หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 394 – เจ้าเมืองขอการสนับสนุน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 394 – เจ้าเมืองขอการสนับสนุน

สุดท้ายโม่เทียนเกอยอมรับข้อเสนอของเนี่ยอู๋ชาง ที่นางพูดนั่นไม่ผิด ถึงไม่รู้ว่าสรุปเป็นเรื่องอะไร แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจคือ ชีวิตของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไร้เภทภัย ในเมื่อชีวิตไร้เภทภัย นางยังจะกลัวอะไรเล่า

เนี่ยอู๋ชางเคยพูดว่าวิธีซ่อนเร้นของนางไม่สามัญ แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ตรวจจับได้ยากมาก ส่วนตัวนางเองมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่ ขอเพียงยังสามารถโคจรใช้พลังวิญญาณ ไม่เกิดสถานการณ์อย่างเรื่องเริ่นอวี่เฟิงที่ถูกปราณตายกัดกร่อน การหลบหนีมิใช่ปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีไม้บรรทัดย่อพสุธาของโม่เหยาชิงที่ยังไม่เคยได้ใช้ด้วย

คิดเยี่ยงนี้แล้ว ทั้งสองคนติดตามผู้อาวุโสเหลียงไปโดยสงบ ผู้อาวุโสเหลียงเห็นดังนั้นก็ดีใจยิ่ง สองคนนี้ล้วนเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง หากไม่เต็มใจจริง ๆ เช่นนั้นคราวนี้เขาก็ยุ่งยากแล้ว ให้เจ้าเมืองลงมืออยู่ตลอด เขาที่เป็นผู้อาวุโสคนนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไร้สามารถเกินไป

ทั้งสามคนเดินไปพักหนึ่งจึงมาถึงจวนทางการหนึ่งหลังในเมือง

จวนทางการนี้ครอบครองพื้นที่กว้างขวาง ครอบครองจุดใจกลางที่ปราณมารหนาแน่นที่สุดของเมืองซิงลั่ว ทั่วทั้งจวนปกคลุมอยู่ในกำแพงอาคมปราณมาร หากใช้จิตหยั่งรู้ตรวจสอบสุ่มสี่สุ่มห้าจะถูกกำแพงอาคมทำร้ายบาดเจ็บ

“ผู้อาวุโสเหลียง!” เมื่อเห็นผู้อาวุโสเหลียงพาพวกนางสองคนเดินมาใกล้ ผู้ฝึกตนที่เฝ้ายามทำความเคารพอย่างนอบน้อม

ผู้อาวุโสเหลียงพยักหน้าอย่างชืดชา เอ่ยว่า “เปิดกำแพงอาคม”

“ขอรับ” ยามเคารพนอบน้อม ใช้ป้ายคำสั่งเปิดกำแพงอาคมของจวนเจ้าเมือง

โม่เทียนเกอกวาดตามอง ยามของจวนเจ้าเมืองนี้คือผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสองคนที่แต่ละคนนำผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณคนละหนึ่งกลุ่ม หนึ่งกลุ่มเฝ้าประตู หนึ่งกลุ่มลาดตระเวนเฝ้าระวังอยู่บริเวณใกล้เคียง ด้วยขนาดของจวนเจ้าเมือง ยามสองกลุ่มอย่างนี้นับว่าน้อยแล้ว แต่ว่าอำนาจของจวนเจ้าเมืองยังคงอยู่ที่เจ้าเมืองระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้นั้น ยามไม่ได้สำคัญมากเลย เพียงแต่ ดูอย่างนี้แล้ว เจ้าเมืองผู้นี้ไม่ได้อวดโอ่นักหนาเลย น่าจะเป็นนักปฏิบัติผู้หนึ่ง

ผู้อาวุโสเหลียงเชิญพวกโม่เทียนเกอสองคนเข้าจวนเจ้าเมือง เดินจนสุดทางเดินผ่านห้องโถง กลับตรงไปยังสวนด้านหลัง

โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง เต๋าแห่งการรับแขกของเจ้าเมืองผู้นี้ตามสบายอยู่บ้างจริง ๆ แต่นึกถึงว่าอีกฝ่ายถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจ — ด้วยระดับการฝึกตนของพวกนางยังไม่มีค่าพอให้เจ้าเมืองผู้นี้ปฏิบัติด้วยเต็มพิธีการ

ถึงสวนด้านหลัง ผู้อาวุโสเหลียงคนนี้ชักนำพวกนางตรงเข้าไปในโถงชมบุปผาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสองโปรดรอที่นี่สักครู่ เจ้าเมืองจะมาโดยเร็ว”

โม่เทียนเกอผงกศีรษะแสดงว่าเข้าใจ

ผู้อาวุโสเหลียงยิ้มทีหนึ่ง เชิญทั้งสองนั่งลง ตนเองหลังจากส่งเครื่องรางสื่อสารแล้วจึงได้นั่งอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อน พูดคุยเรื่อยเปื่อยด้วยเรื่องที่ไม่สำคัญ

จิตใจของโม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทางหนึ่งตอบรับอย่างไปตามแกน ทางหนึ่งรอการมาพบของเจ้าเมืองซิงลั่วผู้นั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง พลังสภาวะขุมหนึ่งจากไกลมาใกล้ เคลื่อนมายังโถงชมบุปผาเล็ก ๆ ด้วยความรวดเร็วยิ่ง พร้อมกันนั้น ข้างหูมีเสียงดังขึ้นมา “ยินดีต้อนรับสหายน้อยทั้งสอง เป็นเกียรติที่มาเยือนเมืองซิงลั่วข้า!”

พอพูดจบ เงาร่างสายหนึ่งโฉบเข้ามาในโถงชมบุปผาเล็ก ๆ โดยเร็ว ทิ้งตัวลงบนที่นั่งเจ้าบ้าน

พลังสภาวะเยี่ยงนี้จะต้องเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งสามคนลุกขึ้น ผู้อาวุโสเหลียงเร่งขึ้นหน้าไปคารวะ “บริวารน้อมพบเจ้าเมือง”

โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางก็ลุกขึ้น ใช้การทำความเคารพต่อผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่

เงยหน้าทอดมองไปในขณะนี้ เพียงเห็นว่าบนที่นั่งเจ้าบ้านนั่งไว้ด้วยเด็กหนุ่มชุดหรูหราผู้หนึ่ง เด็กหนุ่มนี้อายุอ่อนเยาว์มาก ดูแล้วท่าทางเพียงสิบห้าสิบหกปี รูปร่างไม่สูง อีกทั้งบอบบางถึงสิบส่วน ไม่คล้ายกับบุรุษที่เจริญวัยแล้วที่ถึงแม้จะเตี้ยเล็กสักหน่อย ไหล่บ่าก็จะหนากว้างกว่านี้ ทำให้ชุดหรูหราทั้งตัวเขาคล้ายจะกองอยู่บนร่างอย่างเทอะทะ ไม่มีความรู้สึกว่าสมตัวเลยสักเศษเสี้ยว บนตาซ้ายของเขามีผ้าปิดตาปิดเอาไว้ กลับเป็นมังกรตาเดียว*

โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนเป็นคนที่พบเห็นมากความรู้กว้างขวาง ในพริบตาเดียวก็ประเมินเจ้าเมืองซิงลั่วผู้นี้เรียบร้อยแล้ว บนใบหน้าไม่เผยอารมณ์ประหลาดใจออกมาสักเศษเสี้ยว

เจ้าเมืองผู้นี้ถึงอายุจะดูน้อย แต่เสียงกลับเจือกลิ่นอายของความชราภาพ อีกทั้งคิ้วตาสองมือล้วนมีร่องรอยมหัศจรรย์ที่กาลเวลาทิ้งเอาไว้ อายุแท้จริงจะต้องไม่น้อยเป็นอันขาด

“น้อมพบเจ้าเมือง” โม่เทียนเกอหลุบคิ้วเล็กน้อย ยกมือคารวะ จากนั้นถามทันทีว่า “ไม่ทราบเจ้าเมืองสั่งผู้อาวุโสเหลียงให้เชิญข้าสองคนมายังจวนเจ้าเมืองมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”

ดวงตาข้างเดียวของเด็กหนุ่มกำลังประเมินพวกนางสองคนอย่างละเอียด ขณะนี้โบกมือให้ผู้อาวุโสเหลียงถอยไป แล้วเชิญพวกนางสองคนนั่งลงไปใหม่ แล้วจึงกล่าวว่า “สหายน้อยทั้งสองระดับการฝึกตนดีนัก ถึงเป็นเป็นเพียงก่อเกิดตานขั้นกลาง แต่ลมหายใจวิญญาณเข้มข้น ควบแน่นทว่าไม่กระจายออก คิดว่าความแข็งแกร่งไม่สามัญ”

“ท่านเจ้าเมืองเกรงใจแล้ว” โม่เทียนเกอมองเขาอย่างระแวดระวัง เด็กหนุ่มคนนี้กับผู้อาวุโสเหลียงไม่เหมือนกัน ผู้อาวุโสเหลียงปราณมารฝังลึกไปทั้งร่าง ตาเปล่าก็มองเห็น แต่ปราณมารของเขากลับคล้ายมีเหมือนไม่มี อ่อนจางจนแทบจะสัมผัสไม่ได้

เด็กหนุ่มนี้มองพวกนางเสร็จก็ชี้พวกนางยิ้มถามว่า “คนหนึ่งคือฉินเวยสหายน้อยฉิน คนนี้คือสหายน้อยเทียนฉาน เปิ่นจั้วไม่ได้พูดผิดกระมัง”

ศักดิ์ฐานะของพวกนาง ผู้อาวุโสเหลียงส่งเครื่องรางสื่อสารแจ้งไปแต่แรกแล้ว การแต่งกายและนามของทั้งสองคนไม่ได้ผิดแผกไปเลย เด็กหนุ่มนี้ย่อมจะจำถูก

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เนี่ยอู๋ชางไม่ชอบพูดจา จึงปล่อยให้นางเป็นตัวแทนสนทนา “มิผิด”

เด็กหนุ่มนี้พยักหน้า เอ่ยแนะนำตัวเองว่า “เปิ่นจั้วเป็นเจ้าเมืองซิงลั่ว แซ่เหมยชื่อเฟิง”

“ที่แท้คือเจ้าเมืองเหมย อยากพบมานาน” พูดว่าอยากพบมานาน สีหน้าของโม่เทียนเกอกลับนิ่งสนิท

เจ้าเมืองเหมยผู้นี้เห็นแล้วหัวเราะฮา ๆ กล่าวว่า “เอาล่ะ มารยาทกลวงเปล่าพวกนี้ พวกเราไม่ต้องทำแล้ว สหายน้อยฉินพอมาก็ถามเปิ่นจั้วว่าเชิญมาพบด้วยเหตุใด คิดว่าจะต้องเป็นคนไร้ความอดทน มิสู้พวกเราตรงเข้าประเด็นหลักเลยเถิด?”

โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางย่อมไร้ข้อคัดค้าน พวกนางล้วนเป็นคนที่ไม่มีความอดทนต่อมารยาทกลวงเปล่า พยักหน้าเอ่ยทันทีว่า “เจ้าเมืองเหมยเชิญพูด”

เจ้าเมืองเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดว่าผู้อาวุโสคนนั้นของข้าจะต้องเอ่ยกับทั้งสองท่านไปบ้างแล้วกระมัง เรื่องราวพูดอย่างเรียบง่ายก็คือเปิ่นจั้วอยากจะเชิญทั้งสองท่านช่วยเปิ่นจั้วทำธุระเรื่องหนึ่ง หากเรื่องราวสำเร็จ เปิ่นจั้วจะมีคำขอบคุณอย่างหนัก”

เรื่องนี้ผู้อาวุโสเหลียงเคยพูดแต่แรกแล้ว โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “เรื่องนี้ ผู้เยาว์ทั้งสองกลับไม่เข้าใจแล้ว ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้าเมืองเหมย แล้วยังรวมเหล่าผู้อาวุโสของเมืองซิงลั่ว ความแข็งแกร่งค่อนข้างไม่สามัญแล้ว ยังมีเรื่องใดต้องการความช่วยเหลือคนนอกอย่างข้าหรือ ถึงจะช่วยเหลือ เจ้าเมืองเหมยเชิญผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่มาจำนวนหนึ่งมิใช่ว่าจะช่วยเหลือได้มากกว่าพวกข้าหรือ”

“ฮา ๆ” เจ้าเมืองเหมายหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ประหลาดที่สหายน้อยฉินมีความคิดเช่นนี้ เรื่องนี้ฟังทีแรกทำให้คนไม่เข้าใจจริง ๆ พูดอย่างนี้เถอะ เรื่องที่เปิ่นจั้วต้องการทำนี้ไม่ต้องการระดับการฝึกตนที่สูงเกินไป แล้วก็ไม่ต้องการคนมากเกินไป สิ่งที่ต้องการก็คือโอกาสมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่รับประกันชีวิต ดังนั้นเปิ่นจั้วจึงเชิญผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่เคยปรากฏที่เมืองซิงลั่วของข้าทั้งหมดให้ลงมือช่วยเหลือ”

ไม่ต้องการระดับการฝึกตนสูงจนเกินไป ดังนั้นไม่ต้องการเชิญผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เพราะเชิญผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ค่าตอบแทนต้องการที่ก็สูง ไม่ต้องการคนมากเกินไป ดังนั้นถึงแม้เขาเป็นนายของเมืองเมืองหนึ่ง ลูกน้องนับไม่ถ้วน ส่งไปก็ไม่มีประโยชน์ โม่เทียนเกอเข้าใจบ้างแล้ว แต่ว่า เจ้าเมืองเหมยผู้นี้เพิ่งจะพูดว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ “รับประกันชีวิต” เรื่องนี้หรือจะอันตรายมาก?

“ยังต้องขอให้เจ้าเมืองเหมยแจ้งตามจริง วาจาไม่กี่ประโยคเท่านี้ พวกข้ายังไม่อาจตกลง”

เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ดูท่าพื้นอารมณ์ยังไม่เลว หลังจากโม่เทียนเกอพูดเยี่ยงนี้ เขาคิดแล้วเอ่ยช้า ๆ ว่า “เรื่องนี้……ยังต้องเริ่มพูดจากเปิ่นจั้ว สหายน้อยทั้งสอง ตามที่พวกท่านเห็น เปิ่นจั้วอายุขัยเป็นเท่าใด”

คำถามนี้กลับตอบได้ไม่ง่ายนัก โม่เทียนเกอดูออกว่า เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ถึงรูปลักษณ์คล้ายเด็กหนุ่ม แต่อายุขัยคงจะผ่านครึ่งหนึ่งไปแล้ว แต่ผู้ฝึกตนบางคนไม่ชอบให้คนอื่นพูดว่าเขาสูงวัยมาก ๆ โดยเฉพาะผู้ที่รูปลักษณ์ภายนอกอ่อนเยาว์ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองเหมยผู้นี้มีข้อห้ามนี้หรือไม่

เจ้าเมืองเหมยคล้ายจะดูความอึดอัดของพวกนางออก เอ่ยอย่างเป็นมิตรว่า “สหายเต๋าทั้งสองพูดตรง ๆ ก็พอ ไม่ต้องห่วง”

ฟังวาจานี้แล้ว โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเมืองเหมยโปรดอภัยคำพูดตรง ๆ ของข้า อายุของเจ้าเมืองน่าจะอยู่ในระหว่างห้าร้อยถึงแปดร้อยปี ถูกหรือไม่”

เนี่ยอู๋ชางก็พยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย

เจ้าเมืองเหมยยิ้มแย้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “มิผิด สหายน้อยทั้งสองสายตาดี เปิ่นจั้วห้าร้อยปีผูกจิตวิญญาณใหม่สำเร็จ ปัจจุบันนี้ผ่านมาสามร้อยปีแล้ว กำลังอายุแปดร้อยปี สาเหตุที่เปิ่นจั้วคงรูปโฉมของเด็กหนุ่มมาโดยตลอดเป็นเพราะว่าตอนเยาว์วัยพลาดกินผลอายุยืน เป็นเหตุให้รูปโฉมคงอยู่ที่สิบห้าปีมาโดยตลอด หลายร้อยปีดุจหนึ่งวัน”

“ผลอายุยืน?” โม่เทียนเกอตื่นตะลึงอยู่บ้าง ผลอายุยืนเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของยาอายุยืน หากกินเดี่ยว ๆ ก็มีประสิทธิภาพเพิ่มพูนอายุขัย เพียงแต่จะเกิดผลพลอยได้อื่น……ดูท่าปีนั้นเจ้าเมืองเหมยผู้นี้อายุเยาว์ไม่รู้ความ ร่างกายได้รับผลเสียของมันไป

เจ้าเมืองเหมยถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “เปิ่นจั้วมีชีวิตมาแปดร้อยปีแล้ว เริ่มตั้งแต่สิบห้าปีก็คงสภาพรูปโฉมนี้มาโดยตลอด ตอนเริ่มแรกยังรู้สึกพึงพอใจเต็มเปี่ยม นึกว่าความเยาว์จะคงอยู่เนิ่นนาน เทียบกับคนอื่นแล้วประหยัดยาคงโฉมไม่น้อย แต่ภายหลังอายุค่อย ๆ มากขึ้นจึงรู้ว่าการที่สามารถเติบโตขึ้นตามอายุก็เป็นพรประการหนึ่ง เปิ่นจั้ว……ตอนที่เปิ่นจั้วเยาว์วัยก็เคยมีคนรัก แต่สตรีนางนั้นปฏิเสธข้าไปในที่สุดเพราะรูปโฉมที่ไม่เติบโตของข้า……”

โม่เทียนเกอเห็นเจ้าเมืองเหมยนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง คิดว่าในอดีตรักใคร่สตรีนางนั้นถึงสิบส่วน สิบห้าปี เป็นอายุที่อิหลักอิเหลื่อโดยแท้ ที่วัยเท่านี้ บุรุษเริ่มเข้าใจเรื่องความรัก แต่กลับยังไม่ได้เติบใหญ่เต็มที่ ไม่สามารถนับเป็นบุรุษ สตรีบนโลกนี้น่าจะล้วนไม่หวังให้คนรักของตนเองอายุหยุดอยู่ที่สิบห้าปีตลอดกาล อายุนี้ยังไม่มีไหล่บ่าที่กว้างหนา อีกทั้งถึงนางจะรักษาความเยาว์วัยโดยตลอด อยู่กับเขาก็จะเปรียบประดุจการอยู่กับน้องชาย……

เจ้าเมืองเหมยรู้สึกทอดถอนอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เรื่องนี้เป็นความเสียใจในชีวิตของเปิ่นจั้ว ถึงแม้คนในใจคนนั้นของข้ากลายเป็นผงธุลีแต่แรกแล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้ ข้ายังคงไม่สามารถปล่อยวาง แปดร้อยปีมานี้ เปิ่นจั้วคิดจนสุดหนทาง อยากจะฟื้นฟูรูปโฉม แต่เสียดายที่ไม่สำเร็จมาโดยตลอด ในบันทึกโบราณกาลเคยมีผลวิญญาณชนิดหนึ่ง เรียกว่าผลเทพสวรรค์ ผลไม้นี้ในด้านการฝึกตนไม่นับว่ามหัศจรรย์จนเกินไป แต่กลับสามารถลบล้างพิษที่เกิดจากการกลืนกินหญ้าวิญญาณ เปิ่นจั้วเสาะหามาหลายร้อยปี ไม่เคยเห็นผลไม้นี้เลย ผลไม้นี้ดั่งจะเลือนหายไปในระยะเวลาอันยาวนาน ไม่ได้คงอยู่บนโลกมนุษย์ทุกวันนี้แล้ว แต่ว่า ไม่กี่วันก่อน เปิ่นจั้วกลับมีการค้นพบอย่างหนึ่ง!”

พูดถึงตรงนี้ ในแววตาเจ้าเมืองเหมยส่องประกายออกมา เต็มไปด้วยความหวัง “ไม่กี่วันก่อน เปิ่นจั้วค้นพบสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งในเขาซิงลั่ว ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด เป็นไปได้ว่าเป็นสิ่งตกทอดของยุคโบราณกาล พอเข้าไปในสิ่งตกทอดนี้ก็จะกระตุ้นให้เกิดบททดสอบหนึ่งครั้ง หากผ่านด่านบททดสอบจะได้รับรางวัลหนึ่งชิ้น ในนั้นมีผลเทพสวรรค์!”

โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางล้วนตะลึง หากวาจาของเจ้าเมืองเหมยผู้นี้เป็นความจริง เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมากขนาดนั้นล้วนไม่จากไป สถานที่ลับประเภทนี้เดิมก็หาได้ยาก หากเจ้าเมืองเหมยให้โอกาสพวกเขา ให้พวกเขาเข้าไป ถึงแม้ไม่ได้รับผลเทพสวรรค์ก็มีโอกาสได้รับสมบัติอย่างอื่น โอกาสหายาก!

………………..

*มังกรตาเดียวหมายถึคนตาบอดหนึ่งข้าง

ตอนที่ 395 – เรือนโค้งปทุมวาโย

เรือนโค้งปทุมวาโย (曲院风荷) Quyuan Fenghe คำสี่คำนี้แบ่งเป็นสองคำคือ Quyuan แปลว่าเรือนคดโค้ง กับ Fenghe แปลว่าดอกบัวลมค่ะ นี่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงในประเทศจีนค่ะ อยู่ที่หางโจว เปิดทั้งวัน เข้าฟรีด้วย เป็นสวนแห่งหนึ่งมีบึงน้ำมีดอกบัว เป็นหนึ่งในสิบทิวทัศน์ริมทะเลสาปตะวันตกของหางโจว เห็นรูปแล้วเราอยากไปเที่ยวเลย แต่เราว่ามันคงไม่ได้เกี่ยวกับนิยายหรอก 555

https://img.lovepik.com/photo/20211123/small/lovepik-hangzhou-west-lake-qu-yuan-feng-he-picture_500793326.jpg

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท