หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน – ตอนที่ 8

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

ในขณะที่อาเซียเอียงหัวอย่างงุนงงให้ข้อสรุปอันแปลกประหลาดขององค์จักรพรรดิ มหาดเล็กที่เคยนิ่งเงียบไม่ไหวติงก็สะดุ้ง

หลานสาวงั้นเหรอ

พระจักรพรรดิทรงเรียกพระราชนัดดาของตนเองว่าองค์หญิงองค์ชายเพียงอย่างเดียวตลอดมา

และกับเหล่าพระราชโอรสเองก็เช่นเดียวกัน เพราะต้องการสื่อว่าไม่ได้มองเป็นครอบครัว แต่มองเป็นเพียงสมาชิกในราชวงศ์เท่านั้น

“ไม่กี่วันหลังจากนี้จะมีของชิ้นหนึ่งมา เราจะส่งมันไปให้เธอ”

ถึงกับมอบของขวัญให้เป็นการส่วนพระองค์เสียด้วย มหาดเล็กลองนึกย้อนดูว่าพระจักรพรรดิเคยทำตัวแบบนี้หรือเปล่า แต่แล้วก็นึกออกว่า องค์หญิงองค์ชายที่ทรงอนุญาตให้อยู่ในพระราชวังต่อตั้งแต่แรกคือองค์รัชทายาท และนับจากนั้นมา ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลย

ทั้งยังจำได้ว่าไม่เคยมอบอะไรให้องค์รัชทายาทเป็นการส่วนพระองค์เลยแม้แต่อย่างเดียวด้วย

“เพคะ? มะ ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่ลุงหัวหน้าคนครัวก็ช่วยเหลือหม่อมฉันเยอะ แล้วทีนี้หม่อมฉันก็ต้องกลับบ้าน…”

ในตอนที่อาเซียกำลังจะพูดต่อโดยไม่ได้รู้เลยว่ามหาดเล็กกำลังคิดอะไรด้วยความสับสนอยู่

อาเซียก็หยุดพูดแล้วเบิกตากว้าง

สิ่งที่คล้ายกับภาพหลอนสะท้อนเข้ามาในดวงตาของอาเซีย ผ้าคลุมไหล่กึ่งโปร่งแสงที่พระจักพรรดิคลุมอยู่กลับพลิ้วไหวไปมาราวกับเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ

เอ๊ะ…เอ๊ะะะ

มันกระเพื่อมแผ่วเบาและนุ่มนวล ส่วนปลายของผ้าคลุมที่แผ่สยายออกขยับเข้ามาใกล้เธอทีละนิด แล้วในที่สุดก็เฉียดผ่านหน้าผากกับแก้มของเธอ

แม้ว่าอาเซียจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พระจักรพรรดิก็ชี้นิ้วไปด้านนอกห้องหนังสือโดยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว

“หัวหน้าคนครัวคือพาเวลล์ มาร์ก้าใช่ไหมนะ เราจะมอบรางวัลให้เขาด้วย เอาเป็นตามนั้น ดึกมากแล้ว เธอพาองค์หญิงไปส่งที่ห้องบรรทมได้แล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

มหาดเล็กโค้งคำนับอย่างว่องไว โดยระงับความดีอกดีใจที่รอดพ้นจากประตูสู่นรกไปได้

อาเซียอ้าปากพะงาบๆ เพราะสถานการณ์ถูกกำหนดอย่างกะทันหันและแน่นอนแล้ว ว่าเธอจะต้องพักที่พระราชวังต่อ สุดท้ายเธอจึงหันหลังกลับไปทั้งที่ไหล่ตก

ประตูห้องหนังสือถูกปิดลงด้านหลัง ประตูบานนั้นเป็นเหมือนกับกำแพงที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจกันระหว่างเธอก็พระจักรพรรดิ

แล้วทำไมพระจักรพรรดิถึงได้สงสัยว่าใครทำเค้กกันแน่นะ

เธอเสนอตัวมาเพราะกลัวว่าจะทำให้หัวหน้าคนครัวตกที่นั่งลำบาก แต่เรื่องราวกลับจบลงโดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องอะไร

ถ้าเป็นแบบนี้ แค่ส่งตัวหัวหน้าคนครัวมาเฉยๆ ซะก็ดี!

แล้วผ้าคลุมไหล่นั่นมันอะไรกันแน่

มหาดเล็กดูท่าทางมองไม่เห็นอะไรเลย ตาของเธอมองเห็นเพียงคนเดียวอย่างนั้นเหรอ

อาเซียสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของผ้าคลุมนั้น แต่ถึงไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เธอคิดอย่างเงียบงันในใจว่าอยากรีบกลับบ้าน

***

สมเด็จพระจักรพรรดิก้มลงทอดมองถ้วยว่างเปล่านิ่งๆ

เค้กที่มีรสชาติหอมหวานทว่าติดขมนิดๆ เหมือนจะกรอบแต่ไม่นานเนื้อสัมผัสอันชุ่มฉ่ำก็หลั่งไหลเข้ามา เค้กที่แสนมหัศจรรย์นั้น ตัวเขาซึ่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิก็เพิ่งเคยลองลิ้มรสเป็นครั้งแรก

พระจักรพรรดิมองว่าของหวานเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและมีอุปนิสัยที่พยายามจะไม่เพลิดเพลินไปกับมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาหารเลิศรสเลย

เขาเรียกหัวหน้าคนครัวมา เพราะคิดว่าหากทำของระดับนี้ได้ก็ควรค่าที่จะตบรางวัลให้

ทว่า…

‘หม่อมฉันทำเพราะตั้งใจจะถวายฝ่าบาทเพคะ!’

ลูกชายคนเล็กของเขาฉลาดหลักแหลมเสียจนเคยถูกหมายตาให้เป็นผู้สืบราชบัลลังก์ แต่หลังจากที่เจ้าลูกคนนั้นทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วออกจากวังไป พระจักรพรรดิก็คอยตรวจสอบข่าวคราวของอีกฝ่ายอยู่เป็นครั้งคราว ข่าวเรื่องที่หลานสาวคนเล็กกำเนิดแล้วก็ได้ยินมาด้วยวิธีการนั้น

แต่ในช่วงนั้น เขาไม่ได้สืบเพียงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับยูเลียและหลานสาวคนนั้นเพียงอย่างเดียว เรื่องเกี่ยวกับหลานคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

แม้บอกว่าปู่หลานได้เจอกันครั้งแรกในรอบสิบปีก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกพิเศษใดๆ

ทว่า หากบอกว่าไม่สนใจดวงตาสีเขียวอ่อนของหลานสาวตัวน้อยที่พูดจาชัดถ้อยชัดคำ นั่นก็คงเป็นคำพูดโกหก

“ชามาล”

<เป็นอะไรไป>

เมื่อพระจักรพรรดิพึมพำชื่อดังกล่าวขึ้นมาราวกับพูดคนเดียว สายลมก็โหมแรงพัดเข้ามาอย่างกะทันหัน สายลมที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในห้องหนังสือที่ปิดประตูทุกบาน

“เด็กคนนั้นมองเห็นเธอด้วยเหรอ”

<สิ่งที่เหมือนกับลูกพีชจิ๋วนั่นน่ะเหรอ>

สิ่งที่ตอบคำถามขององค์จักพรรดิ คือผ้าคลุมไหล่กึ่งโปร่งแสงที่คลุมตัวเขาอยู่จนถึงตอนนี้

สิ่งนั้นพลิ้วไหวราวระลอกคลื่นแล้วแปรเปลี่ยนเป็นสายลมในทันที

สายลมนั้นโหมแรงแต่ไม่พัดพาฝุ่นมาเลยแม้แต่เศษผง มวลพลังงานกึ่งโปร่งแสงเปลี่ยนรูปร่างไปมาอย่างวุ่นวายตรงหน้าพระจักรพรรดิ เริ่มจากรูปร่างของเด็กผู้ชายไปจนถึงคนชรา เป็นภาพที่ประหลาดตามากจริงๆ

สิ่งนี้คือหัวข้างหนึ่งของอินทรีสองหัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ไคเย รูส

ซึ่งก็คือ ‘เจ้าแห่งดวงวิญญาณทั้งปวง’ นั่นเอง

เป็นดวงวิญญาณที่เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักร และมีเพียงพระจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถเรียกออกมาได้ ผู้ที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะท้าชิงราชบัลลังก์

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพระจักรพรรดิคือเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งวาโย ชามาล

หลังพิธีเรียกดวงวิญญาณ พระจักรพรรดิใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะมองเห็นรูปร่างของดวงวิญญาณที่ว่ากันว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริงด้วยตาเปล่าได้

ในราชอาณาจักรน่าจะไม่มีใครรู้ว่าเราสามารถมองเห็นตัวต้นที่แท้จริงของดวงวิญญาณได้ เหล่านักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิเพียงจัดให้มันเป็นเรื่องเล่าแต่โบราณและทำการวิจัยเท่านั้น

ทว่าเด็กผู้หญิงที่อายุเพิ่งจะสิบขวบปี กลับมองเห็นร่องรอยของเจ้าแห่งดวงวิญญาณอย่างนั้นเหรอ ต่อให้บอกว่าเห็นเป็นแค่เงาก็เถอะ

ต้องคอยจับตาดูแล้วสิ

“…ว่าแต่ ลูกพีชจิ๋วเหรอ”

<เส้นผมสีชมพูกับดวงตาสีเขียวอ่อน ก็เหมือนกับลูกพีชเลยไม่ใช่เหรอ>

พอลองคิดดูก็ไม่ผิดเลยสักนิด ในขณะที่พระจักรพรรดิหัวเราะจนรอยตีนกาขึ้น สายลมก็พัดผ่านไปทั่ว

รูปร่างของมันกลายเป็นสุนัข แล้วก็กลายเป็นวัว จากนั้นก็กลายเป็นมนุษย์ แล้วก็กลายเป็นนก สลับไปมาไม่ได้หยุดหย่อน

<แค่ประหลาดใจก็เลยกะว่าจะลองแตะดูสักหน่อยเท่านั้นเอง>

“ประหลาดใจอะไร”

สำหรับดวงวิญญาณดวงนี้ที่ใช้ชีวิตมาเนิ่นนานจนมนุษย์นึกไม่ถึง ยังเหลือเรื่องที่ทำให้สงสัยและประหลาดใจอยู่อีกหรือ

คำถามของพระจักรพรรดิทำให้รูปร่างของสายลมหยุดนิ่งไปชั่วขณะเป็นครั้งแรก

<ก็ต้องประหลาดใจสิ เป็นครั้งแรกที่เห็นมนุษย์ที่ไม่มีความสนใจต่อตัวเจ้าขนาดนี้>

“อะไรนะ”

<จะให้ถูกก็ต้องพูดว่า ‘เป็นครั้งแรกที่เห็นมนุษย์ที่ไม่มีความสนใจต่อตัวผู้ทำพันธสัญญากับข้า’ สินะ>

เมื่อพระจักรพรรดิเลิกคิ้ว สายลมก็ระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากๆ ออกมา

<สิ่งที่เจ้าเด็กลูกพีชจิ๋วนั่นสนใจก็แค่เจ้ากินขนมของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยมากแค่ไหนเท่านั้น เจ้าบอกว่าจะให้รางวัลใช่ไหม เจ้าลูกพีชมีความสนใจไหมนะว่ารางวัลนั้นคืออะไร>

“โฮ่”

<สิ่งที่คิดนอกเหนือจากนั้นก็น่าจะประมาณว่า ‘จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่’ หรือเปล่า>

“…”

พระจักรพรรดิเงียบไปชั่วครู่ เขารู้เป็นอย่างดีว่าครอบครัวของลูกชายคนเล็กที่ออกจากวังไป ใช้ชีวิตกันมาอย่างขัดสน

การที่หลานสาวคนนั้นอยากกลับบ้านทั้งที่ได้เห็นพระราชวังอันโอ่อ่า เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะยังเด็กจึงต้องการแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกัน เสี้ยวหนึ่งในใจกลับสั่นคลอนขึ้นมาโดยไม่จำเป็น

รู้สึกราวกับได้เห็นเงาของลูกชายคนเล็กที่เขาทั้งรักทั้งหวงแหน

ไม่ใช่ว่าได้รับถ่ายทอดมาแต่นิสัยต่อต้านหรอกนะ

<เพิ่งจะเคยเห็นคนที่คิดเรื่อยเปื่อยแบบนั้นทั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าเป็นครั้งแรก ข้าย่อมประหลาดใจในเรื่องนั้นอยู่แล้ว>

“…นิสัยแบบนั้นคงจะเหมือนพ่อของตัวเองน่ะสิ”

<อ๋อ ลูกคนเล็กสุดของเจ้าที่พูดเสียงแข็งแล้วออกจากวังไปเมื่อวันก่อน… เดี๋ยวนะ เจ้าลูกพีชนั่นคือลูกสาวของเขางั้นเหรอ>

พระจักรพรรดิจิ๊ปาก ในระหว่างนั้น รูปร่างของสายลมก็เปลี่ยนแปลงไปหลากหลายรูปพรรณ

“วันก่อนของเธอช่างยาวนานซะจริงนะ”

ทว่า สำหรับพระจักรพรรดิเองก็เป็นเรื่องที่เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนเช่นเดียวกัน ลูกชายคนเล็กในความทรงจำของเขายังคงมีใบหน้าที่ดูหนุ่มอยู่เลย

แต่ตอนนี้ ลูกสาวของลูกชายคนเล็กคนนั้นมาเยือนพระราชวังเสียแล้ว

เด็กผู้หญิงที่เหมือนกับหลุดออกมาจากโพรงกระต่ายที่ไหนสักแห่ง และอบเค้กชิ้นเล็กมาโดยบอกว่าทำมันเพราะตั้งใจจะมอบให้เขา

“…เห็นบอกว่าทำพันธสัญญากับนกน้อย ถูกต้องแล้วใช่ไหม”

<ดวงวิญญานกน้อยเหรอ>

ชั่วขณะหนึ่ง รูปร่างของชามาลที่เคยเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้งก็หยุดลงทันควัน มันหยุดลงในวินาทีที่แปรเปลี่ยนจากตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่มาเป็นดอกกุหลาบ รูปร่างจึงแปลกพิลึก

ในตอนที่พระจักรพรรดิขมวดคิ้วให้กับภาพพิลึกพิลั่นนั้น ชามาลก็พูดขึ้นอีกครั้ง

<บอกว่าเจ้าลูกพีชจิ๋วทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณนกงั้นเหรอ ใครบอก>

“มาร์ควิสเซเรเนเตฟ เพราะเขาทำพันธสัญญากับดวงวิญญาณแห่งการตัดสิน”

พระจักรพรรดิกล่าวถึงลูกชายของตัวเองราวกับเอ่ยชื่อของคนอื่น

<หืม…>

รูปร่างของชามาลเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง เชื่องช้าต่างกับก่อนหน้านี้

<ดวงวิญญาณแห่งการตัดสินไม่มีทางที่จะทายผิดได้นะ…>

“ฟังดูเหมือนบอกว่าครั้งนี้ทายผิดเลยนะ”

<นั่นก็เป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อย>

สายลมไม่ตอบกลับคำพูดของพระจักรพรรดิ แล้วปรากฏให้เห็นรูปลักษณ์กึ่งโปร่งแสงทางนี้ทีทางนู้นทีพร้อมกับพูดคนเดียว

<นกน้อยเหรอ ฟังดูแล้วก็อาจมองแบบนั้นได้>

“เห็นเธอพูดแบบไม่มั่นใจเป็นครั้งแรกเลยนะ”

<ข้าก็ครั้งแรกเหมือนกัน>

หลังจากนั้น สายลมก็พัดโหมอยู่พักหนึ่งกว่าจะสงบลง

<ปริศนาน่ะ คงจะต้องแก้ไปทีละนิด แต่ถ้าบอกว่ามีเรื่องหนึ่งที่แน่ใจก็คือ มาร์ควิสคนนั้นของเจ้าดูท่าจะเอ็นดูเจ้าลูกพีชมากทีเดียว>

ชามาลพรางกายลงในรวดเดียวหลังจากพูดแบบนั้นจบ บทสนทนาจบลงโดยที่สายลมเย็นเยียบพัดโฉบเข้ามาอย่างรุนแรง

พระจักรพรรดิถอนหายใจพร้อมกับค่อยๆ กวาดตาดูบริเวณลิ้นปี่

เมื่อเห็นท่าทีของชามาลแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นคงยังไม่คิดจะบอกความจริง

ไม่ใช่ว่าพระจักรพรรดิไม่เคยเสียใจทีหลังกับตัวเลือกของตนเองในช่วงเวลาที่มีชีวิตมา แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีลางสังหรณ์ไม่ชี้ชัด ราวกับว่าการตัดสินใจที่จะให้หลานสาวคนเล็กอยู่ที่นี่ต่อ อาจทำให้ได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาเป็นลมมรสุมลูกใหญ่

***

ในตอนที่อาเซียกลับมาที่ห้องอย่างระมัดระวังพร้อมกับมหาดเล็กผู้ซึ่งดูเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว โชคดีที่ลิสดูเหมือนจะยังอยู่ที่ห้องครัวทางฝั่งพระตำหนักใหญ่

อาเซียฟังเสียงปิดประตูแผ่วเบาแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง

คงเพราะได้ลองทำขนมครั้งแรกในชีวิต หัวใจของเธอจึงเต้นแรงจนไม่ง่วงเลย

ของรางวัลที่จะมอบให้คืออะไรนะ ถ้าเป็นของที่แลกเป็นเงินสดได้ก็คงดี

ถ้าเป็นแบบนั้น เมื่อได้กลับบ้านก็จะขายมันทันที แล้วซื้อน้ำตาล เนย กับแป้งมาอบขนม…

ถ้าเป็นของใหญ่ก็อาจจะซื้อบ้านได้เลย…

เธออาจได้รับบ้านที่สามารถใช้ชีวิตกับพ่อแม่อย่างสงบสุขมาก็ได้ ไม่ใช่บ้านที่ต้องซ่อมหลังคาทุกปี ไม่อย่างนั้นก็จะเปียกฝนแม้อยู่ในตัวบ้านก็ตาม

อาเซียคิดถึงตรงนั้นแล้วจู่ๆ ก็คลำมือบนลายผ้าของชุดนอนตัวเอง

ตอนโวยวายกันว่าเค้กสองถ้วยหายไปจากในครัว เจ้านกก็หายตัวไปราวกับไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญ แล้วเข้าไปอยู่ในลายของชุดนอนเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

อาเซียใช้ปลายนิ้วกดย้ำๆ บนลายเสื้อที่นูนขึ้นอย่างเด่นชัด

“เฮ้อ นี่ๆ เพราะเธอ ฉันถึง…”

<คนที่อยากทำเค้กช็อกโกแลตลาวาคือเจ้าต่าง…>

“แว้กกก!”

เกิดความวุ่นวายขึ้นในชั่วขณะหลังเสียงกรีดร้องของอาเซีย

หญิงรับใช้แปลกหน้าผลุนผลันเข้ามาก่อน หลังจากที่หญิงรับใช้คนนั้นเรียกลิสมา ไม่นานลิสก็วิ่งเข้ามาในห้อง อาเซียชี้แจงกับพวกเขาว่าฝันร้าย

ลิสปลอบเธอ เสร็จแล้วก็ลังเลอยู่พักใหญ่ถึงออกไปอีกครั้ง อาเซียต้องนอนลงกับเตียงพร้อมผ่อนลมหายใจให้สงบ

เมื่อรอบข้างเงียบสงบลงได้อย่างยากลำบาก อาเซียก็ดันตัวขึ้นแล้วตีหัวของตัวเองตุ้บๆ

“หูฝาดเหรอ”

<ไม่ใช่หูฝาด ตัวข้าผู้นี้คือมหาดวงวิญญาณแห่งความรู้สึก!>

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

Status: Ongoing
ชีวิตใหม่ในโลกนิยายนี้ ฉันจะตั้งใจอบขนม ไม่สนอำนาจใดๆ เพื่อเลี่ยงเส้นทางของนางร้ายจุดจบอาภัพ แต่เหล่าตัวละครที่มีผลต่อความพินาศของฉัน กลับมาป้วนเปี้ยนไม่ห่างกายจนได้!เกิดใหม่ในโลกนิยายทั้งที แม้รู้ดีว่ามาเป็นลูกสาวของครอบครัวแสนยากไร้แต่ฉันก็อยากจะสานฝันการเป็นช่างทำขนม ที่ฉันทำไม่สำเร็จในชาติที่แล้วให้ได้ จนกระทั่ง…“กระหม่อมมารับองค์หญิงอนาสตาเซียพ่ะย่ะค่ะ!”อย่างไรซะ ดูเหมือนว่าฉันจะมาเกิดใหม่ในร่างขององค์หญิงผู้กระหายอำนาจทั้งยังคอยขัดขวางความรักของตัวละครอื่นใน ‘ต้นฉบับ’ เรื่องที่เคยเห็นในชาติก่อนจนสุดท้ายกลายเป็นตัวร้ายที่ต้องเจอจุดจบอันแสนอนาถซะแล้วสิ!เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางสู่จุดจบแสนอนาถนั่น ฉันจึงได้ตั้งอกตั้งใจอบขนมเพื่อแสดงจุดยืนอันแน่วแน่ว่า ‘ฉันไม่สนใจในอำนาจใดๆ เลยแม้แต่น้อย’(อ้อ! และเพื่อเติมเต็มความต้องการส่วนตัวด้วย)แต่ว่าทั้งองค์จักรพรรดิผู้เย็นชา ทั้งองค์ชายรัชทายาท ตัวละครหลักที่จะไล่ต้อนฉันไปสู่ความพินาศทั้งดยุค ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร ทั้งทาสคนที่เคยใช้มีดเสียบฉันทุกคนต่างก็ร้อนใจเพราะอยากให้ฉันอยู่ข้างๆ กันหมดเลยเนี่ยสิ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท