ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 51 เลิกเอาแต่พูดแล้วมาทำงานได้แล้ว

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 51 เลิกเอาแต่พูดแล้วมาทำงานได้แล้ว

ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้ในเวลาแค่ 3 ชั่วโมงนะ?

กระนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก รีบพูดธุระของตนไปด้วยความร้อนใจ “ฝูซิงป่วยน่ะค่ะ 39.7 องศา ตัวร้อนจี๋เลย!”

ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังพูดอยู่นั้น เสียงอีกเสียงก็ซ้อนมาจากปลายสายในจังหวะที่ไม่น่าอภิรมณ์เอาเสียเลย “ซือฉี ใครโทรมาน่ะคะ? มาช่วยนวดให้ฉันก่อนสิ”

น้ำเสียงของเฉียวเค่อเหรินนั้นอ่อนหวานและแอบแหบพร่านิดหน่อย ชัดเลยว่าเธอคนนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมา

เขาไปหาเฉียวเค่อเหรินหลังจากที่ไปจากฉันงั้นเหรอ? แถมยัง…

กลิ่นของเขายังไม่จางหายไปจากห้องนี้เลยแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับทำตัวแบบนี้งั้นเหรอ?

ทำไมใจคนเราถึงเปลี่ยนได้ไวขนาดนี้นะ?

ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจของฝูเจิ้งเจิ้ง แต่เธอก็ยังคาดหวังว่าหานซือฉีจะตอบรับการขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ เพราะยังไง เขาก็รักฝูซิงมากๆ เลยนี่

“เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มตัดสายทันทีหลังตอบมาเพียงคำเดียวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

รู้เช่นนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็วางโทรศัพท์ เฉินเฉี่ยวหลานรีบเข้ามาทันที “ท่านซือฉีจะมาเมื่อไหร่คะ?”

“เขาไม่มาหรอกค่ะ” หญิงสาวค่อยๆ สูดหายใจและอดกลั้นความเจ็บช้ำไว้ภายใต้รอยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาทีละนิด ทว่านี่ไม่ใช่เวลามาอ่อนแอ เธอรีบอุ้มฝูซิงขึ้นมา หอบกระเป๋าถือแล้วรีบออกไปทันที

———————————————

ภายในวอร์ดผู้ป่วยทั่วไป โรงพยาบาลเด็กประจำเมือง B

ฝูซิงที่ได้รับการฉีดยาแก้หวัดแล้วกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง

ฝูเจิ้งเจิ้งที่จัดการเรื่องหลายๆ อย่างแล้วก็เดินกลับมาหาเขาที่เตียงพร้อมกับแก้วน้ำในมือ ส่วนอีกมือก็ถือยาไว้ สวี่เหยียนที่เห็นดังนั้นก็ช่วยประคองฝูซิงให้ลุกขึ้นนั่งง่ายๆ

เด็กน้อยที่ดูอ่อนแอเหลียวมองยาในมือผู้เป็นแม่ด้วยความหวาดหวั่น “หม่ามี๊ ยานั่นขมไหม…”

เธอรู้ดีว่าลูกชายของตนนั้นเกลียดการกินยาขนาดไหน ดังนั้นจึงปลอบใจเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นิดหน่อยจ้ะ ฝูซิงเป็นเด็กเข้มแข็งอยู่แล้ว เพราะงั้นพอเข้าปากปุ๊ปฝูซิงก็สามารถกลืนได้ทันทีเลยอยู่แล้ว”

“ใช่แล้วๆ ซิงซิงน่ะเป็นผู้ชาย เพราะงั้นจะมายอมแพ้ต่อการกินยาไม่ได้นะ” สวี่เหยียนเองก็ช่วยพูดกระตุ้นเขาไปด้วย

เมื่อได้รับกำลังใจเช่นนั้น ฝูซิงก็หลับตาลงแล้วอ้าปากกว้าง เขากลืนยาลงไปในทันทีพร้อมน้ำหมดแก้ว

“ซิงซิงเก่งมาก!” สวี่เหยียนยกนิ้วชื่นชม

เจ้าตัวเล็กฝืนยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆ เอนตัวนอนลงไปอย่างอ่อนเพลีย

ประตูของห้องพักเปิดออกพร้อมกับเสี่ยวอี้เฉิงที่เดินเข้ามากับหมออีกคนหนึ่ง

คุณหมอเข้ามาตรวจอาการเบื้องต้นของฝูซิง และหันไปพูดกับเสี่ยวอี้เฉิง “ไข้ลดลงแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉีดยาเพิ่มกับกินยาสักนิดหน่อยก็น่าจะหายดีแล้ว แต่ยังไงคืนนี้ก็คงต้องให้พวกคุณช่วยอยู่เป็นเพื่อนแล้วคอยปลอบใจเขาก่อนนะครับ เพราะความกลัวที่ฝังใจ จะทำให้เด็กสามารถไข้ขึ้นได้ตลอดเวลา”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

“ขอบคุณค่ะ”

ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนขอบคุณคุณหมอพร้อมๆ กัน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” คุณหมอหนุ่มพูดพร้อมกอดคอเสี่ยวอี้เฉิงอย่างสนิทสนม “พวกเราน่ะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ผมยินดีที่จะช่วย ส่วนนาย ไปเอายากับฉันดีกว่า”

เสี่ยวอี้เฉิงไม่ปฏิเสธ เขาหายไปกับคุณหมอคนนั้นอีกครั้ง

มองไปยังสวี่เหยียนที่กำลังหาว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษที่ต้องเรียกเธอมากลางดึกจริงๆ นะ… ฉัน เอ่อ…”

“เธอพูดอะไรอยู่น่ะ?” สวี่เหยียนเหลือบมองอย่างไม่พอใจ “พูดอย่างกับว่าถ้าฉันป่วยกลางดึกแล้วโทรเรียกเธอบ้าง เธอจะไม่มาอย่างงั้นแหละ”

“อ่ะ…โอเค ดูเหมือนฉันจะพูดผิดเองสินะ” ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ ยิ้มออกมา

ก่อนหน้านี้ขณะที่เธอกำลังออกจากบ้านพร้อมฝูซิงในอ้อมแขน เฉินเฉี่ยวหลานกังวลเกี่ยวกับทั้งสองเป็นอย่างมาก เธอจึงอาสาจะมาด้วย แต่เพราะฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่าสุขภาพของเจ้าหล่อนก็ไม่ได้ดีอะไรไปกว่าคนวัยกลางคนคนอื่นๆ ดังนั้นคิดเหรอว่าเธอจะปล่อยให้อีกฝ่ายมาด้วย?

บางทีอาจจะต้องดูแลทั้งคนสูงวัยแล้วก็เด็กในเวลาเดียวกันเลยก็ได้…

แต่ไม่ว่าจะรอนานเท่าไหร่ ก็ไม่มีแท็กซี่วิ่งผ่านมาหน้าประตูทางเข้าย่านที่เธออยู่อาศัยเลย ความกังวลก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ ครั้นจะโทรเรียกให้หยางเต๋ามารับ เธอก็ดันลืมโทรศัพท์เครื่องเล็กมาอีก แต่จะให้กลับไปก็กลัวจะไม่ทัน ดังนั้นแล้วเธอจึงยืมโทรศัพท์จากยามหน้าหมู่บ้านและโทรหาสวี่เหยียนแทน

สวี่เหยียนไม่ปฏิเสธ เธอมาพร้อมกับเสี่ยวอี้เฉิงที่มีรถ พวกเขาแทบจะมาถึงในทันทีหลังจากที่วางสายและพาฝูซิงไปโรงพยาบาลเด็กที่มีเพื่อนทำงานอยู่

ทั้งสองคนนี้คอยช่วยเหลือเรื่องวุ่ยวายต่างๆ ภายในโรงพยาบาลให้ฝูเจิ้งเจิ้ง รวมไปถึงคอยดูแลเป็นเพื่อนจนกระทั่งลูกชายของเธออาการดีขึ้นมา

ความช่วยเหลือครั้งนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รู้จะกล่าวขอบคุณอย่างไรดี

ผิดกับอีกคนหนึ่ง ที่พูดกับเธอด้วยความเย็นชาผ่านโทรศัพท์ พอนึกหวนกลับไปทีไร มันก็อดช้ำใจไม่ได้ทุกที

สวี่เหยียนดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็หยุดไปก่อน ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้ดีว่าเธอนั้นอยากจะพูดอะไร ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะพูดถึงในตอนนี้

ไม่นานนัก เสี่ยวอี้เฉิงก็กลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าห่มในอ้อมแขน

หลังจากที่วางผ้าห่มไว้ที่ปลายเตียงแล้วพูดด้วยความหนักใจ “คุณเจิ้ง กว่าไข้ของฝูซิงจะลงก็น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ถ้ายังไงหากง่วงก็นอนเฝ้าแถวๆ นี้ได้เลยนะครับ ต้องขอโทษจริงๆ เพราะช่วงนี้เด็กป่วยกันเยอะมาก ผมก็เลยหาเตียงมาให้เธอด้วยไม่ได้”

“แค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะ ขอแค่ฝูซิงมีเตียงนอนก็พอ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มน้อยๆ ให้เขา

คำพูดนั้นไม่ใช่พูดเพราะเกรงใจ แต่มันเป็นเรื่องจริง ปกติแล้วเวลาฝูซิงป่วย เขาจะได้เข้าคลินิกเด็กและฉีดยาเท่านั้น ในวันนี้ได้มาพักถึงห้องผู้ป่วยในเช่นนี้มันก็ถือว่าดีมากแล้ว

หันมองเวลา ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดขึ้น “คุณอี้เฉิงพาสวี่เหยียนไปส่งที่บ้านก่อนเถอะค่ะ เธอจำเป็นต้องรีบไปดูแลครอบครัว แล้วไหนพรุ่งนี้ยังจะต้องไปทำงานอีก ไข้ของฝูซิงก็ไม่ได้ร้ายแรงแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันดูแลเขาต่อเองก็ได้”

เธอรู้ดีว่าสถานการณ์ทางบ้านของสวี่เหยียนก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ แม่ของสวี่เหยียนนั้นเป็นโรคประสาทอ่อนๆมานานแล้ว รวมถึงสุขภาพของผู้เป็นพ่อก็ยังไม่ค่อยดีอีก น้องชายของเธอได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อไม่กี่ปีก่อนส่งผลให้เป็นคนจิตใจไม่มั่นคง

แม้ว่าสวี่เหยียนจะทำตัวร่าเริงอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไงมันก็ซ่อนความเหนื่อยล้าภายใต้แววตาไม่ได้ เสี่ยวอี้เฉิงจึงไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะบอกให้เพื่อนผมช่วยบอกให้พยาบาลมาคอยดูแลฝูซิงให้ดีก็แล้วกันนะครับ ถ้าหากนอนพื้นต้องระวังความเย็นที่เพิ่มขึ้นช่วงกลางดึกด้วย ฝูซิงก็ยังต้องรอยาอีก 1 เข็มในวันพรุ่งนี้ช่วงบ่าย ถ้ายังไงเดี๋ยวพวกเราเลิกงานแล้วจะรีบมารับที่นี่เลย”

ถึงสวี่เหยียนจะยังกังวลเกี่ยวกับแม่ลูกคู่นี้ แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ยอมที่จะกลับไปพร้อมเสี่ยวอี้เฉิงตามคำขอของฝูเจิ้งเจิ้ง

“หม่ามี๊ น้าสวี่กับลุงเสี่ยวกลับไปแล้วเหรอ?” ฝูซิงเอ่ยถามเสียงค่อยในขณะที่ตายังปรืออยู่

“ใช่แล้วจ้ะ ลูกปวดหัวไหม?” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเตียงของฝูซิงพร้อมถามเสียงนุ่ม

“ไม่แล้ว” เจ้าตัวเล็กเองที่สัมผัสได้ถึงความกังวลของเธอ ก็ตอบกลับเป็นเชิงปลอบแม่เขาไปด้วย

ฝูเจิ้งเจิ้งเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาเพื่อจะป้อนให้ฝูซิงจิบ เนื่องจากหมอบอกเธอไว้ว่าฝูซิงต้องดื่มน้ำบ่อยๆ

“หม่ามี๊ ฝูซิงคิดถึงป๊ะป๋ามากๆ เลย” ทันใดนั้นฝูซิงก็พูดขึ้น “หม่ามี๊โทรไปบอกป๊ะป๋าว่าฝูซิงป่วยได้ไหม?”

แผลใจที่ยังไม่จางหายของฝูเจิ้งเจิ้งถูกกระตุ้นอีกครั้ง เธอเกือบจะหลุดออกมาแล้วว่า ‘เขาไม่เหมาะที่จะเป็นป๊ะป๋าของลูกหรอก เขาไม่สนใจลูกเลยด้วยซ้ำ!’ ทว่าเมื่อข่มอารมณ์ตัวเองได้ เธอก็เพียงลูบหัวลูกชายตนเองเบาๆ และพูดปลอบใจเขา “ป๊ะป๋าของลูกยุ่งอยู่นะ ไว้เดี๋ยวเขาว่างแล้วเขาก็จะมาหาลูกเองนะ”

“ถ้าหากมีป๊ะป๋าอยู่ด้วยล่ะก็ ยาขมแค่ไหนฝูซิงก็ไม่กลัว แถมฝูซิงจะหายเร็วขึ้นด้วย” ฝูซิงพูดด้วยความคาดหวัง

คนเป็นแม่อย่างฝูเจิ้งเจิ้งนั้นเหมือนกับคนอกหักก็มิปาน ไม่เพียงแค่โดนความเฉยชาของหานซือฉีทำร้าย แต่ยังมีความที่เธอไม่สามารถสร้างโลกที่สมบูรณ์ให้แก่ลูกชายของตนด้วยตัวเธอเองได้อีก

“อ้า น้องเจิ้ง อยู่ที่นี่เอง ฉันตามหาเธอไปให้ทั่วเลย” ทันใดนั้นหมินจงจู่ก็เดินปรี่เข้ามาจากประตู เสียงที่ดังเป็นปกติของเขานั้นทำให้ญาติผู้ป่วยคนอื่นๆ ไม่พอใจกับการมาของเขาเสียเท่าไหร่

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยืนขึ้นและพูดกับเขา “ผู้จัดการหมิน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ? คุณจูก็ด้วย? พวกคุณ…”

“ก็ไอ้เจ้าซือฉีน่ะสิที่จู่ๆ ก็โทรมาแล้วบอกว่าซิงซิงป่วย แต่พอฉันไปถึงบ้านของเจ้านั่น คนรับใช้ที่บ้านก็บอกว่าเธอพาฝูซิงมาโรงพยาบาลแล้ว แถมเธอก็ไม่ได้พกโทรศัพท์มาอีก ฉันก็เลยวุ่นไปหมดเลย…”

จูหลิงหลงเดินเข้ามาเพ่งมองหมินจงจู่ด้วยหางตาอันเฉียบคม “อย่าเอาแต่พูดเรื่อยเปื่อยน่า ทำงานที่ได้รับมอบหมายมาได้แล้ว!”

“อ๊ะ ใช่ๆๆ มานี่หน่อย หลิงหลง มาช่วยฉันตรงนี้” หมินจงจู่รีบเดินตรงไปยังเสาน้ำเกลือ

“เดี๋ยวสิคะ เขายังให้น้ำเกลืออยู่เลยนะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งที่รู้สึกไม่ไว้ใจก็รีบเข้าไปห้ามเขาเสียก่อน

“เธอจะยังอยู่ที่นี่ไปทำไมน่ะ? ซือฉีเตรียมห้อง VIP ไว้ให้แล้วนะ รีบๆ ตามมาก็แล้วกัน” หมินจงจู่พูดและไม่หยุดการกระทำของเขา จูหลิงหลงเองก็ช่วยอุ้มฝูซิงออกไปด้วย

ที่ด้านหน้าห้องตอนนี้มีพยาบาลเข็นเตียงมารอไว้อยู่แล้ว พวกเขาช่วยกันประคองฝูซิงลงไปบนเตียงนั้นอย่างนุ่มนวล

“หม่ามี๊ ป๊ะป๋าจัดการให้แล้ว” ฝูซิงรู้สึกมีความสุขมากและความสุขนี้ก็พลอยทำให้เขาดูสดใสขึ้นมาด้วย

“ไปกันเถอะ คุณหมอกำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว” หมินจงจู่หันมาหาฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังยืนงงอยู่ “ห้องอยู่ที่ชั้น 5 ตึกฝั่งตรงข้ามนี้ ออกลิฟต์ปุ๊ปเจอเลย น้องเจิ้งก็รีบเก็บของแล้วตามมานะ”

แม้เหตุการณ์มันจะวุ่นวายแต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบกลับไปเก็บของเธอในห้องนั้นแล้วตามพวกเขาไปทันที

ยืนอยู่หน้าประตูห้อง VIP ที่เพียงแค่ประตูก็ดูหรูกว่าบ้านเช่าหลังเก่าที่เธอเคยเช่าอยู่แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอรู้สึกว่า ‘ร่ำรวยนี่มันดีจังเลยนะ’

หมอหลายคนต่างเวียนมาตรวจอาการฝูซิง พวกเขาบอกข้อควรระวังและวิธีการดูแลอาการป่วยในตอนนี้ให้เธอก่อนจะพากันออกไป

ในตอนนั้นโทรศัพท์ของหมินจงจู่ก็ดังขึ้น เขาไม่รอช้าที่จะรับสายทันที “อ้อ พวกหมออะไรพวกนี้มาดูอาการให้แล้ว หมอบอกว่าอาการไข้หายแล้วล่ะ ช่าย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้ว พามาห้อง VIP แล้ว…ก็บอกแล้วว่าไว้ใจฉันได้ ตราบใดที่นายให้วันหยุดฉันเพื่อให้อยู่กับหลิงหลงมากขึ้น ฉันก็ทำให้นายได้ทุกอย่างนั่นแหละ โอเค โอเค…ไว้จะโทรหาถ้ามีปัญหาอื่นก็แล้วกัน”

หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว หมินจงจู่ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาให้เธอดู “จากซือฉีน่ะ เขาเป็นห่วงอาการฝูซิงมากเลยนะ”

นี่เขาจัดการทุกอย่างจริงๆ เหรอ? แถมยังเป็นห่วงฝูซิงอีก? แล้วไอ้น้ำเสียงเยือกเย็นเมื่อตอนที่ฉันโทรไปล่ะ? เขาอยู่ไหนกันแน่? บ้านเฉียวเค่อเหรินเหรอ? หรือว่าเพราะแบบนี้ก็เลยไม่สะดวกคุยหรือปลีกตัวออกมา?

ฉัน…เข้าใจเขาผิดเหรอ?

ในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งตอนนี้มีแต่คำถามวนไปวนมาเต็มไปหมด และทุกคำถามก็ดูจะทำให้เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดด้วย

เห็นฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจ้องมาที่เขาแบบไม่วางตา หมินจงจู่ก็รีบโบกมือเชิงปฏิเสธการตอบคำถามเสียก่อน “ฉันไม่รู้อะไรเลยนะ ทุกอย่างเป็นคำสั่งของซือฉี ฉันเป็นแค่คนประสานงานให้”

“ทำไมเธอถึงพูดมากแบบนี้นะ? เจิ้งเจิ้งก็ยังไม่ได้ถามอะไรเธอเลยนี่?” จูหลิงหลงที่กำลังคุยอยู่กับฝูซิงหันมาจ้องหมินจงจู่ จากนั้นก็หันไปคุยกับฝูเจิ้งเจิ้ง “เขาชอบทำตัวจุกจิก อย่าถือสาเขาเลยนะ”

“โธ่ น้องหลิงของพี่ ทำไมไม่รักษาหน้าของสามีในอนาคตของเธอไว้บ้างเลย~ ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้จัดการฝ่ายของบริษัทเว่ยหานเลยนะ!”

จูหลิงหลงจ้องมอง “ที่นี่ไม่ใช่บริษัทเว่ยหาน ถ้าเธอยังไม่หยุดพูดเรื่อยเปื่อยอีกล่ะก็ เค้าจะโยนเธอลงไปชั้นล่างจริงๆ ด้วย!”

“โอเคๆ ฉันผิดไปแล้ว เดี๋ยวจะลงไปซื้อขนมไว้ให้กินเล่นกลางคืนก็แล้วกัน” หมินจงจู่ต้องรับบทเป็นผู้พ่ายแพ้และกล่าวขอโทษ ซึ่งภาพนี้มันทำให้ฝูซิงหัวเราะออกมาได้มากเลยทีเดียว

“ไม่ต้องก็ได้นะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบห้ามเขาไว้ก่อน “แค่รบกวนทั้งสองคนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ฉันก็เกรงใจแย่แล้ว เพราะงั้นที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง ผู้จัดการหมินพาคุณจูกลับไปก่อนเถอะค่ะ”

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ซือฉีน่ะสั่งไว้ว่าห้ามฉันไปไหนจนกว่าเขาจะมา เพราะงั้นถ้าขืนฉันชิ่งกลับก่อนล่ะก็ ฉันได้โดนไล่ออกแน่ น้องเจิ้งเองก็คงไม่อยากให้ฉันถูกไล่ออกใช่ไหมล่ะ? หรือจริงๆ แล้วก็อยากอยู่?” หมินจงจู่หยอดมุขขณะเดินออกจากห้องไป

มองตามหลังหมินจงจู่ไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

“ซิงซิง หลับตาลงแล้วค่อยๆ พักผ่อนน้า~ เดี๋ยวพอเธอตื่นมา อาการป่วยก็จะหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ!” จูหลิงหลงนั้นดูจะชอบฝูซิงมากๆ เพียงแค่เจ้าตัวน้อยเอ่ยปากขออะไร หญิงสาวก็จะทำให้หมด เพราะงั้นเธอจึงถูกขอให้อยู่เพื่อนเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังจนกระทั่งเขาเริ่มจะอ่อนเพลียลงอีกรอบ

ฝูซิงจับมือของจูหลิงหลงไว้และขอร้อง “อย่าไปได้ไหมครับ? น้าจู หลังจากฝูซิงตื่นแล้ว น้าจูจะเล่าเรื่องให้ฝูซิงฟังอีกได้ไหม?”

“แน่นอน!” จูหลิงหลงลูบหัวเจ้าตัวเล็กอย่างเบามือ

เด็กน้อยเชื่อฟังเธอมาก รวมเข้ากับความง่วงที่สะสม เพียงไม่นาน เขาก็ผล็อยหลับไป

ฝูเจิ้งเจิ้งส่งแก้วที่รินชาไว้ให้จูหลิงหลง “ฝูซิงขอให้คุณจูเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังซะนานเลย คงคอแห้งสินะคะ”

“ซิงซิงน่ะเป็นเด็กร่าเริง น่ารัก เขาทำให้ฉันอดนึกถึงหลานของฉัน เสี่ยวเสี่ยว ไม่ได้เลยค่ะ” จูหลิงหลงพูดด้วยรอยยิ้มแล้วรับแก้วชาไว้

“นั่นสินะคะ เด็กๆ แทบทุกคนขยันพูดกันในช่วงวัยนี้ แต่พอโตขึ้นกลับค่อยๆ ไม่อยากพูดกับพวกเราซะอย่างงั้น” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดพลางยิ้มแห้งๆ

จูหลิงหลงมองไปยังประตู พลันสลัดรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าทิ้งไปและถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณเจิ้งคะ ฉันขอ เอ่อ…ถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณซือฉีได้ไหมคะ?”

ฝูเจิ้งเจิ้งชะงักไปกับคำถามนั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ฉันกับเขาจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ ฝูซิงน่ะเคยหนีออกจากโรงเรียนมา และใช้เงินของตนซื้อเขามาเป็นพ่อให้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นคุณหานเขาเกิดสนใจอะไรในคำของฝูซิงขึ้นมา เรื่องมันก็เลยเป็นแบบนี้น่ะค่ะ”

“โอ้” จริงๆ แล้วจูหลิงหลงก็เคยฟังเรื่องนี้มาจากหมินจงจู่แล้ว แต่เพราะมันดูไม่น่าเชื่อในทันที เธอจึงเก็บมาถามด้วยตนเอง “ซิงซิงอายุเท่าไหร่แล้วนะคะ?”

“5 ขวบครึ่งค่ะ”

คำตอบของฝูเจิ้งเจิ้งทำให้จูหลิงหลงต้องคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดออกมาด้วยความโล่งใจ “5 ขวบครึ่งงั้นเหรอ…เป็นไปไม่ได้หรอก”

“อะไรเป็นไปไม่ได้เหรอคะ?” ก่อนหน้านี้จีหมู่เซี่ยนก็เคยพูดอะไรราวๆ นี้มาแล้ว เพราะงั้นครั้งนี้มันจึงทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก

“เอ่อ…ฉันหมายถึง ฉันคิดว่าซิงซิงน่าจะแค่ 5 ขวบน่ะค่ะ” จูหลิงหลงหัวเราะเบาๆ ราวกับกำลังกลบเกลื่อนอะไรอยู่ “แต่พูดจริงๆ เลยนะคะ ฉันน่ะชอบซิงซิงมากๆ เลยล่ะ ถ้าหากเขาเป็นลูกของซือฉีจริงๆ ล่ะก็ มันต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ เลยค่ะ เสี่ยวเสี่ยวเองก็อยากจะมีเพื่อนไว้คอยเล่นด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันก็จะได้คุณเจิ้งเป็นพี่สะใภ้ เฮ้อ ฉันล่ะไม่ชอบเฉียวเค่อเหรินนั่นเลยจริงๆ ”

เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูสับสนกับคำพูดของเธอ หญิงสาวก็รีบอธิบาย “แม่ของซือฉีเป็นน้าของฉันน่ะค่ะ แล้วซือฉีก็ถือเป็นพี่สาม แต่เพราะเขากับฉันอายุไล่เลี่ยกัน ฉันเลยไม่เรียกเขาว่าพี่หรือลุง”

“อ้อ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มน้อยๆ

“คุณเจิ้งคะ” จูหลิงหลงหรี่ตายิ้ม ”ซือฉีน่ะ รักซิงซิงมากๆ คุณเจิ้งพอจะเดาได้ไหมว่าทำไมเขาถึงมาไม่ได้วันนี้?”

——————————————————————————————————

คุยกับผู้แปล

หมินจงจู่เนี่ย…เข้าหาหานซือฉีเพราะจูหลิงหลงป่ะนะ 555555 ฟีลแบบเข้าทางลูกพี่ลูกน้อง แล้วไปจีบเจ้าตัว อะไรแบบนี้

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท