แม้ว่าเซี่ยงหย่งซินหาโอกาสถ่วงเวลา แต่ชิงเฮ่อห่างจากต้าซื่อก็แค่นั้น ยืดเวลามาได้เจ็ดวัน ก็นับว่าสวรรค์คุ้มครองนางแล้ว
“อะไรนะ ค่ายชิงเฟิง” ซือฟั่งเฉินถลึงตาจ้องมองเซี่ยงหย่งซิน พี่หลิงบอกแค่ว่าบ้านนางอยู่บนเขาแถวเมืองชิงเฮ่อ แต่ไม่ได้บอกว่าคือค่ายชิงเฟิงที่เป็นรังโจรภูเขาทางใต้ของต้าหุ้ยที่มีชื่อเสียงนี่
“ใช่” เซี่ยงหย่งซินก้มหน้า สีหน้าเขาสะเทือนจิตใจนางนะ แม้ค่ายชิงเพิงตอนแรกจะเป็นค่ายโจร แต่หลังจากบิดามารดานางปรับปรุงพัฒนามา สองปีก่อนก็ไม่ใช่แล้ว
“อย่างนั้น ข้าไปเองก็ได้ ขอบคุณที่เจ้าคุ้มครองข้ามา” เซี่ยงหย่งซินก้มคำนับขอบคุณพลางคว้าห่อผ้าโดดขึ้นม้า คว้าบังเหียนจากมือเขามาคิดจะขึ้นเขาเอง
หงอิงไม่ได้หลอกนาง ชายในเมืองไม่ว่ารูปหล่อหรือไม่ ล้วนไม่ชอบหญิงชาวเขาอย่างพวกนาง
แต่ตอนนี้นางเริ่มลังเลแล้ว
ชายที่นางถูกใจอายุน้อยกว่านางสามปีไม่ว่า ยังเป็นลูกชายโทนตระกูลใหญ่ นางไม่เชื่อว่าเขาจะยอมตามนางขึ้นเขา แต่ก็ทำใจตีหัวเขาสลบลากขึ้นเขาไม่ได้
ได้แต่…ปล่อยมือเช่นนี้…ฮือ ฮือ ฮือ…ทำไมนางโชคไม่ดีอย่างนี้ ถึงกับไม่ได้ดีเหมือนหงอิงที่ลงเขามาเมื่อปีก่อน แม้ว่าแบกชายกลับไปไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ได้ตั้งครรภ์ลูกของชายที่นางรัก ขึ้นมาคลอดเป็นเลือดใหม่บนค่ายชิงเฟิง แต่หันมามองนาง โอย อย่าพูดเลย ครึ่งเดือนมานี้เสียเปล่าแท้…
เอ๋? เจ้าม้าไม่อยากขึ้นเขา? แต่ไม่ได้นะ นางต้องกลับไปบีบให้เจ้าฟู่เอินจี้ยกเลิกประกาศจับจอมโจรแดนใต้นั่นก่อน ไม่อย่างนั้น นางไปไหนไม่ได้ เจ้าคนกลิ้งกลอก ไม่เพียงให้ภาพนางที่ปลอมเป็นชายกับทางการ ยังให้ภาพนางเป็นหญิงไปด้วย ไม่บีบนางกลับค่ายชิงเฟิง เขาจะไม่รามือใช่ไหม
เซี่ยงหย่งซินถอนหายใจเบาๆ อธิบายกับม้าพุทราแดง แต่พออธิบายจบ ดึงอีกที ม้าก็ยังคงไม่ยอมเดิน
นางหันไปมองอย่างแปลกใจ จึงพบว่าซือฟั่งเฉินดึงบังเหียนม้าไว้ จ้องมองนางเขม็ง
“ทะ…ทำไมล่ะ” นางแอบขโมยของเขามาหรือ
“ยังกล้าถาม เอาข้ามาทิ้งไว้ในที่ที่แม้แต่นกยังไม่ถ่ายรดนี่ แล้วก็สะบัดตูดไปหรือ ปฏิบัติกับผู้มีพระคุณที่มาส่งเจ้าอย่างนี้ได้อย่างไร” ซือฟั่งเฉินอดด่าอย่างโมโหไม่ได้ เขาไม่ยอมรับเด็ดขาว่าตนเองจำทางไม่ได้ แต่เป็นเพราะแผนที่ไม่ได้บอกทางเดินเส้นเล็กไว้ เขาเดินเข้าไปแล้วก็ออกไปไม่เป็น
ดังนั้นพอรู้ว่าพี่หลงจะให้เขาส่งเซี่ยงหย่งซินกลับชิงเฮ่อ เขายังถูกพวกกลุ่มพี่น้องชายล้อแทบแย่
ดีที่เซี่ยงหย่งซินไม่รีบร้อน ทุกเมืองที่ไปยังนับว่ารุ่งเรือง ล้วนมีที่พัก ไม่เร่งเดินทางกลางคืน ไม่เดินทางเล็ก เขาก็ไม่ถูกคนรู้ว่าจำทางไม่ได้
แต่พอถึงชิงเฮ่อ นางบอกว่าบ้านนางอยู่ชานเมืองชิงเฮ่อ เขาหาในแผนที่ตั้งหลายรอบ ก็หาเขาชิงซานที่นางว่าไม่เจอ ได้แต่มาตามที่นางบอก ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น ภูเขาลึกที่ให้ตายเขาก็ไม่มีวันมาเยือนเด็ดขาด
แต่นางดีเลย ถือโอกาสตอนที่เขากำลังอึ้ง คว้าห่อผ้านางมา กระชากม้าจะหนีขึ้นเขา สีหน้าเหมือนจะอำลาเขาจริงๆ ราวกับวีรบุรุษกล่าวอำลากันว่า ‘ภูเขาไม่แปรเปลี่ยน สายน้ำยังคงไหล จากกันตรงนี้ วันหน้าย่อมได้พบกัน’ อะไรอย่างนี้
เขาจะปล่อยให้นางได้หนีไปอย่างสมหวังได้อย่างไร
“เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ” นางยังคงอึ้งมองเขา ปากน้อยๆ ของนางเผยอหุบไม่ลง อดขยี้หูไม่ได้ กลัวว่าตนเองจะฟังผิดไป
“เจ้าฟังไม่ผิด ข้าบอกว่าข้าจะขึ้นเขากับเจ้า ไปส่งเจ้าให้ถึงบ้านด้วยตัวเอง” จากนั้นก็หาคนออกมาส่งเขาลงเขาอย่างไร ดีที่สุดให้ส่งไปที่ประตูเมืองชิงเฮ่อ ซือฟั่งเฉินเน้นย้ำอย่างอารมณ์เสีย จ้องมองปากแดงๆ ของนางอยู่เป็นนาน อดเอื้อมมือไปขยี้แก้มขาวผ่องของนางไม่ได้ “ฟังเข้าใจแล้วก็นำทางสิ หรือเจ้าคิดอยากค้างที่นี่”
กล่าวจบก็คว้าห่อผ้าจากไหล่นางมา ดึงสายบังเหียนไป ในหัวมีแต่ความร้อนผ่าว ถึงกับลูบแก้มนางแล้วใจเต้นแรง สัมผัสนุ่มมือไม่น้อย
เซี่ยงหย่งซินได้สติก็รีบหันกลับมา แสร้งทำท่านำทาง แต่จริงๆ กำลังพยายามปกปิดความแดงและร้อนผ่าวบนใบหน้าเช่นกัน
สวรรค์ เขาถึงกับแตะต้องแก้มนาง แม้ว่าแค่เบาๆ แต่ก็ทำเอานางร้อนผ่าวไปทั้งตัว
นี่คือที่หงอิงบอกว่าสัมผัสหวานละมุนเช่นนั้นหรือ แต่ทำไมเขาแตะต้องนาง หรือว่านางสมหวังแล้ว เขาชอบนาง?
หางตานางเหลือบมองซือฟั่งเฉิน ทำเอานางสะดุดเกือบล้มหลายครั้ง
“ข้าว่านะ เจ้าไม่ได้เดินผิดทางใช่ไหม” ซือฟั่งเฉินหรี่ตามองนางเย็นเยียบ แม้แต่ทางกลับบ้านก็ยังอันตรายเช่นนี้ หากไม่มีเขาคอยดูแล คอยประคองนาง ดีไม่ดีนางคงร่วงลงเขาไปหลายรอบแล้ว
ยังบอกว่าอายุมากกว่าเขาสามปี? แต่ทำไมเป็นคนทำอะไรซุ่มซ่ามแบบนี้?
“ขอโทษ” เซี่ยงหย่งซินรีบขอโทษ นางผิดเอง ไม่มีอะไรก็เอาแต่แอบลอบมองเขาทำไม
สัมผัสเมื่อครู่ ไม่แน่ว่าเขาแค่ช่วยนางปัดแก้มที่เลอะ ไม่ได้คิดอะไรอื่นเลยก็ได้ เซี่ยงหย่งซิน อย่าคิดเหลวไหล
นางแอบด่าตนเองไปหลายคำ ก่อนจะสงบสติลง หันไปตั้งสมาธิกับการเดินทาง หากยังไม่รีบให้ถึงค่าย พอฟ้ามืดก็ยุ่งยากแล้ว เขาต้าชิงซานนี้มีสัตว์ป่าไม่น้อย
……
“เขา? เจ้าถูกใจเขาจริง?” พอกลับถึงค่ายชิงเฟิง เซี่ยงหย่งซินก็ให้ฟู่เอินจี้พาซือฟั่งเฉินไปพักที่ห้องรับรอง ตนเองถูกหงอิงเรียกไปที่ห้องนอนรอรับการสอบสวนจากหงอิง
“อืม แต่เขา…ก็แค่รับหน้าที่ส่งข้าขึ้นเขาเท่านั้น…พรุ่งนี้ก็ไปแล้ว” เซี่ยงหย่งซินส่ายหน้าด้วยสีหน้าเฝื่อนขม
“ไม่ยาก แม่เจ้าทิ้งเยียนจือจุ้ยเอาไว้ให้ไม่น้อยไม่ใช่หรือ” หงอิงกลอกตาไปมา ตบมือดังเสนออย่างตื่นเต้น
“ไม่ดีกระมัง เขาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณข้า” แม้ว่าวิธีนี้นางคิดมาก่อน แต่หลังจากอยู่ด้วยกันมา เข้าใจกันมาหนึ่งเดือนครึ่งนี้ นางรู้ว่าซือฟั่งเฉินไม่ยอมรับคนที่บีบบังคับด้วยการทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแน่
ถึงตอนนั้นโดนเขาถ่มน้ำลายด่า ไม่สู้อย่างลองดีกว่า
“เกี่ยวอะไรกัน อดีตหัวหน้าค่ายต้องการที่สุดก็คือให้เจ้ามีลูกสืบสกุล ไม่อยากให้เจ้าตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต หากชายผู้นั้นไม่ยอมรับสัมพันธ์ใกล้ชิดที่เกิดและไม่ยอมอยู่ต่อ อย่างน้อยเจ้าก็มีโอกาสได้ลูกมา เจ้าไม่ใช่ว่าต้องการลูกเหมือนตั่วเอ๋อร์ข้าหรือ” หงอิงยิ้มหรี่ตาเสนอ
ลูกสาวนางแม้ไม่มีบิดา แต่พี่น้องทุกคนในค่ายก็ล้วนเป็นลุงและอาของนาง ก็ไม่ใช่ว่ามีความสุขดีหรือ
“แต่ว่า…” เซี่ยงหย่งซินยังคงรู้สึกไม่เหมาะ
นางคิดอยากได้ลูกน่ารักแบบตั่วเอ๋อร์สักคนจริงๆ และก็หวังว่าเด็กในท้องวันหน้ามาจากเขา…ซือฟั่งเฉิน
แต่ใช้เยียนจือจุ้ยบังคับเขา พอเขาได้สติ จะโกรธเกลียดนางไหม
นางชอบเขาจริงๆ ไม่อยากให้เขาโกรธเกลียดนาง
“เอาละ ตกลงตามนี้ เจ้ารีบไปอาบน้ำล้างหน้า เรื่องอื่นมอบให้ข้าจัดการ” หงอิงโบกมือบอกให้นางไปอาบน้ำให้สะอาด รอได้เป็นสตรีสมบูรณ์แบบ
……
“จากนั้นล่ะ เจ้าก็กลับมา” หลินเซียวขมวดคิ้วสีหน้าโมโหคุกรุ่น มองไปยังซือฟั่งเฉินที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือน
“ไม่อย่างนั้นล่ะ? ข้าควรแต่งกับนาง? นางบังคับใจข้า…” เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่พอใจของซือฟั่งเฉินชะงักลง นางไม่ได้บังคับใจเขาเท่าไร
เยียนจือจุ้ยนั่นจริงๆ ก็ไม่ใช่ยาที่ไม่อาจต้านทานฤทธิ์ได้ เพียงแค่เขาต้องการก็ย่อมต้านทานได้ แต่ตอนนั้นเห็นความงามอ่อนหวานของนางแล้ว เขาก็ไม่อยากจะต้านทานเอง
พอเสร็จเรื่อง เห็นนางนอนหมดแรงอยู่ใต้ร่างเขา รอยแดงบนที่นอนราวกับดอกอิงเถางดงาม
ทันใดนั้นเขาก็ลนลาน ร่างกายไปก่อนสติ สติเขาไม่ตั้งมั่น ถูกนางนำพาไปหมดสิ้น
พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น เขาก็รีบติดตามคนที่ลงเขาไปซื้อหาของใช้ขึ้นเขากลับชิงเฮ่อไป จากนั้นก็เร่งเดินทางทั้งวันคืนกลับมาต้าซื่อ
พอเขาได้สติ ก็พบว่ามานั่งอยู่ที่ชุ่ยอวี้ไจต่อหน้าหลินเซียวแล้ว
หน้าตาหมดแรง “พี่เซียว…” เขาไม่รู้ควรทำเช่นไรจริงๆ หนีคือสิ่งแรกที่เขาคิดได้
“อาเฉิน ในบรรดาน้องชายข้า เจ้าเป็นคนที่สตรีชื่นชอบมากที่สุด เป็นผู้นำสี่ชายรูปงามต้าซื่อ แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าประสบการณ์มาก เรื่องพวกนี้ ข้าเชื่อศีลธรรมจรรยาเจ้า”
หลินเซียวกล่าวชัดเจน แต่ไม่ใช่คำตอบที่เขาถาม แต่ว่าพอได้ยิน เขาก็เข้าใจแล้ว พี่เซียวกำลังด่าเขาว่าไร้ศีลธรรมจรรยา ก็จริง การกระทำที่ไม่รับผิดชอบเช่นนี้ไม่ควรเป็นสิ่งที่เขาเลือกกระทำ
เขาไม่ควรคิดอ้างเยียนจือจุ้ย หลังจากบรรลุความพึงใจในตัวนางแล้วก็หนีมาอย่างไร้ยางอาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่สมาชิกกลุ่มพี่น้องชายควรกระทำ
“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ก็กลับไปคิดให้ดีๆ แล้วกัน” หลินเซียวยิ้มมองส่งเขาออกจากชุ่ยอวี้ไจซือฟั่งเฉินลับตาไป แอบถอนหายใจ “ขอให้เจ้าคิดได้จริงๆ ว่าตนเองต้องการอะไร อายุสิบสามก็ควรเป็นวัยรับผิดชอบแล้ว”
……
แปดเดือนต่อมา
เซี่ยงหย่งซินก็อุ้มท้องที่โตมาก ค่อยๆ ก้าวลงจากบันไดอย่างระมัดระวัง เดินไปทางเรือนเล็กที่สร้างให้นางเมื่อครึ่งปีก่อน
หลายวันก่อนได้ยินฟู่เอินจี้บอกว่าเมืองสุ่ยเยว่มีข่าวใหม่มา ซือฟั่งเฉินรองประมุขหอเฟิงเหยาและผู้ดูแลโรงต่อเรือซีโหลว ลาออกจากทั้งสองแห่ง จากนั้นก็หายตัวไปไร้ร่องรอย
หายตัวไปไร้ร่องรอย? เขายังคงโกรธเกลียดนาง?
เซี่ยงหย่งซินกลืนความขมขื่นที่ผุดขึ้นมาลงไป เอื้อมมือไปลูบท้องที่นูนใหญ่
เพิ่งแปดเดือน อีกเดือนครึ่งกว่าจะคลอด ท้องนางกลับใหญ่โตเอาๆ เช่นนี้
กว่าจะไปเชิญหมอยอมขึ้นเขามาได้คน ก็ได้รู้ข่าวอันน่าตกใจว่า นางท้องแฝด
สวรรค์ นี่มันเป็นข่าวดียิ่งใหญ่เลยจริงๆ
ร้อยสามสิบคนในค่ายชิงเฟิงต่างดีใจตบมือกันใหญ่
ความหวังยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็คือให้ค่ายชิงเฟิงมีผู้สืบทอด ให้ค่ายชิงเฟิงได้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไม่ให้ถูกเลือนหายไปในประวัติศาสตร์และกาลเวลา
ตอนนี้หัวหน้าตั้งครรภ์แล้ว ทั้งค่ายย่อมร่วมใจกันช่วยเหลือให้นางคลอดอย่างราบรื่น
พอนางเล่าถึงเหอหยวนที่ต้าซื่อว่างามอย่างไรให้หงอิงฟัง ตอนได้ติดตามหลินหลงออกไปชม เป็นความงามยากจะลืมเลือน
ตอนนี้สิ่งที่นางชอบมาครบทุกอย่าง ชิงช้าที่ผูกแน่นหนาแขวนอยู่บนต้นไม้โบราณ เก้าอี้ไม้ตัวยาวริมสระบัวเล็กๆ และม้านั่งหินโต๊ะหินที่เอาไว้ตอนอากาศดีก็ออกมานั่งอ่านหนังสือวาดภาพท่ามกลางป่าเขาได้
ชิงเฮ่อปลายเดือนห้ายามเที่ยงเป็นเวลาที่แดดหน้าร้อนกำลังพอดี
เซี่ยงหย่งซินที่อยู่ในชุดกระโปรงปล่อยเอว ยันเอวไว้พลางเดินไปยังม้านั่งยาวริมสระบัว นั่งลงอย่างระมัดระวัง มองไปยังปลาสีแดงที่ว่ายร่าเริงอยู่ในสระบัว
มองไปๆ มาๆ ก็เคลิ้มอยากหลับ นางพิงเก้าอี้ยิ้มละไมหลับตาลงพัก
ซือฟั่งเฉินเห็นนางอีกครั้ง ก็คือภาพสาวงามนอนหลับที่ไม่เหมือนใคร
สับสนมาหนึ่งเดือน คิดมาหนึ่งเดือน ยุ่งมาหกเดือน ในที่สุดเขาก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อย วินาทีแรกที่ขึ้นเขาต้าชิงมาพบนางก็อยากจะบอกนางถึงการตัดสินใจของเขา
แต่คาดไม่ถึง สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือภาพที่น่าตะลึงเช่นนี้
เขาไม่ใช่ไม่เคยคิดว่าว่าจะตั้งท้องลูกของเขา แต่ไม่คาดว่าจะท้องโตเช่นนี้
สวรรค์ เขาคิดว่านางคงแทบจะถูกท้องมหึมานี่ทับแบนหมดแล้ว
ผู้ใด ผู้ใดกัน เสียงพร่ำบ่นอบอุ่นเช่นนี้ ผู้ใดกันอีก ลูบไล้อ่อนโยนเช่นนี้
เหมือนเขา เหมือนว่าเขา ตอนที่แทรกเข้าสู่กายนางอย่างอ่อนโยน…
เซี่ยงหย่งซินอมยิ้มลืมตาขึ้นจากฝัน เงยหน้ามองแววตาดำขลับที่ราวกับดูดวิญญาณ
“อา” นางตกใจกุมปากแน่น มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า…เจ้า…”
“ทำไม กล้าตั้งท้องลูกข้า แต่ไม่กล้ายอมรับข้า?” ซือฟั่งเฉินกลับคืนสู่น้ำเสียงเสียดสีดังเดิม ความอ่อนโยนในแววตาถูกเขากลบเกลื่อนทิ้ง ยังไม่ทันรอคำตอบนาง เขาไม่อยากยอมรับว่าตนเองตัดใจจากนางไม่ลง
“ไม่ใช่นะ…ข้า…ขอโทษที่ติดค้างคำอธิบายกับเจ้า…” เซี่ยงหย่งซินนั่งตัวตรง ก้มหน้ากล่าว
“ถูกต้อง เจ้ายังติดค้างคำอธิบายข้า ตั้งท้องทำไมไม่ส่งคนไปบอกข้า? หากข้าไม่มา เขา…ก็จะเป็นของเจ้าคนเดียวอย่างนั้นสินะ” ซือฟั่งเฉินชี้ไปที่ท้องนางพลางถามอย่างโมโห
“ข้า…หากเจ้าไม่อยากมา บอกหรือไม่ก็ไม่ต่าง” นางกล้าโต้กลับ หากมีใจใช่ว่าต้องรอถึงแปดเดือนค่อยมาหรือ ไม่รู้ว่าครั้งนี้มาด้วยจุดหมายอันใดกันแน่ ไม่ว่าอย่างไร ลูกสองคนก็เป็นของนาง ไม่ให้เขาพาไปเด็ดขาด “พวกเขาเป็นของข้า” นางกอดท้องไว้แน่นอย่างกล้าหาญ ถลึงตาตวาดใส่เขา
“พวกเขา?” ซือฟั่งเฉินอึ้งไปทันที ก่อนจะยิ้มมุมปาก “ดีมาก ครั้งเดียวได้ถึงสอง” เขาอิจฉาพี่หลิงกับพี่เซียวมานานแล้ว เซวี่ยเยวียนกับเซวี่ยเจินก็ด้วย พวกเขามีใจสื่อถึงกันได้
“แล้วอย่างไร พวกเขาเป็นของข้า เจ้าอย่าคิดกลับมาพาพวกเขาไป” เซี่ยงหย่งซินเริ่มดุดันอย่างหวาดกลัว กังวลว่าครั้งนี้เขามาเพื่อแย่งลูกนางไป
“สตรีนี่นะ เสียทีที่อายุมากกว่าข้า” ซือฟั่งเฉินเหล่มองนางอย่างขัดใจ “อยากเปิดหัวเจ้าออกมาดูจริงๆ ว่าแท้จริงข้างในมีอะไร”
มีอะไร? นางจะไปรู้ได้อย่างไร นางรู้แค่ผู้ชายคนนี้ อ้อ ไม่สิ หนุ่มน้อยนี่ รวนเรไปมายิ่งกว่านางอีก
แปดเดือนก่อนยังสีหน้าโกรธแค้นว่านางบังคับใจเขา แปดเดือนต่อมาก็มาขอนางแต่งงาน และรีบแต่งง่ายๆ ในไม่กี่วันนั้นอีกด้วย ยังบอกว่ารอให้ลูกคลอดแล้วครบเดือนก็จะพากลับไปจัดอีกครั้งที่เหอหยวนให้ยิ่งใหญ่
จากนั้นวันๆ เขาก็อยู่เป็นเพื่อนนาง รอนางคลอดอยู่ที่ค่ายชิงเฟิง
“เจ้า…เจ้าทำไมแต่งกับข้า” ถามทุกวัน
“ยังต้องถาม แน่นอนว่าเจ้าโง่งมอย่างไร ไม่มีข้า ดูสิว่าใครจะแต่งกับเจ้า ท้องโตตั้งสองคน” ทุกวันต้องตอบเช่นนี้
“เชอะ อย่างนั้เจ้าก็ไม่ต้องมา ข้ามีความสุขดี” ทุกวันต้องคำรามเช่นนี้
“เอาน่าๆ อย่าโมโห ระวังสุขภาพ…ข้า…คือว่า…ก็เหมือนที่เจ้าคิดนั่นแหละ” ปากเขายังคงแข็ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เต็มเปี่ยม