เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 129 คนมีความสุข

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ทั้งเมืองกลายเป็นอึกทึกวุ่นวาย ไม่มีใครกล้าลบหลู่บารมีของบรรพตสละฟ้าอีก

แปดดวงธาตุประมุขหยางออกหน้าลงมือด้วยตนเอง กวาดกราดพันลี้ทั่วสี่ทิศ ตบหน้าฉาดใหญ่ดังสนั่นต่อมวลหมู่ผู้ลอบจับตา

ผู้ที่ได้ข่าวของสามกองกำลัง ต้องหยุดยั้งความเคลื่อนไหวเล็กน้อยๆ ทั้งหลายไปทันที

ส่วน หอกลืนตะวันและตำหนักผนึกน้ำแข็งที่สูญเสียกลั่นดวงธาตุไป ล้วนต้องร่ำไห้จนเป็นลมไปในห้องน้ำ

ลองคิดดู ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นแปด กลับลดเกียรติลดศักดิ์ศรี ที่จริงไม่มีความจำเป็นต้องจัดการเรื่อง

ผู้เยาว์ก่อความวุ่นวายในเมืองด้วยตนเอง

สองกลั่นดวงธาตุระดับหนึ่งนั่น เพิ่งจะก่อเรื่องก่อราว ก็ถูกประมุขหยางจัดการขั้นเด็ดขาด

ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุถือเป็นไพ่ตายของกองกำลังทั้งหลาย อยู่ๆ ก็ต้องถูกกำจัด พวกมันจะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร?

สี่ประมุขขุนเขา เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอวี่เกอ ต้องสำแดงไอพลังมรณะออกมา

ทั้งยังไม่คำนึงศักดิ์ฐานะใหญ่โตอันใด ทุกวี่วันเดินแทะเมล็ดแตงเข้าเมืองอย่างไม่นำพา

หากมีผู้ใดกล้าก่อเรื่อง แม้ตายยังไม่ทราบตายอย่างไร ไร้ซึ่งร่องรอยให้สืบสาว

ใครคิดหาเรื่องก่อความวุ่นวายย่อมต้องใคร่ครวญสามสิบตลบ ไม่แน่ว่าตาแก่ไม่สะดุดตาที่ข้างกายมันอาจเป็นกลั่นดวงธาตุคนหนึ่งก็ได้

ฉินจิ่วเกอนอนเกียจคร้านอยู่สามเดือน คนอารมณ์ดียิ่ง

ลองงอนิ้วนับคำนวณ ตนเองที่จริงสูญหายไปร่วมปีแล้ว สิ้นปีนี้อย่างไรก็ต้องจัดการสะสางเรื่องกิจการค้าพวกนี้ให้เสร็จสิ้น จะได้กลับไปฉลองปีใหม่ที่พรรคหลิงเซียว

ขณะที่กำลังรำลึกถึงช่วงเวลาอันงดงามที่ใช้ชีวิตอยู่ในพรรค ประมุขหยางก็ต้องลนลานเข้ามาหน้าตาตื่น

“ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?” สำหรับพฤติการณ์ทะลึ่งเข้ามาโดยไม่เคาะประตูของอีกฝ่าย ฉินจิ่วเกอใช้สติปัญญาคาดการณ์ไว้แล้ว

ประมุขหยางปาดเหงื่อที่ไหลย้อยเต็มหน้า เอ่ยด้วยความตื่นตระหนก “ประมุขน้อย กองโจรนั้นมารายงานว่าหอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็ง วังสุนัขป่าทั้งสามกำลังรวบรวมยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุของพวกมัน นำโดยประมุขพรรค มุ่งหน้ามาทางพวกเรา”

“กระต่ายน้อยทั้งสามมาแล้วหรือ?” บรรพตสละฟ้าหากคิดรุ่งโรจน์ ประการแรกต้องโค่นกองกำลังทั้งสามนี้ให้ได้ ฮุบกลืนพื้นที่เดิมกลับมา

สามกองกำลังนี้มีมือดีไม่น้อย ภายนอกทำท่าทางมุ่งหน้ามาเมืองอวี่เกอ แท้ที่จริงซุกซ่อนแผนการทำลายล้างบรรพตสละฟ้าไว้

ฉินจิ่วเกอนวดคลึงใบหน้าอย่างเกียจคร้าน ทุบอกตนเองอย่างเบื่อหน่าย “อย่ากลัวไปเลย พาข้าออกไปสำรวจดูหน่อย ผ่านมาสามเดือน พวกเจ้าจัดการการค้าในเมืองไปถึงไหนแล้ว”

มิใช่ว่า ไม่มีไพ่ตายอะไรเลยซะหน่อย

ก่อนเฒ่าเสียเยว่จะสลายไป ได้ถ่ายทอดประกายสามสายไว้ในตันเถียน นั่นคือพลังแห่งกฎเกณฑ์

อยู่ในสามเผ่าพันธุ์ใหญ่ วิชาของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ฉินจิ่วเกอย่อมไม่กล้าใช้ออก

แต่หากเปลี่ยนเป็นพรมแดนอันวุ่นวายในที่ห่างไกลนี้ เรื่องที่บรรพตสละฟ้ามียอดยุทธ์กฎสรรพสิ่งผู้ฝึกวิชาปีศาจ เดิมทีก็ไม่ใช่ความลับอันใด ทั้งมิได้เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไป

บนเส้นทางมีทั้งรถราม้าต่าง คนไปคนมา เป็นสัญญาณของความคึกคักครึกครื้น กลับเป็นแหล่งรวมของกลุ่มคนจากทั่วทั้งสารทิศ

“กิจการของบรรพตสละฟ้าเราเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินจิ่วเกอเดินกร่างกลางถนน ประมุขหยางเดินเว้นระยะตามหลังมันสองก้าว

“กิจการ? อา ห้าธัญญะกลับสังสาร กิจการคืนทุน ทุกวี่วันทำกำไรเงินทอง”

หากจะพูดถึงกลยุทธ์ของท่านประมุขน้อย นั่นไม่ต้องกล่าวแล้ว คิดเข้าต้องจ่ายเงิน คิดออกก็ต้องจ่ายเงิน ไม่จ่ายก็ไม่ต้องออก หากคิดใช้กำลัง เหอะ น่าขัน กลั่นดวงธาตุของบรรพตสละฟ้าตระเวนไปทั่วเมืองตลอดเวลา สามารถแวะไปได้ทุกเมื่อ

ด้านนอกเพิ่มคนคอยเก็บค่าออก สามารถเหนี่ยวรั้งคนที่คิดวิ่งหนีไว้ได้มากมาย กำไรของบรรพตสละฟ้าที่จริงไม่น้อยเลย

“กองโจรด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินจิ่วเกอเลือกของน่าเล่นสองสามชิ้นเข้าแหวนมิติ คิดคำนวณถึงเวลากลับสู่พรรคหลิงเซียว

ประมุขหยางกล่าวตอบ “ศิษย์ของเราสามารถแทรกซึมเข้าไปถึงใจกลางได้แล้ว ถือเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสำคัญ จากคำสั่งของประมุขน้อย พวกเราคอยเพาะเลี้ยงสองกองกำลัง พร้อมกันนั้นใช้ศักดิ์ฐานะที่แตกต่างสนับสนุนกองโจรอื่นๆ”

“ดีมาก อย่าให้พวกมันรวมกำลังกันได้เด็ดขาด นอกจากให้พวกมันได้ประกอบกิจการค้าทุกวัน ยังสามารถเพิ่มสีสาดโคลน สร้างความเข้าใจผิดอันสมบูรณ์แบบระหว่างพวกมันไว้ สรุปคืออย่าให้พวกมันรวมกันได้”

ฉินจิ่วเกอค่อนข้างพึงพอใจต่อคะแนนของพวกมันในสามเดือนที่ผ่านมา ผงกศีรษะไม่หยุดยั้ง ในใจเริ่มลับมีดรอ

“แล้วความปลอดภัยในเมืองเล่า?” ฉินจิ่วเกอถาม

“ดียิ่ง”

ยามประสานมือรายงาน ประมุขหยางไร้ความตะขิดตะขวงใดๆ แสดงออกชัดเจนว่าภายใต้การนำอย่างเปรื่องปราดของประมุขน้อย บรรพตสละฟ้าก็เริ่มถักทอออกมาเป็นสถานที่อันเพริศแพร้ว

“ดูนั่น ตรงนั้นมีคนตีกัน!”

ขณะที่ประมุขหยางกำลังจะขับร้องสรรเสริญประมุขน้อยของมัน บนท้องถนนอันเงียบสงบพลันเกิดความอึกทึกขึ้น จากนั้น คนทั้งหลายต่างก็รี่ถลาไปยังหัวมุมถนน

จากที่พวกมันร้องบอกไปมา คล้ายมีคนกำลังจะตีกัน

ฉินจิ่วเกอกำมือ สายตามองไปยังประมุขหยาง “พวกเราใช้กลยุทธ์ในกวดขันนอกหละหลวม ยังมีคนกล้าไม่เห็นหัวพวกเรา คิดละเมิดกฎเหล็กข้อนี้งั้นหรือ?”

“เป็นไปไม่ได้กระมัง ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจัดการเด็กน้อยสองคนที่ก่อเรื่องไปต่อหน้าพวกมันเอง” ประมุขหยางรู้สึกถูกกล่าวโทษ ความปลอดภัยในเมืองช่วงนี้ ที่จริงถึงขั้นไปข้างนอกไม่ต้องปิดประตูเลยด้วยซ้ำ

เป็นไปได้ว่า เป็นเพราะประมุขน้อยออกมาลาดตระเวน

มันพอออกมาเดินสำรวจ บนตัวก็แผ่รังสีไอปีศาจออกมาไม่หยุด อาจจะปนเปื้อนแก่มนุษย์ก็เป็นได้

“ไปดูกัน” ฉินจิ่วเกอสืบเท้าเปลี่ยนทิศทาง ตามติดฝูงชนไปถึงยังที่เกิดเหตุ

มุงดูเรื่องครึกครื้นยังมีผู้ใดไม่ชมชอบ คำโบราณว่าไว้ ชมความครึกครื้นไม่มีใดเสียหาย หากเรื่องครึกครื้นนี้เกี่ยวกับตนเองแล้ว หากหลบได้ก็รีบหลบจะดีกว่า

ที่หัวมุมถนนเปิดออกเป็นพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ โล่งออกไปสี่ทิศแปดทาง

ฝูงชนหลั่งไหลมาจากออกตกเหนือใต้ เข้ามามุงดูอย่างมากคุณภาพ ต่างมองดูความเป็นไปของสถานการณ์โดยไร้เสียง

” สองคนนี้สมควรเป็นคู่แค้นกัน เจ้าดูสิ ระหว่างพวกมัน สีหน้าทั้งคู่เหมือนไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้า ในความแค้นแฝงไว้ด้วยความขมขื่น บริสุทธิ์หากทว่าพร่ามัว พอเหมาะพอดียิ่ง หากมิใช่มีความแค้นท่วมฟ้ามหาสมุทร รับรองไม่มีท่าทีเช่นนี้”

ฉินจิ่วเกอตะปบเมล็ดแตงเข้าปาก เดินพลางถ่มพลาง เลียนแบบท่าทางท่องยุทธภพของประมุขหยาง

“ข้าจะไปจัดการพวกมันเอง!” ประมุขหยางถกแขนเสื้อ เบ่งกล้ามแขนเป็นมัดๆ ที่ดูแล้วคงบีบคางคกจนขี้แตกได้

ฉินจิ่วเกอรั้งไว้ เอ่ยอย่างเนิบช้า “ช้าก่อน ข้านอนมาสามเดือนเต็ม เบื่อหน่ายยิ่ง พวกเราไปดูก่อนค่อยว่ากล่าว สองคนนี้เป็นยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาล ข้ายังไม่เคยเห็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลดวลกันมาก่อน”

ฉินจิ่วเกอยืนจังก้าด้วยอารมณ์คิดศึกษาเต็มที่ สองมือกอดอก สองตาจ้องเขม็งยังทุกท่วงท่าของคนทั้งคู่

ส่วนคู่แค้นทั้งสองยังคงยืนเผชิญหน้ากลางที่ว่าง ไม่แยแสสนใจสายตาของฝูงชน กระทืบเท้าลงพื้นหินเขียวด้วยความโกรธ

ยืนอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงระบายอารมณ์โกรธแค้นในอกไม่หมดสิ้น

คนฝั่งทางซ้ายมีศีรษะอันเจิดจ้า ยุทธภพเรียกมันว่าโจรล้าน เป็นยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย

มันสวมผ้ากระสอบซอมซ่อ ฝ่ามือพันไว้ด้วยผ้าพันแผล กลางหลังสะพายดาบโค้งยาวขนาดกว้างเท่าตัวคน แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดี

คนทางด้านขวาขนดกดื่นปลิวไสว ดูไปเหมือนคนครึ่งกอริลล่า

รูปร่างของมันใหญ่โตบึกบึน ยังสูงกว่าศัตรูสามช่วงศีรษะ

บนหน้ากระจายเต็มไปด้วยเม็ดสิวปรุพรุน ทว่าการแต่งกายดีขึ้นมาหน่อย เพียงแต่ตลอดทั้งร่างส่งกลิ่นฉุนเฉียวราวปลาเค็มเน่า เป็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดเช่นกัน

สองคนยืนหยัดท้าทาย ต่างอวลไปด้วยความแค้น บรรยากาศกลายเป็นร้อนระอุคุกรุ่นขึ้นมา

ฝูงชนต่างแตกตื่นต่อพลังกดดันระดับพิสุทธิ์ไพศาลที่แผ่ออกมา ที่พลังต่ำต้อยหน่อยก็ถอยออกไปที่ไกล ได้แต่ต้องปีนขึ้นไปหาตึกสูงใกล้ๆ ชมดูสถานการณ์

“หนึ่งสุราผ่านยุทธภพ ฝนสิบปีสาดพร่างพรม” รอจนผู้ชมทั้งหมดแหวกทางออกเสร็จสิ้น ผู้คนทั้งหลายจึงต้องค้นพบด้วยความแปลกประหลาดใจว่า เหลือเพียงบุรุษหนุ่มงามสง่าท่านหนึ่งที่หยุดรั้งยืนอยู่ใกล้กับศูนย์กลางการประลองมากที่สุด

ที่ด้านหลังของบุรุษหนุ่ม ติดสอยห้อยตามด้วยเฒ่าชราใบหน้าราวแกะภูเขา หลังค่อมค้อมลง ทำตัวเป็นใบไม้เขียวขับเน้นความโดดเด่นของบุปผาอยู่อย่างเงียบเชียบ

“ประมุขน้อยปรีชาสามารถ ประมุขน้อยปรีชาสามารถ!” แม้ประมุขหยางฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเมื่อครู่ฉินจิ่วเกอพ่นอะไรออกมา ทว่ามันก็รู้ดี ตอนนี้ที่ต้องทำคือสรรเสริญอีกฝ่ายไปอย่าได้หยุด

ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจลึก สัมผัสกลิ่นอายโลหิตและปฐพีอันเข้มข้น

ยุทธภพ เป็นสถานที่ที่มันถวิลหาเช่นกัน

สิบก้าวประหารฆ่าหนึ่งคน เข่นฆ่าไร้ใจเป็นพันลี้ สลัดเสื้อผ้าอาภรณ์ ซุกซ่อนชื่อเสียงเกียรติภูมิ

นั่นก็คือปลอดโปร่งสบายประการหนึ่ง!

ไม่ยึดติดกับจารีตธรรมเนียมในโลก ไม่ถูกรั้งถ่วงไว้ด้วยกระหายในชื่อเสียงเงินทอง ผดุงคุณธรรมช่วยผู้อ่อนแอ สะพายกระบี่ท่องจนสุดขอบฟ้า เพียงปรารถนาไล่ติดตามเส้นทางของตนเอง!

“คนทั้งสองต่างก็เป็นคู่แค้นที่ขับเคี่ยวกันและกัน ขนาดมีบัญชากฎเหล็กจากกลั่นดวงธาตุสะกดไว้ พวกมันยังกล้าตัดสินเป็นตายกันทันทีที่พบหน้า ช่างสมใจจริงๆ” ฉินจิ่วเกอพึงพอใจต่อความกล้าบังอาจของคนทั้งสองยิ่ง

ประมุขหยางปาดเหงื่อ เมื่อตะกี้เจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้นี่ มิใช่บอกว่าหากมีคนกล้ากบฏต่อกฎเหล็กแล้ว มีแต่ต้องฆ่าไม่มีละเว้นหรอกหรือ เพื่อข่มขู่ผู้อื่นไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง

เช่นนี้จึงสามารถรักษาความสงบ ทั้งยังสามารถยึดเงินทองของอีกฝ่ายได้

เห็นได้ชัดว่าคนที่สามารถคิดกฎเช่นนี้ออกมา ในใจต้องดำมืดถึงปานไหน

” ร่ำสุรารสสุดเลิศล้ำ กวัดแกว่งกระบี่สุดคมกล้า ก้าวเดินบนเส้นทางสุดยาวไกล ควบม้าป่าใต้ตะวันสุดร้อนแรง ผู้ฝึกยุทธ์อิสระที่ห้าวหาญนัก ข้านับถือเลื่อมใสยิ่ง!” ฉินจิ่วเกอยังคงสูดดมกลิ่นอายยุทธภพจากที่ไกลอย่างถวิลหา

“ควบม้าป่าใต้ตะวันสุดร้อนแรง?” ประมุขหยางกล่าวย้ำ สีหน้าเหมือนเพิ่งกลืนแมลงวันไปทั้งตัว เกินทานทนอย่างยิ่ง

สองสามท่อนแรกนั่นยังเรียกว่าวาจาผู้คนอยู่บ้าง แต่ท่อนหลังๆ นี่สิ พูดออกมาเป็นวาจาผีสางชัดๆ แม้แต่ประมุขหยางเฒ่าจิ้งจอกอย่างมันยังยากรับได้

ช่างเถอะ ถือว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน

ยังดีที่สองคนนั้นเป็นคู่แค้นกันมา มิเช่นนั้นคงต้องกวาดรวมกันมาที่เดียว ช่วยกันทุบตีเจ้าคนบ้าที่กล่าววาจาบัดซบนี่ซะ

“ประมุขน้อย ไม่ต้องห้ามจริงๆ หรือ?” ประมุขหยางค่อนข้างกังวล นับแต่เมืองอวี่เกอถูกสร้างขึ้น ยังไม่มีใครกล้าลงไม้ลงมือกันมาก่อน

วันนี้ช่างบังเอิญสุดๆ พอดีกับที่ประมุขน้อยออกเดินสำรวจ ก็พบเจอคู่หนึ่ง นี่มิใช่เป็นหลักฐานว่าเราประมุขทำงานไม่เรียบร้อยหรอกหรือ?

ฉินจิ่วเกอรั้งประมุขหยางเอาไว้ คิดเฝ้ามองดูอย่างจริงจังว่าบรรดาผู้ฝึกยุทธ์อิสระในยุทธภพ ที่แท้ต่อสู้กันอย่างไร

เวลาต่อสู้ใช่ต้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายร่ายยาวบ้างหรือไม่?

หรือว่าต้องแบกบทกลอนลึกซึ้งร่ำไห้น้ำตาอาบโลหิต สร้างอารมณ์ร่วม?

ณ จุดเกิดเหตุ คู่แค้นทั้งสองจ้องหน้ากันมานานกว่าธูปครึ่งดอก บรรยากาศถูกลากถ่วงมานานเกินพอดีแล้ว ความแค้นฝังกระดูกเชือดหนัง อาฆาตท่วมมหาสมุทร

คู่แค้นเมื่อพบหน้าไหนเลยจะสะกดกลั้นใจไว้ได้ ต้องทำลายความสงบของเมืองอวี่เกอ เปิดศึกห้ำหั่นเอาชีวิตกัน!

กอริลล่าทางขวามือเคลื่อนไหวก่อน มันประสานมือทั้งสองแก่อีกฝ่าย ส่งเสียงตุ้ยนุ้ย “ลาหัวล้าน อวยพรมารดาเจ้าให้อายุมั่นขวัญยืน!”

ฝั่งทางซ้ายศีรษะเลี่ยนเปล่งประกายวาววับ ส่งมารยาทกลับไป “หน้ารอยปรุ อวยพรบรรพบุรุษเจ้าสิบแปดรุ่นเช่นกัน!”

“ว้าวว” ฉินจิ่วเกอหวาดหวั่นแล้ว ไม่คาดว่าผู้ฝึกวิชาอิสระในยุทธภพ กลับยังเผ็ดร้อนปานนี้

อ้าปากพูดก็มีแต่เนื้อความอันรุนแรงร้ายกาจ ประโยคหลังๆ คงมิใช่เปลี่ยนจากสมองคนเป็นสมองหมาหรอกกระมัง?

เมืองอวี่เกอไม่มีค่ายกลพิทักษ์เมือง ดังนั้นการต่อสู้จึงเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างที่สุด

เมื่อไม่มีค่ายกลป้องกัน หนึ่งพิสุทธิ์ไพศาลย่อมสามารถเรียกลมเรียกฝนมาถล่มจนกลายเป็นเมืองพิการระดับหกไป

“ลาหัวล้าน ศีรษะเจ้าต่างอะไรกับไม้เคาะสวดมนต์ ไม่ใช่ว่ายามฝึกฝีมือกลับเอาแต่ร่ำเรียนกับภรรยาอาจารย์หรอกหรือ?”

“ข้ามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับมารดาเจ้า มีอะไรมั้ย?”

“บัดซบ คิดหาที่ตายหรือ!”

“เจ้าหน้าผุ หน้าอย่างกับแจกันดอกทานตะวัน เข้ามาเลย!”

ฉินจิ่วเกอยิ่งมายิ่งรู้สึกน่าสนใจ ในใจต้องตื่นเต้นเป็นหมื่นส่วน กระตุกชายแขนเสื้อประมุขหยาง กล่าวว่า “จะตีกันแล้ว จะตีกันแล้ว!”

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน