสิบกว่าตัวล้อมโจมตี ถึงนางจะสามารถหลบหนีก็อันตรายถึงสิบส่วน อีกอย่าง นางครองความได้เปรียบแล้ว หากยังไม่ยินยอมวางมือก็จะเป็นการได้คืบจะเอาศอกอยู่บ้างจริง ๆ

แต่ว่าถึงในใจจะคิดเช่นนี้ ด้านวาจากลับไม่สามารถอ่อนแอจนเกินไป นางยิ้มบาง ๆ จ้องตาของชางหลงอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด “เอาเถิด ข้ายอมรับว่าเจ้าพูดถูก ข้าก็ไม่อยากจะต่อสู้กับอสูรทะเลขั้นเจ็ดสิบกว่าตัว แต่ว่า ข้าอยากจะฟังความลับที่เจ้าพูดมากเลยว่าคุ้มค่าให้ข้าหยุดมือหรือไม่”

……………………………………

*ชางหลง (沧龙) ชางแปลว่าสีคราม หลงแปลว่ามังกร ชางหลงรวมกันจึงแปลได้ว่ามังกรคราม แต่ว่าศัพท์คำนี้เป็นชื่อของไดโนเสาร์คือ โมซาซอรัส ดังนั้นเราไม่แน่ใจว่าสัตว์ตัวนี้หน้าตาเป็นญาติ ๆ มังกรหรือว่าเป็นไดโนเสาร์ค่ะ เพราะในเนื้อเรื่องเองโม่เทียนเกอก็บอกด้วยว่า ชางหลงไม่ใช่มังกรจริง ๆ ดังนั้นเราเลยตัดสินใจแปลแบบทับศัพท์จีนให้มันกลาง ๆ ไปก่อน

โมซาซอรัส

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท