<แต่ว่า! ถ้าไม่ทำแบบนั้น อเล็กเซย์ก็จะไม่รับรู้แม้แต่ตัวตนของข้าเลยนะ หือ แล้วจะให้ข้าทำยังไง!>
เปลวเทียนไหวกระเพื่อมรุนแรงราวกับพร่ำบ่น
ชั่วขณะนั้น เทียนที่ไหม้จนหมดแล้วก็ดับพรึ่บ
ฟาฟเนียร์?
<…จุด…ไฟที…>
<ฮ่าๆๆๆ! สมน้ำหน้า อาเซีย เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจเจ้าดวงวิญญาณโง่เง่านี่หรอก>
พีบีตะโกนอย่างเริงร่า แต่อาเซียเหลือบตามองปลายแขนเสื้อแล้วก็หันหลังไปพูดกระซิบกับคิริลซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“คิริล เทียนตรงนี้ดับแล้ว ไปเอาเทียนเล่มใหม่ให้หน่อยได้ไหมคะ”
“อ่า… รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
คิริลดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อยกับคำบอกเล่าว่าเทียนที่ยังเหลืออยู่ประมาณหนึ่งจนถึงเมื่อครู่ไหม้ลงหมดแล้ว แต่เขาก็สั่งมหาดเล็กให้ไปเอาเทียนเล่มใหม่มา
<วะฮะฮ่า!>
<ข้าบอกให้เงียบสักเดี๋ยวไง บอกไปแล้วนะ>
พีบี อย่าเอาแต่หัวเราะเยาะคนอื่นสิ ฟาฟเนียร์ ถ้าไม่มีเปลวไฟแล้วจะพูดไม่ได้หรือเปล่า
<ต้องพูดได้อยู่แล้ว! ตัวข้าผู้นี้คือมังกรไฟฟาฟเนียร์ผู้ควบคุมเปลวไฟนะ!>
แล้ว?
<ก็แค่… ยังปรับตัวเข้ากับโลกมนุษย์ไม่ได้นิดหน่อยเท่านั้นแหละ!>
พีบีหัวเราะเยาะอีกฝ่ายดังก๊ากๆ อย่างสนุกสนาน อาเซียจ้องมองเทียนที่ติดไฟขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’ ออกมา
อีกเดี๋ยวถ้าอโลเซียตื่นก็ต้องคุยกันให้ดีนะ ฟาฟเนียร์
<คุยอะไร>
คุยว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเธอไง!
<ขะ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!>
ทำไมจะไม่ได้ทำ! เธอคุยด้วยก่อนก็ไม่ได้ เอาแต่ใช้พลังเรื่อยเปื่อยจนอโลเซียคิดว่าตัวเองควบคุมพลังไม่อยู่ไม่ใช่หรือไง! เพราะงั้นถึงร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา!
<…>
ขอโทษเขาตรงๆ แล้วจากนั้นก็สนิทกันเข้าไว้ล่ะ เข้าใจไหม
<ขะ เข้าใจแล้ว…>
คราวนี้เปลวไฟริบหรี่ลงยิ่งกว่าแสงดาว อาเซียต้องกดเน้นๆ ลงบนลายนกตรงแขนเสื้อหลายครั้งเพราะพีบีหัวเราะเสียงดังลั่นมากเกินไป
***
อาเซียขอให้คิริลช่วยจุดเทียนหลายๆ เล่มเอาไว้แล้วออกมาจากห้องนอนของอเล็กเซย์เงียบๆ
<จะไปไหนน่ะ>
“ห้องครัว”
<ดูท่าจะไปทำอาหารสินะ>
“อื้อ ต่อให้บอกว่ายาไม่ส่งผลอะไรก็เถอะ แต่จะปล่อยไว้แบบนั้นก็ยังไงๆ อยู่ อย่างน้อยถ้ามีพวกน้ำเชื่อมขิงก็คงจะดี… เห็นว่ายาไม่ส่งผลอะไรต่ออโลเซียเพราะฟาฟเนียร์ แล้วน้ำที่ฉันจะต้มให้จะได้ผลหรือเปล่า”
<แน่นอนสิ ตัวข้าผู้นี้คือมหาดวงวิญญาณนะ>
อาเซียกำหมัดแน่น จากนั้นก็ปีนข้ามรั้วระเบียงไปพร้อมส่งเสียงดังฮึบ
เมื่อเธอเดินผ่ากลางสวนเป็นเส้นตรงเพื่อไปยังห้องครัวของพระตำหนักไทเมียร์ จึงได้เจอพาเวลล์ในชุดธรรมดากำลังก้มลงมองโน้ตพร้อมกับหมุนหัวไหล่ไปด้วย
“พาเวลล์!”
เมื่อรู้ว่าอาเซียมา พาเวลล์ก็ลุกขึ้นโดยไม่แม้แต่จะถามว่ามีเรื่องอะไร ส่วนอาเซียก็เริ่มพูดธุระของตัวเองออกมาก่อน
“ลูกพี่ลูกน้องป่วยก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างให้น่ะ”
“ลูกพี่ลูกน้องเหรอ”
“อื้อ หมอบอกว่าไม่สบาย ไข้ขึ้น”
“โถๆ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นรู้หรือเปล่าว่ายัยเด็กจิ๋วดิ้นรนถึงขนาดนี้”
“อืม… ถึงจะไม่รู้ก็เถอะ ปล่อยคนป่วยไว้เฉยๆ มันก็ยังไงๆ หน่อยนี่นา”
อาเซียบ่นงึมงำแล้วพูดชื่อวัตถุดิบที่ครุ่นคิดในหัวออกมา
“มีขิงสดกับสาลี่ไหม อบเชยกับเมล็ดพริกไทยด้วย”
“จะเอาของพวกนั้นไปทำอะไร”
“ใช้ขิงทำ… ทำคอร์เดียลแล้วใส่สาลี่เคี่ยวล่ะมั้ง”
คอร์เดียลคือน้ำจากผลไม้สดที่ใส่น้ำตาลลงไปแล้วเคี่ยว ส่วนใหญ่ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มอื่นๆ
คอร์เดียลที่ทำจากขิงหรือสาลี่เคี่ยวมันจะเป็นยังไง พาเวลล์ไปเอาวัตถุดิบมา ทั้งที่ทำหน้าสงสัยกับคำพูดของอาเซีย
เธอพับแขนเสื้อแล้วเริ่มจากการล้างดินที่เปื้อนอยู่บนแง่งขิงออกให้สะอาดก่อน
อาเซียกำลังขูดขิงกับที่ขูดอย่างแข็งขัน แต่แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นเพราะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“…คือว่าพาเวลล์ ไม่ต้องเลิกงานเหรอ”
“ต้องเลิกสิ เลิกสักห้านาทีก่อนได้”
“…”
ครืดๆๆ มีเพียงเสียงขูดขิงเท่านั้นที่ดังก้องครัวอย่างแผ่วเบา
อาเซียชะงักมือที่กำลังยื่นไปหาขิงแง่งต่อไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
พาเวลล์พูดขึ้น
“แต่พอดีว่าไม่เคยเห็นคอร์เดียลที่ทำจากขิงน่ะ”
“อะ ฮ่าๆ… ไม่… ไม่ใช่ของยิ่งใหญ่อะไรหรอก”
“…”
“จากนี้ไปจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ให้ได้มากที่สุด… ฉัน… ฉันขอโทษนะ”
ฮึ พาเลล์หัวเราะให้กับเสียงงึมงำขอโทษของอาเซียแล้วยีหัวเธอจนยุ่งเหยิง
“อือ โอ๊ยๆๆ!”
“ยัยหนูน้อยพูดอะไรไม่คาดคิดเลยนะ”
จะยืมห้องครัวใช้เรื่อยๆ ตลอดไปไม่ได้ ต้องรีบ… โอ๊ย!
เธอขูดขิงพร้อมกับคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปด้วย สุดท้ายข้อนิ้วของเธอก็ถูกขูดไปเล็กน้อย
อาเซียน้ำตาคลอเบ้า แต่พอคิดถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังทำเครื่องดื่มโดยขัดขวางการเลิกงานของพาเวลล์อยู่ เธอก็แอบกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่ให้พาเวลล์รู้
<เจ้าซุ่มซ่าม>
เงียบน่า
อาเซียบ่นพีบีอย่างไม่จริงจังนักแล้วขูดขิงต่อไป
เมื่อขูดขิงห้าร้อยรอสโซ่กับที่ขูดจนหมดแล้ว พาเวลล์ก็เอาทั้งหมดไปห่อผ้าขาวบางแล้วคั้นน้ำ ได้น้ำขิงสดเต็มถ้วย
“ทีนี้ก็…ต้องรอหน่อยนะ พาเวลล์ เลิกงานเลยไหม เดี๋ยวฉันเก็บกวาดให้ก่อนกลับ”
“ฮ่าๆๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องครัวนี้ทุกอย่าง?”
“ก็คือความรับผิดชอบของพาเวลล์น่ะสิ…”
“ต้องรอนานแค่ไหน”
“เรื่องนั้น… ประมาณ… ชั่วโมงสองชั่วโมงล่ะมั้ง ตะกอนมันถึงจะนอนก้นแล้วเราก็ใช้แค่ส่วนที่เป็นน้ำด้านบน แต่หลังจากนั้นก็ต้อง…”
พาเวลล์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วโบกมือหวิวๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนรำคาญใจที่จะต่อปากต่อคำไปมากกว่านี้
“แล้วสาลี่จะใช้เพื่ออะไรล่ะ”
การเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างใจดีทำให้อาเซียยิ้มหน้าบาน
“อันนี้ก็ดีสำหรับไข้หวัดนะ”
“ไปเรียนเรื่องพวกนั้นมาจากไหน นี่ก็อยู่ในหนังสือเหรอ”
“จะว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษก็ได้”
“จะบอกว่าในร่างเธอไม่ใช่เด็กสิบขวบตัวกะเปี๊ยกแต่เป็นหญิงแก่อายุห้าสิบปีหรือไง”
“…”
<ฮุบ ฮ่าๆๆๆ!>
คราวนี้พีบีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่มีใครรู้
อาเซียกำกระดุมแน่นๆ หนึ่งครั้งแล้วปล่อยมือ จากนั้นก็หยิบสาลี่ที่พาเวลล์เอามาให้ มันเป็นสาลี่ทรงน้ำเต้าที่เล็กกว่ากำปั้นผู้ใหญ่
พาเวลล์หยิบมีดขึ้นมาก่อนเพราะอาเซียบอกว่าต้องปอกเปลือกออกด้วย
สาลี่ถูกปอกให้เห็นเนื้อด้านในโดยที่อาเซียไม่มีจังหวะทันได้พูดอะไร หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง อาเซียจึงขอให้อีกคนผ่าสาลี่ตามแนวยาวให้
“จะทำยังไงกับอันนี้”
“คือ… มีพวกที่ตัดคุกกี้รูปคนไหม”
คำว่ารูปคนทำให้พาเวลล์หัวเราะหนักอยู่คนเดียวอีกรอบ จากนั้นจึงทำสีหน้าเคร่งขรึม
“จะมีได้ไง ฉันบอกว่าไม่ทำขนมนะ”
“ถ้าไม่ใช่ที่ตัดคุกกี้แต่เป็นพิมพ์ทำอาหารล่ะ”
“…”
พาเวลล์ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วค้นชั้นวางของที่อยู่ตรงมุมครัว จากนั้นก็เจอห่อห่อหนึ่ง
ในห่อนั้นมีพิมพ์สำหรับตกแต่งอาหารอันเล็กๆ อยู่จำนวนหนึ่ง รวมถึงที่ตัดคุกกี้รูปคนที่พาเวลล์บอกว่าไม่มีด้วย
“จะเอาอันนี้ไปทำอะไร”
“ก็ต้องทำให้หน้าตาน่ารักถึงจะกินได้ดีขึ้น”
“ดูท่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นคงเป็นเด็กน้อยมากๆ เลยสินะ”
อาเซียลังเลไปครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
อาเซียใช้ที่ตัดคุกกี้กดลงบนสาลี่หั่นบาง จากนั้นก็เอาเมล็ดพริกไทยสองเม็ดติดลงตรงส่วนใบหน้า แล้วเอาอีกสามเม็ดติดตรงส่วนลำตัว
ส่วนที่ติดด้านบนคือดวงตา ส่วนตรงลำตัวคือกระดุม
“…”
“…รู้สึกเหมือนหน้าตาดูไม่ชวนกินเลยใช่ไหม”
อาเซียเงียบไปนิดหน่อย เมื่อใบหน้าเล็กจิ๋วของเจ้ามนุษย์สาลี่มีเมล็ดพริกไทยดำปักอยู่สองเม็ด มันก็ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตไม่ทราบสายพันธุ์
“…”
“…กะ ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ลูกพี่ลูกน้องฉันเก่งกาจมาก ไม่ว่าอะไรก็คงกินได้ดีหมดแหละ”
“เมื่อกี้บอกว่าต้องทำให้น่ารักถึงจะกินนี่…”
“อย่าพูดความลับออกมาเสียงดังสิ”
“ยัยเด็กจิ๋ว”
ถึงอย่างไร อาเซียก็ทำให้สาลี่รูปมนุษย์ที่เหลือกลายเป็นสิ่งมีชีวิตตากลมโตไม่ทราบสายพันธุ์ แล้วการเตรียมส่วนผสมขั้นพื้นฐานก็เป็นอันเสร็จ
“ใส่อบเชยกับขิงลงไปในน้ำ พอเดือดแล้วก็เอาสาลี่ที่ตัดไว้ใส่ลงไป ถ้าต้มจนสาลี่สุกดีก็เสร็จเรียบร้อย กินตอนเป็นหวัดแล้วดีนะ พาเวลล์เวลาเป็นหวัดก็ต้มกินซะล่ะ”
“ดูเหมือนจะกินบ่อยนะ”
อาเซียหยิบสาลี่ใส่ลงไปในหม้อเดือดพลางตอบกลับเรียบๆ
“ซะที่ไหนล่ะ ฉันไม่ชอบทั้งขิงทั้งอบเชย เวลาเป็นหวัดก็กินยาแก้หวัดสิ”
“…”
อาเซียใส่สาลีที่เหลือลงไปพรวดเดียวแล้วคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบมือเข้าหากัน
“อ๊ะ! ผู้ใหญ่ใส่แบบนี้ลงไปในไวน์แทนน้ำแล้วต้มกินก็น่าจะได้นะ”
“โอ้ววว!”
คำพูดนั้นทำให้พาเวลล์ถลึงตา จากนั้นก็วิ่งตึงตังไปห้องเก็บไวน์แล้วกลับมาพร้อมกับกอดขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทรงยาวไว้ในอ้อมแขน
อาเซียหรี่ตาลง
“ขี้เหล้าคนนี้”
“พระราชวังอบอุ่นแม้อยู่ในช่วงกลางฤดูหนาวก็จริง แต่ระหว่างทางจากวังกลับบ้านมันหนาวนะ บ้านฉันอยู่ไกลซะด้วย”
ฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้างให้ความอยากเหล้า
พาเวลล์รีบเคี่ยวสาลี่เลียนแบบอาเซีย มันไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากมากมายตั้งแต่แรก อีกทั้งอาชีพหลักของพาเวลล์ก็คือพ่อครัว เพราะฉะนั้นเพียงครู่เดียวเขาจึงทำตามได้สำเร็จ
ยิ่งไม่ต้องทำสิ่งมีชีวิตไม่ทราบสายพันธุ์รูปร่างคนด้วยที่ตัดคุกกี้ก็ยิ่งเร็วขึ้น
“ส่วนน้ำขิงที่คั้นออกมาก็ตกตะกอนแล้ว”
ทั้งสองคนต้มสาลี่กับไวน์ทิ้งไว้ให้เดือด แล้วเบนสายตาไปหาน้ำขิงสดที่ตกตะกอนสีขาว
อาเซียเทน้ำตาลใส่ในปริมาณเท่ากันกับน้ำขิงแล้วต้มด้วยไฟแรงพร้อมกับค่อยๆ คนไปด้วย ขั้นตอนการทำกว่ามันจะหายเป็นฟอง ใช้เวลานานและออกจะน่าเบื่อ
“อบเชย…”
“หือ”
“ใส่อบเชยด้วย”
“สีหน้าเธอเหมือนจะใส่ยาพิษลงไปเลยนะ”
“ฉันไม่ชอบอบเชยมากเลยน่ะสิ…”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องใส่”
“แต่มันดีสำหรับไข้หวัดไง”
ในตอนที่เคี่ยวคอร์เดียลขิงจนได้ที่ พระจันทร์ก็ลอยขึ้นมาเสียแล้ว อาเซียลองชิมน้ำเชื่อมขิงที่ยังร้อนอยู่ จากนั้นก็ทำสีหน้าหนักใจครู่หนึ่ง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“รสมันจัดเกินไป… ถ้าลูกพี่ลูกน้องฉันไม่กินจะทำยังไงดีนะ”
คำพูดนั้นทำให้พาเวลล์เองก็ลองชิมคอร์เดียลขิง มันมีส่วนผสมของขิงและอบเชย รสชาติจึงทั้งจัดทั้งเผ็ดร้อนอย่างชัดเจน