เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 60 กวาดเรียบ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

อาศัยเคล็ดมารมายา ฉินจิ่วเกอใช้ท่าร่างมายา มาถึงเบื้องหน้าหลิงหาน

“เจ้า อย่าเข้ามานะ!” เมื่อต้องเผชิญกับกรงเล็บทรงพลังของตัวลามกบ้ากาม หลิงหานแตกตื่นตระหนก เหตุใดอาวุโสจึงไม่ตักเตือนเรื่องนี้ไว้ก่อนเล่า

“เด็กน้อยไร้ยางอาย ชนะอย่างอัปยศ ข้าจะประกาศฝีมืออันชั่วช้าสารเลวของพวกเจ้าต่อเผ่ามนุษย์ทั้งมวล!” เหิงโหย่วเฉียนหันหน้ามา ชี้นิ้วตราหน้าใส่อาวุโสสอง

อาวุโสสองมือกุมอก แค่นเสียงอ๊อกหนึ่งคำ เหลือกตาขาวเป็นลมล้มหมดสติไปทันที

เจ้าอ้วนน่าตายร้องพ่อเรียกแม่ถลาเข้าไปหา สองมือประสานยันใส่หน้าอกของอาวุโสสองเพื่อปั๊มหัวใจ ยันจนอาวุโสสองหน้าดำหน้าแดง

สุดท้าย เป็นหรงเคอเคอผู้ใส่ใจ ให้ศิษย์หลายคนนำส่งอาวุโสสองไปหาอาวุโสสี่เพื่อช่วยชีวิต

เชื่อว่าไม่น้อยกว่าเจ็ดแปดวัน อาวุโสสองย่อมไม่กล้าโผล่หน้าออกมาพบเจอผู้คน

อาศัยท่าร่างทักษะยุทธ์ ฉินจิ่วเกอถือว่ากินขาดหลิงหาน คนปั้นสีหน้าราวบ้าคลั่ง ในปากเต็มไปด้วยน้ำลายไหลย้อย

ไม่ถึงสามนาที หลิงหานกระโดดลงจากเวทียอมแพ้ ไปหลบอยู่หลังอาวุโสพรรคตนเอง เกรงกลัวฉินจิ่วเกอติดตามไม่เลิกรา

ฉินจิ่วเกอกลับคืนสู่สภาวะปกติ มุมปากกลับสภาพเดิม หนังตากลอกกลับคืน หดฝ่ามือกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนต่ำช้าหลงความสำเร็จ “ขอบคุณ หกพันศิลาวิญญาณ”

เหิงโหย่วเฉียนกุมอก คิดเลียนแบบอาวุโสสอง สลบไปซักรอบหนึ่งก่อนค่อยว่ากล่าว

มิใช่ฉินจิ่วเกอไร้ผู้ต้าน หากแต่เป็นมันชั่วช้าสารเลวจนเกินไป

มันท่องเหนือล่องใต้มานับสิบปี เหิงโหย่วเฉียนไม่ว่าอะไรล้วนเคยพบเห็นมา เปรียบกันแล้ว บรรดาโจรร้ายผู้ฝึกวิชาอสูรที่ฆ่าคนแยกเขี้ยวดูดเลือดมนุษย์ เทียบกับฉินจิ่วเกอไม่ต่างจากตุ๊กตาหิมะทั้งขาวทั้งสะอาด

“อะไร จะเป็นลมอีกคน?” ฉินจิ่วเกอมองเหยียดการแสดงของอีกฝ่าย “สลบไปก็ไม่ต้องรีบร้อน อยู่ในพรรคหลิงเซียวเราไปก่อน ให้พรรคจอกประกายสิทธิ์เอาศิลาวิญญาณมาแลกคน สามชั่วยามหากยังไม่มา พวกเราค่อยเอาเรื่องวันนี้ป่าวประกาศไปทั่วแดน”

เหิงโหย่วเฉียนแยกเขี้ยว เวลานี้ มันต้องกล้ำกลืนฝืนสติไม่ให้สลบไปจริงๆ แล้ว ฝ่ามือและริมฝีปากสั่นสะท้านรุนแรง หยิบเอาศิลาวิญญาณหกพันออกมา

อาวุโสสามผู้ซุ่มซ่อนอยู่ในห้องหับครุ่นคิดถึงชีวิตมนุษย์พลันปรากฏกาย ยินดีรับมอบศิลาวิญญาณหกพันด้วยใบหน้าด้านหนาไร้ยางอาย เหิงโหย่วเฉียนพาศิษย์ออกจากดินแดนที่ทำให้พวกมันต้องใจสลายอย่างเลื่อนลอยไร้วิญญาณ

“อาวุโสสาม พวกเราเชือดศิลาวิญญาณพรรคจอกประกายสิทธิ์ออกมาได้ก้อนใหญ่ เพียงพอให้พวกมันสูญเสียปราณชีวิต พวกมันจะมาล้างแค้นหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอเกิดความกังวลอยู่บ้าง

อาวุโสสามไหนเลยจะแยแสสนใจ “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้ว? พรรคหลิงเซียวเราไม่ตอแยผู้ใดก่อน แต่มิใช่หวาดกลัวผู้คนมาตอแย หากคิดมาหาเรื่องพวกเราพรรคหลิงเซียว มันกล้ามา ข้าก็กล้าฝัง!”

“อาวุโสห้าวหาญจริงๆ!”

“ข้าจะกลัวทำไม?” อาวุโสสามหัวเราะชั่วร้าย “แค้นมีเป้าหนี้มีเจ้าของ หากพวกมันมาคิดบัญชี ก็ต้องมาหาเจ้าก่อน ระหว่างนี้เจ้าอย่าได้ออกไปไหน ระวังถูกคนตามเก็บหนี้”

“นั่นย่อมแน่นอน”

หลายวันต่อมา ฉินจิ่วเกอรอคอยพรรคจอกประกายสิทธิ์อย่างเงียบๆ ว่างๆ ก็ไปหยอกล้อเล่นกับศิษย์น้องเล็ก ก่อนแวะเวียนไปรังแกเจ้าอ้วนน่าตายตามความสะดวก

จากนั้น ตรวจสอบงานการต่างๆ ภายในพรรค ก่อนแอบเข้าห้องครัวขโมยขนมเค้กของกินต่างๆ หลบเข้าซอกมุมลักลอบแบ่งปันกับศิษย์น้องเล็ก

รักษาสภาวะอยู่ว่างไร้เรื่องราว ฝึกปรือฝีมือตามสะดวก ขัดเกลาพื้นฐานให้หนักแน่น

คิดยกระดับพลังฝีมือ มิใช่สามารถทะลวงด่านง่ายดายปานนั้น ฉินจิ่วเกอไม่รีบร้อน น้องรองต่างหากจึงจะเป็นไฮไลท์ของเรื่อง

พรรคหลิงเซียวภายในสงบรื่นรมย์ พรรคจอกประกายสิทธิ์เล่า กำลังถูกเมฆดำเข้าครอบงำ

“สมควรตาย หกพันศิลาวิญญาณเชียวนะ เจ้าพวกเศษสวะ!” ใบหน้าสี่เหลี่ยมของประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ยามนี้โมโหจนผิดรูป อาวุโสใหญ่และเกาฟู่ส่วย ที่จริงล้วนรับประทานไปแล้วคนละฝ่ามือ

เกาฟู่ส่วยจดหนี้แค้นไว้ที่ฉินจิ่วเกอ มันชิงชังที่ไม่สามารถถลกหนังอีกฝ่ายออกมารับประทาน เหิงโหย่วเฉียนเองก็เช่นกัน เบื้องสูงเบื้องต่ำในพรรคจอกประกายสิทธิ์ล้วนจดจำเป้าแค้นไว้ในใจ

“ความหมายของเจ้าคือ พรรคหลิงเซียวที่แทบไม่เคยได้ยินชื่อกลับมียอดฝีมือแฝงเร้นอยู่ภายใน?” ประมุขพรรคหลิงเซียวไม่กล้าประมาท บนโลกใบนี้ คนที่พวกมันไม่อาจล่วงเกินมีมากเกินไปแล้ว

“ข้ามองพลังฝีมือที่แท้จริงของอาวุโสสองนั่นไม่ออก เชื่อว่ามันมีทักษะซุกซ่อนพลังไว้ อย่างน้อยระดับต้องไม่ต่ำกว่าข้า”

เหิงโหย่วเฉียนกล่าวตามจริง มันโจมตีพรรคหลิงเซียวโดยไม่ได้รับอนุญาต ภาพจำของมันที่อาวุโสสองประทับไว้ช่างยิ่งใหญ่จนเกินไป

ยังมีอาวุโสสามที่พอได้ยินคำศิลาวิญญาณก็โผล่อมานั่นอีกคน ระดับความรวดเร็วของมันถึงขั้นที่แม้แต่ตนเองก็หยั่งไม่ถึง

“พรรคจอกประกายสิทธิ์เรามียอดฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลอยู่แปดคน คิดทำลายพรรคหลิงเซียวง่ายดายดังพลิกฝ่ามือ!” เกาฟู่ส่วยคำรณ มันเกลียดชังจนคิดฉีกฉินจิ่วเกอเป็นชิ้นๆ ด้วยมือตนเอง

“เหลวไหล!”

ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ตวาดว่าด้วยโกรธา บังเกิดความผิดหวังต่อผู้ถูกหมายตาให้รับสืบทอดพรรคคนนี้ “พรรคจอกประกายสิทธิ์เราหลายปีมานี้อวดโอ่โอหังอย่างร้ายกาจ ล่วงเกินผู้คนมาไม่น้อย หากพรรคหลิงเซียวมียอดฝีมือระดับไม่ด้อยไปกว่าพิสุทธิ์ไพศาลอย่างน้อยสามคน พวกมันสามารถเข้าร่วมกับขุมกำลังที่ไม่พอใจต่อพวกเราอยู่แล้วเหล่านั้น ถึงเวลานั้นพวกเรายิ่งตกที่นั่งลำบาก”

“อย่าบอกนะว่าพวกเราถือว่าแล้วกันไป?”

เกาฟู่ส่วยเบิกตาแดงก่ำ นึกย้อนไปถึงทุกรายละเอียดยามประมือกับฉินจิ่วเกอในตอนนั้น ความแค้นก็ท่วมท้นจิตใจ

“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แม้จะไม่สามารถเปิดศึกกับพรรคหลิงเซียว แต่ลองคิดหาวิธีจัดการเจ้าเด็กสารเลวนั่นกลับไม่ใช่ปัญหา”

ประมุขพรรคหลิงเซียวเชื่อว่าลงมือจัดการศิษย์เพียงคนเดียว พรรคหลิงเซียวคงไม่กล้าไม่ไว้หน้าพรรคจอกประกายสิทธิ์ที่มีชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลถึงแปดคน

ในสายตาของประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ ในระยะหลายร้อยลี้โดยรอบ นอกจากขุมกำลังใหญ่บางตระกูลในเมืองซวนอู่ ก็ไม่มีขุมอำนาจใดที่พวกมันไม่อาจล่วงเกิน

แล้วจู่ๆ เกาฟู่ส่วยก็นึกถึงภาพที่ฉินจิ่วเกอยั่วยุให้ศิษย์น้องของมันทุบตีพี่น้องแซ่ม่อขึ้นมา

ตระเตรียมกำลังคนถืออาวุธครบมือไว้นอกห้อง ใช้การคว่ำจอกแทนการส่งสัญญาณ ช่วงชิงจังหวะที่ไม่ทันได้ตั้งตัวที่สุดในการลงมือสังหารอย่างไร้ร่องไร้รอย

โดยเฉพาะรัศมีความอหังการที่แพร่สะพัดไปทั่วบริเวณตอนคว่ำจอกส่งสัญญาณ เรียกได้ว่ากวาดม้วนไปทุกทิศทาง

หากฉินจิ่วเกอทราบว่ามีคนคิดลอกเลียนกลยุทธ์เลี้ยงฉลองจับไก่ของมันเข้า แม้แต่จำนวนคนดักซุ่มลงมือก็ยังลอกเลียนมาอย่างไม่ตกหล่น คาดว่าคงงัดชูนิ้วกลางใส่หน้าไปแล้ว

หัดมีหัวคิดซะบ้าง เชิญคนมาเลี้ยงฉลองเจ้ากลับใช้วิธีคว่ำจอกส่งสัญญาณ กลยุทธ์พรรค์นี้เอาไปหลอกสุกรยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เหิงโหย่วเฉียนเกิดแรงบันดาลใจ ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือมากขึ้นไปอีก “ข้าลืมคิดไปได้ยังไง พวกเราสามารถวางยาสังหารศัตรู ไม่ใช่แค่ในอาหาร จะสุราหรือกับข้าวก็ทำได้ทั้งนั้น เอาโอสถสะบั้นชีพสักหลายสิบเม็ดมาอาบชโลม ไม่ต้องกลัวว่าเป้าหมายจะไม่ตายดี”

“ไม่เลว” ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์เห็นพ้อง “จะติดก็แค่หากเราออกหน้าลงมือเอง พรรคหลิงเซียวสูงต่ำย่อมเกิดความเคลือบแคลง ดีไม่ดีอาจเข้าตัวเสียเอง”

เกาฟู่ส่วยรีบเสนอหนทางด้วยความกระตือรือร้นที่สุดในชีวิต

“พวกเราไม่จำเป็นต้องออกหน้าลงมือเอง สองพี่น้องแซ่ม่อต่างก็เป็นทายาทศิษย์ของตระกูลม่อแห่งนครซวนอู่ พวกเราแค่ยั่วยุให้พวกมันออกหน้าแทน ทำเป็นว่าไปขอยืมเงินจากพรรคหลิงเซียว จากนั้นก็ถ่วงเวลาเข้าไว้ จากนิสัยรักเงินยิ่งชีพของคนในพรรคหลิงเซียว พวกมันจะต้องส่งตัวศิษย์พี่ใหญ่มาคลี่คลายสถานการณ์แทนแน่”

เหิงโหย่วเฉียนผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย กล่าวเสริม “จากนั้นก็ให้ตระกูลม่อแสดงความเสียใจโดยการเชื้อเชิญให้พวกมันมาร่วมงานเลี้ยงในเมือง ถึงตอนนั้นก็ฉวยโอกาสปลิดชีวิตสุนัขของพวกมันมาซะ!”

“ประเสริฐ งั้นก็ตกลงตามนี้!” ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ตัดสินใจ อนุมัติแผนการสมคบคิดในครั้งนี้ พายุตั้งเค้าฝนก่อตัว

ผู้ยากแค้นแม้อยู่ใจกลางความเจริญไร้คนถามไถ่ ผู้มีอันจะกินแม้อยู่ในหุบเขาลึกกลับมีญาติแวะเวียนมาหา

หลังผ่านพ้นเรื่องพรรคจอกประกายสิทธิ์ ชื่อเสียงภายในพรรคของฉินจิ่วเกอก็ยิ่งกระเดื่องเลื่องลือ แม้จะบอกว่าเอาชนะมาได้ด้วยวิธีการต่ำช้า แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ต้องพ่ายแพ้หมดสารรูปกลับไป

หลายวันมานี้ มีศิษย์คอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนไม่ได้ขาด ส่วนใหญ่มาเพื่อเทิดทูนบูชารัศมีเทพของศิษย์พี่ใหญ่

นอกจากนี้ ยังมีคนไม่น้อยที่จดจำกรงเล็บมังกรในตำนานของฉินจิ่วเกอไปใช้

แค่ได้ยินชื่อก็ต้องรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาแล้ว เจ้าอ้วนน่าตายกระมิดกระเมี้ยนอ้อนวอนให้ฉินจิ่วเกอถ่ายทอดวิชาลับก้นหีบนี้ให้แก่มันอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกฉินจิ่วเกอปฏิเสธอย่างไม่ไยดีไปเสียทุกครา

หนึ่งกระบวนลิ้มลองความสดใหม่ได้ทั่วหล้า หากถ่ายทอดวิชานี้แก่ลูกศิษย์ มันที่เป็นอาจารย์ย่อมอดตาย ฉินจิ่วเกอจึงมิอาจไม่รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่กล้าถ่ายทอดวิชาให้กับใคร

ประกายแสงแห่งความเบิกบานชื่นมื่นภายในพรรคดำรงอยู่ได้เจ็ดวัน ขุมกำลังตระกูลม่อในเมืองซวนอู่ก็มาโดยไม่ได้บอกกล่าว บอกว่าตระกูลของพวกมันเงินขาดมือ ขอหยิบยืมเงินทองพรรคหลิงเซียวกลับสู่ตระกูลเพื่อแก้ไขสถานการณ์

อาวุโสสามขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดรอบคอบ แต่ครั้งนี้กลับเผลอเรอมองข้าม อีกฝ่ายเล่นหยิบยืมแล้วหนีหาย เล่นงานจนอาวุโสสามความดันขึ้น

อีกฝ่ายห้อยป้ายที่เอวยี่ห้อตระกูลม่อเมืองซวนอู่ ยังมีสัญญาที่ทำด้วยโลหิต ที่มาย่อมไม่มีทางผิดพลาด

ในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิธียืมแล้วหนี พูดให้ถูกคือพวกมันคิดหนีหนี้

ฉินจิ่วเกอคร่ำครวญ เป็นศิษย์พี่ใหญ่ไม่น่ายินดีแม้แต่น้อย แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อาวุโสสามยังบากหน้ามาหาให้ตนเอาบัญชีไปทวงเงินในเมืองซวนอู่

มันรู้สึกได้เลือนลางว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ปรกติธรรมดาแน่ ฉินจิ่วเกอไม่รีบรับปาก หากให้อาวุโสสามรอคอยอยู่สองสามวัน

อาวุโสสามคิดๆ ดูแล้วก็เห็นพ้อง เป็นต้องหัวร่อฮ่าฮ่าออกมา

ปีนั้นผู้ที่มาเรียกค่าคุ้มครองจากพรรคหลิงเซียว ถูกฟาดแขนขาหักโยนออกไป

ตอนนี้ตระกูลเล็กๆ จากเมืองซวนอู่ตระกูลหนึ่ง อย่างมากก็มีพิสุทธิ์ไพศาลอยู่ไม่กี่คน ต่อให้กินดีหมีหัวใจเสือมายังไม่กล้าหนีหนี้ จริงหรือไม่?

ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม อาวุโสสามพอคิดคำนวณดอกเบี้ยของแต่ละวันที่ผ่านมา เนิ่นนานก็ยังไม่อาจสงบจิตใจลงได้

ศิษย์ตระกูลม่อผู้นั้นบังเอิญท้องเสีย จากนั้นร่วงตกลงในหลุมส้วมตายอนาถ ไม่ต้องสงสัยเลย ตระกูลม่อตระเตรียมกลับคำไม่ยอมรับคน

อาวุโสสามโกรธจนหัวร่อออกมา ลมเย็นเยือกพัดกรรโชกภายในพรรคหลิงเซียว ศิษย์ในพรรคต่างหลีกเลี่ยงด้วยความหวาดกลัว ทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำตกอยู่ในความหวาดผวา

ฉินจิ่วเกอเข้าอกเข้าใจอาวุโสสามอย่างยิ่ง ยอดคนชั้นกลั่นดวงธาตุ แม้ยามปกติซุกงำชื่อแซ่ แต่อย่างไรยังถือเป็นราชันในหมู่ราชสีห์ แต่จู่ๆ ดันมาถูกคนเบี้ยวหนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่มันตบหน้ากันชัดๆ!

อาวุโสสามร้อนรนแล้ว ออกคำสั่งให้ฉินจิ่วเกอรีบเคลื่อนไหว ไปสอดแนมดูที่เมืองซวนอู่ เด็กตระกูลม่อนั่นใช่กินยาผิดสำแดงจริงหรือไม่

ฉินจิ่วเกอไม่กล้าไม่ไป อาวุโสสามที่ถูกต้มยามนี้อารมณ์ไม่ดีนัก มันเห็นด้วยตาตนเอง สัตว์อสูรปราณสุริยันที่หลังเขาหลายตัวถูกอาวุโสสามทุบตีปางตาย

หากฉินจิ่วเกอคิดมีชีวิตยืนยาวจนตราบสิ้นอายุขัย คงมีแต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น

“ศิษย์น้อง ข้าไม่อยากไปจากเจ้าเลย” ฉินจิ่วเกอส่งสายตาอบอุ่นอ่อนโยน ที่เรียกว่ามือเหี่ยวย่นถือจอกสุราแดง อาวุโสสามก็คือลมตะวันออกแห่งลางร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดอยู่ภายใน

ศิษย์น้องเล็กเองก็ไม่อาจตัดใจแยกจากมัน ศิษย์ทั้งหลายต่างสะอื้นไห้รำพันด้วยอาลัย

ในพรรคหลิงเซียว มีแต่ตอนที่ฉินจิ่วเกออยู่เท่านั้นที่ศิษย์น้องเล็กจะกลายเป็นกุลสตรีผู้น่ารักไร้เดียงสา แต่เมื่อใดที่ฉินจิ่วเกอไม่อยู่ นางจะกลายเป็นอะไรนั้นไม่ต้องพูดถึง

“ศิษย์พี่ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”

ศิษย์น้องเล็กบรรลุขอบเขตปราณสุริยันขั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย สร้างความพิศวงงงงวยแก่ฉินจิ่วเกอ ถ้าหากพรสวรรค์ด้านการฝึกฝนของนางสูงส่งเพียงนี้ เหตุไฉนตลอดหลายปีมานี้ระดับฝึกปรือของนางถึงได้ไล่หลังตนกันเล่า

“อย่าดีกว่า”

ฉินจิ่วเกอปฏิเสธ มันสังหรณ์ใจว่า การไปเมืองซวนอู่เที่ยวนี้กลับไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น

หากนำเจ้าอ้วนน่าตายผู้ทรหดไปด้วย ยามพบเจออันตรายยังสามารถเอามันมาใช้เป็นโล่ป้องกัน ตีฝ่าวงล้อมศัตรูออกไปได้โดยง่าย

หากเจ้าอ้วนน่าตายทราบว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดจาหว่านล้อมว่าจะพามันไปที่หอนางโลมอันเลื่องชื่อด้านสุนทรียะประจำเมืองซวนอู่ถึงกับวางแผนชั่วช้าเช่นนี้อยู่ในใจเข้าล่ะก็ ความตื่นเต้นยินดีที่มีคงหายวับไปกับตา

หลังกล่าวล่ำลากับศิษย์น้องเล็กเสร็จสรรพ ฉินจิ่วเกอก็สะพายกระบี่หนักพาดหลัง อาภรณ์สีขาวที่ปักคำหลิงเซียวสองตัวโบกไสว

ที่เอวคาดไว้ด้วยสายรัดเอวแรดม่วง บนหัวสวมหมวกสีม่วงอมทองอันล้ำค่า หวีแต่งทรงผมจนดูสบายตาน่ามอง ปอยผมสีดำดุจน้ำหมึกปกคลุมดวงตาสีนิลอันลุ่มลึกเอาไว้บางส่วน

ฉินจิ่วเกอในมือถือกระจก ชื่นชมภาพสะท้อนของตัวเองโดยไม่มีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ

สวรรค์เอ๋ย บนโลกนี้ถึงกับมีคนรูปหล่อปานนี้อยู่ ไม่คิดให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่บ้างเลยรึ?

จากนั้นก็ใช้แววตาไม่น่าพิสมัยเท่าใดมองไปทางเจ้าอ้วนน่าตาย แทนที่ด้วยแววสมเพชเวทนาจับใจ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท