หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 377 – วานรยักษ์สามหัว

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 377 – วานรยักษ์สามหัว

ตอนที่ถูกปราณตายล้อม ทุกคนล้วนปลดปล่อยพลังสภาวะออกมาจากจิตใต้สำนึก

ถึงแม้พวกเขาล้วนตกลงข้อเสนอของหลิงอวิ๋นเฮ่อ แต่ในฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน การปกป้องตัวเองได้กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว แม้ว่าในสถานการณ์ประเภทนี้วิธีการปกป้องตัวเองของพวกเขาจะไร้ประโยชน์ไปกว่าครึ่งก็ตาม

เวลาช่วงนี้ผ่านไปอย่างทั้งเร็วทั้งช้า นอกจากหลิงอวิ๋นเฮ่อ คนอื่น ๆ ล้วนสีหน้าเคร่งขรึม สะสมพลังเตรียมลงมือ โม่เทียนเกอไม่สงสัยเลยสักนิดว่าพอมีอะไรไม่ถูกต้อง พวกเขาจะใช้กระบวนท่าสังหารที่แกร่งที่สุดของตนเองไปสังหารหลิงอวิ๋นเฮ่อ!

โชคดี เรื่องประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ตอนที่ใต้ฝ่าเท้าเหยียบถูกพื้นดิน คนหลายคนล้วนถอนหายใจโล่งอก จากนั้น ปราณตายที่ล้อมอยู่รอบตัวค่อย ๆ สลายตัว หายลับไปอย่างไม่เหลือร่องรอย

หลิงอวิ๋นเฮ่อลูบนกแร้งบนไหล่ ล้วงโอสถเม็ดมาป้อนมัน ปลอบอยู่รอบหนึ่ง

นกแร้งกลืนโอสถลงไป ร้องอย่างพึงพอใจมากคำหนึ่ง หยุดอยู่บนไหล่เขาไม่ขยับ

โม่เทียนเกอผ่อนลมหายใจคำหนึ่ง มองหลิงอวิ๋นเฮ่อแวบหนึ่ง

หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มตอบ เพิ่มน้ำเสียงเอ่ยว่า “ผู้แซ่หลิงพูดคำไหนคำนั้น ทุกท่านตอนนี้เชื่อแล้วกระมัง”

เมื่อครู่นี้ ทุกผู้คนถูกปราณตายล้อมรอบ ส่วนนกแร้งที่ให้กำเนิดปราณตายเพียงฟังคำสั่งของหลิงอวิ๋นเฮ่อคนเดียว สามารถพูดได้ว่า ชีวิตของทุกคนเมื่อครู่นี้อยู่ที่ความคิดชั่วแล่นของเขา

หยางเฉิงจีผ่อนคลายลงก่อนเพื่อน ร้องหึคำหนึ่ง เอ่ยอย่างเย็นยะเยือกว่า “ตอนขากลับ จ้ายเซี่ยไม่กล้าเดิมพันแล้ว!” ตอนนี้หลิงอวิ๋นเฮ่อยังไม่มีผลไร้กังวลอยู่ในมือ ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา ความเป็นไปได้ที่จะลงมือต่ำมาก รอถึงตอนกลับไป อย่าว่าแต่หยางเฉิงจี โม่เทียนเกอที่มีป้ายคำสั่งแทนคุณในมือก็ไม่กล้าเดิมพัน

คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอหันศีรษะไปมองช่องแตกอันดำมืดเส้นนั้นของปากหุบเขา สีหน้าเคร่งขรึม หากไม่ใช่วิธีการของหลิงอวิ๋นเฮ่อ การผ่านช่องแตกเส้นนี้จะต้องสูญเสียพลังวิญญาณไม่น้อย อีกทั้งยังต้องระวังคนอื่นจะซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่……

ในใจคิดทบทวนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางถอนหายใจออกมา การเดินทางนี้ยังอันตรายกว่าที่จินตนาการเอาไว้ หุบเขาไร้กังวลย่อมเป็นสถานที่อันตราย สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ คนที่ร่วมเดินทางเหล่านี้ แต่ละคนล้วนมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน อีกทั้งจิตใจสุดหยั่งถึง

“หากเป็นตอนขากลับ ถ้าทุกท่านยังไม่ไว้ใจข้าย่อมสามารถกลับไปเอง” หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “ทันทีที่จ้ายเซี่ยได้ผลไร้กังวลก็จะไปจากหุบเขาชั้นใน”

เขาพูดประโยคนี้จบ หยางเฉิงจียังคงร้องหึคำหนึ่ง เบือนหน้าหนีไม่ถกเหตุผลด้วย เทียนฉานจ้องมองโม่เทียนเกอทีหนึ่ง ไม่ได้พูดจา

หลิงอวิ๋นเฮ่อไม่พูดจาไร้สาระมากความอีก กวาดตามองรอบบริเวณหนึ่งรอบ เอ่ยว่า “ทุกท่าน ที่นี่ก็คือหุบเขาชั้นในของหุบเขาไร้กังวล ระดับความอันตรายสูงกว่าหุบเขาชั้นนอกอย่างยิ่ง ถ้าหากพวกเราไม่สามารถรวมใจเป็นหนึ่ง มีความเป็นไปได้มากว่าจะสิ้นชีพอยู่ที่นี่ ดังนั้น ผู้แซ่หลิงหวังว่า ไม่ว่าในใจพวกท่านถึงที่สุดแล้วมีเป้าหมายอะไร ก่อนจะออกจากหุบเขา ทุกคนยังคงร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะดี”

“นี่ยังต้องให้สหายเต๋าหลิงพูดหรือ” เทียนฉานเอ่ยเสียงเย็น “เมื่อคำนึงถึงชีวิตของตนเอง พวกเราก็ต้องเชื่อฟังอย่างว่าง่ายแล้ว”

เมื่อได้ยินวาจานี้ หลิงอวิ๋นเฮ่อเพียงยิ้มบาง ๆ ไม่ถือสา

กลุ่มคนหกคนออกเดินทางกันอีก

โม่เทียนเกอเงยหน้ามองรอบทิศ หุบเขาชั้นในของหุบเขาไร้กังวลเทียบกับหุบเขาชั้นนอกแล้วแคบกว่ามาก รอบด้านเป็นหน้าผาจำนวนมากมาย ภูมิประเทศสลับซับซ้อน ลมปราณยิ่งแปลกประหลาด บางครั้งมีพลังวิญญาณเข้มข้น บางครั้งกลับมีปราณโสมมอันบริสุทธิ์ พวกมันมิได้ผสมเข้าด้วยกันเลย ทว่าต่างคนต่างอยู่ ไขว้สลับกันอย่างยุ่งเหยิง

นี่เป็นเหตุให้ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปทุก ๆ ก้าว ที่ซึ่งพลังวิญญาณสมบูรณ์มีดอกไม้วิญญาณหญ้าวิญญาณหายาก ที่ซึ่งปราณมารรวมตัวมีวัตถุของสายอธรรมงอกเงย ที่ซึ่งปราณโสมมตกตะกอนกลับเป็นกลิ่นอายอันเต็มไปด้วยความพินาศ

สำหรับคนทั้งหกแล้วนี่กลับเป็นเรื่องดี ต้องหลบเลี่ยงปราณโสมมแล้วสังเกตมองมาก ๆ ก็พอ อีกทั้งตลอดทางยังหาพบวัตถุวิญญาณที่ข้างนอกพบเห็นได้น้อยมากมาย

หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งวัน หลิงอวิ๋นเฟยหมดความอดทนอยู่บ้าง หันหน้าไปถามหลิงอวิ๋นเฮ่อว่า “พี่รอง ยังสัมผัสไม่ได้หรือ”

หลิงอวิ๋นเฮ่อส่ายหน้า ถลึงมองเขาอย่างตำหนินิดหน่อย “นี่นานเท่าไหร่กันเชียว ทำไมไม่มีความอดทนขนาดนี้”

หลิงอวิ๋นเฟยเกาศีรษะ พูดว่า “ข้ารีบ……”

เถียนจือเชียนยิ้มขึ้นมา “จะรีบก็รีบไม่ได้ อวิ๋นเฟย สิ่งนี้ท่านยังต้องเรียนรู้จากพี่รองของท่านให้มาก ๆ นะ พวกเราเป็นผู้ฝึกตน จะไม่มีความอดทนได้อย่างไร”

“รู้แล้ว!” หลิงอวิ๋นเฟยตอบรับอย่างจนใจคำหนึ่ง แล้วยังจะพึมพำอย่างไม่ค่อยเต็มใจประโยคหนึ่งว่า “ข้ารู้ว่าข้าเทียบกับพี่รองไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องพูดวันละครั้งก็ได้……”

ได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอยิ้มอ่อน หลิงอวิ๋นเฟยผู้นี้ดูแล้วอายุน้อยกว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่เท่าไหร่เลย นิสัยใจคอกลับเด็กกว่ามาก

ส่วนหลิงอวิ๋นเฮ่อก็ย่อมจะได้ยิน สายตาปราดมองเขาอย่างจนใจ ไม่ได้พูดอะไรมาก โม่เทียนเกอแอบคิดว่าเขาจะต้องรักใคร่พี่น้องคนนี้อย่างยิ่ง รักลึกซึ้งความรับผิดชอบหนักหนา

“เจ้านาย มีอันตราย!” ในสมองจู่ ๆ มีเสียงของเฟยเฟยดังขึ้น

โม่เทียนเกอหยุดชะงัก มองกระเป๋าอสูรวิญญาณเงียบ ๆ “ทำไมหรือ เจ้าสัมผัสอะไรได้”

“มีลมปราณอันตราย!” เฟยเฟยร้อง “มาแล้ว!”

คำพูดเพิ่งจะเปล่งออกมา จานหยกในมือเถียนจือเชียนเริ่มหมุนอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงลมปราณอันพิสดารกดทับมาจากที่ห่างไกล

“มีบางสิ่ง!” หลิงอวิ๋นเฮ่อตะโกน “ทุกคนระวัง!”

คำพูดเพิ่งเปล่งออกมา ของสิ่งนั้นเข้ามาใกล้ถึงเบื้องหน้า ลมปราณอันยุ่งเหยิงโถมใส่หน้า มีพลังวิญญาณ มีปราณมาร แล้วก็มีปราณโสมม……

โม่เทียนเกอเงยหน้า เห็นว่าในระหว่างหินระเกะระกะและต้นไม้ยักษ์ มีเงาร่างมหึมาปรากฏขึ้นชั่วแวบอย่างรางเลือน เงาร่างนั้นเหินบินเข้ามาใกล้ ไม่ทันไรก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าแล้ว

“นี่……” เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งหกคนตะตึงลึงอย่างมาก สูดลมหายใจเย็นเยียบ!

ตัวประหลาดที่อยู่เบื้องหน้านี้ ทั้งตัวสีน้ำตาลเข้ม แขนยาวขาสั้น คล้ายคนทว่าไม่ใช่คน ชัดเจนว่าเป็นวานร! แต่วานรตัวนี้สูงเท่าคนสิบคนเต็ม ๆ อีกอย่างคือมีสามหัวหกแขน รูปลักษณ์ผิดธรรมชาติ!

“นี่มันตัวอะไร?!” เถียนจือเชียนร้องเสียงหลง

“สัตว์ประหลาด……” หลิงอวิ๋นเฮ่อท่องพึมพำ จ้องมองวานรยักษ์สามหัวตัวนี้ตาไม่กะพริบ ในมือกำดาบหยกจันทร์เสี้ยวแน่น

โม่เทียนเกอพลิกมือ พัดแห่งสวรรค์และโลกาปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ ที่พูดว่าวานรยักษ์สามหัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดไม่ได้เป็นเพราะว่ามันมีหัวสามหัวงอกออกมาหน้าตาแปลกประหลาดเลย โลกฝึกเซียนมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดมากขนาดนี้ วานรยักษ์สามหัวไม่นับเป็นอะไรเลย ส่วนที่ไม่ปกติของตัวที่อยู่เบื้องหน้านี้อยู่ที่ทั้งตัวของมันลมปราณผสมปนเป พลังวิญญาณปราณมารปราณโสมม ทุกอย่างอยู่ในตัว!

คนคนหนึ่งมีพลังวิญญาณในตัว เช่นนั้นเขาก็คือผู้ที่ฝึกเซียน ปราณมาณทั่วร่างก็คือผู้ที่ฝึกมาร แม้แต่ฝึกฝนปราณตาย, ปราณโสมม ก็ได้แต่พูดว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนสายรอง แต่หากมีคนคนหนึ่งที่ลมปราณหลายอย่างขนาดนี้ผสมปนเปอยู่ในร่างกาย เช่นนั้นเขาได้แต่เรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาด! โลกฝึกเซียนไม่มีวิชาเวทประเภทใดที่สามารถเข้ากันกับลมปราณหลายอย่างขนาดนี้!

สายพันธุ์อสูรก็เช่นเดียวกัน อสูรมารทั่วไปเป็นอย่างคนที่ฝึกเซียน สิ่งที่ดูดซับคือพลังวิญญาณ อสูรมารแดนมารสามารถดูดซับปราณมาร แต่ในสถานการณ์ปกติจะไม่มีอสูรมารที่สามารถดูดซับปราณอะไรก็ได้ไปหมดเป็นอันขาด อีกทั้งยังสามารถอยู่ร่วมกันในร่างด้วย!

นี่ทำลายกฎเกณฑ์ลับของโลกฝึกเซียน มิใช่สิ่งปกติเป็นอันขาด!

ผู้ที่มีปฏิกิริยาขึ้นมาเป็นคนแรกสุดคือหยางเฉิงจี ธงหน้าผีในมือคลี่ตัว ปราณมารพลุ่งพล่าน เขามองดูวานรยักษ์เบื้องหน้า เอ่ยเสียงเย็นว่า “ทุกท่านยังจะรออะไร ลงมือก่อนได้เปรียบ!” ว่าแล้ว ธงหน้าผีคลี่กาง ปราณมารพุ่งไปทางวานรยักษ์

คนอื่น ๆ ประหนึ่งตื่นจากความฝัน ไม่ว่าวานรยักษ์สามหัวนี้จะเป็นตัวแปลกประหลาดอะไร ขณะนี้มันมีประสงค์ร้ายต่อทุกคน เป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจน!

ดาบหยกจันทร์เสี้ยวในมือหลิงอวิ๋นเฮ่อก็พุ่งจากมืออย่างรวดเร็ว แอบอยู่หลังธงหน้าผี แทงใส่วานรยักษ์

วานรยักษ์ไม่หลบไม่เลี่ยง ดวงตายักษ์ที่โปนเหมือนกระดิ่งกะพริบ คล้ายกับว่ายัง ไม่ทราบชัดว่าสิ่งที่บินมาหามันเป็นสิ่งของอะไร

ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นทำให้ทั้งหกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงอีกครั้ง!

เพียงเห็นปราณมารของธงหน้าผีกับดาบหยุดจันทร์เสี้ยวแบ่งเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลังไปถึงตำแหน่งที่วานรยักษ์อยู่ จากนั้นก็หยุดลง วานรยักษ์กะพริบตา เอื้อมมือออกมาหนึ่งข้างแตะปราณมารของธงหน้าผี ปราณมารพลุ่งพล่านเหมือนกับว่าอยากจะกลืนกินนิ้วของมัน แต่พริบตาถัดมา ปราณมารเหล่านั้นกลับค่อย ๆ สลายตัวไประหว่างนิ้วของมัน!

หยางเฉิงจีตกตะลึงอย่างใหญ่หลวง โบกธงหน้าผีในมือทันควัน อยากจะเก็บปราณมารกลับ แต่ปราณมารเหล่านั้นกลับหลุดจากการควบคุมแล้ว ปราณมารพลุ่งพล่านอยู่ระหว่างเขากับวานรยักษ์ครู่หนึ่ง โถมไปทางวานรยักษ์ช้า ๆ สุดท้ายสาบสูญไม่เหลือร่องรอย ประดุจไม่เคยปรากฏออกมาเลย

“อ้อก!” หยางเฉิงจีกระอักโลหิตทันที การสูญสลายของปราณมารทำให้ใบหน้าใต้ชุดคลุมของเขาค่อย ๆ ปรากฏขึ้น กลับเป็นเด็กหนุ่มที่ขาวซีดผอมแห้งผู้หนึ่ง

โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง ถึงหยางเฉิงจีจะไม่ได้เปิดเผยโฉมหน้า แต่ดวงตาอันแหลมคมที่เผยออกมาอย่างเลือนรางกับมือที่สะอาดสดใสทั้งคู่ล้วนบ่งบอกว่าอายุของเขาไม่มากเลย แต่ว่า ยังคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กหนุ่มผอมแห้งที่ดูไม่เหมือนผู้ฝึกมารเลยสักนิดอย่างนี้

ถัดจากนั้น ดาบหยกจันทร์เสี้ยวของหลิงอวิ๋นเฮ่อพริบตาที่สัมผัสถูกวานรยักษ์ก็หยุดชะงักลงไป หัวใจของทั้งหกคนแขวงค้างในพริบตา ธงหน้าผีของหยางเฉิงจีไม่สามารถโจมตีถูกวานรยักษ์ กลับได้รับบาดเจ็บสะท้อนกลับ การโจมตีของหลิงอวิ๋นเฮ่อหากว่าไม่สามารถเกิดประสิทธิผลด้วย เช่นนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ วิธีการโจมตีของคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถเกิดผลลัพธ์!

น่าเสียดาย เรื่องที่พวกเขาหวังไม่ให้เกิดขึ้นสุดท้ายยังเกิดขึ้น วานรยักษ์ยกมือแตะเบา ๆ ดาบหยกจันทร์เสี้ยวคล้ายจะสูญเสียการควบคุมเช่นกัน ร่วงหล่นเฉียง ๆ ลงบนพื้น

“แค่ก!” หลิงอวิ๋นเฮ่อก็พ่นโลหิตออกมาหนึ่งคำ ไม่ว่าจะเป็นดาบหยกจันทร์เสี้ยวของเขาหรือว่าธงหน้าผีของหยางเฉิงจีล้วนเป็นอาวุธเวทคู่ชีพของพวกเขา อาวุธเวทคู่ชีพถ้าได้รับความเสียหายก็จะสะท้อนกลับไปยังร่างของผู้ฝึกตน!

สี่คนที่เหลือเห็นแล้ว สีหน้าซีดเผือดในพริบตา

หลิงอวิ๋นเฮ่อและหยางเฉิงจีในหมู่พวกเขาความสามารถล้วนไม่ถือว่าอ่อนแอ ถึงกับแตกพ่ายในหนึ่งกระบวนท่า ร่างกายยังถูกพลังสะท้อนกลับ การเผชิญหน้ากับวานรยักษ์ตัวนี้ พวกเขาจะต้องทำอย่างไร?!

หลังจากตีดาบหยกของหลิงอวิ๋นเฮ่อร่วงลงไป วานรยักษ์เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แววตาใคร่รู้

เถียนจือเชียนกัดฟัน ทำศาสตร์มุทรา จานหยกในมือหมุนวนอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาอีก

“ทุกท่าน!” เขาตะโกน “คุ้มครองข้าตั้งม่านพลัง!”

เขาพูดจบ หลิงอวิ๋นเฟยยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเขาทันที โม่เทียนเกอเคาะพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือ ปราดไปข้างหน้าคู่กับเทียนฉาน

“สหายเต๋าฉินเวย!” เทียนฉานกำกรงเล็บในมือแน่น ทะยานไปหาวานรยักษ์พลางตะโกนพลางว่า “ท่านดึงดูดความสนใจของมัน ข้ารอโอกาสสังหาร!”

โม่เทียนเกอพยักหน้า พัดแห่งสวรรค์และโลกาคลี่กาง กระเรียนร้องหนึ่งคำ กระเรียนเซียนบินออกมาจากหน้าพัด กระโจนใส่วานรยักษ์

ถัดจากนั้น โม่เทียนเกอกลับสีหน้าแปรเปลี่ยนไป! เห็นเพียงกระเรียนเซียนยังไม่ทันสัมผัสถูกวานรยักษ์ ร่างก็ค่อย ๆ จางลงไปแล้ว สุดท้ายหายลับไป!

นางไม่มีเวลาจะคิดมาก พัดแห่งสวรรค์และโลกากดลงไป ขุนเขาสายน้ำโถมใส่หน้า กดทับไปทางวานรยักษ์!

ครั้งนี้นับว่าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ในสายตาอันงุนงงของวานรยักษ์ ขุนเขาสายน้ำอันหนักหน่วงปรากฏวูบขึ้น กักขังวานรยักษ์เอาไว้ วานรยักษ์ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง เกาหัวหนึ่งหัว คล้ายกับไม่เข้าใจว่าตรงหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

พริบตานี้เอง เทียนฉานตะโกนหนึ่งคำ มือกำกรงเล็บ กระโจนเข้าใส่วานรยักษ์!

ปาฏิหาริย์ไม่ได้บังเกิดขึ้น พริบตาที่กรงเล็บของเทียนฉานสัมผัสถูกวานรยักษ์ก็ถูกมือข้างหนึ่งของมันคว้าจับเอาไว้ มันกะพริบตา โบกมือเบา ๆ เทียนฉานก็ถูกขว้างออกไปแล้ว!

สีหน้าของโม่เทียนเกอเขียวคล้ำขึ้นมา! วานรยักษ์ตัวนี้ถึงกับสามารถตีเทียนฉานจนลอยออกไป เห็นได้ว่าไม่ได้ถูกพัดแห่งสวรรค์และโลกาของนางกักขังเอาไว้เลย!

นี่สรุปแล้วเป็นตัวอะไร พลังวิญญาณ, ปราณมารล้วนไร้ประโยชน์ต่อมัน แม้แต่พัดแห่งสวรรค์และโลกาของนางยังขังไม่ได้ สามหัวหกแขน แม้แต่ลอบจู่โจมยังไม่สำเร็จ!

“สหายเต๋าทั้งสอง กลับมา!”

พวกเขาช่วงชิงเวลาเท่านี้ ม่านพลังของเถียนจือเชียนตั้งเสร็จแล้ว เขามองดูจานหยกในมืออย่างตึงเครียด แล้วเงยหน้ามองวานรยักษ์เบื้องหน้า เอ่ยว่า “สหายเต๋าทุกท่าน พวกท่านคิดหาหนทางเร็ว ๆ ม่านพลังนี้ของข้าก็สามารถสกัดมันได้เพียงชั่วขณะ!”

……………………………..

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท