หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 387 – เหตุผลเหล่านั้น

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 387 – เหตุผลเหล่านั้น

“เพราะอะไร……” หลิงหลิงอวิ๋นเฮ่อประดุจสูญเสียสรรพกำลังทั้งร่าง แม้แต่อาวุธเวทยังไม่ได้ใช้ออก จ้องมองคนสองคนนี้ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างตะลึงงัน “อวิ๋นเฟย……พี่เถียน……เพราะอะไร……”

“พี่รอง ท่านมิได้เคยพูดหรอกหรือ” หลิงอวิ๋นเฟยมองเขา สายตานิ่งมากมาโดยตลอด ไม่ได้สั่นไหวสักเศษเสี้ยว “เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ น้ำใจของผู้ร่วมสำนัก น้ำใจของพี่น้อง ล้วนไม่มีค่าให้เอ่ยถึงสักนิด แม้ว่าจะไม่เต็มใจเลย ก็ยังยั้งกายไว้ไม่อยู่”

“……” หลิงอวิ๋นเฮ่อมองเขาอย่างจดจ่อ ดวงตาไม่กะพริบ เขาพูดเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้น เจ้าเต็มใจหรือ”

“……” สิ่งที่ตอบเขาคือความเงียบของหลิงอวิ๋นเฟย

หลิงอวิ๋นเฮ่อถอนหายใจอย่างลึกล้ำ วันเวลาช่วงนี้ เขารู้สึกไม่มีความสุขเสมอมา แต่ว่าวันนี้เป็นครั้งแแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง

“พี่เถียน เช่นนั้นท่านเล่า การแก่งแย่งของสำนักจิ่วเยี่ยนเราน่าจะไม่เกี่ยวกับท่านกระมัง”

“ไม่ได้เกี่ยวกับข้า” เถียนจือเชียนยังคงไม่เงยหน้า ลดสายตาลงมองดูจานหยกในมือตัวเอง น้ำเสียงชืดชา “เพียงแต่ว่าอวิ๋นเฟยเสนอเงื่อนไขที่สมเหตุสมผล”

“เงื่อนไข……” หลิงอวิ๋นเฮ่อท่องทบทวน มองดูเถียนจือเชียน แล้วมองดูหลิงอวิ๋นเฟย เผยสีหน้าคล้ายหัวเราะคล้ายร้องไห้ออกมา “เงื่อนไขอะไร”

เงียบงันไปครู่ใหญ่ เถียนจือเชียนสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้น สายตาเรียบนิ่งมองดูหลิงอวิ๋นเฮ่อ “เงื่อนไขอะไรท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ท่านเพียงต้องรู้ว่าอวิ๋นเฟยใจกว้างกว่าท่านก็พอแล้ว”

“……” หลิงอวิ๋นเฮ่อกัดฟัน ถามต่อว่า “ข้าไม่ใจกว้างกับท่านหรือ พวกเราคบหากันมาร้อยปี ข้าเคยปฏิบัติไม่ดีต่อท่านที่ไหน”

เถียนจือเชียนถอนหายใจ ใช้สายตาที่เจือปนระหว่างความเห็นใจและความสมเพชชนิดหนึ่งมองเขา “หลิงอวิ๋นเฮ่อ ท่านรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จมามาโดยตลอดกระมัง มีคุณสมบัติ มีภูมิหลัง มีการให้ความสำคัญและฟูมฟักของผู้อาวุโส ยังมีความริษยาชื่นชมและรักเคารพของผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้น……น่าเสียดาย ตลอดมาท่านไม่ได้รู้เลยว่าท่านล้มเหลวมากในฐานะมนุษย์”

“……ข้าไม่รู้จริง ๆ” หลิงอวิ๋นเฮ่อกล่าวพึมพำ “ข้าไม่รู้อย่างแท้จริง ข้าผิดต่อท่านที่ตรงไหน ทำให้ท่านทำกับข้าอย่างนี้”

“เหอะ!” เถียนจือเชียนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “มิผิด ท่านนึกมาตลอดว่าข้าเป็นสหายที่สนิทสนมที่สุดของท่าน แต่ว่าท่านคนนี้เมินเฉยต่อคนที่สนิทสนมจนเป็นนิสัยเคยชิน พูดถึงครั้งนี้ ท่านเชิญพวกเขาเหล่านี้มาใช้สมบัติไปมากน้อยเพียงไร ท่านเชิญข้าเล่า? เพียงพูดประโยคเดียวเท่านั้นเอง ท่านให้คนที่สนิทสนมกับท่านที่สุดช่วยท่านทำนี้ทำนั่นอยู่เสมอ แต่ไม่เคยคิดจะตอบแทนกลับคืนมาให้พวกเรา ต่อคนอื่นท่านใจกว้างรักษาสัญญา แต่ต่อพวกเราเล่า? นอกจากเรียกร้องออกไป ก็ไม่เคยจะรู้จักให้เลย”

“……” หลิงอวิ๋นเฮ่อจ้องมองเบื้องหน้าอย่างตะลึงงัน สหายที่เขาเคยสนิทสนมและพึ่งพาได้ที่สุด สหายที่เคยมอบแผ่นหลังให้อย่างเต็มใจไม่ลังเลสักเศษเสี้ยว สหายที่ฝากชีวิตให้แก่กันในยามมีอันตรายถึงเป็นถึงตาย จู่ ๆ รู้สึกว่า คนที่พูดอย่างมั่นอกมั่นใจด้วยใบหน้าที่เผยรอยยิ้มเย้ยหยันผู้นี้ เขาไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง

“อวิ๋นเฟย เจ้าเล่า ก็คิดเช่นนี้หรือ” สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของหลิงอวิ๋นเฟย ถามอย่างเฉยเมย

เมื่อเผชิญกับคำถามนี้ หลิงอวิ๋นเฟยในที่สุดไม่กล้ามองตรง ลดสายตาลงต่ำ “……พวกเราล้วนถือกำเนิดจากสายรองสกุลหลิง ตั้งแต่พริบตาที่ตรวจพบรากวิญญาณก็ฝึกตนเคียงข้างกันจนเติบใหญ่ พี่รอง รากวิญญาณท่านดีกว่าข้า ความตระหนักรู้สูงกว่าข้า ฝึกตนเร็วกว่าข้ามาตลอด ส่วนข้า คุณสมบัติเพียงนับได้ว่าไม่เลว ความตระหนักรู้ยิ่งด้อยกว่าท่านมากมาย…… หลายปีมานี้ หากไม่มีท่าน บางทีตอนนี้ข้าจะยังอยู่ในระดับสร้างฐานพลัง ไม่อาจจะเลื่อนขึ้นก่อเกิดตานก่อนสองร้อยปีได้เลย”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าต้องทำอย่างนี้กับข้าด้วย” หลิงอวิ๋นเฮ่อจ้องเขาเขม็ง “สิ่งที่ข้าให้เจ้ามันน้อยอยู่หรือ”

“ไม่น้อย” หลิงอวิ๋นเฟยเงยหน้า ยกยิ้มจาง ๆ เพียงแต่ในดวงตากลับไม่มีแววยิ้ม “แต่ว่า พี่รอง ข้าไม่อยากจะอยู่ด้านหลังท่านไปตลอด รอการส่วนบุญของท่าน”

“……” หลิงอวิ๋นเฮ่อจ้องมองหลิงอวิ๋นเฟย ดวงตาไม่กะพริบ แล้วก็ไม่พูดไม่จา

หลิงอวิ๋นเฟยถอนหายใจเบา ๆ กล่าวต่อว่า “พี่รองเอ๋ย ท่านดีต่อข้ามากจริง ๆ แต่ว่าท่าน……ไม่เคยมองข้าอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกับท่านเลย จะสองร้อยปีแล้ว ท่านยึดถือข้าเป็นเสี่ยวลิ่วจื่อที่ตามก้นท่านร้องเรียกพี่รองขี้มูกโป่งคนนั้นมาตลอด……อะไร ๆ ท่านล้วนไม่บอกข้า ให้ข้าถูกปิดอยู่ในความมืดเหมือนกับคนนอก ตอนที่วางแผนจะมาหุบเขาไร้กังวลไม่บอกข้า หากมิใช่ข้ายืนกรานเรียกร้อง ท่านจะไม่พาข้ามาเลยด้วยซ้ำ ท่านมีไข่มุกเทพต้องห้าม มีป้ายคำสั่งแทนคุณ ข้ากลับไม่รู้เรื่องสักนิด……ข้าเป็นพี่น้องที่ท่านไว้วางใจที่สุดจริงหรือ ท่านมีความลับมากขนาดนั้นไม่เคยจะบอกข้า ตัดสินใจมากขนาดนั้นก็ไม่เคยถามความเห็นของข้า”

พูดถึงตรงนี้ หลิงอวิ๋นเฟยหัวเราะเสียงขื่นหนึ่งคำ เบนสายตาไปด้านข้าง ในดวงตาเผยความเด็ดเดี่ยวและไม่ลังเล “เกือบสองร้อยปีแล้ว ข้าไม่อยากจะเป็นเสี่ยวลิ่วจื่อที่ตามก้นท่านร้องเรียกพี่รองขี้มูกโป่งคนนั้นอีก!”

หลิงอวิ๋นเฮ่อหลับตา จนกระทั่งหางตาไม่รู้สึกถึงความเปียกชื้นอีกจึงได้ลืมขึ้น เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้า ที่สำนักจิ่วเยี่ยน ที่สกุลหลิง การที่สามารถฝึกตนอย่างเรียบง่ายเป็นเรื่องน่ายินดีชนิดหนึ่ง ในเมื่อเจ้างำประกายรอเวลามาหลายปีขนาดนี้ หรือว่าไม่เข้าใจหลักเหตุผลข้อนี้?”

“นั่นเป็นความคิดของท่าน” หลิงอวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างเย็นชา “พี่รอง ท่านไม่ได้ค้นพบหรอกหรือว่าท่านทำผิดพลาดไปอย่างหนึ่ง ท่านเอาความคิดเห็นของตัวท่านเองไปยัดเยียดให้คนอื่นเสมอ แต่ไม่เคยคิดว่าความคิดของคนอื่นไม่ได้เหมือนกับท่าน ท่านเป็นบุคคลทรงอิทธิพล ท่านเป็นบุตรผยองแห่งสวรรค์ ดังนั้นท่านสามารถพูดตามสบายว่าท่านไม่ต้องการ ท่านเพียงต้องการความยินดีของการฝึกตนอย่างเรียบง่าย แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ท่านสามารถพูดอย่างงดงามไร้ทุกข์ร้อนอย่างนี้เป็นเพราะท่านครอบครองทุกสิ่งแล้ว!” เสียงของเขาดังขึ้นมา กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก พยายามทำลมหายใจให้สงบลงหน่อยจึงได้พูดต่อไปอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านไม่เคยถามว่าข้าอยากหรือไม่ก็ตัดสินเอาเองแทนข้าว่าควรจะให้อะไรกับข้า นี่ก็คือสิ่งที่ท่านนึกว่าดีกับข้า……”

“……”

หลิงอวิ๋นเฟยเผยรอยยิ้มเย็นบาง ๆ “ทำไม ไร้คำพูดหรือ พี่รอง”

ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิงอวิ๋นเฮ่อจึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าไร้คำพูดจริง ๆ อวิ๋นเฟย เจ้ามิใช่เสี่ยวลิ่วจื่อที่ตามก้นข้าร้องเรียกพี่รองขี้มูกโป่งคนนั้นแล้วจริง ๆ ที่แท้ ข้าไม่เคยรู้จักเจ้าเลย ข้าไร้วาจาจะพูด”

“ก็ดี ท่าน……”

“แต่ว่า” หลิงอวิ๋นเฮ่อเพิ่มระดับเสียง มองหลิงอวิ๋นเฟยอย่างเย็นชาห่างเหิน “ข้าอยากรู้ว่าฆ่าข้ากับมีผลดีอะไรกับเจ้าหรือ สามารถทำให้เจ้าวางแผนชั่วอย่างยากลำบาก แล้วยังยุ่งยากดึงตัวเถียนจือเชียน จะต้องมีผลประโยชน์ใหญ่มากกระมัง”

หลิงอวิ๋นเฟยหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างเย็นชาห่างเหินว่า “อันนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องรู้”

“เช้ง –” กระบี่ยาวในกระบี่คู่ส่งเสียงสดใส เปล่งประกายดุจหิมะออกมา แทงไปทางหลิงอวิ๋นเฮ่อ

“เคร้ง!” เสียงโจมตีอย่างตรงไปตรงมามีประสิทธิภาพดังขึ้น กระบี่ยาวของหลิงอวิ๋นเฟยถูกพลังวิญญาณสายหนึ่งสกัดกลับไป

หลิงอวิ๋นเฟยมองเห็นคนที่ลงมือ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงทันควัน “ท่าน……”

โม่เทียนเกอโบกมือ เก็บพัดแห่งสวรรค์และโลกากลับ ยิ้มบาง ๆ “สหายเต๋าอวิ๋นเฟย ท่านก็ประมาทเกินไปแล้ว ทำไมลืมว่าที่นี่ยังมีคนนอกเล่า”

หลิงอวิ๋นเฟยมองโม่เทียนเกอและเทียนฉาน บนใบหน้าปรากฏแววเคร่งเครียด โชคดีที่เถียนจือเชียนดึงตัวเขาในขณะนี้ เขาจึงผ่อนคลายสีหน้า เอ่ยด้วยใจนิ่งอารมณ์สงบว่า “สหายเต๋าฉิน เรื่องนี้เป็นเรื่องสกุลหลิงของข้า ยังหวังว่าท่านจะไม่สอดมือ”

โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เรื่องของคนอื่นข้าก็ขี้เกียจจะสอดมือ แต่ว่าเรื่องนี้ข้ากลับไม่สอดมือไม่ได้” มองสีหน้าโกรธกลัวของหลิงอวิ๋นเฟย นางหัวเราะขึ้นมา “สหายเต๋าอวิ๋ิ๋นเฟยลืมแล้วหรือ จ้ายเซี่ยมายังที่แห่งนี้เป็นเพราะว่าทำข้อแลกเปลี่ยนหนึ่งประการกับสหายเต๋าหลิง วันนี้ค่าตอบแทนที่เหลือยังไม่ได้รับมาเลย จะสามารถปล่อยให้สหายเต๋าอวิ๋นเฟยสังหารลูกหนี้ของข้าได้อย่างไรเล่า”

รอจนนางพูดจบ สีหน้าของหลิงอวิ๋นเฟยเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึง เขาอึ้งไป เอ่ยว่า “สหายเต๋าฉิน ท่านหยิบป้ายคำสั่งแทนคุณไปแล้ว ยังต้องการอันใดอีก ต้องการสิ่งของอะไร หยิบป้ายคำสั่งแทนคุณไปที่สำนักจิ่วเยี่ยนก็พอ ย่อมมีคนกระทำการแทนท่าน”

โม่เทียนเกอสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงยิ้มกล่าวว่า “สหายเต๋าอวิ๋นเฟย เรื่องที่สหายเต๋าหลิงรับปากข้าเป็นความลับใหญ่หลวงประการหนึ่ง ข้าไม่อยากจะพูดกับคนที่สองอีกหรอกนะ!”

“……” หลิงอวิ๋นเฟยพูดไม่ออกเป็นครึ่งค่อนวัน

“อวิ๋นเฟย นางอยากจะช่วยหลิงอวิ๋นเฮ่อเลยจงใจหาเหตุผลเท่านั้น เจ้าอย่าถูกนางจูงจมูกไป” เถียนจือเชียนเตือนเสียงต่ำอยู่ข้าง ๆ เขา

ขณะนี้โม่เทียนเกอเพียงโบกพัดแห่งสวรรค์และโลกาในมือ ยิ้มน้อย ๆ ไม่พูดจา ทั้งไม่ยืนยันแล้วก็ไม่ปฏิเสธ

เห็นการแสดงออกของนาง หลิงอวิ๋นเฟยสีหน้าขรึมลง “สหายเต๋าฉิน ท่านคิดดีแล้วหรือว่าอยากจะลงมือกับพวกข้าจริง ๆ”

โม่เทียนเกอถอนหายใจ “หากสหายเต๋าอวิ๋นเฟยไม่ฆ่าลูกหนี้ของข้า ข้าก็ไม่อยากจะสอดมือในเรื่องของคนนอกหรอก”

“ท่าน–” หลิงอวิ๋นเฟยขบฟัน ระงับน้ำเสียง มองไปทางเทียนฉานที่กอดอกเหมือนดูละครอยู่ข้าง ๆ “สหายเต๋าเทียนฉาน แล้วท่านล่ะ จ้ายเซี่ยสามารถรับประกับว่าขอเพียงใต้เท้าไม่ลงมือ เรื่องที่หลิงอวิ๋นเฮ่อรับปาก ข้าล้วนจะปฏิบัติตามสัญญา แม้กระทั่งยังจะมอบค่าชดเชยให้ด้วย”

เทียนฉานเลิกงอบไม้ไผ่ เผยดวงตาดำสนิทหนึ่งคู่ ในดวงตาคู่นี้แฝงแววเย้ยหยันเอาไว้ เอ่ยว่า “สหายเต๋าอวิ๋นเฟย ข้าจะไว้ใจได้อย่างไรว่าท่านจะปฏิบัติตามสัญญา หากหลังจบเรื่องท่านฉีกหน้าไม่รับรู้ ข้าก็หมดหนทาง”

หลิงอวิ๋นเฟยสายตาอึมครึม เอ่ยว่า “คืนนี้ข้าสังหารหลิงอวิ๋นเฮ่อ ทั้งสองท่านล้วนเป็นพยาน นี่ยังไม่พอหรือ”

“ฮา ๆ” เทียนฉานหัวเราะเสียงเบา ๆ น้ำเสียงหมิ่นแคลน “นี่มันนับเป็นจุดอ่อนอะไรเล่า หลิงอวิ๋นเฮ่อเป็นผู้ที่ท่านสังหาร วาจานี้แพร่ออกไปจะมีผลกระทบกับท่านหรือ ท่านกล้าสังหารญาติพี่น้องที่ได้รับความรักใคร่จากผู้อาวุโสของท่าน นั่นแสดงว่ามีผลประโยชน์เพียงพอ อีกอย่าง ท่านก็เสาะพบผู้หนุนหลังที่กล้าแข็งเจอแล้ว ถึงเวลานั้นถึงทั่วทั้งใต้หล้าล้วนทราบว่าท่านสังหารหลิงอวิ๋นเฮ่อแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า ยังมีคนพูดว่าหลิงอวิ๋นเฮ่อลอบวางแผนใส่คุณชายเจ้าสกุลหลิงที่แย่งชิงการคัดเลือกเจ้าสำนักไปอยู่เลย ก่อนหน้านี้เขายังมิใช่ผ่านไปได้ด้วยดี”

“……” หลิงอวิ๋นเฟยไร้วาจาไปอีกครั้ง เถียนจือเชียนมองสีหน้าของเขา ขมวดคิ้ว จากนั้นคำนับให้ทั้งสองคนยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสอง อย่าพูดล้อเล่นอีกเลย การสอดมือในเรื่องนี้สำหรับพวกท่านแล้วมีประโยชน์อะไรหรือ กลับกัน หากท่านทั้งสองรับปากจะไม่สอดมือ เช่นนั้น หลังจากสังหารหลิงอวิ๋นเฮ่อ สิ่งของของเขา พวกเราสี่คนแบ่งเท่า ๆ กัน เป็นอย่างไร”

“นี่……” หลิงอวิ๋นเฟยกำลังอยากจะพูดอะไร ถูกแววตาหนึ่งของเถียนจือเชียนยับยั้งทันทีเถียนจือเชียนใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองดูพวกเขา รอคำตอบของพวกเขา

โม่เทียนเกอเคาะพัดแห่งสวรรค์และโลกาเบา ๆ ไม่พูดจาเป็นครึ่งค่อนวัน คล้ายกับกำลังใคร่ครวญ ส่วนเทียนฉานเลิกงอบไม้ไผ่ขึ้นคล้ายกับไม่ได้ยิน ก้มหน้าลงกอดอกดูละครต่อ ถึงขนาดเปลี่ยนน้ำหนักตัวไปที่เท่าหนึ่งข้าง จะได้ยืนได้สบายขึ้นอีกหน่อย!

“แบ่งเท่า……” โม่เทียนเกอหันไปทางเทียนฉาน ยิ้มบางเอ่ยว่า “สหายเต๋าเทียนฉาน มิสู้ พวกเราสองคนจับมือกันฆ่าล้างพวกเขา แล้วค่อยสังหารหลิงอวิ๋นเฮ่อที่ไร้กำลังต่อต้าน สิ่งของทั้งหมดล้วนแบ่งเท่ากัน เป็นอย่างไร”

เทียนฉานเหมือนจะใคร่ครวญอยู่หน่อย พยักหน้า “สหายเต๋าฉินความคิดดี อย่างนี้ ไม่เพียงลดส่วนแบ่งของคนสองคน ยังเพิ่มของโจรอีกสองส่วนด้วย!”

“พวกท่าน–” หลิงอวิ๋นเฟยทนไม่ไหว มองพวกเขายิ้มเย็น “พวกท่านนึกว่าถ้าร่วมมือกันจะสามารถเอาชนะพวกข้าได้จริง ๆ หรือ”

เทียนฉานถอนหายใจ มองหลิงอวิ๋นเฟยอย่างเวทนา “ข้าว่านะสหายเต๋าอวิ๋นเฟย ข้าย่อมรู้ว่าท่านปิดบังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเอง แต่ว่า ท่านมั่นใจจริง ๆ หรือว่า ท่านกับคนคนนี้” เขายื่นคางไปทางเถียนจือเชียน แววตาเหยียดหยาม “สามารถสู้พวกเราได้?”

————

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท