ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 53 ขาดความมั่นใจ

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 53 ขาดความมั่นใจ

ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองทางประตู แต่ก็พบว่าคนที่เข้ามานั้นกลับไม่ใช่หานซือฉี

เธอคือ เฉินเฉี่ยวหลาน ผู้ที่มาพร้อมกับกระบอกน้ำที่มีฉนวนกันความร้อนหุ้ม ใบหน้าที่แสดงถึงประสบการณ์ที่โชกโชนนั้นมีเหงื่อไหลซึมไม่น้อยและมีอาการหอบเหนื่อยให้เห็นอยู่ประปราย แต่สิ่งที่เด่นชัดสุดเห็นจะเป็นชุดผ้าฝ้ายที่รูดซิปลงมานิดหน่อยเพื่อระบายความร้อนนั้น

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ ป้าเฉิน?” ฝูเจิ้งเจิ้งเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่ม

“หายป่วยหรือยัง ซิงซิง? ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ไหม?” เฉินเฉี่ยวหลานไม่ได้ตอบคำถามฝูเจิ้งเจิ้ง กลับกันเธอรีบส่งกระบอกน้ำที่เตรียมมาให้เจ้าหล่อนพร้อมทั้งเดินตรงไปหาฝูซิงในทันที

ฝูซิงตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส “ย่าเฉิน ฝูซิงหายดีแล้ว ฝูซิงสบายดี”

ผู้เป็นแม่อย่างฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ช่วยพูดเสริม “ไข้เจ้าตัวแสบนี่เพิ่งจะลงเมื่อคืนเองค่ะ ว่าแต่ป้าเฉินเถอะ เดินมาจากบ้านเลยเหรอคะ? มันไกลมากเลยนะ!”

“บนถนนอากาศเย็นจนเป็นน้ำแข็งเลยน่ะค่ะ เพราะงั้นรถเมล์ก็เลยไม่วิ่งกัน จริงๆ มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้นหรอกค่ะ แหะๆ คิดซะว่าฉันได้ออกกำลังกายยามเช้า แต่โรงพยาบาลที่นี่ใหญ่มากเลยนะคะ ฉันล่ะเดินถามไปทั่วเลยกว่าจะมาห้องนี้ถูก” สาววัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้มขณะลูบหัวฝูซิงเบาๆ “ไข้ลงก็ดีแล้ว ย่าน่ะเป็นห่วงซิงซิงทั้งคืนเลยนะ นี่….วันนี้ก็เลยทำข้าวต้มเนื้อมาให้ด้วย ที่นี่พอจะมีชามใส่ข้าวต้มไหมนะ? ยิ่งซิงซิงกินเนื้อเยอะ ซิงซิงก็จะยิ่งแข็งแรงมากขึ้นๆ ไปอีก”

ในหัวของฝูซิงนั้นคิดถึงข้าวต้มเนื้อที่ผู้เป็นป๊ะป๋ากำลังออกไปซื้อให้ เขาหันกลับไปมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความกระอั่กกระอ่วน แต่เธอก็ทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้น ดังนั้นเด็กน้อยจึงตอบออกไป “โอเค ฝูซิงน่ะชอบกินข้าวต้มเนื้อที่ย่าเฉินทำที่สุดเลย”

“ป้าเฉินคะ มานั่งตรงนี้ก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง” หลังจากที่ให้เฉินเฉี่ยวหลานมานั่งแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินมาหยิบข้าวต้มเทใส่ชามให้เรียบร้อย ยามที่ได้เห็นข้าวต้มร้อนๆ ที่ถูกทำมาอย่างประณีตเช่นนั้น ภายในใจมันก็แอบรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

“ย่าเฉิน ให้ฝูซิงนวดขาให้นะ” ฝูซิงคลานออกมาจากผ้าห่มของตนและเอื้อมมือไปช่วยนวดขาให้เธอด้วยสองกำปั้นเล็กๆ

“อ๋า ไม่ได้นะซิงซิง หนูยังไม่หายดี ถ้าเกิดไข้ขึ้นอีกรอบจะได้อยู่โรงพยาบาลยาวๆ นะลูก” เมื่อเห็นว่าฝูซิงนั้นสวมเพียงเสื้อกันหนาวตัวเดียว เฉินเฉี่ยวหลานก็รีบพาเขากลับไปอยู่ใต้ผ้าห่มดังเดิมพร้อมทั้งสวมเสื้อคลุมให้เขาด้วย

ในตอนนั้นเอง หานซือฉีก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมถุงใบใหญ่

“ป๊ะป๋า!” ฝูซิงร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจทันที

“นายท่านซือฉี?” เฉินเฉี่ยวหลานเองก็มีแอบประหลาดใจเล็กน้อย

หานซือฉีเมื่อเห็นเฉินเฉี่ยวหลานอยู่ที่นี่ด้วยก็ค่อยๆ ยิ้มให้ พลันเหลือบไปเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังถือชามข้าวต้มเดินไปหาฝูซิง เขาก็ส่งถุงที่ถือให้เธอแลกกับชามข้าวต้มนั้นมาถือเอง

“ยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหมล่ะคะ? ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันป้อนฝูซิงให้ แล้วท่านซือฉีก็ทานข้าวเช้าด้วยกันเลย” เฉินเฉี่ยวหลานรับชามข้าวต้มมาจากหานซือฉีอีกทีหนึ่ง

เขาไม่ได้ปฏิเสธและหันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งแทน

มันเหมือนเป็นสัญญาณให้เธอแกะถุงออกมา และเมื่ออาหารภายในถุงถูกนำออกมาวาง ภายในใจของฝูเจิ้งเจิ้งก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นมากขึ้นไปอีก

ภายในนั้นประกอบด้วย ข้าวต้มเนื้อ กับ ซาลาเปา ของโปรดฝูซิง นอกจากนั้นก็ยังมี ซุปไข่เยี่ยวม้า กับ เนื้ออบวุ้นเส้น ของโปรดของเธอด้วย…

กลิ่นของอาหารเหล่านี้มันคุ้นเคยเอาเสียมากๆ ซึ่งมันช่วยกระตุ้นความหิวที่ถูกลืมเลือนมาทั้งคืนได้เป็นอย่างดี เธอรับเอาเนื้ออบวุ้นเส้นมาและไม่รอช้าที่จะตักกินเข้าไปคำหนึ่ง ทว่าสายตาก็เหลือบไปเห็นว่าหานซือฉีกำลังมองมายังตนด้วยรอยยิ้มจางๆ เธอรีบแก้ตัวด้วยความเขินอายทันที “ฉ-ฉันก็หิวเป็นนะคะ คุณหานเองก็ควรจะทานอาหารเช้าด้วยนะ!”

หลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว หมอก็เดินเข้ามาตรวจอาการของฝูซิงภายในห้องอีกครั้ง เขาบอกทิ้งท้ายไว้ว่าฝูซิงสามารถกลับบ้านได้หลังจากที่น้ำเกลือขวดนี้หมด ซึ่งน่าจะประมาณบ่ายๆ

ฝูซิงรีบหยุดคุณหมอที่กำลังจะออกจากห้องไปในทันที “คุณหมอ ฝูซิงอยู่ที่นี่ต่ออีกสัก 2 วันไม่ได้เหรอ?”

“เอ๊ะ?” คุณหมอที่ได้ยินคำขอของเด็กน้อยนั้นชะงักไปและมองฝูซิงด้วยความงุนงง

ฝูซิงมองไปยังหานซือฉีก่อนจะพูดด้วยความน้ำเสียงปนเศร้า “ก็ถ้ากลับบ้านไปแล้ว ป๊ะป๋าก็จะไม่มาอยู่กับฝูซิงน่ะสิ…”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณหมอ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเข้ามาบอกปัดเรื่องนี้ไป เธอยิ้มให้คุณหมอและส่งเขาออกจากห้องก่อนจะกลับมาจับเจ้าตัวแสบลงไปนอนที่เตียงเหมือนเดิม

“ฝูซิงพูดจริงนะ! ฝูซิงน่ะชอบเล่นกับป๊ะป๋าจะตายไป” เด็กน้อยมองไปยังผู้เป็นแม่ด้วยแววตาเศร้าหม่น “บางทีถ้ากลับบ้านไปแล้ว หม่ามี๊อาจจะไม่ให้ฝูซิงเรียกป๊ะป๋าว่าป๊ะป๋าอีกก็ได้ ฝูซิงไม่อยากเรียกป๊ะป๋าว่าลุงหานอีกแล้ว จะเรียกป๊ะป๋าว่าป๊ะป๋าเท่านั้น!”

หานซือฉีที่ได้ฟังแบบนั้นก็เดินเข้าไปอุ้มฝูซิงขึ้นมาจากเตียง “ช่วงนี้ป๊ะป๋ายุ่งๆ ไว้เดี๋ยวป๊ะป๋าเคลียร์งานเสร็จแล้ว ป๊ะป๋าจะกลับไปเล่นกับฝูซิงทันทีเลย โอเคไหม?”

“โอเค!” คนป่วยตัวน้อยกลับมามีความสุขอีกครั้ง

“ถ้ามีใครบอกให้ซิงซิงเรียกป๊ะป๋าว่าลุงหานอีกล่ะก็ ป๊ะป๋าจะจับตีก้นซะให้เข็ด” เขาเหลือบมองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งอย่างคาดโทษ

ฝูซิงมองไปที่ผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีภูมิอกภูมิใจ

เพราะตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่ เธอเลยไม่ได้ตอบโต้อะไรหานซือฉีกลับไป

ตลอดครึ่งวันนั้นหานซือฉีไม่ได้ไปไหนเลย เขารอจนกระทั่งน้ำเกลือของฝูซิงหมดขวดแล้วจึงพาเจ้าตัวเล็กกลับบ้านไปพร้อมๆ กัน

และด้วยความที่มีป๊ะป๋าอยู่ด้วย มันทำให้ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ฝูซิงมีพลังงานเหลือล้นเป็นพิเศษ เขาเอาแต่เล่นอยู่ตลอดเวลาแถมไม่ยอมทิ้งห่างหานซือฉีเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อพวกเขากลับมาจากโรงพยาบาล ท้องฟ้าในวันนี้ช่างดูสดใสปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์ที่ห่างหายจากสายตาไปนานนั้น ในตอนนี้มันกำลังกลับมามอบความอบอุ่นให้แก่สรรพสิ่งบนโลกอีกครั้งแล้ว

เมือง B นั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เพราะงั้นต่อให้ทั่วทั้งเมืองจะต้องจมอยู่ภายใต้หิมะหนาหรือถูกปกคลุมด้วยลมหนาวรุนแรงขนาดไหน ยามที่ฟ้าโปร่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกแสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผาให้กลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว

ฝูซิงยืนนิ่งอยู่บนสวนที่ชื้นแฉะ เขากำลังมองน้ำแข็งภายในสวนที่กำลัง “บางลง” อย่างต่อเนื่อง

เฉินเฉี่ยวหลานที่เดินเข้าไปเปิดประตูก่อนนั้นรีบหันกลับมาเรียกเขา “ซิงซิง เข้ามาในบ้านเถอะลูก ถึงน้ำแข็งจะกำลังละลาย แต่อากาศก็ยังเย็นอยู่นะ ถ้าไม่รีบเข้าบ้านเนี่ย เดี๋ยวหนูจะไข้ขึ้นอีกรอบเอานะ”

“ป๊ะป๋า ถ้าหิมะตกอีก ป๊ะป๋าจะช่วยสร้างตุ๊กตาหิมะให้ฝูซิงอีกไหม?”

“ได้อยู่แล้ว” หานซือฉีเดินเข้ามาอุ้มฝูซิงเข้าบ้านไป

ฝูเจิ้งเจิ้งเดินเข้ามารับฝูซิงที่หน้าประตูพร้อมกระซิบกับหานซือฉี “คุณหานอยู่กับฝูซิงมาครึ่งวันแล้ว ไปทำธุระต่อเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันดูแลฝูซิงต่อเอง”

เขาพยักหน้าและไม่ได้เดินตามเข้าบ้านไป จริงๆ แล้วตั้งแต่เที่ยงจนถึงบ่าย โทรศัพท์ของหานซือฉีนั้นก็ดังไม่หยุดเลย

ยืนมองรถของหานซือฉีที่ค่อยๆ ขับออกไปช้าๆ จนกระทั่งลับตา ฝูเจิ้งเจิ้งถึงพาฝูซิงเข้าบ้านไป

——————————————

หากจะบอกว่า ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ฟ้าหลังค่ำคืนอันหนาวเหน็บเองก็งดงามไม่แพ้กัน

ตั้งแต่วันที่หิมะหยุดตก นี่ก็เป็นวันที่ 2 แล้วที่แสงแดดยังส่องแสงลงมาอย่างขยันขันแข็ง หิมะภายในเมืองนั้นละลายจนเกือบจะหมดแล้ว และอุณหภูมิในแต่ละวันเองก็กำลังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

หลังจากที่อยู่บ้านมาเป็นเวลา 2 วัน ฝูซิงกลับมาเป็นเด็กใจร้อนและเบื่อที่จะเล่นซ่อนหาอีกต่อไป เขานั้นอยากจะกลับไปเรียนเหมือนเดิมใจจะขาดแล้ว

อาการป่วยของเจ้าตัวน้อยนั้นหายสนิทหมดแล้ว นอกจากนี้หลี่เสี่ยวเมิ่งยังโทรมาถามเธอถึงอาการของฝูซิงด้วยความเป็นห่วงอยู่บ่อยครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนในท้ายที่สุดจะยอมพาเขาไปโรงเรียน

เมื่อส่งฝูซิงเข้าโรงเรียนไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตัดสินใจที่จะไปเดินสำรวจรอบๆ ถนนหลิวอวิ๋นอีกครั้ง เพราะหยางเต๋านั้นบอกเธอไว้ว่า โจวปิงอาศัยอยู่ในละแวกนี้

ขณะที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ สายตาของฝูเจิ้งเจิ้งก็ทอดมองไกลออกไปตามถนนหลิวอวิ๋นเส้นนี้ พลันความเศร้าหมองเล็กๆ มันก็พลอยก่อตัวขึ้นมา

6 ปีก่อนเธอยังเป็นเพียงนักศึกษาที่เพิ่งจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ มันเป็นครั้งแรกเลยที่เธอต้องไกลห่างจากครอบครัวเหมือนนกบินออกจากกรง และสุดสัปดาห์ช่วงหนึ่ง มันกลับกลายเป็นจุดพลิกผันของชีวิตทั้งหมดทันทีเมื่อการเที่ยวเล่นของเธอดันทำให้เธอต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดียาเสพติดที่มีหลี่หมิงและคนอื่นๆ เกี่ยวข้องอยู่ด้วย การปะทะกัน การไล่ล่า มันบีบคั้นให้หญิงสาวต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในสวนของเหนียนซี่ และเธอก็ได้เหนียนซี่ช่วยชีวิตไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอใช้เวลาถึง 3 วันอยู่กับเขาที่นี่

ในคืนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันกับเหนียนซี่นั้น ทั้งเธอและเขาต่างดื่มเหล้าหนักกันทั้งคู่ เมื่อเช้าวันถัดไปมาถึง ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบคราบเลือดสีแดงที่ผ้าห่มของตน ความอับอาย ความตื่นกลัว มันขับให้ตัวเธอนั้นหนีออกมาจากบ้านของเหนียนซี่และถูกลูกน้องของหลี่หมิงพบตัวอยู่บนถนนหลิวอวิ๋นเส้นนี้

ตอนที่โดนจับไปนั้น สติที่ใช้ตระหนักถึงปัญหามันก็กลับมาและทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเสียใจที่ไม่ยอมทำตามที่เหนียนซี่พูด โชคยังดีที่จีหมู่เซี่ยนปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กับตำรวจคนอื่นๆ เขาช่วยเธอเอาไว้และพาเธอไปส่งสถานีตำรวจ

แต่เมื่อเธอกลับออกมาจากสถานีตำรวจได้และพยายามตามหาบ้านของเหนียนซี่ เธอก็พบว่าบ้านทั้งหมดในย่านนั้นพังยับเยินไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าบ้านของเหนียนซี่จะยังไม่ถูกทำลาย ณ ตอนนั้น แต่รอบๆ บ้านก็ถูกกองยางรถขนาดใหญ่มาวางกั้นไว้จนไม่สามารถเดินเข้าไปได้เลย

ภาพของรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางที่อยู่ในระยะสายตานี้ก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องยิ้มอย่างขมขื่นทุกครั้งที่ได้เห็นมัน จากที่วัดด้วยระยะสายตาคร่าวๆ แล้ว เธอคิดว่าบ้านของเหนียนซี่น่าจะอยู่ใจกลางรีสอร์ทแห่งนี้เลย

ถ้าหากเว่ยหานกรุ๊ปไม่มาสร้างรีสอร์ทที่นี่ หรือถ้าเธอขอให้จีหมู่เซี่ยนช่วยเธอตามหาเหนียนซี่ตั้งแต่ตอนนั้น บางทีในวันนี้ข้างๆ ตัวก็อาจจะมีเหนียนซี่ยืนอยู่ด้วยก็ได้

เมื่อปีนั้นเธอไม่น่าไปโทษจีหมู่เซี่ยนเลย ยังไงเสียเขาก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ การปกป้องพยานปากสำคัญก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ดันเป็นแก๊งค์ค้ายาเสพติดรายใหญ่ของหลี่หมิงเสียด้วย

หลี่หมิง…หลี่เสี่ยวเมิ่ง…โจวปิง…

หยางเต๋าบอกเธอไว้ว่า เขาไม่พบเจอพฤติกรรมแปลกๆ ของหลี่เสี่ยวเมิ่ง เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่มีจิตใจแน่วแน่ ร่าเริงและใจดีก็เท่านั้น นอกจากนั้น เขายังไม่เจอว่าทั้งหลี่เสี่ยวเมิ่งและโจวปิงมีความเชื่อมโยงใดๆ ถึงกันเลย เพราะงั้นแล้ว สิ่งที่พอจะสรุปได้ก่อนตอนนี้ก็คงมีแค่ หลี่เสี่ยวเมิ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันของเหล่าแก๊งค้ายาเสพติดรายสำคัญภายในเมือง B นี้

ฝูเจิ้งเจิ้งเรียกสติของตนเองกลับมา เธอปล่อยผ่านเรื่องเก่าๆ ไปก่อนและตรงไปยังย่านร้านค้าและต่อด้วยย่านที่อยู่อาศัยแทน

ย่านที่อยู่อาศัยที่นี่ก็ดูธรรมดาๆ ทั่วไป ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเขตนี้ก็คือผู้ที่ต้องย้ายออกจากจุดที่ถูกนำไปก่อสร้างรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางนั่นแหละ

จริงๆ แล้วฝูเจิ้งเจิ้งมาเดินตามย่านนี้ก็เพราะจะไล่ถามคนในพื้นที่นี้แหละว่าพอจะรู้จักบ้านของเหนียนซี่บ้างไหม ทว่าโชคร้าย ที่คนในย่านนี้ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบ้านหลังไหนเป็นของใคร เพราะงั้นลืมเรื่องที่จะสืบหาเหนียนซี่ไปเลย

เธอเดินต่อไปยังทางใต้ที่มีร้านขายของชำตั้งอยู่ ซึ่งบริเวณนั้นเป็นด้านหน้าของเขตที่พักอาศัยที่โจวปิงพักอยู่ตามคำบอกเล่าของหยางเต๋า หญิงสาวซื้อทิชชู่มา 1 แพ็คเพื่อแลกกับการสอบถามข้อมูลเรื่องโจวปิงกับเจ้าของร้านแห่งนี้

โชคดียังพอมีอยู่บ้างเมื่อเจ้าของร้านบอกแก่เธอว่า โจวปิงอยู่ที่บ้านวันนี้เพราะเมื่อเช้าเขาเพิ่งจะมาซื้อบุหรี่จากที่ร้านไป

ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย เธอถามคำถามเพิ่มอีก 3-4 อย่าง และในขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยถามเจ้าของร้านต่อ โจวปิงก็เดินเข้ามาทางหน้าประตู หญิงสาวรีบหลบหน้าเขาในทันทีและแสร้งทำเป็นเดินดูของที่ชั้นอย่างรวดเร็ว เธอทำเป็นเลือกของอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งโจวปิงเดินออกจากร้านค้าไปถึงจะหยิบเอาแว่นกันแดดของตนขึ้นมาสวมและแอบสะกดรอยตามเขาไปติดๆ

หลังจากที่โจวปิงออกจากย่านนั้นแล้ว เขาก็เดินตรงไปทางใต้ของถนนหลิวอวิ๋นก่อนจะมุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกต่อ

ตลอดทางนั้นฝูเจิ้งเจิ้งเดินตามเขาด้วยความระมัดระวัง แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป เพราะทางทิศตะวันออกของถนนหลิวอวิ๋นนั้นคือรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางที่เป็นเขตที่คนรวยๆ เขาใช้พักผ่อนหย่อนใจกัน เพราะงั้นแล้วทำไมโจวปิงถึงมายังที่แบบนี้กันนะ? เจ้าของร้านก็เพิ่งจะบอกเธอมาแท้ๆ ว่าตามปกติแล้วโจวปิงจะไม่ค่อยออกไปไหนในช่วงกลางวัน

โจวปิงเดินตรงเข้าไปยังทางเข้าของรีสอร์ทแห่งนี้ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับยามรักษาความปลอดภัยด้านหน้าและเข้าไปด้านใน

เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งเห็นว่าเขาเดินเข้าไปแล้ว เธอเองก็เดินเข้าไปภายในด้วยเช่นกัน แต่ก็เป็นตามที่คิดไว้ เธอน่ะจะต้องถูกยามด้านหน้าห้ามเอาไว้แน่ๆ “คุณผู้หญิงครับ ช่วยแสดงบัตรประชาชนด้วยครับ”

พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ขอให้เธอแสดงบัตรประชาชนนั้นพูดด้วยความสุภาพรวมถึงแสดงมารยาทที่ดี สมแล้วที่อยู่หน้ารีสอร์ทหรูเช่นนี้ เธอรู้ดีว่านี่เป็นงานของเขา การเข้าออกของที่นี่จำเป็นต้องรัดกุม ดังนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบแสดงบัตรประชาชนให้เขาเห็นและแสร้งทำเป็นเร่งเร้า “เรียบร้อยหรือยังคะ? พอดีว่าทุกๆ คนกำลังรอฉันอยู่น่ะค่ะ”

ปลายปีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นหลายๆ บริษัทก็จะเริ่มจัดงานเลี้ยง จัดการประชุมปิดยอดต่างๆ แล้วแต่จะเบิกงบได้ เพราะงั้นหากเนียนเข้าไปได้ ก็จะถือว่าเธอเบิกโชคของอีกวันมาใช้ไปแล้ว

“ต้องขอโทษที่ทำให้เสียเวลาจริงๆ ครับคุณฝู” เมื่อมองจากการแต่งกายที่ดูดีรวมถึงกริยาท่าทางที่ดูน่าเชื่อถือ ยามรักษาความปลอดภัยจึงรีบคืนบัตรประชาชนให้เธอไป

ฝูเจิ้งเจิ้งแอบดีใจอยู่ลึกๆก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไปในทันที

หญิงสาววิ่งไปตามทางที่โจวปิงหายไป สายตาของเธอสอดส่องอยู่กับผู้คนมากมายที่อยู่ตรงหน้าขณะวิ่ง นั่นจึงทำให้เธอเผลอชนเข้ากับร่างอีกร่างหนึ่งที่โผล่ออกมาอย่างจัง

“อั่ก—! ข-ขอโทษค่ะ…อูยย” มือเรียวสวยแตะหัวที่กระแทกเข้ากับร่างกำยำนั้นเบาๆ ความเจ็บปวดแม้จะไม่มากแต่ก็ถือว่าทำมันให้มึนงงได้ชั่วขณะ ระหว่างที่กำลังยืนประคองตัวเอง เธอก็กล่าวขอโทษอีกฝ่ายไปด้วย

“นั่นคุณเหรอครับ คุณผู้หญิง?” น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา

และเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งหันมองไปตามเสียง เธอก็พบว่าอีกฝ่ายคือ จีหมู่เซี่ยน คนนั้น!

“จี–คุณเจ้าหน้าที่จีหมู่เซี่ยน! ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้!” ฝูเจิ้งเจิ้งกล่าวทักทายแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่

“วิ่งตามอะไรอยู่น่ะ? มาซะเร็วเชียว” จีหมู่เซี่ยนถามกลับด้วยความสงสัย

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบส่ายหน้า “อ๊ะ ไม่ค่ะ เอ่อ ฉันเห็นว่าวิวตรงนั้นมันสวยเลยอยากรีบๆ วิ่งไปดูน่ะค่ะ ก็เลยไม่ทันระวังรอบตัว…”

เธอจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกำลังตามหาตัวโจวปิงอยู่ไม่ได้ เป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลยมากกว่า ดังนั้นแล้วการอยู่ต่อหน้าตำรวจหนุ่มที่มีประสบการณ์มากกว่าตนอยู่มากเช่นนี้ การพูดอะไรมากไปกว่านี้คงจะเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มเป็นแน่

“วิวสวยเหรอครับ?” จีหมู่เซี่ยนเพ่งมองไกลออกไปยังทิศทางที่ฝูเจิ้งเจิ้งวิ่งตรงไปก่อนหน้า แล้วเขาก็พบว่าที่ปลายทางนั้นมีเพียงสวนที่กำลังซ่อมบำรุงอยู่ ไม่มีอะไรที่ดูแล้วรู้สึกว่าสวยสักอย่าง นี่หรือที่เขาบอกว่าเซนส์ความสวยงามของคนเรามันต่างกัน?

หญิงสาวตระหนักได้แล้วว่าตนเพิ่งจะพูดอะไรผิดหูออกไป ดังนั้นเธอจึงรีบชี้ไปทางอื่นและยิ้มอย่างเหนียมอายออกมาแทน “ฉันหมายถึงตรงนั้นน่ะค่ะ แหะๆ คุณเจ้าหน้าที่จี ถ้ายังไงฉันขอไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันโอกาสหน้าน้า~”

หลังจากพูดออกไปเช่นนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันหน้าไปอีกทางและเตรียมจะเดินจากไป ทว่าเธอไม่ได้รู้เลยว่าขาของเธอมันกำลังจะลงในตำแหน่งที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล และมันทำให้เธอล้มลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“เหวอออออ!”

จีหมู่เซี่ยนรีบคว้าร่างที่กำลังจะร่วงหล่นลงไปกับพื้นมาไว้ในอ้อมแขนของตนได้อย่างทันท่วงที ด้วยความรวดเร็วหากแต่ก็ไม่ละทิ้งความทะนุถนอมในการสัมผัสร่างบาง ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งที่อยู่ในอ้อมแขนเกิดอาการใจสั่นขึ้นมา

เมื่อเธอสามารถพยุงตัวเองได้แล้ว ร่างบางนั้นก็รีบผละตัวออกจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และในตอนที่เธอกำลังจะได้กล่าวขอบคุณ เสียงของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นมาชะงักการกระทำของเธอไว้ก่อน “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครน่ะลูก?”

———————————————————————————————————-

คุยกับผู้แปล

เรือฝูจี ออกจากท่าได้ครับ มันน่าจะเป็นเรือผี แต่ก็ควรค่าแก่การพายไม่น้อยไปกว่าเรือหลักเลยครับ

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท