เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 34 เงาปีศาจวิชาอสูร

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

แววตาของเด็กหนุ่มฉายแววตื่นกลัว กลืนน้ำลายหลายอึก พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกที่ว่ามาคอยซุ่มมองตนเองจึงค่อยเอ่ยออกมาว่า

“ใกล้กับหมู่บ้านของข้า มีโจรภูเขากลุ่มหนึ่งออกอาละวาดขโมยข้าวของผู้คน พวกมันเรียกร้องค่าคุ้มครองจากหมู่บ้านของพวกเราเป็นเงินสองร้อยศิลาวิญญาณ ข้าจึงต้องนำต้นเทวะออกมาขายเพื่อแลกเงิน”

“ขวัญกล้าบังอาจนัก!” ไม่รอให้ฉินจิ่วเกอได้ปริปาก ซ่งเล่อกลับขโมยตัดบทเสียก่อน

“ไข้ขึ้นหรือไง?” ฉินจิ่วเกองุนงง โจรมันไม่ได้ปล้นเจ้าเสียหน่อย

“ประตูหายนะเราคือหัวหอกของสี่พรรคใหญ่ ดูแลครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง เมืองซวนอู่รวมถึงอาณาเขตสามหมื่นลี้โดยรอบล้วนอยู่ใต้การปกครองของเราโดยมีอาวุโสประจำพรรคคอยกำกับดูแล”

ยกชื่อเสียงของพรรคที่คุ้มกะลาหัวตนออกมาพูด ในใจซ่งเล่อรู้สึกภาคภูมิเบิกบานนัก แค่เอาป้ายชื่อทองคำออกมาก็ข่มขู่ผู้คนให้หัวหดได้ไม่น้อยแล้ว

“โจรพวกนั้นถึงกับกล้าปล้นชิงชาวบ้านที่อยู่ใต้ความคุ้มครองของประตูหายนะ ขุนเขาสูงจักรพรรดิประทับไกล เท่ากับฉวยโอกาสกันชัดๆ รอดูว่าข้าจะสั่งสอนพวกมันอย่างไรบ้าง!”

ซ่งเล่อดาลเดือดจนแทบคลั่ง ระดับฝึกปรือปราณสุริยันขั้นปลายระเบิดออก สร้างความตกใจให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นจนหน้าซีด

เด็กหนุ่มมองข้ามความกลัวในใจ เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “ใต้เท้า ท่านยินดีที่จะช่วยพวกเราขจัดกองโจรภูเขาเหล่านั้น? แต่พวกมันแข็งแกร่งมาก ศิลาขนาดเท่าวัวเขียวยกถูกพวกมันทุบทำลายได้ง่ายๆ”

ซ่งเล่อพยักหน้าด้วยความมั่นใจ กำจัดพวกโจรหางแถวแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนใช้อำนาจพรรคให้วุ่นวาย ลำพังแค่ตนก็เอาอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องความเก่งกาจสามารถของฝ่ายนั้น พรสวรรค์การฝึกยุทธและไอวิญญาณบนเชิงเขาเล็กๆ เยี่ยงนั้น แม้แต่ชนชั้นปราณสุริยันยังไม่มี จะมีอะไรให้ต้องกลัว

ตระหนักว่าซ่งเล่อแย่งบทเด่นไปจนหมด ฉินจิ่วเกอเริ่มไม่สบอารมณ์ รีบกล่าวด้วยท่าทีเปี่ยมคุณธรรมว่า “ยุทธภพไร้นัยน์ตา ยังคงต้องพึ่งพิงช่วยเหลือกัน ให้เป็นหน้าที่ของผู้ฝึกตนอย่างพวกข้าเถอะ เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยกำจัดโจรห้าร้อยพวกนั้นให้เจ้าเอง ต่อจากนี้เจ้าจะได้อยู่อย่างสงบสุข”

“อาอู่ขอบพระคุณใต้เท้าทั้งสองท่าน” เด็กหนุ่มก้มศีรษะคารวะ นัยน์ตาทอประกายเคารพเทิดทูนสุดหัวใจ

หลงระเริงกับความสำเร็จของตัวเอง ฉินจิ่วเกอยกมือลูบท้ายทอยอย่างกระอักกระอ่วน เห็นอีกฝ่ายหัวไวขนาดนี้ จะให้คิดเงินกับมันก็คงน่าละอายเกินไป ในเมื่อเป็นโจรภูเขา สมบัติที่แย่งชิงได้มาย่อมมีมูลค่าไม่น้อย

อดพูดไม่ได้ว่า ยามพูดถึงเรื่องเงินทอง คนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปในทันที

“อย่าได้ล่าช้ากันอีกเลย พวกเรารีบออกจากเมืองกันดีกว่า คาดว่าก่อนฟ้ามืดก็คงไปถึงหมู่บ้านของเจ้าแล้วกระมัง?”

ซ่งเล่อคันไม้คันมืออยากออกไปจัดการโจรภูเขาใจจะขาด ใครบ้างไม่ฝันอยากเป็นวีรบุรุษดูสักวัน

“ถ้าเร่งเดินทางก็ทันขอรับ” อาอู่ตอบด้วยท่าทีขลาดกลัวอยู่บ้าง ตนเดินทางสามวันจึงจะถึงเมืองซวนอู่ แอบกังวลว่าใต้เท้าทั้งสองพอรู้ว่าไกลจะไม่ยินยอมเดินทาง

ดูจากคลื่นพลังวิญญาณภายในร่างของพวกมัน คาดว่าฝีมือคงสูงส่งยิ่งกว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้านอีกกระมัง บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านก็คือหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่กี่วันก่อนท่านเพิ่งทะลวงขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้าเอง

“ซื้อม้าเร็วสามตัว ช่วงเย็นคงถึงที่หมายพอดี” มองทะลุว่าอีกฝ่ายคิดอะไรในใจ ซ่งเล่อจึงกล่าวปลอบขวัญ “วางใจเถอะ ข้าคือศิษย์ประตูหายนะ อาณาเขตสามหมื่นลี้รอบเมืองซวนอู่ล้วนอยู่ภายใต้ความดูแลของประตูหายนะเรา กองโจรพวกนั้นกล้าเสนอหน้าอาละวาด ข้าย่อมต้องช่วยเหลือพวกเจ้ากำจัดขับล้างอยู่แล้ว”

“พอแล้ว หยุดพูดจาไร้สาระ ไปซื้อม้า บอกไว้ก่อน ข้าในตอนนี้ยากไร้เงินทอง เงินซื้อม้าเป็นเจ้าออก”

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สามคนก็ควบตะลุยกีบเท้าของม้าสีดำทั้งสามออกจากเมืองซวนอู่ เหินทะยานไปยังทิศตะวันออกราวติดปีก

ตะวันร้อนแรงแขวนอยู่กลางฟ้า อาชาควบทะยานไปตามทางโบราณ ตะกุยหินทรายเหลืองลอยฟุ้งเต็มอากาศ แดนรกร้างสุดสายตา

เมื่อเปลี่ยนมาถึงทางน้อยปูด้วยศิลาภูเขา ต้นไม้เปลี่ยนเป็นป่า ส่วนใหญ่เป็นพุ่มไม้สูงขนาดเท่าตัวคน

หมู่บ้านป่าที่อาอู่อาศัย อยู่ในหุบเขาลึก โดดเดี่ยวห่างไกลจากสถานที่อื่นอย่างยิ่ง และเป็นเพราะสถานที่นี้ตั้งอยู่ห่างไกล ตลอดมาน้อยครั้งจะมีคนนอกมาเยี่ยมเเยือน

ตามหลักแล้ว สถานที่ที่มีการคุ้มครองจากพรรคสำนักทั้งหลาย ย่อมไม่มีทางปรากฎเหล่าโจรร้ายออกอาละวาดปล้นฆ่าชิงทรัพย์ชาวบ้านอย่างเปิดเผย

เช่นนี้ หมายความว่าหมู่บ้านนี้เป็นพวกหลบหนีจากค่ายพรรคสำนักใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่ายพรรคที่พวกมันหลบซ่อนตัว ก็คือประตูหายนะนี่เอง

“อาอู่ ในเมื่อมีกองโจรมาป้วนเปี้ยนอยู่ในละแวก พวกเจ้าไม่คิดรวบรวมกำลังคนออกต่อต้านบ้างเลยรึ?” ขณะกำลังขี่ม้าเบื่อๆ ฉินจิ่วเกอจึงถามขึ้นอย่างไม่คิดอะไรมาก

“เคยขอรับนายท่าน พวกเรารวบรวมชายหนุ่มหลายร้อยคนจากทั้งเจ็ดแปดหมู่บ้านใกล้เคียง แต่ราคาที่พวกมันเรียกร้องนั้นสูงเกินไป หมู่บ้านเล็กๆ อย่างพวกเรา ต่อให้ขายออกไปหมด ก็ยังไม่อาจรวบรวมเงินได้ครบสองร้อยอยู่ดี”

อาอู่ตัดพ้อ นิ้วกำสายบังเหียนแน่นจนเลือดซิบ ท่ามกลางแสงจันทร์ ทำได้แค่เอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว “พวกเรามีกันหลายร้อยคน ตอนที่ออกไปขับไล่กลุ่มโจรพวกนั้น อยู่ๆ พวกมันก็ส่งคนออกมาคนหนึ่ง มันวาดดาบคราเดียวก็สังหารคนของเราตกตายยี่สิบสามสิบคน ทั้งยังแขวนศีรษะของพวกมันเอาไว้ใต้ต้นไม้ พวกตาขาวเลยพากันกลัวจนไม่กล้าจับอาวุธขึ้นสู้”

“เท่าที่ฟังเหมือนจะเป็นพวกนักโทษหลบหนี พละกำลังของฝ่ายนั้นไม่มีทางเหนือไปกว่าฝ่ายเรา แต่ก็ยังต้องระวังให้มาก” ซ่งเล่อมั่นใจว่าระดับพลังของตนสูงกว่าอีกฝ่าย เพียงแต่พวกนี้ฆ่าคนมามาก ประสบการณ์การต่อสู้ย่อมมิอาจดูเบาได้

“หลังจากนั้นพวกเจ้าก็เลยเริ่มรวบรวมศิลาวิญญาณงั้นสิ?” ฉินจิ่วเกอถามต่อ ในใจเริ่มสงสัยถึงที่มาของพวกโจรกลุ่มนั้น

หากพวกมันทำเพื่อเงินจริงๆ คงไม่ต้องลำบากลำบนมาปล้นเอากับหมู่บ้านบนเชิงเขาเล็กๆ อย่างนี้หรอก ไหนจะยังฆ่าคนเป็นผักปลาอีก

การฆ่าช้างเอางาเยี่ยงนี้ ขัดกับหลักการของพวกโจรอย่างที่สุด แปลว่าอีกฝ่ายจะต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจเป็นแน่

“โจรพวกนั้นสั่งไว้ว่า ให้พวกเรารวบรวมศิลาวิญญาณสองร้อยก้อนให้ได้ภายในสิบวัน ไม่งั้นจะเข่นฆ่าทุกคนในหมู่บ้าน” อาอู่กัดริมฝีปากจนเลือดไหลหยดออกมา “และวันนี้ ก็คือวันที่สิบพอดี!”

เสียงม้าร้อง พร้อมเสียงเกือกม้าห้อตะบึงเต็มเหยียด คนทั้งสามแทบขี่ม้าเหินอากาศ ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านเชิงเขาเล็กๆ ที่ปลีกตัวจากความจอแจในที่สุด

ในหุบเขา ผู้คนดำรงชีวิตเรียบง่าย พื้นเขียวกำแพงขาว บ้านเรือนกระจัดกระจายเต็มพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ ดูราวกับบุปผาที่เบ่งบานกระจายออกในทุ่งหญ้า ให้บรรยากาศการดำรงชีพอันดื้อรั้นทระนง

หมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก มีประชากรอยู่ราวสองร้อยคน แม้วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจะขาดแคลนไปบ้าง แต่บ่อยครั้งพอถึงเวลาพลบค่ำ ชาวเขาเหล่านี้ก็จะออกมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบช่วยเหลือกันไป

เงียบสงบจนเกินไป ทั้งที่มาถึงหน้าหมู่บ้าน แม้แต่แสงไฟยังไม่มีให้เห็น

หมู่บ้านเชิงเขาที่ตั้งอยู่ไกลผู้ไกลคน บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงเหมือนป่าช้า ราวกับหมู่บ้านผีสิงที่ถูกทิ้งร้างมาร้อยปี

“หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าอาอู่เองขอรับ” อาอู่ตะโกนเข้าไปทางหมู่บ้าน หากก็ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่ความเงียบเชียบและความมืดมิดอยู่เป็นเพื่อน เป็นความมืดชนิดที่ว่าแม้แต่ตั๊กแตนยังต้องสูญพันธุ์

ก้าวลงจากม้า อาอู่วิ่งไปตามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ หกคะเมนตีลังการะหว่างทางอยู่หลายครั้ง แต่ก็ฝืนกลั้นความเจ็บปวดคืบคลานต่อไป

“พี่ฉิน ท่านรู้สึกไหม” ซ่งเล่อถามเสียงเครียด ไม่มีวี่แววของความล้อเล่นอยู่เลยแม้แต่น้อย

สูดลมลึกๆ คราหนึ่ง ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทั้งยังเข้มข้นจนคาวติดจมูก ย่อมไม่ได้เกิดจากเลือดของคนเพียงไม่กี่คน

“กลิ่นอายสังหาร พวกนั้นคงไปได้ไม่นาน กลิ่นอายสังหารจึงยังเข้มข้น กองโจรทั่วไปไม่มีทางกระหายเลือดได้ขนาดนี้ ฆ่าบางล้างหมู่บ้าน เป้าหมายย่อมไม่ใช่เพื่อเงินแน่” ฉินจิ่วเกอคาดการณ์

ซ่งเล่อชูนิ้วใต้แสงจันทร์ ในแววตามีแต่ความเดือดดาลไร้สิ้นสุด ลั่นคำสาบานด้วยน้ำเสียงกระหึ่มดุจสีหนาท “ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใคร ข้าซ่งเล่อขอสาบานต่อฟ้าว่าจะล้างโคตรพวกเดรัจฉานไร้ความเป็นมนุษย์พวกนี้ให้จงได้!”

“อืม มารร้ายไม่อาจไถ่บาป ส่งพวกมันกลับขุมนรกเถอะ” ฉินจิ่วเกอไม่พูดมากความ ในใจหมายหัวพวกนั้นไว้เรียบร้อย

เข่นฆ่าชาวบ้านตาดำๆ พวกมันยังจะนับว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ

จากในหมู่บ้าน แว่วเสียงร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจของอาอู่ดังออกมา เสียงของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและอับจนหนทาง

“ทำไม ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ข้าก็รวบรวมเงินมาได้ครบแล้วแท้ๆ เพราะอะไรกัน” รำพึงทอดอาลัยกับตัวเอง อาอู่คุกเข่าอยู่กลางหมู่บ้าน น้ำตาใสกระจ่างสองสายไหลผ่านแก้มก่อนหยดลงบนพื้น

ใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยพวกนั้น ทุกรายละเอียดชัดเจนเหมือนวันวาน

หมู่บ้านที่เคยสงบสุขเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่น วันนี้กลับเปลี่ยนเป็นขุมนรก ชีวิตนับร้อยต้องมาล้มหายตายจากไปในลักษณะนี้

อาอู่เอามือทุบพื้นจนเนื้อหนังปอกเปิด โลหิตพร่างพรมเต็มพื้นหินเขียวกระดำกระด่างจนแดงฉาน

“เพราะอะไรกัน ท่านลุง ท่านพ่อ ท่านแม่” สองตาของอาอู่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มันไม่เข้าใจ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทั้งไม่เคยเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกอย่างพวกมัน เหตุใดต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ด้วย

ซ่งเล่อและฉินจิ่วเกอที่เดินเข้ามาในเวลานี้ก็พบเห็นภาพบาดตาตรงหน้าเต็มสายตา

มองไปทางไหนก็มีแต่โลหิตเจิ่งนอง หมู่บ้านทั้งแห่งแทบจะอาบย้อมไปด้วยโลหิตทุกตารางนิ้ว ความกลัวกระจายตัวไปทั่วพื้นที่จนแทบจะมองเห็นภาพของชาวบ้านที่วิ่งหนีด้วยความกลัวตายได้ ประกายโลหิตที่ส่องสะท้อนอยู่บนแอ่งโลหิตยังส่องสว่างยิ่งกว่าแสงจันทร์ของค่ำคืนนี้เสียอีก

ทุกศพที่นอนทอดกายอยู่คล้ายก่อนตายไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนเท่าใด ดูท่าคนลงมือสังหารต้องเป็นยอดฝีมือ อย่างน้อยอยู่ขอบเขตปราณสุริยัน ที่ยิ่งน่าหวาดหวั่น คือทุกศพที่นอนระเกะระกะอยู่ล้วนปราศจากศีรษะ ล้วนตายด้วยวิธีเดียวกันทั้งสิ้น

ถูกสะบั้นศีรษะหลุดจากบ่า นี่เป็นฝีมือโจรภูเขาทั่วไปจริงหรือ หากบอกว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีแผนการอื่น ย่อมไม่มีใครเชื่อ

ยิ่งไปกว่านั้น ซ่งเล่อพบว่า ศพทุกศพ ล้วนถูกรีดเอาแก่นโลหิตภายในออกไปจนหมดสิ้น

แก่นโลหิต คือแก่นของโลหิตในร่างมนุษย์ และเป็นที่บรรจุวิญญาณและพลังภายในร่างคน

ศพถูกกุดหัว รีดแก่นโลหิตออกจนสิ้น วิธีการลงมือและวัตถุประสงค์แปลกประหลาดจนเกินไป โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่สุด

“พวกฝึกวิชาอสูร!” ซ่งเล่อเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ น้ำเสียงของมันสั่นเทิ้ม เป็นความกลัวที่ปิดไม่มิด

ในฐานะศิษย์ประตูหายนะ ซ่งเล่อเปี่ยมความโดดเดี่ยวทระนงในตัว นั่นเป็นแรงกดดันต่อมนุษย์ผู้อื่นที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

ทว่ายามมันเอ่ยคำ ผู้ฝึกวิชาอสูรออกมา สีหน้าท่าทาง ล้วนแสดงออกอย่างชัดเจนยิ่ง

วิชาอสูร เพียงไม่กี่คำ เมื่อเข้าหูผู้ใดล้วนต้องขนพองสยองเกล้า

ชื่อเสียงของพวกมัน ก่อร่างสร้างขึ้นมาจากขุนเขาอสุภะทะเลโลหิต พันหมื่นดวงวิญญาณเซ่นสังเวย ความโหดร้ายกระหายเลือดนั้น ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์

ในทวีปฉงหลิงนี้ มีกฎเหล็กอยู่ว่า : พบพานผู้ฝึกวิชาอสูร เข่นฆ่าล้างบาง!

สองประโยค สะท้อนความคิดของเหล่าผู้บำเพ็ญตนบนทวีปฉงหลิงต่อผู้ฝึกวิชาอสูรทั้งมวล

ผู้ฝึกวิชาอสูรเอง พวกมันล้วนมีคติประจำใจเช่นกัน : ทั่วใต้หล้านี้ สามารถมอบเต๋าแก่ข้า ล้วนต้องฆ่าทิ้ง

ไม่ว่าเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้า หรือผู้ชราเยาว์วัย ขอเพียงสามารถช่วยยกระดับพลังของพวกมันได้ ล้วนต้องพลีชีพภายใต้คมมีดของพวกมัน

ดังนั้น เดรัจฉานที่หันหลังให้ฟ้าดินเหล่านี้ ล้วนไม่ต่างจากหุ่นที่ถูกความกระหายอยากของพวกมันชักเชิดไปตามต้องการ

ฉินจิ่วเกอปราศจากปฏิกิริยารุนแรง คนบีบก้อนหินในมืออย่างไม่นำพา จวบกระทั่งก้อนหินในมือถูกบีบจนแหลกละเอียด แววตาค่อยฉายประกายเด็ดขาด

“อีกฝ่ายพลังฝีมือไม่ต่ำทราม ไม่ทราบมียอดฝีมือชั้นวิสุทธิ์ไพศาลหรือไม่ ทว่าปราณสุริยันย่อมมีไม่น้อย รีบส่งข่าวแก่สำนักเจ้า ให้พวกมันส่งยอดฝีมือมาสมทบ”

ด้านอารมณ์ความรู้สึก ฉินจิ่วเกอมิใช่คนมุทะลุ มันมักชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียก่อนเสมอ การกระทำอันบุ่มบ่ามมักต้องจ่ายผลตอบแทนอันนองเลือด นี่เป็นมันประสบพบมาด้วยตนเอง

ซ่งเล่อชัดเจนว่าไม่ใจเย็นขนาดนั้น ท่ามกลางขุนเขามรณะที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโลหิตคละคลุ้ง ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องได้รับผลกระทบมาบ้าง

“เกรงว่าคงไม่ทันการณ์แล้ว”

ซ่งเล่อนัยน์ตาแดงก่ำ น้ำเสียงเจือแววสะอื้น “รอจนยอดฝีมือในเมืองซวนอู่มาถึง บรรดายอดยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นเกรงว่าจะหลบหนีเข้าสู่ในหุบเขาลึก โดยรอบห้าพันลี้ล้วนเป็นขุนเขาบรรพตร้างไร้ผู้คน ในนั้นยังมีสัตว์อสูรร้ายกาจไม่น้อย หุบเขาถ้ำผาอีกนับไม่ถ้วน ทันทีที่เดรัจฉานไร้ความเป็นคนพวกนี้หลุดเข้าไปได้ ไม่ต่างจากอสรพิษในที่ซ่อน ไม่อาจค้นหาพบ”

“อย่าบอกนะว่า อาศัยเราท่านสองคน คิดกระทำการเป็นวีรบุรุษ?”

ฉินจิ่วเกอไร้วาจาจะกล่าว หนุ่มสาวยุคนี้ขวัญกล้าเหลือเกินจริงๆ รู้ว่าไปตายยังไม่คิดถอยสักก้าว

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท