เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 30 ฝนพรำบุปผาโรย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ฉินจิ่วเกอตบโต๊ะดังสนั่น ขัดจังหวะเต้นรำของนางระบำในงานเลี้ยง ผู้นำตระกูลซุนทำหน้าเหยเกจนคางที่ย่นคล้ายหนังไก่อยู่แล้วยิ่งยับย่นมากขึ้นไปอีก

“ว่าอะไรนะ?” ผู้นำตระกูลซุนเริ่มน้ำตาคลอ ปากคอสั่น ไม่คิดเลยว่าโลกใบนี้จะมืดมนและโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้

ฉินจิ่วเกอกระดกสุราในมืออีกหนึ่งอึก ท่วงท่าอหังการ เพียงแต่สุราที่กระดกเมื่อครู่กลับหกราดรดลงบนเสื้อเสียเป็นส่วนใหญ่ “บิดาเจ้าผู้นี้ถูกใจเจ้ายิ่ง ต้องทำเช่นไร?”

สายตาจดจ่อ อารมณ์รุ่มร้อนดั่งไฟ

ทุกคนในงานที่กำลังเฮฮาสนุกสนานพลันชะงักค้างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สถานการณ์เยี่ยงนี้ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน หันไปมองผู้นำตระกูลซุน มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาของมัน เด็กคนนี้รสนิยมจัดจ้านอย่าบอกใคร

ถูกอีกฝ่ายข่มเหงคะเนงร้าย ผู้นำตระกูลซุนหลับตาปี๋ ท่าทางเหมือนดรุณีน้อยที่ถูกคนในตระกูลขายให้กับสำนักคณิกา หรือไม่ก็ผู้กล้าที่ยอมพลีกายถวายชีพเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน “โบราณว่าไว้ไม่มีใครรอดพ้นจากความตาย สวรรค์ประทานภารกิจใหญ่มาให้แก่ผู้คน”

ฉินจิ่วเกอผู้อยู่ในสถานการณ์ พร้อมซ่งเล่อผู้เฝ้าดูความคึกคักทางด้านข้าง ตัวการของเรื่องกลับถูกภูมิความรู้อันลึกซึ้งเกิดคาดหยั่งของผู้นำตระกูลซุนทำให้ต้องเบื้อใบ้ไป

“ท่านผู้นำตระกูลช่างสูงส่งจนน่าแตกตื่น แล้วท่านมีความคิดเห็นเช่นไรบ้าง?” ฉินจิ่วเกอหัวเราะชั่วร้าย มือกำเป็นหมัดแน่น

ผู้นำตระกูลซุนน้ำตาอาบแก้ม ใช้มือปิดใบหน้าเหี่ยวๆ เอาไว้ เสียงสะอึกสะอื้นราวเป่าขลุ่ยปีปอ “ข้ายินดีสละเลือดทุกหยาดเพื่อชาติพลี ยังคงหวังว่าน้องชายท่านนี้จะเมตตาคนแก่ตาดำๆ อย่างข้า ร่วมเรียงฝ่าขุนเขาพายุเมฆ เสพท้อเซียนร่วมกัน”

โครม

ฉินจิ่วเกอที่กินจนอิ่มหนำนานแล้วพลันคว่ำโต๊ะดังโครม กับข้าวสุราบนโต๊ะหกกระจายเรี่ยราดเต็มสถานที่ ด้วยสำนึกว่าหลังกินข้าวควรงดการด่าทอ และแล้วงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง ก่อนจะแยกย้ายกันไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเช่นนี้แล

ผู้นำตระกูลซุนหลังรอดพ้นวิกฤติ ก็ไม่วายแอบขยิบตาให้ทีหนึ่ง ก่อนจะเอามือปิดบั้นท้ายวิ่งหนีไปโดยไว

“ผู้นำตระกูลซุนท่านนี้ คมในฝักแท้ๆ!” ฉินจิ่วเกอตวาดส่งท้ายทีหนึ่ง “มาๆ พี่ซ่ง เรามาดื่มกันต่ออีกสักสองสามร้อยจอกดีกว่า”

ล่าวัวล่าแพะต้มฉลอง ร่ำสุราหนึ่งไหสามร้อยจอกสุขปานไหน

ฉินจิ่วเกอแสร้งทำท่าเหมือนยอดคนร่ำสุรา ทุกครั้งที่ทำเป็นกระดกแก้วเข้าปากที่แท้กลับราดลงผ้าที่เตรียมไว้ อวดอ้างฉายาพันแก้วไม่มีล้ม อากัปกิริยาสูงส่งห้าวหาญเสียนี่กระไร

“พอๆ เลิกดื่มแค่นี้เถอะท่าน กลับไปนอนกันที่เรือนดีกว่า” ซ่งเล่อยันตัวลุกขึ้น ไม่ลืมเร่งกล่าวตบท้ายอีกท่อนหนึ่ง “ต่างคนต่างนอนที่ใครที่มัน เรือนของพวกเราอยู่ไกลกันพอสมควร หากไม่มีเรื่องจำเป็นอย่าได้มายุ่มย่ามกับข้าเด็ดขาด”

“พูดอะไรของเจ้า?” ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวยิงฟัน

……

เช้าวันที่สอง อากาศสดใส ตะวันเบิกฟ้าสายลมโชยอ่อน

ที่หน้าประตูบ้านสกุลซุน ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อยืนอำลาทุกคน

ผู้นำตระกูลซุนไม่ได้ออกมาลาแขกด้วยตัวเอง เพียงเขียนข้อความจำพวกโศกนาฏกรรมความรักมาสี่ห้าแถว พร้อมกับหญ้าวิญญาณแสงที่รับปากไว้ ซ่งเล่อจึงตบรางวัลอย่างงามด้วยศิลาวิญญาณ ก่อนกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจก่อนอำลาจากมา

“ว่าอะไรนะ ไปกันแล้ว?”

ฉินจิ่วเกออุทานตาเหลือก ขณะยืนสอบถามอยู่หน้าโรงเตี๊ยม

ทันทีที่กลับถึงนครซวนอู่ ฉินจิ่วเกอก็เตรียมใจรับโทษทัณฑ์ไว้แล้ว

ไม่คาดเสมียนประจำโรงเตี๊ยมกลับบอกว่าศิษย์น้องเล็กและเจ้าอ้วนน่าตายพากันออกไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน

“ทราบหรือไม่ว่าพวกนั้นไปที่ใด?” ซ่งเล่อที่อยู่ด้านข้างซักถาม

เสมียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก นี่เป็นเพราะเวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน

ยิ่งกับเจ้าอ้วนน่าตายที่กินหมั่นโถวแปดสิบลูกในมื้อเดียว กับศิษย์น้องเล็กผู้น่ารักที่ใครเห็นเป็นต้องเหลียวหลังกลับมามอง มันย่อมจดจำได้อย่างแม่นยำ

“ข้าจำได้ว่ามีแขกใส่ชุดดำท่านหนึ่งมานั่งกินข้าวอยู่ที่โรงเตี๊ยมของเรา สหายทั้งสองของพวกท่านเรียกหามันว่าพี่รอง ไม่นานก็ตามพี่รองคนนั้นไป เห็นว่าจะกลับพรรคไปด้วยกัน”

ฉินจิ่วเกอได้ฟังก็เข้าใจ ดูเหมือนว่าเจ้าโจรขโมยต้นกำเนิดกฎเกณฑ์นั่นจะเป็นลั่วเฉินศิษย์น้องรองของมันจริงๆ

มิน่าตนได้ถึงเกลียดชังอีกฝ่ายขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นพวกใจคด ใบหน้าหรือก็เหมือนสตรีจากสกุลใด รอดูว่ากลับไปแล้วข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง

ซ่งเล่อไม่อาจปะติดปะต่อสายสัมพันธ์พวกนี้ได้ ในยุคสมัยนี้บุคคลที่ปิดบังหน้าตามีอยู่ถมไป เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าอวดโฉมหน้าอันพิเศษจำเพาะนั่นให้ผู้คนเห็น

“ไปกันแล้วก็ช่างเถอะ” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ในใจกลับอยู่ไม่สุข ยืนเหม่อพิจารณาตัวเอง ตนใช่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวจริงๆ หรือไม่

ซ่งเล่อความรู้สึกไว พอเห็นว่าฉินจิ่วเกออารมณ์ดิ่งลงเหว จึงถามแทนอีกฝ่าย “ก่อนที่พวกนั้นจะไป ได้ฝากคำพูดอะไรไว้บ้างหรือไม่?”

เสมียนนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ในสมองก็คล้ายเกิดประกายสว่างวาบ “ข้านึกออกแล้ว มีชายอ้วนสูงแปดฉื่อเอวกว้างแปดฉื่อท่านหนึ่งร่ำร้องดีอกดีใจอยู่หน้าโรงเตี๊ยม ก่อนไปยังพูดทำนองว่าศิษย์พี่ใหญ่ชะตาขาด ตกตายก่อนวัยอันควร ศิษย์พี่รองกลับไปเป็นใหญ่ ปกครองพรรคกลมเกลียวชั่วกาลนาน”

“เจ้าว่าอะไร?” ฉินจิ่วเกอทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนควันออกหู คนยังไม่ตาย ยังมีคนวางแผนจะโค่นล้มบัลลังก์ตนอีก

โดยเฉพาะเจ้าอ้วนน่าตายนั่น นอกจากจะใช้มีดแทงข้างหลังตนแล้ว ยังกล้าแทงสีข้างตนด้วยการเอ่ยวาจาลับหลังอีกด้วย หากทนเรื่องนี้ได้ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทนไม่ได้อีกแล้ว มาดูกันว่าใครกันแน่จะชะตาขาด

“พี่ฉินท่านใจเย็นก่อน” ซ่งเล่อคาดคำนวนในใจ ค่าความนิยมของคนผู้นี้ภายในพรรคจะน่าหดหู่เกินไปแล้ว อีกอย่าง สมมติว่าศิษย์พี่ใหญ่มีอันเป็นไปจริงๆ ยังไม่ใช่ต้องจัดพิธีรำลึกก่อนแล้วค่อยหารือเรื่องจัดตั้งใครขึ้นแทนหรอกรึ

“พี่ซ่ง ข้าจำต้องกลับไปสะสางปัญหาภายในก่อน เราแยกทางกันเท่านี้เถอะ”

ฉินจิ่วเกอมุ่งหน้ากลับพรรคด้วยความเร็วปานเกาทัณฑ์ แทบอดใจฉีกหน้ากากจอมเสแสร้งของศิษย์น้องรองต่อหน้าทุกคนพร้อมรัวหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายจนกลายเป็นหน้าสุกรไม่ไหวแล้ว

“ช้าก่อน” ซ่งเล่อมองการณ์ไกลกว่าฉินจิ่วเกอ “ก่อนจะทำการณ์ใหญ่จำต้องลับคมอาวุธไว้ให้พร้อมเสียก่อน ท่านที่ไม่มีทุนรอนอะไรเลยจะคุยกันด้วยกำปั้นได้อย่างไร เอาแค่เคล็ดวิชายุทธอันแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินของท่าน ยามประมือกันจริงๆ มีแต่แพ้กับแพ้ ยังมิสู้ไปโรงประมูลคัดเลือกเคล็ดวิชายุทธที่เหมาะสมกับท่านก่อนจะดีกว่า”

จริงอย่างว่า ฉินจิ่วเกอรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นฉ่ำถังหนึ่งราดลงกลางศีรษะ ฝีเท้าชะงักกึกในบัดดล

ระดับฝึกปรือของศิษย์น้องรองเหนือล้ำกว่าตน เคล็ดกระบี่มหานทีสะบั้นสุริยันของอีกฝ่ายก็เปี่ยมศักดานุภาพสะท้านฟ้า หากบุ่มบ่ามกลับไปในลักษณะนี้ คงไม่พ้นต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า

“รีบพาข้าไปโรงประมูลนั่นเร็ว ข้าคันไม้คันมือจะแย่อยู่แล้ว!” ฉินจิ่วเกอตาแดงก่ำ เท้าตะกุยไปบนถนนราวกับกระทิงคลั่ง

เคล็ดกิเลนครองฟ้าถือเป็นเคล็ดที่อยู่เหนือวิชายุทธเก้าขั้นไปแล้ว จัดอยู่ในศาสตร์วิชาอันพลิกฟ้าสะท้านดิน

ในเมื่อเป็นศาสตร์วิชาระดับนี้ เงื่อนไขการใช้งานย่อมไม่ต่ำทรามอย่างแน่นอน

ด้วยระดับฝึกปรือของฉินจิ่วเกอ ย่อมไม่อาจสำแดงพลังสักหนึ่งในพันส่วนออกมาได้โดยเด็ดขาด

สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการตามหาวิชายุทธที่สามารถฝึกฝนจนคล่องแคล่วได้ในเวลาอันสั้นที่สุด เลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์พ่ายแพ้หมดสารรูป

เบื้องหลังโรงประมูลประจำทวีปฉงหลิงทั้งหมดมีผู้สนับสนุนหลักหนึ่งเดียวกัน นั่นก็คือสมาคมนักจัดวางค่ายกล

ในโลกนี้นอกจากผู้ฝึกตนยังมีองค์กรหลักที่ตั้งตัวเป็นเอกเทศจากเผ่ามนุษย์มารอสูรทั้งสามอยู่อีกสองแห่ง

นั่นก็คือสมาคมนักปรุงยา และสมาคมนักจัดวางค่ายกล

อย่างที่รู้กันโดยทั่ว นักปรุงยามีฐานะสูงส่งสุดสูง พลังอำนาจยิ่งใหญ่ไร้ทัดเทียม ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาได้เต็มปากว่าจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บปางตาย หรือการทะลวงด่านฝีมือ ก็ไม่พ้นต้องพึ่งพิงความสามารถการปรุงยา

นักปรุงยามีเงินไม่ขาดมือ สมาคมนักปรุงยายิ่งมีเงินทองที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด

แน่นอนว่านอกจากนักปรุงยา นักจัดวางค่ายกลยังหมายรวมถึงศาสตร์ทางด้านการจัดวางค่ายกลและการสกัดยุทโธปกรณ์

การสกัดยุทโธปกรณ์ก็คือศาสตร์การทำอาวุธ เป็นอีกหนึ่งสาขาอาชีพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

ส่วนการจัดวางค่ายกล นอกจากค่ายกลครองพรรคที่ทรงพลานุภาพของเหล่าบรรดาพรรคใหญ่แล้ว คุณประโยชน์อื่นๆ กลับมีไม่มาก ส่งผลให้สภาพการกินอยู่ของสมาคมนักจัดวางค่ายกลไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

ดังนั้นพวกมันจึงต้องเริ่มมองหาการค้าแนวใหม่ และโรงประมูลที่กระจายตัวอยู่ทั่วทวีปฉงหลิงก็คือหนึ่งในนั้น

โรงประมูลไม่ใช่สถานที่จัดแสดงการประมูลเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าสินค้าอะไรก็ล้วนสามารถนำมาขายต่อให้กับที่นี่ได้

ในฐานะขุมอำนาจที่เป็นเอกเทศและอยู่เหนือสามเผ่าพันธุ์ โรงประมูลทุกแห่งในใต้หล้าจึงอยู่ภายใต้ความคุ้มครองจากสมาคมนักจัดวางค่ายกล ใครก็ไม่กล้าตอแย

และสืบเนื่องจากผู้หนุนหลังที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างนี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจการค้าของโรงประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเข่นฆ่าแย่งชิงรวมถึงของโจรเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

และโรงประมูลในนครซวนอู่เองก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสมาคมนักจัดวางค่ายกลเช่นเดียวกัน เป็นยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจประจำเมือง ศิลาวิญญาณไหลสะพัดเข้าออกทุกวินาที

“ว้าว” ฉินจิ่วเกอยืนอยู่หน้าโรงประมูล มองดูอาคารที่ตั้งตระหง่านค้ำฟ้า กำแพงขาวปลอดแลดูแข็งแกร่งทนทาน พื้นปูกระเบื้องสีขาวสลับลวดลายสวยงามสะอาดตา สะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจของสถานที่แห่งนี้

มองดูคลื่นมนุษย์ที่หลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย ดูตลาดเสรีที่ชุกชุมเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

ขอเพียงจ่ายค่านายหน้าสักเล็กน้อย ก็สามารถแลกเปลี่ยนเจรจาการค้าได้อย่างปลอดภัย นอกจากโรงประมูล ที่นี่ก็คือสถานที่ที่พลุกพล่านได้รับความนิยมมากที่สุด

“พี่ฉินเชิญเลือกชมได้ตามสบาย ที่นี่มีเคล็ดวิชายุทธไม่น้อย แต่ถ้าต้องการเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับท่าน จำต้องใช้เวลาสอดส่องเสียหน่อย”

ซ่งเล่อพาฉินจิ่วเกอเดินเข้างาน เพื่อป้องกันมิให้ฉินจิ่วเกอเล่นทีเผลอ จึงต้องเก็บแหวนมิติให้มิดชิด ทำถึงขั้นว่าเปลี่ยนเป็นชุดเนื้อหยาบที่ยากต่อการล้วงขโมย

สรุปสั้นๆ คือ ข้านั้นจนมาก ยังหวังให้พี่ฉินยั้งมือไว้ไมตรี

ในขณะที่ซ่งเล่อกำลังเดินแนะนำสถานที่ให้กับฉินจิ่วเกออยู่นั้น ในกลุ่มคนก็มีชายคนหนึ่งย่างสามขุมออกมา ท่าทางจองหอง ปากคอเราะร้าย “ฮี่ฮี่ นี่ไม่ใช่ยอดอัจฉริยะน้อยของพวกเราหรอกหรือ อะไรกัน ทนอยู่ในพรรคไม่ได้จนต้องออกมาทำตัวเป็นพยัคฆ์ขู่ขวัญผู้คนอยู่ในสถานที่เล็กๆ แบบนี้เชียวหรือ?”

ทันทีที่เปิดปาก ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีความบาดหมางกับซ่งเล่อ ทั้งยังไม่ใช่ความบาดหมางเล็กๆ อีกด้วย

“เฉียนหยุน อย่าให้มันมากเกินไปนัก” ซ่งเล่อไม่ใช่คนประเภทยอมถูกข่มเหงเอาง่ายๆ หากมันก็ไม่ได้ระเบิดโทสะออกมาในทันที เพียงแค่ส่งคำเตือนให้อีกฝ่ายเท่านั้น

แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจคำเตือนของซ่งเล่อ ยังมายืนจังก้าขวางทางคนทั้งสอง จมูกเชิดขึ้นตามองต่ำ “ศิษย์พี่อย่างข้ากำลังสั่งสอนเจ้า เจ้ากลับกล้าไม่ฟัง?”

ว่าแล้วชายที่เรียกเฉียนหยุนก็เดินดุ่มๆ เข้าหา ฉินจิ่วเกอในที่สุดก็เห็นหน้าอีกฝ่ายถนัดตา พลันต้องย้อนกลับมามองตัวเอง ความแตกต่างระหว่างตนกับซ่งเล่อ มีเพียงด้านบุคลิกนิสัยเท่านั้น

แต่ความต่างระหว่างซ่งเล่อกับเฉียนหยุนผู้นี้ เรียกได้ว่าตั้งแต่หูตาปากจมูกไปจนถึงทุกส่วนบนร่างกายเลยก็ว่าได้

มิน่ามันถึงได้เหม็นขี้หน้าซ่งเล่อเอาขนาดนี้ หน้าเหมือนกวางตาเหมือนหนู ปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง โดยเฉพาะผิวของมัน ต่อให้เอาไปแช่ในน้ำกรดสามร้อยหกสิบห้าวันก็ยังไม่บุบสลาย

“เฉียนหยุน อย่ารังแกกันจนเกินไปนัก คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า” ซ่งเล่อกัดฟันกล่าว

หลังสืบทอดมรดกดวงธาตุทองคำของชนชั้นกฎสรรพสิ่งมาแล้ว มันเชื่อว่าตนจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ในเวลาสามเดือน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะแตกหัก

“ทำไม หรือว่าพอได้รับการยกย่องสรรเสริญจากพวกทุรกันดารเข้าหน่อย ก็เลยคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมมากงั้นสิ?”

เฉียนหยุนไม่ถูกชะตากับซ่งเล่อมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ยอมสะสางบัญชีกันให้รู้แล้วรู้รอดเสียที ศิษย์หน้าใหม่ที่กล้ามองข้ามหัวมันเช่นนี้ ชีวิตภายในพรรคของมันจะต้องเต็มไปด้วยความยากลำบาก รอให้ตนทะลวงขั้นพิสุทธิ์ไพศาลเสียก่อน ซ่งเล่ออย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข

“ศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะ?” ฉินจิ่วเกอกระซิบถามซ่งเล่อ รู้สึกหัวเสียตามไปด้วย จึงเริ่มวางแผนจัดการคนตรงหน้าแทนซ่งเล่อ

“อืม” ซ่งเล่อผงกศีรษะ

พับผ่า ที่แท้เป็นศิษย์ฝ่ายในนี่เอง

ขอเพียงไม่ใช่ศิษย์สายตรง ในอนาคตซ่งเล่อย่อมไม่จำเป็นต้องแยแสให้เปลืองสายตา

ปลาซิวปลาสร้อยที่ชื่อเฉียนหยุนตัวนี้ เป็นแค่หินรองเท้าที่ฟ้าส่งมาให้กับมันเท่านั้น

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน