เช้าวันที่สอง เหลิ่งรั่วปิงตื่นนอนแต่เช้าและเตรียมตัวไปทำงาน เมื่อคืนเธอนอนหลับสนิทมาก
เหลิ่งรั่วปิงผลักประตูออกไป เธอเห็นก่วนอวี้ยืนต้อนรับอยู่หน้าห้อง เธอตกใจมาก “เลขาก่วน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
ก่วนอวี้คลายยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ครับคุณเหลิ่ง คุณชายเยี่ยสั่งให้ผมมารับคุณเหลิ่งไปทำงานครับ”
เหลิ่งรั่วปิงโบกรถแท็กซี่ไปทำงานทุกวัน และแน่นอนว่าการที่เธอต้องคอยแย่งรถแท็กซี่กับคนอื่นแบบนี้ทำให้การเดินทางของเธอไม่สะดวกเท่าไหร่ การมีรถมารับสั่งแบบนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเยี่ยต้องทำแบบนี้ด้วย หรือเขาไม่กลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะถูกเปิดเผย อันที่จริงเขาเป็นคนที่ฉลาด แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนสติไปแล้ว
ก่วนอวี้เข้าใจดีว่าทำไมเหลิ่งรั่วปิงถึงตกใจ ตอนนี้หนานกงเยี่ยพยายามเอาใจเธอทุกอย่าง เพียงแต่เธอยังมองไม่ออกก็เท่านั้น
ก่วนอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สองคนนี้ เมื่อก่อนต่างก็เป็นคนที่ไร้ความรู้สึก หลังจากที่เจอกันแล้ว คุณเหลิ่งยังคงนิ่งเฉยและไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม แต่หนานกงเยี่ยยิ่งอยู่ก็ยิ่งถลำลึก แม้แต่เหลิ่งรั่วปิงหลอกใช้เขา เขาก็ยังไม่โกรธและยังคอยช่วยเธอแก้แค้นศัตรูอีก เขาถึงขั้นยอมเอาโปรเจคแลนด์มาร์คของเมืองหลงมาเดิมพัน
น่าเสียดาย หนานกงเยี่ยยังไม่รู้ใจตนเอง ถ้าสักวันหนึ่งเขารู้ใจตนเองขึ้นมา ถึงเวลานั้นตอนจบจะเป็นยังไง
โบราณว่าเอาไว้ ความรู้ก็เหมือนกำแพงล้อมเมือง คนที่อยู่นอกเมืองต่างมองเห็นทุกอย่างชัดเจน แต่คนที่อยู่ในเมืองกลับยังคงหลงทางไม่รู้อะไรเลย
ก่วนอวี้ถอนหายใจ เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณเหลิ่งครับ ผมจอดรถเอาไว้ชั้นล่าง เชิญทางนี้ครับ”
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะรู้สึกแปลกใจ เธอเธอก็ไม่มีเวลาไปคิดอะไรมาก เธอล็อคประตูห้องแล้วเดินตามก่วนอวี้ไปชั้นล่าง
ก่วนอวี้รีบไปเปิดประตูรถให้เธอ เหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่ได้ชักช้า เธอนั่งเข้าไปในรถยนต์ แต่วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนตนเองถูกสาปให้กลายเป็นก้อนหิน หนานกงเยี่ยนั่งอยู่ภายในรถยนต์ด้วย!
เหลิ่งรั่วปิงตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง ในเวลาเดียวกันก่วนอวี้ก็เข้ามานั่งประจำที่นั่งคนขับพร้อมกับปิดประตูแล้ว เขาขับรถออกไป ทว่าเหลิ่งรั่วปิงยังคงไม่ได้สติกลับมา
เขาทำแบบนี้หมายความว่าอะไร เขาจะไปทำงานพร้อมกับเธอ เธอจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าคนในบริษัทหนานกงเห็นเข้าจะคิดยังไง พวกเขาจะมองเธอยังไง
หนานกงเยี่ยใช้มือเลื่อนกดหน้าจอแล็ปท็อปของเขา เขาปรายตามองดูเหลิ่งรั่วปิงด้วยสีหน้านิ่งๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ทำไมต้องมองผมแบบนี้ด้วย มีอะไรติดหน้าผมหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงพยายามควบคุมสติตนเอง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “คุณหนานกง คุณคิดจะทำอะไรของคุณคะ”
หนานกงเยี่ยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ผมมารับผู้หญิงของผมไปทำงาน ไม่สามารถว่ามีปัญหาหรือไง” เขาพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“หึ!” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “คุณไม่ต้องการให้คุณอื่นรู้เรื่องของเราไม่ใช่หรอคะ ผู้หญิงอย่างฉันไม่มีสิทธิ์เปิดเผยฐานะตนเองไม่ใช่หรอคะ”
หนานกงเยี่ยยงคงมองดูแล็ปท็อปของตนเอง เขาเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉย “นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้คุณไม่ใช่เมียเก็บของผมแล้ว”
“แล้วระหว่างเราเป็นอะไรกันคะ”
“ผู้ชายกับผู้หญิง”
เหลิ่งรั่วปิงโมโหจนอยากจะด่าเขา เธอไม่สามารถทำหน้านิ่งได้อีกต่อไป เธอกัดฟันกรอดแล้วมองดูหนานกงเยี่ย “ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกสองวันไม่ใช่หรอคะ” ผู้หญิงกับผู้ชาย นี่มันความสัมพันธ์บ้าบออะไรกันแน่
หนานกงเยี่ยละมือออกจากแล็ปท็อป เขาหันหน้ามามองดูเธอที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ หนานกงเยี่ยหัวเราะเบาๆ “ผมแค่อยากจะใช้สิทธิของตนเองล่วงหน้า ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณสักหน่อย”
ในที่สุดเธอก็ไม่แสแสร้งทำเป็นสง่างามตรงหน้าเขาอีกแล้ว เธอทั้งโมโหและโกรธ ทุกอารมณ์ของเธอล้วนทำให้เขามีความสุข
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่าตอนนี้หนานกงเยี่ยพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นคนฉลาดและเย็นชาไม่ใช่หรอ ทำไมตอนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งปัญญาอ่อน ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้ยางอาย
ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังโมโหและไม่รู้จะทำยังไงดีนั้น หนานกงเยี่ยก็ยื่นนมและซูชิให้กับเธอ “นี่ รีบกินอาหารเช้าเถอะ กำลังร้อนๆ เลย”
เหลิ่งรั่วปิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือออกไปรับนมและซูชิจากนั้นก็กินอย่างเอร็ดอร่อย เธอไม่ได้กินอาหารเช้า ทำให้ตอนนี้เธอหิวมาก ตอนที่เธอกินไปกว่าครึ่งนั้น จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หนานกงเยี่ยเตรียมอาหารเช้าให้เธอ! เขายังเป็นราชาที่อยู่เหนือทุกคนอยู่ไหม ยังเป็นคนที่เลือดเย็นและอำมหิตอยู่ไหม เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ใครเห็นใครอยู่ในสายตาไม่ใช่หรอ”
เมื่อคิดถึงข้อนี้ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกขนรุกขึ้นมาทันที เธอเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่คอยอยู่กับเสือที่ขี้โมโห ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่าเขาจะโมโหแล้วกินตนเองเมื่อไหร่ แต่อยู่ดีๆ เสือที่ขี้โมโหตัวนี้กลับยิ้มให้กับตนเอง ทั้งยังเอาหญ้ามาให้กระต่ายน้อยกินอีก จะให้เธอไม่คิดสงสัยได้ยังไงว่าเสือขี้โมโหตัวนี้กินยาผิดขนาด? ผิดไหมถ้าเธอจะคิดว่าเขาต้องการป้อนหญ้าให้กระต่ายกินจนอ้วนแล้วค่อยกินกระต่าย?”
เหลิ่งรั่วปิงกลืนซูชิลงคอ เธอหันหน้าไปมองหนานกงเยี่ย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณหนานกง ฉันไม่มีอะไรที่คุณต้องการหรอกนะคะ”
หนานกงเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดทันที อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง เขาหัวเราะได้สดใสเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าสีคราม จากนั้นก็โอบเอวเธอเอาไว้ ริมฝีปากบางของเขาพูดกระซิบอยู่ข้างหูเธอ “มีสิครับ คุณคือสิ่งที่ผมต้องการมาโดยตลอดไม่ใช่หรอ รีบกินเถอะ ผมจะเลี้ยงดูคุณให้อ้วนแล้วค่อยพากลับไปวิลล่าหย่าเก๋อ”
เหลิ่งรั่วปิงกัดหลอดดูดอย่างแรง ครุ่นคิดในใจว่าทำไมตนเองถึงโง่แบบนี้ จริงด้วย เรือนร่างของเธอเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอดไม่ใช่หรอ เขาชอบเรือนร่างของเธอ แต่ว่า ฉันกลายเป็นคนโง่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมตอนนี้ฉันถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ทำไมความสง่างามของเธอถึงหมดไปเวลานี้ที่อยู่กับผู้ชายคนนี้ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด!
ก่วนอวี้เลิกคิ้วขึ้น มุมปากของเขากระตุกยิ้มเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นคุณชายเยี่ยมีความสุขแบบนี้มาก่อน อันที่จริง การให้เหลิ่งรั่วปิงอยู่ข้างกายหนานกงเยี่ยแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอวี้หลานซีจะทำยังไง ก่วนอวี้รู้สึกเป็นห่วงอวี้หลานซีขึ้นมา
รถขับเข้าไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน เหลิ่งรั่วปิงลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปยังลิฟท์ของพนักงาน เธอกลัวคนอื่นจะเห็นมาก
ในทางกลับกัน หนานกงเยี่ยกลับใจเย็น เขารอจนกระทั่งก่วนอวี้เช็ดรถเสร็จ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินอย่างสง่าผ่าเผยไปยังลิฟท์ของประธาน มุมปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นมา นี่เป็นเช้าแรกที่เขารู้สึกอารมณืดีในครึ่งเดือนที่ผ่านมา
เมื่อไปถึงห้องทำงาน สิ่งแรกที่หนานกงเยี่ยทำก็คือเปลี่ยนหน้าจอไปยังบันทึกกล้องวงจรปิดภายในห้องของเหลิ่งรั่วปิง เขาจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ปรายตาอ่านเอกสารครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมอง การมองดูเธอแบบนี้ เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเขา
เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ว่าทุกกิริยาท่าทางของเธอล้วนอยู่ในสายตาของหนานกงเยี่ย เธอรู้เพียงว่าตนเองต้องตั้งใจออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงให้เรียบร้อย นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เธอต้องทำในตอนนี้ ดังนั้น เมื่อไปถึงห้องทำงาน เธอก็วาดภาพด้วยความตั้งใจ
เวลาเดินเร็วมาก ไม่นานก็ได้เวลาพักกลางวันแล้ว
“คุณเหลิ่งคะ ได้เวลาพักเที่ยงแล้ว คุณจะไปกินข้าวกับพวกเราที่ชั้นล่าง หรือว่าจะให้ฉันซื้อกลับมาให้คุณดีคะ” ผู้ช่วยเอ่ยถามเหลิ่งรั่วปิงด้วยความเคารพ
เหลิ่งรั่วปิงวางดินสอและไม้บรรทัดในมือลง เธอเอียงข้อมือแล้วมองดูนาฬิกา จากนั้นคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “พวกคุณไปกินกันเถอะคะ เดี๋ยวฉันลงไปกินเอง”
หลังจากที่ผู้ช่วยออกไปแล้วนั้น เหลิ่งรั่วปิงก็ต้องใจวาดรูปอีกสักพักหนึ่ง จากนั้นก็เก็บข้าวของเพื่อที่จะไปกินข้าวในโรงอาหารคนเดียว เหตุผลที่เธอไปกินข้าวสาย เป็นเพราะเธอไม่อยากไปเบียดลิฟท์กับคนอื่น
หนานกงเยี่ยดูกล้องวงจรปิดมาโดยตลอด เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงเดินออกไป มุมปากของเขาก็คลายยิ้ม จากนั้นมองไปทางก่วนอวี้
“คุณชายเยี่ยครับ เที่ยงนี้จะไปรับประทานอาหารที่ไหนครับ” ก่วนอวี้คลายยิ้มแล้วเอ่ยถาม ในสายตาของเขา หนานกงเยี่ยเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่กำลังลิ้มรสความรักเป็นครั้งแรก บางครั้งเขาก็จะเหม่อลอย บางครั้งก็ยิ้มโง่ๆ คนเดียว
“ไปกินที่โรงอาหาร” หนานกงเยี่ยพูดเสียงเรียบ จากนั้นเหยียดตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ก่วนอวี้ตกใจมาก เขารีบเดินตามไปติดๆ ภายในใจก็บ่นไม่หยุด คุณชายเยี่ยไม่ค่อยชอบเข้าไปยุ่งกับพนักงาน การที่พนักงานคนหนึ่งจะได้เห็นเขามันยากพอๆ กับการเจอราชา การที่เขาไปโรงอาหารกะทันหันแบบนี้ พนักงานคงตกใจกันถ้วนหน้าแน่
ความประทับใจที่เหลิ่งรั่วปิงมีให้กับหนานกงเยี่ยคือความสวย สง่างาม บริสุทธิ์และมีความสามารถ เธอเหมือนกับนางฟ้า แต่นางฟ้าตนนี้เป็นนางฟ้าที่หยิ่งและเย็นชา เธอไม่คบค้าสมาคมกับใคร อีกทั้งไม่ว่าจะเจอกับใครเธอก็ไม่ทักทาย เหมือนกับว่าใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตนเอง
ดังนั้น ถึงแม้ว่าในโรงอาหารจะมีคนมากมายและเสียงดัง แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับนั่งคนเดียว เธอกินมื้อเที่ยงด้วยความสง่างาม กินด้วยความเงียบเหมือนอยู่คนละโลกกับทุกคน
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ โรงอาหารก็เงียบกะทันหัน ได้ยินเพียงแค่เสียงซุบซิบพูดคุยกัน ตามด้วยเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะของใครบางคนที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร ราวกับว่ามีคนกำลังตีเป็นจังหวะ
เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองตามเสียง ชายหนุ่มสูงโปร่ง หน้าตาของเขาเหมือนถูกแกะสลักออกมาด้วยความปราณีต เขาสวมชุดสูทสั่งตัดอย่างดีทำให้เขาแลดูมีออร่ามาก เขาเหมือนเทพบุษร ที่ทุกคนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง หนานกงเยี่ยเดินมาอย่างสง่าผ่าเผยสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน
“พระเจ้า คุณชายเยี่ย นี่มันคุณชายเยี่ยหนิ!”
“จริงด้วย คุณชายเยี่ยมาโรงอาหาร!”
“พระเจ้าช่วย เขาหล่อกว่าในรูปอีก!”
“เหมือนเทพบุษรเลย!”
คำพูดของทุกคนดังระงมอยู่ข้างหู เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบได้หยุดเดิน หนานกงเยี่ยเสียสติไปแล้วหรือไง ถึงได้มาที่โรงอาหาร เขาอยากทำให้คนล้มป่วยเป็นโรคหัวใจหรือไง”
แต่ว่า การมาที่นี่ของเขามันเกี่ยวอะไรกับเธอ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงหันหน้ากลับมา เธอก้มหน้าลงแล้วกินมื้อเที่ยงของตนเองต่อ
ภาพที่เกิดขึ้นน่าแปลกมาก ขณะที่ทุกคนกำลังเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเยี่ยอย่างนับถือ กลับมีแค่เหลิ่งรั่วปิงเท่านั้นที่เอาแต่ก้มหน้ากินข้าว เหมือนว่าเธอหิวมาก
หนานกงเยี่ยหยุดเดิน คิ้วของเขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เธอทำแบบนี้หมายความว่าอะไร เธอไม่เห็นเขาหรือไง ทั้งๆ ที่เห็นเขาแต่กลับกินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังเห็นเขามีตัวตนอยู่ไหม
ก่วนอวี้ที่รู้จักหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวของหนานกงเยี่ย อดไม่ได้ที่จะหัวเราในใจ
หนานกงเยี่ยไม่เคยต้องทำให้ตนเองมีตัวตน ต่อให้เขาไม่ออกมาให้ทุกคนเห็นตลอดเวลาหนึ่งปี คนในบริษัทหนานกงก็จำเขาได้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เขาใช้สายตาเหยี่ยวของตนเองกวาดมองดูพนักงานทุกคนในหนานกง แต่ว่ากับเหลิ่งรั่วปิง ไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็ไม่เคยมีตัวตน
ก่วนอวี้พูดในใจ คุณชายเยี่ยครับ ในสายตาของคุณเหลิ่ง คุณเป็นได้แค่สินค้าที่ล้มเหลว
หนานกงเยี่ยโกรธมาก สีหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นทันที เขาเดินไปตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นนั่งลงตรงข้ามเธอ ท่ามกลางความตกใจของสายตาทุกคู่ที่มองมานั้น ริมฝีปากบางของเขาพูดขึ้น “ไปเอาข้าวมาให้ผม”