ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 88 ห้าวหาญดีนี่!

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

หลี่หงรีบเดินไปเปิดประตู ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจะพักผ่อน

“สวัสดีครับ พวกเรามาจากบริษัทแก๊ส อยากจะให้ช่วยแจ้งยอดการใช้แก๊สหน่อยน่ะครับ” เสียงของผู้ชายดังขึ้นจากด้านนอก

“โอเคค่ะ” หลี่หงรีบหันหน้าและวิ่งกลับไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ลืมตาขึ้น

เสียงนั้น หยางเต๋างั้นเหรอ?

เมื่อเห็นว่าหลี่หงเดินออกมาจากห้องครัวแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็จงใจพูดขึ้นมา “ป้าหลี่คะ ช่วยไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วซื้อผักสดกับผลไม้มาหน่อยได้ไหมคะ? แต่ไม่ต้องซื้อมาเยอะนะคะ ยังไงซะก็มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้นที่อยู่บ้านตอนนี้”

“ได้เลยค่ะ” หลี่หงรีบตอบก่อนจะรายงานยอดการใช้แก๊สไป เมื่อเสร็จธุระตรงนี้แล้วเธอจึงเดินไปคว้าถุงรีไซเคิลและออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตตามที่ฝูเจิ้งเจิ้งขอ

ทันทีที่ไม่มีใครอยู่แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบลุกขึ้นมาและเดินไปที่ประตู ชัดเจน ไม่เกิน 2 นาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเธอก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูด้วย

ชายสวมหมวกแก๊ปรีบแทรกตัวเข้ามาภายในทันที และใช่ เขาคือหยางเต๋า

“เธอเป็นอะไรไหมเจิ้งเจิ้ง?” หยางเต๋าจับตามแขนของฝูเจิ้งเจิ้งและถามอย่างเร่งรีบ ระหว่างนั้นเขาก็มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง

ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะตอบ “ฉันก็แค่ลื่นล้มเองค่ะ เป็นแค่อุบัติเหตุน่ะ มีแผลฟกช้ำเล็กน้อย ที่เหลือไม่เป็นอะไร”

“ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ” หยางเต๋ามองเธอด้วยความกังวล

เมื่อตอนเช้า เขาได้ยินมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนที่กำลังคุยกันว่า “ผู้หญิงที่ชื่อฝูเจิ้งเจิ้งนี่น่าประทับใจจริงๆ เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ยังสามารถจัดการกับหมาล่าเนื้อตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว!”

เขาถึงกับต้องตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินเรื่องนั้น จากนั้นเขาก็พยายามหาข้อมูลต่างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วถึงเริ่มตามหาว่าเธออยู่ที่ไหนจากหลายๆ ที่ ครั้นเมื่อกลับมาที่เจี่ยเย่ฮัวหยวนนั้นก็เพียงแค่อยากลองเสี่ยงดวง ไม่คิดเลยว่าเธอจะอยู่ที่นี่จริงๆ

“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ มีแค่แผลฟกช้ำเอง” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อน

หยางเต๋าตรวจดูจนมั่นใจแล้วว่าฝูเจิ้งเจิ้งไม่เป็นอะไรจริงๆ เขาจึงวางใจได้

“เธอแน่ใจนะว่าไม่รู้จักกับเจ้าของหมาตัวนั้น?”

“ไม่รู้จักค่ะ”

“เข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้าและมองไปยังฝูเจิ้งเจิ้ง ท่าทีของเขาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็โดนความลังเลหยุดเอาไว้

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้เลยถามออกไป

อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ และพูดขึ้นมา “เจิ้งเจิ้ง ฉันขอโทษ”

“เอ๊ะ? แล้วรุ่นพี่จะมาขอโทษฉันเรื่องอะไรน่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

“ฉันรายงานเรื่องของเธอให้กับทางหัวหน้าแล้ว บอกเขาไปว่า เธอมีความสัมพันธ์กับหานซือฉี…” หยางเต๋าพูดด้วยความรู้สึกผิด “ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้อีกแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ้มก่อนจะพูดกับเขา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วว่าแต่ทางสถานีตำรวจเตรียมบทลงโทษแบบไหนไว้ให้ฉันล่ะ?”

ต่อให้หยางเต๋าไม่รายงานเรื่องนี้ ยังไงซะเธอก็ตั้งใจจะสารภาพเรื่องนี้เมื่อเธอกลับไปยังสถานีตำรวจอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ มันก็เป็นเรื่องจริง

“ไม่มี ฉันบอกไปว่าเธอกำลังบาดเจ็บอยู่ ทางหัวหน้าก็ให้เวลาเธอพักฟื้น 2 เดือน แล้วค่อยตามตัวเธอกลับไปที่ทีม เพราะงั้นเธอมีเวลาจัดการเรื่องต่างๆ ระหว่าง 2 เดือนนี้นะ”

สิ่งที่เขาพูดนั้นมันเหลือเชื่อมากๆ จนฝูเจิ้งเจิ้งต้องถามอีกที “เขาไม่ลงโทษฉันแถมยังให้เวลาพักฟื้นตั้ง 2 เดือนเลยเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว เพราะงั้นก็จัดการเรื่องนี้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน ฉันจะรอวันที่เธอกลับไปนะ” หยางเต๋าพยักหน้า เขามองเวลาก่อนจะลุกขึ้นแล้วเตรียมจะจากไป

“หัวหน้าไม่ได้ลงโทษอะไรฉันจริงๆ ใช่ไหม?”

“ฉันเคยโกหกเธอซะที่ไหน?” หยางเต๋าหันไปตอบด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาเดินไปถึงประตู เขาก็หยุดและพูดหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง “เจิ้งเจิ้ง ฉันได้รับมอบหมายงานใหม่มา เพราะงั้นช่วงนี้ฉันจะค่อนข้างยุ่งมากๆ บางทีอาจจะไม่ได้มาคอยดูแลเธอ ดังนั้นเธอต้องดูแลตัวเองให้มากๆ นะ”

ฝูเจิ้งเจิ้งถามกลับไปในทันที “งานใหม่? ยังมีงานหลวงอื่นๆ อีกเหรอคะ?”

“ไม่ใช่งานหลวงหรอก แต่มันอยู่ไกลจากเธอนิดหน่อยน่ะ ดูแลตัวเองดีๆ แล้วก็โทรหาฉันได้ตลอดถ้าเธอต้องการ” เขาพูดน้อยลงก่อนจะมองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักแล้วจากไปอย่างโดดเดี่ยว

มองไปยังประตูที่ถูกปิดลงมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเธอถูกหั่นเป็นชิ้นๆ

เธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอและหานซือฉีนั้นค่อนข้างคลุมเครือมากๆ แต่เธอก็จำเป็นต้องใช้เรื่องนี้มาพูดเพื่อที่จะทำคดีนี้ให้เสร็จ นอกจากนี้เธอยังละเมิดกฎของทีมแถมยังหาข้ออ้างที่จะไม่กลับไปอยู่เรื่อยๆ สถานีตำรวจไม่ใช่บ้านของเธอ ในขณะเดียวกับหัวหน้าเธอก็ไม่ใช่คนตาบอด ดังนั้นแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่นอกจากเธอจะไม่โดนลงโทษอะไรแล้ว เธอยังได้วันหยุดเพิ่มแบบนี้ด้วย?

งานใหม่ที่หยางเต๋าว่าน่ะ ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าเขาโดนลดระดับให้ไปอยู่ที่ที่ไกลขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษ เขาเอาตัวเองเข้าเป็นโล่เพื่อแบกรับเรื่องผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไว้ด้วยตัวคนเดียว

เขาเป็นแบบนี้มาตลอด และเธอรู้ดีถึงความเป็นห่วง ความอดทน ความห่วงใย และความสูญเสียที่เขาต้องแบกรับตลอดเวลาที่ทำอะไรซักอย่างเพื่อเธอ

เพราะงั้นแบบนี้จะมีคำไหนที่เธอสามารถพูดได้อีกนอกจาก “ขอโทษนะคะ” ?

ก่อนหน้านี้เธอต้องการจะหากุญแจของห้องลับนั้นเพื่อที่จะช่วยเขากลับคืนไปบ้าง แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่า เธอดึงเขาให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมแทน!

ฝูเจิ้งเจิ้งกลับไปยังห้องของตน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนโดยที่ในหัวยังเต็มไปด้วยความสับสน

หลังจากทานอาหารกลางวันไปแล้ว จูหลิงหลงก็มาหา

ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นบาดแผลบนใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้ง สีหน้าของจูหลิงหลงก็เปลี่ยนไปเป็นตกใจจนแทบจะเป็นลม “ซือฉีบอกว่าเธอไปสู้กับหมามา ฉันก็คิดว่าเขาพูดเล่น! ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง! เจิ้งเจิ้ง หมาที่ว่านี่ตัวใหญ่ขนาดไหนน่ะ? ทำไมมันถึงทำเธอเจ็บได้ขนาดนี้!”

เธอพยายามใช้มือจำลองเป็นขนาดของเจ้าสุนัขตัวที่ว่านั่นให้ดู และมันก็ทำให้จูหลิงหลงถึงกับผงะและอุทานออกมา “ใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ? นั่นมันระดับหมาล่าเนื้อไม่ก็ทิเบตันแมสติฟฟ์แล้วนะ! เธอจะห้าวหาญไปแล้ว!”

“ต้องขอบคุณไม้ค้ำที่คุณหลิงหลงให้ฉันไว้จริงๆ ค่ะ ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงได้ไปอยู่ในท้องหมาแทนมื้อเย็นไปแล้ว ฮ่าๆๆ” ฝูเจ้งเจิ้งพูดเชิงหยอกล้อขณะที่ส่งยิ้มจางๆ ให้ด้วย

“บ้า! อย่าพูดอะไรแบบนั้นออกมาสิ!” จูหลิงหลงรีบยกมือขึ้นหยุดปากของฝูเจิ้งเจิ้งก่อน เธอจับมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงมากๆ “เจิ้งเจิ้ง ดวงของเธอมันแย่มากเลยนะตลอดหลายวันมานี้น่ะ! ไว้เดี๋ยวขาเธอหายดีแล้ว ฉันจะพาเธอไปวัดจิงหมิงที่อยู่ทางใต้ของเมือง เราจะเอาโชคร้ายไปเผาทิ้งที่วัดนั้นกัน!”

“เอาความโชคร้ายไปเผางั้นเหรอคะ? ระดับฉันน่ะต่อให้ร่วงลงไปในบ่อน้ำมนต์ของเจ้าแม่กวนอิมความโชคร้ายก็ไม่หายไปหรอกค่ะ ฮ่าๆๆๆ” การใช้เวลาในแต่ละวันอยู่กับหานซือฉีนี่ก็ถือเป็นโชคร้ายนะ เพราะงั้นลองคิดดูสิว่าการที่ต้องอยู่กับความโชคร้ายตลอดแบบนี้ จะเอาเวลาที่ไหนให้ความโชคดีได้เวียนมาเยี่ยมกันน่ะ?

“เธอต้องเชื่อมั่นเอาไว้ว่าซักวันหนึ่งดวงชะตาจะพลิกกลับให้เธอเป็นฝ่ายอยู่เหนือบ้าง!” พูดจบจูหลิงหลงก็เดินแยกไปที่ห้องนั่งเล่นและคว้าเอาถุงยาเข้ามา “เธอกินยาหรือยังนะ?”

“ลืมไปแล้วล่ะค่ะ”

“ซือฉีกะไว้แล้วว่าเธอต้องลืม เพราะงั้นเขาเลยสั่งให้ฉันมาคอยจับตาดูเธอกินยานี่ด้วย” ระหว่างที่พูดอยู่จูหลิงหลงก็ส่งน้ำที่รินใส่แก้วแล้วให้ฝูเจิ้งเจิ้ง

หานซือฉี นี่เขาอีกแล้วเหรอ?

เมื่อคิดถึงหานซือฉี ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดถึงหยางเต๋าที่เพิ่งเดินจากไปด้วยความโดดเดี่ยว จู่ๆ เธอก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา

หลังจากที่ทานยาเข้าไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เอนตัวลงนอนไปบนเตียงและพูดกับจูหลิงหลงด้วยความกระสับกระส่าย “คุณหลิงหลงคะ ถ้าคุณยุ่งๆ กับงานล่ะก็ ไม่ต้องมาเยี่ยมฉันตลอดก็ได้นะคะ ฉันไม่เป็นไร แถมฉันยังมีป้าหลี่คอยดูแลอีก”

“เจิ้งเจิ้ง…” เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูจะหมดไฟในการใช้ชีวิตอยู่ จูหลิงหลงก็เป็นกังวล ทันใดนั้นเธอก็ตีหน้าผากตัวเองก่อนจะรีบเดินไปยังห้องนั่งเล่น “ฉันลืมสิ่งสำคัญไปได้ยังไงนะ”

ไม่นานนักเธอก็เดินกลับมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ หญิงสาวนั่งลงไปที่ข้างๆ ฝูเจิ้งเจิ้งบนเตียง รอยยิ้มที่ดูน่าพิศวงของเธอนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเกิดความสงสัย “เจิ้งเจิ้ง เดาซิว่ายาที่ฉันเอามาช่วยเยียวยาเธอเป็นยาอะไรกันน้า?”

“ยาเหรอคะ?” ฟังเช่นนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ่งสงสัยและอยากรู้มากขึ้นไปอีก เธอพยายามดันตัวเองขึ้นมานั่งในขณะที่จูหลิงหลงก็กดเล่นคลิปวีดีโอในมือถือของเธอให้ดู

“ฝูซิง!” จิตวิญญาณที่ห่อเหี่ยวขอฝูเจิ้งเจิ้งถูกจุดไฟขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เธอรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาและก้มมองจออย่างใกล้ชิด

ในจอนั้น ฝูซิงกำลังทำท่าต่างๆ มากมายก่อนจะหันมายิ้มให้กล้องแล้วเริ่มพูด “หม่ามี๊! ฝูซิงคิดถึงหม่ามี๊มากๆ เลย! หม่ามี๊คิดถึงฝูซิงไหม?”

“คิดถึงจ้ะ หม่ามี๊คิดถึงฝูซิงมากๆ เลยเหมือนกัน!” มองไปยังลูกชายของตนที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา

“หม่ามี๊ น้าจูบอกฝูซิงว่า ถ้าฝูซิงทำตัวดีๆ น้าจูจะพาหม่ามี๊มาเจอฝูซิง เพราะงั้น หม่ามี๊ ฝูซิงทำตัวดีๆ แล้วนะ ให้ฝูซิงร้องเพลง ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ลสตาร์ ให้ฟังไหม?”

จากนั้นฝูซิงก็เริ่มปรบมือเป็นทำนองเพลงพร้อมๆ กับร้องเพลงด้วยเสียงใสๆ ของเขาออกมา

และแล้ว วีดีโอความยาวกว่า 10 นาทีก็จบไป

“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งกอดโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้แน่น ในขณะที่จูหลิงหลงก็รีบไปกดเล่นซ้ำอีก 4-5 รอบกระทั่งฝูเจิ้งเจิ้งร้องไห้จนเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรได้อีก

มองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งตอนนี้ จูหลิงหลงก็รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ “เจิ้งเจิ้ง ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่สามารถบอกเธอได้ว่าซิงซิงอยู่ที่ไหน วีดีโอนี่ฉันก็แอบถ่ายโดยที่ซือฉีไม่รู้ด้วย”

ฝูเจิ้งเจิ้งปาดน้ำตาและส่ายหน้า เธอสะอึกสะอื้นขณะพูด “คุณหลิงหลงคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ดูเหมือนว่าฉันคงจะไปเจอเขาในสภาพนี้ไม่ได้จริงๆ บางทีถ้าเขาเห็นฉัน เขาอาจจะกลัวไปเลยก็ได้”

“ถ้าเป็นอย่างงั้น เธอต้องรีบรักษาตัวเองนะ” จูหลิงหลงเอื้อมไปหยิบทิชชู่ “ฉันสัญญากับฝูซิงไว้ว่าฉันจะไปถ่ายวีดีโอของเขามาให้เธอบ่อยๆ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าจะสัญญากับเธอด้วยว่าจะอัดเสียงของเธอไปให้เขาฟังบ่อยๆ ด้วย อย่างน้อยๆ เขาน่าจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นถ้าได้ยินเสียงของเธอบ้าง”

“เข้าใจแล้วค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งสะอึก

“แต่อย่างที่ฉันบอก เธอวางใจได้เลยว่าฝูซิงจะปลอดภัย จงจู่กับป้าเฉินน่ะจะคอยอยู่ดูแลเขาตลอด นอกจากนี้ซือฉียังจัดคนไว้คอยปกป้องเขาแบบลับๆ ด้วย ยังไงก็เถอะ คนที่ต้องห่วงจริงๆ ตอนนี้คือเธอต่างหาก เธอกำลังเจอกับปัญหา ถ้าซิงซิงรู้เข้า มีหวังเขาได้เป็นกังวลแน่ๆ”

“ฉันจะดูแลตัวเองให้ดี” แม้ปกติก็ทำอยู่แล้ว แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดเน้นย้ำเรื่องนี้

แน่นอนว่าถ้าเธอยังไม่รีบหายดีล่ะก็ เธอจะไม่สามารถทำอะไรตามใจได้เลย

“เยี่ยมไปเลย” ได้ยินดังนั้นจูหลิงหลงก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยที่มีฝูเจิ้งเจิ้งนอนซบอยู่ในอ้อมแขน

————————————————

หลังจากที่ร้องไห้อยู่พักใหญ่ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นแล้ว เธอเริ่มหันไปคุยกับจูหลิงหลง

“คอนโดในเมืองฮั่นต้าเริ่มประกาศขายล่วงหน้าแล้ว จงจู่กับฉันเองก็จองห้องไว้สำหรับเป็นเรือนหอแล้วเหมือนกัน”

ได้ยินเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดที่จะถามกลับด้วยความรู้สึกเบิกบานไม่ได้ “ทั้งสองคนจะแต่งงานกันแล้วเหรอคะ? กำหนดวันไว้หรือยังคะเนี่ย?”

“พวกเราตั้งใจจะว่าจะแต่งกันวันวาเลนไทน์น่ะ ส่วนเรื่องระเบียบคร่ำครึนั่นก็พยายามจะเมินๆ มันไป ฉันไม่อยากให้งานมันยุ่งยาก”

ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มหวาน “คุณจงจู่กับครอบครัวของคุณหลิงหลงจะยอมกันเหรอคะ ที่จะจัดงานง่ายๆ? แบบว่ากลัวไม่สมน้ำสมเนื้ออะไรกับแบบนี้”

“ไม่มีอะไรไม่สมน้ำสมเนื้อนี่ หากพวกเรารักกันล่ะก็ การจัดงานแต่งงานง่ายๆ มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พีธีน่ะมันก็จัดเพื่อให้คนอื่นเห็นเท่านั้นแหละ จัดงานใหญ่โตไปก็เท่านั้น เธอเห็นเฉียวเค่อเหรินมีความสุขกับการจัดงานใหญ่ๆ ไหมล่ะ?” หลังจากพูดออกมาแบบนั้น จูหลิงหลงก็รีบปิดปากตนเองไปและเปลี่ยนคำพูดด้วยการยิ้มกลบเกลื่อน “อืมมมม พูดง่ายๆ เลยก็คือพื้นฐานของการแต่งงานน่ะ มันอยู่ที่ความต้องการของคนสองคน อย่างเรื่องวันแต่งงานที่ต้องเป็นวันนู้นวันนี้ตามความเชื่อน่ะ จริงๆ มันจะเป็นวันไหนก็ได้ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก เอาแค่ว่าทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมกันก็พอ…และในกรณีข้างต้น ซือฉียังไม่ยอมตกลงกับวันไหนทั้งนั้น”

วันแต่งงานเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้งช็อกไปสักพักแต่ก็แสร้งทำเป็นหัวเราะแบบไม่แยแส “พวกเขาหมั้นกันแล้วนี่คะ เพราะงั้นไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี เป็นไปได้ไหมคะว่าเขาจะไปแต่งงานกันช่วงวาเลนไทน์เหมือนกัน”

จูหลิงหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกความจริง “จริงๆ แล้วตระกูลเฉียวน่ะอยากจะจัดงานแต่งงานก่อนจะถึงวันตรุษจีน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมงานถึงเลื่อนออกไปจนหลังตรุษจีนได้”

“โอ้ เดี๋ยวก็คงจัดละมั้งคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้ม เมื่อเห็นว่าจูหลิงหลงก้มลงมองโทรศัพท์ของตนอีกครั้ง เธอก็รีบพูดขึ้น “ไปทำงานเถอะค่ะถ้ายุ่ง ฉันเองก็อยากพักผ่อนแล้วเหมือนกัน”

“โอเค งั้นฉันไปแล้วนะ ส่วนเธอก็ห้ามออกไปไหนล่ะ พยายามอยู่แต่ในห้อง จะได้ไม่เจอเรื่องโชคร้ายอีก” จูหลิงหลงเตือนทิ้งท้ายก่อนจะจากไป

หลังจากที่จูหลิงหลงออกไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ เมื่อเธอเห็นว่านี่ยังไม่เย็นมาก เธอจึงลุกขึ้นและเดินไปยังห้องนั่งเล่น ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะครุ่นคิดว่าควรเดินออกไปด้านนอกดีหรือเปล่า

หลี่หงที่เดินมาเห็นท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้งที่เหมือนกำลังคิดแผนที่จะหนีออกไปข้างนอกนั้น ก็รีบเข้าไปหยุดฝูเจิ้งเจิ้งไว้ที่ประตูก่อน “คุณฝูคะ คุณยังไม่หายดีเลย คุณหานเองก็เรียกป้ามาเพื่อคอยดูไม่ให้คุณออกไปด้านนอกด้วย”

ในตอนแรกฝูเจิ้งเจิ้งแค่ลังเลแต่ตอนนี้เหมือนเธอจะเลือกได้แล้วเพราะความหงุดหงิด ทำไมถึงต้องห้ามออกไปข้างนอก? จะจำกัดอิสรภาพของเธอไปถึงไหน?

“หลบไปค่ะ!” เธอพูดด้วยความโกรธ

“ค-คุณฝู คุณหาน…” หลี่หงพูดด้วยความสั่นกลัว

“เดี๋ยวฉันจะรับผลที่ตามมาเอง”

เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังโกรธ หลี่หงก็ต้องจำใจหลบไปด้านข้าง

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าป้าหลี่หรอก ฉันก็แค่เกลียดความรู้สึกที่ต้องถูกกักบริเวณน่ะ” หลังจากที่ขอโทษหลี่หงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เปิดประตูและเดินออกไป

เมื่อเธอลงไปถึงสวนเล็กๆ ด้านล่าง ที่แห่งนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนมากมายกำลังนั่งคุยกันอยู่ บ้างก็นอนแผ่อยู่ใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาวนี้ ด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในห้องนานๆ เธอจึงเดินไปนั่งใกล้ๆ กับคนเหล่านั้นด้วย

ทันใดนั้นเอง เหล่าหญิงวัยกลางคนเหล่านี้ก็เริ่มถอยออกห่างจากฝูเจิ้งเจิ้งไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเธอกลับยังหันมาชี้ฝูเจิ้งเจิ้งแล้วกระซิบกระซาบกันด้วยท่าทีแปลกๆ ด้วย

“น่าจะเป็นคนนี้นะ! เร็วเข้าพวกเรา อยู่ให้ห่างจากเธอไว้!”

————————————————————————————————————

คุยกับผู้แปล

โอยยยยยยย ทำไมหล่อนดื้ออย่างงี้ เจิ้งเจิ้ง! แล้วคนพวกนี้เป็นอะไรอี๊กกกกกกกกก

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท