หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 337 – เงื่อนไขแลกเปลี่ยน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 337 – เงื่อนไขแลกเปลี่ยน

“ช้าก่อน” โม่เทียนเกอยับยั้งสิ่งที่ชางหลงกำลังจะพูด “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าครั้งนี้เจ้าไม่ได้โกหกข้า”

ชางหลงอ้าปาก ตะลึงงัน

ผ่านไปพักใหญ่ มันจึงเอ่ยว่า “แต่เจ้าเอาชนะข้าแล้วกลับไม่ฆ่าข้า……” มันนึกว่าสำหรับมนุษย์ การกระทำเยี่ยงนี้ก็การแสดงไมตรี

โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างชืดชาว่า “ข้าไม่ฆ่าเจ้าเป็นเพราะเจ้าเคยเป็นสัตว์วิญญาณของบรรพบุรุษ เห็นแก่บรรพบุรุษ เจ้าไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อข้า เช่นนั้นปล่อยเจ้าไปก็ไม่เป็นไร”

คำพูดนี้ทำให้ชางหลงสัมผัสได้ถึงความเชื่อมั่นในตนเองอย่างแรงกล้าของโม่เทียนเกอ มันอดถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นเจ้า……”

“แต่เจ้าก็จะเห็นแก่บรรพบุรุษ มีมิตรไมตรีต่อข้าด้วยหรือไม่เล่า” โม่เทียนเกอจ้องมองมันตรง ๆ “ถึงอย่างไรสัญญาสัตว์วิญญาณสิ้นประสิทธิภาพไปแล้ว ตอนนี้เจ้าสำหรับข้าเป็นเพียงอสูรมารตัวหนึ่ง”

ชางหลงลอยอยู่กลางอากาศ สายตาเปลี่ยนเป็นทอดไกล บาดแผลบนตัวของมันไม่ใช่เล็กน้อย เลือดสายเล็ก ๆ ไหลลงไปในมหาสมุทรไม่หยุด

“พวกเราอสูรมารถึงจะมีความเป็นอริต่อมนุษย์ แต่ว่า ถ้าหากมีมนุษย์ช่วยชีวิตพวกเรา พวกเราก็จะซาบซึ้ง” ชางหลงพูดอย่างสงบ “หกพันปีก่อน ข้าถือกำเนิดที่ทะเลกุยสวี ฝูงทั้งฝูงถูกสังหารหมู่จนแทบสิ้น ข้าก็แทบจะถูกเข่นฆ่า เป็นเจ้านายช่วยชีวิตข้า ดังนั้น ข้าเต็มใจจะลงนามในสัญญาสัตว์วิญญาณกับเจ้านาย กลายเป็นสัตว์วิญญาณของนาง”

สายตาโม่เทียนเกอสั่นไหว มือล้วงเข้ากระเป๋าเอกภพ หยิบเอาขวดหยดใบหนึ่งออกมา โยนออกไป “กินเถอะ บาดแผลบนตัวเจ้าสาหัสมาก”

ชางหลงอ้าปากกว้าง งับขวดหยกนั้น ในสายตาของมันมีความกังขา “เจ้า……”

“ข้าก็อยากจะต่อรองเรื่องการแลกเปลี่ยนกับเจ้า”

ชางหลงส่ายหัว ไม่ได้พูดจา

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเหล่าอสูรมารไม่มีโอสถให้กิน ดังนั้นการฝึกตนช้ากว่ามนุษย์มาก อีกทั้งขั้นเจ็ดถึงขั้นแปดเป็นด่านที่ผ่านยากที่สุดของอสูรมาร หากผ่านไปแล้วก็จะสามารถแปลงสภาพ กลายเป็นสัตว์วิญญาณที่แท้จริง แต่หากผ่านไม่ได้ เช่นนั้นจะเป็นเพียงปีศาจตลอดกาล” โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว พูดโดยเจือด้วยความหยิ่งทะนง “ข้าสามารถให้โอสถซึ่งอาจจะทำให้เจ้าเลื่อนเป็นขั้นแปดได้สำเร็จให้แก่เจ้า แต่เป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าจะต้องให้ลูกหลานของเจ้าลงนามในสัญญาสัตว์วิญญาณกับข้า อีกทั้งบอกความลับนั้นต่อข้า”

พูดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอยิ้มออกมา “แน่นอนว่าโอสถขวดที่เจ้ากัดอยู่ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการแลกเปลี่ยน เพียงให้เจ้ารักษาบาดเจ็บ”

“……” ชางหลงไม่ได้ใช้จิตหยั่งรู้สื่อสารกับนางอีก ในแววตาของมันปรากฏความกังขาวูบขึ้นเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็กัดเปิดขวดหยกกลืนโอสถข้างในไปจนหมดอย่างรวดเร็ว

จากนั้น รอบตัวของมันปรากฏพลังวิญญาณอ่อนจางหนึ่งชั้นคลุมบาดแผลของมันเอาไว้ ถัดจากนั้นตรงบาดแผลเปล่งแสงสีขาวขึ้นมาทันที ในแสงสีขาว บาดแผลพวกนั้นสมานด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

ผ่านไปพักหนึ่ง แสงจางหาย ชางหลงหันหัวส่ายหาง พูดว่า “ขอบคุณ บาดแผลของข้าดีขึ้นมากแล้ว”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นสามารถคุยเรื่องการแลกเปลี่ยนของพวกเราได้ไหม”

ชางหลงลังเลเล็กน้อย พูดว่า “พวกเราฝูงชางหลงอยู่ที่มหาสมุทรผืนนี้มีความสุขมาก ข้าไม่คิดจะให้ลูกหลานของข้าไปเป็นสัตว์วิญญาณของผู้ฝึกตนมนุษย์อีก”

เมื่อเผชิญกับคำตอบนี้ โม่เทียนเกอกลับยิ้ม “ถึงแม้ข้าจะให้โอสถซึ่งจะช่วยให้เจ้าเลื่อนเป็นขั้นแปดแก่เจ้าก็เป็นเช่นกันหรือ”

ชางหลงขยุกขยิก ก้มหัวลงคล้ายกับกำลังโลเล ผ่านไปพักหนึ่ง มันเอ่ยว่า “อสูรมารเลื่อนเป็นขั้นแปดไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ข้าติดตามเจ้านายหนึ่งพันปีก็เพียงเลื่อนจากขั้นห้าไปขั้นเจ็ด ไม่ว่าเจ้านายจะให้ข้ากินโอสถมากมายแค่ไหน สุดท้ายไม่ได้ทะลวงขึ้นขั้นแปด ข้าไม่เชื่อว่านี่คุ้มค่าที่จะให้ข้าเอาอิสรภาพของลูกหลานไปแลกเปลี่ยน”

ได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอผงกศีรษะเบา ๆ “เจ้ารักถนอมลูกหลานของเจ้ามาก”

ชางหลงกะพริบตา แผ่ความเมตตาออกมา “ขอเพียงเจ้าหยุดล่าสังหารอสูรทะเลแถบนี้ ข้าก็จะบอกความลับนี้ต่อเจ้า จุดนี้ยังคงใช้ได้ ถึงแม้พวกเราเหล่าอสูรทะเลในยามปกติจะล่าสังหารกันและกัน แต่เจ้าฆ่าไม่ยั้งอย่างนี้จะทำลายสมดุลระหว่างพวกเรา พวกเราฝูงชางหลงอยู่ที่นี่ได้ไม่เลว ไม่ต้องการจะละทิ้งที่นี่”

“ข้ารู้แล้ว” โม่เทียนเกอถอนหายใจ สายตาวนอยู่บนตัวชางหลง แต่เอ่ยว่า “แต่ว่า ข้าจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าความลับของเจ้าเป็นความจริง”

ชางหลงตะลึง ส่ายหาง คล้ายกับทุกข์ใจอยู่บ้าง “อันนี้ ข้า……”

“เจ้าเต็มใจจะเสี่ยงอันตรายมาขัดขวางข้าเพื่อลูกหลานเจ้า แสดงว่าเผ่าพันธุ์พวกเจ้ารักถนอมต่อลูกหลานมาก ใช่ไหม”

ประโยคนี้ทำชางหลงเงียบไป ผ่านไปพักใหญ่ ในแววตามันปรากฏประกายแน่วแน่ “มนุษย์ ถึงเจ้าจะฆ่าข้า ข้าก็จะไม่เอาอิสรภาพของลูกหลานไปแลก”

โม่เทียนเกอยิ้ม โบกมือ “เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ข้าขอถามเจ้า เจ้าเป็นเพียงอสูรมารขั้นเจ็ดก็สามารถมีชีวิตเกือบหมื่นปี คิดว่าอายุขัยของพวกเจ้าชางหลงสามารถไปถึงหมื่นปีกระมัง”

ชางหลงลังเลเล็กน้อยแล้วผงกหัว “มิผิด อย่างน้อยสามารถมีชีวิตหนึ่งหมื่นปี”

“เช่นนั้นสำหรับพวกเจ้าแล้ว อายุขัยของผู้ฝึกตนมนุษย์สั้นมากเลยกระมัง”

ชางหลงเงียบไปแล้วยอมรับอีกครั้ง “ใช่ ตอนที่ข้าติดตามเจ้านายก็มีชีวิตมาหลายพันปีแล้ว เวลานั้น เจ้านายยังเยาว์วัยมาก แต่หลังเจ้านายนั่งละสังขาร ข้ายังมีชีวิตอีกหลายพันปี……”

“เช่นนั้น การให้ลูกหลานของเจ้าติดตามข้า ถึงข้าจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเจ้านายของเจ้า สิ่งที่จ่ายออกมาก็แค่อิสรภาพหนึ่งพันกว่าปี ใช่ไหม”

ข้อสรุปนี้ ชางหลงไม่ได้คัดค้าน “มิผิด”

โม่เทียนเกอจึงยิ้ม “สมมติว่าข้าสามารถทำให้มันพุ่งขึ้นขั้นแปดเล่า อิสรภาพหนึ่งพันกว่าปี คุ้มหรือไม่คุ้ม”

เมื่อได้ยินวาจานี้ ชางหลงชะงักไป ในแววตาของมันวูบประกายกังขา, คำนวณ, ลังเล

โม่เทียนเกอรู้ว่ามันต้องใคร่ครวญ เพียงโบกพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือ เงยหน้ามองรอบทิศ คล้ายกับว่าเพียงยืนอยู่ตรงนี้ชมทิวทัศน์

เลื่อนเป็นขั้นแปด สำหรับอสูรมารแล้วนี่แทบจะเป็นความเย้ายวนอันยากจะขัดขืน ถึงแม้ชางหลงตัวนี้จะปฏิเสธมาหนึ่งครั้ง แต่ปฏิเสธอีกครั้งนั้นยากมาก

ผ่านไปเนิ่นนาน ในสมองเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้งว่า “เจ้ามีแค่ขั้นหกเท่านั้น เจ้าจะสามารถทำได้จริง ๆ หรือ นี่เป็นเรื่องที่เจ้านายของข้าก็ไม่สามารถทำได้”

โม่เทียนเกอยิ้ม “เจ้ารออยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งก็จะรู้ว่าเป็นไปได้หรือไม่”

ว่าแล้ว นางจิ้มหว่างคิ้วตนเอง ขับเคลื่อนศาสตร์เวท ในสายตาอันตื่นตะลึงของชางหลง เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

เพื่อรักษาบาดเจ็บให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผลทองไร้ดอกไม่มีแล้ว แต่ว่านางยังมีโอสถวิเศษที่มีประโยชน์ต่อการเลื่อนขั้นอื่น

ค้นหาในแปลงสมุนไพรหนึ่งรอบ โม่เทียนเกอเด็ดผลร้อยปมหนึ่งลูก แล้วออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

เมื่อเห็นนางปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าอย่างกะทันหัน ชางหลงตะลึงไป มันส่ายหัว ไม่อาจเข้าใจได้อยู่บ้าง หรือว่ามนุษย์เต๋าประดิษฐ์ทักษะเวทอะไรขึ้นมาหรือ แต่ถัดจากนั้น สายตาของมันก็ถูกผลร้อยปมในมือโม่เทียนเกอดึงดูดไป

ถึงมันจะอาศัยอยู่ในทะเลมายาวนาน แต่นี่ไม่ได้ห้ามมันไม่ให้ดูออกว่านี่เป็นผลไม้วิญญาณหมื่นปีหนึ่งลูก!

ผลไม้วิญญาณหมื่นปีบรรจุพลังวิญญาณมหาศาล หากกินแล้วเป็นไปได้มากจริง ๆ ว่าจะทำให้มันทะลวงด่านในคราเดียว เข้าสู่ขั้นแปด!

เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของชางหลง รวมทั้งการจับจ้องผลไม้ในมือนางอย่างปิดไม่มิด โม่เทียนเกอยิ้มขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าเชื่อรึยัง”

ชางหลงอดกลืนน้ำลายไม่ได้ หันเหสายตาจากผลร้อยปมอย่างยากเย็น มองไปทางโม่เทียนเกอ ครั้งนี้มันเงียบไปนานมาก

โม่เทียนเกอไม่ได้เร่งร้อนเลย เพียงรออย่างอดทน

ผ่านไปพักใหญ่ เสียงของชางหลงดังขึ้นว่า “มนุษย์ ข้าเชื่อแล้ว ถึงเข้าจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งอย่างเจ้านายข้า แต่มีสมบัติเหล่านี้ก็อาจจะสามารถทำให้สัตว์วิญญาณของเจ้าทะลวงขั้นแปดได้จริง ๆ” มันลังเล สุดท้ายเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “อย่างนี้เถอะ ข้าจะไปบอกลูกหลานของข้า ดูว่าในพวกมันมีคนที่เต็มใจจะเป็นสัตว์วิญญาณของเจ้าหรือไม่”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ “ได้ เจ้าไปเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่”

ชางหลงผงกหัว ส่ายหาง ดำลงสู่ผิวทะเล มุดลงไปอย่างเร่งร้อน

โม่เทียนเกอมองดูที่ที่มันหายลับไป เก็บผลร้อยปม นางไม่กลัวว่าชางหลงตัวนี้จะเกิดความคิดใช้กำลังช่วงชิงอะไรเลย ผลไม้วิญญาณที่สามารถทำให้มันทะลวงขั้นแปด มันจะต้องไม่เต็มใจแบ่งปันกับอสูรมารขั้นเจ็ดตัวอื่น อีกทั้งถ้ารับคำนาง มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้ในลูกหลานของตนเองปรากฏอสูรมารขั้นแปดอีกตัว นี่สำหรับชางหลงที่รักถนอมลูกหลานเป็นที่สุดเป็นสิ่งที่มีพลังดึงดูดมาก

ส่วนนางคิดแผนการทุกวิถีทางเพื่อรับชางหลงหนึ่งตัวมาเป็นสัตว์วิญญาณ แน่นอนว่านางรู้สึกว่าสายพันธุ์นี้มีสติปัญญาซึ่งอสูรมารสามัญไม่มี สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ลูกหลานเป็นจุดอ่อนของชางหลงเฒ่าตัวนี้ ตอนต้นมีจิตประสงค์ร้ายต่อนางอย่างนั้น คิดจะหลอกฆ่านาง นางจะกล้าเชื่อความลับที่มันพูดออกมาได้อย่างไร มีเพียงรับลูกหลานของมันเป็นสัตว์วิญญาณ นางจึงกล้าเชื่อว่าคำพูดของมันเป็นความจริง

ผ่านไปเนิ่นนาน ผิวทะเลเกิดความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณอีกครั้ง โม่เทียนเกอแยกแยะโดยคร่าว ๆ ผู้นำในนั้นเป็นอสูรมารขั้นเจ็ด นอกจากนั้นยังมีอสูรมารขั้นห้าขั้นหกหลายตัว

ครู่ถัดมา ชางหลงตัวนั้นนำลูกหลานของตนเองโผล่หัวออกมา “มนุษย์ ลูกหลานพวกนี้ของข้าเต็มใจจะตกลงเงื่อนไขของเจ้า เจ้าสามารถเลือกในพวกมันมาหนึ่งตัว”

โม่เทียนเกอก้มหน้าทอดมอง เบื้องหน้านอกจากชางหลงเฒ่าตัวนี้ยังมีชางหลงน้อยห้าตัว สามตัวขั้นห้า สองตัวขั้นหก รูปร่างเล็กกว่าชางหลงเฒ่ามาก ตัวที่เล็กที่สุดหางยังมีบาดแผล ก็คือตัวที่นางทำร้ายตอนแรกเริ่ม

“พวกเจ้า……ล้วนเต็มใจหรือ”

ชางหลงน้อยห้าตัวล้วนส่ายหาง ไม่ได้ตอบทันที ในนั้นมีหนึ่งตัวถามว่า “ท่านสามารถทำให้ท่านปู่เลื่อนขั้นจริง ๆ หรือ”

โม่เทียนเกอยิ่งประหลาดใจ “พวกเจ้าก็สามารถพูดภาษามนุษย์?”

ชางหลงเฒ่าพูดว่า “พวกเราชางหลงขอเพียงไปถึงขั้นห้าก็จะมีสติปัญญาที่ไม่ต่ำกว่าอสูรมารขั้นแปดอื่น ๆ”

“อ้อ” โม่เทียนเกอพยักหน้า ตอบคำถามก่อนหน้า “ข้าเพียงสามารถให้ผลไม้ซึ่งสามารถทำให้มันเลื่อนขั้นแก่มัน จะสามารถเลื่อนขั้นได้จริง ๆ หรือไม่ ข้าก็ไม่สามารถรับประกัน”

ชางหลงเล็กห้าตัวมองหน้ากันและกัน ล้วนตีหางอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นพวกข้าล้วนเต็มใจ”

ได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอยิ้มแล้ว ดูท่าไม่ใช่แค่ชางหลงเฒ่ารักถนอมลูกหลาน ลูกหลานเหล่านี้ของมันก็เคารพผู้อาวุโสเฒ่าเป็นที่สุด อย่างนี้นางก็วางใจแล้ว

นางหันไปหาชางหลงเฒ่า ถามว่า “ลูกหลานเหล่านี้ของเจ้าล้วนอายุหลายพันปีแล้วหรือ”

ชางหลงเฒ่าพูดว่า “เสี่ยวฝานยังแค่แปดร้อยปี ตัวอื่นตั้งแต่หนึ่งพันกว่าปีถึงสี่พันกว่าปี”

“เสี่ยวฝาน?”

ชางหลงน้อยที่หางมีบาดแผลตีผิวน้ำ เอ่ยอย่างขลาดเขลาว่า “เป็นข้า”

ชางหลงเฒ่าใช้ครีบชี้ตัวอื่น ๆ “นี่คือเสี่ยวอวี่ เสี่ยวเฟิง เสี่ยวไค เสี่ยวอวิ๋น”

โม่เทียนเกออยากหัวเราะอยู่บ้าง นามของชางหลงพวกนี้น่าสนใจนัก นางอดถามไม่ได้ว่า “แล้วเจ้าล่ะ”

ชางหลงเฒ่าตอบว่า “ข้าชื่อเสี่ยวชิง”

“……” โม่เทียนเกอเกิดแรงกระตุ้นอยากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง โม่เหยาชิงบรรพบุรุษผู้นั้นของนางเป็นอัจฉริยะโดยแท้! เสียงของชางหลงเฒ่านี้ฟังแล้วก็คือชายชรามนุษย์คนหนึ่ง ถึงกลับมีชื่ออย่างเสี่ยวชิง!

“ไม่” ชางหลงเฒ่าส่ายหัว “พวกเราแซ่ไป๋ ข้าชื่อไป๋เสี่ยวชิง”

“……” ครั้งนี้โม่เทียนเกอไม่เพียงอยากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ยังอยากจะทุบพื้นด้วย

……………………………………

ชื่อตัวอื่นเราไม่แน่ใจว่าตลกตรงไหน แต่ชื่อเสี่ยวชิงของชางหลงเฒ่าเป็นชื่อผู้หญิงค่ะ เป็นชื่อที่สาวน้อยมาก ๆๆๆ ในนิยายเสี่ยวชิงมักจะเป็นสาวชนบทหรือไม่ก็คนใช้นางเอกอะ แล้วพอรวมกับแซ่เป็น ไป๋เสี่ยวชิงก็ยิ่งฟังดูผู้หญิงไปกันใหญ่

ความจริงอสูรในคำว่าอสูรมาร กับ สัตว์ในคำว่าสัตว์วิญญาณ เป็นตัวเดียวกันค่ะ ซึ่งสัตว์วิญญาณเป็นคำที่เราเอามาจากคนแปลเดิมตรง ๆ (จากกระเป๋าสัตว์วิญญาณ) แต่พอเจอคำใหม่ 妖兽 เรากลับเลือกใช้ “อสูร” แทน แต่สัตว์วิญญาณที่แปลมาก่อนนานแล้วมันสายเกินไปที่จะเปลี่ยนเป็นอสูรวิญญาณแล้วนี่สิ ซึ่งเราก็คิดว่าใช้อสูรดีกว่านะ ไม่งั้นคิดดู พอเจออสูรทะเล ถ้าแปลเป็นสัตว์ทะเล จากสัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามคงนึกภาพเป็นกุ้งหอยปูปลา ซีฟู้ดกันพอดี………

อีกอย่างความจริง น่าจะแปลเป็น อสูรปีศาจ ถึงจะถูกกว่า แต่เพราะตอนนั้นเราสับสน “มาร 魔” กับ “ปีศาจ 妖” น่ะค่ะ นึกว่าความหมายมันเหมือน ๆ กัน แต่สรุปว่าไม่ใช่นี่นา……..

จะเปลี่ยนเป็นอสูรปีศาจตอนนี้ยังทันไหม จะเปลี่ยนจากสัตว์วิญญาณเป็นอสูรวิญญาณตอนนี้จะดีไหม ขอความเห็นหน่อยค่ะ ถึงจะมีคนอ่านแค่สิบกว่าคนแต่ก็อยากแปลให้ดีที่สุดนะ!

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท