ตำหนักถังหลียังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย
เนื่องจากฤดูหนาวได้มาเยือน สวนหน้าตำหนักจึงโล่งเตียน ไม่มีแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชอุ่มงอกงามขึ้นมาในเขตวัง หลังจากก้าวผ่านประตูวังเข้าไปแล้ว บรรยากาศภายในต่างทำให้ผู้คนรู้สึกโศกเศร้าเหงาหงอยอย่างสุดแสนจะพรรณนา
นัยน์ตาที่มักจะเฉยเมยของพระสนมเสียนผินเผยให้เห็นถึงร่องรอยความประหลาดใจเมื่อเห็นฉินปู้เข่อเดินเข้ามา “วันนี้ตำหนักอ๋องหลีชินปล่อยให้พระชายาเข้าวังด้วยหรือ?”
“ข้าน้อยบังเอิญเจอพระชายาที่ตำหนักเหลียนหลีน่ะเพคะ จึงพานางมาที่นี่” ก่อนที่ฉินปู้เข่อจะส่งเสียงอะไรออกไป ฝูหลิงกลับพูดอธิบายออกมาเสียก่อน
วันนี้เป็นวันสำคัญอะไรหรือ ฉินปู้เข่อตกใจเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นจาง ๆ ลอยออกมาจากร่างกายของฝูหลิง
“โอ้” และแล้วความประหลาดใจนั้นก็หายวับไปกับตา น้ำเสียงของพระสนมเสียนผินฟันดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“เสด็จแม่ นี่เป็นขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หม่อมฉันทำมาให้ในวันนี้ ท่านลองชิมดูสิเพคะ” ฉินปู้เข่อหลับตาลงเพื่อซ่อนความคิด ก่อนจะเปิดสำรับที่อยู่มือของซวงหวน และหยิบอาหารว่างออกมาใส่จาน
เดิมทีพระสนมเสียนผินไม่ต้องการจะรับมันมา แต่เมื่อนางปัดไปโดนกำไลหยกของฉินปู้เข่อ นางก็พยักหน้าตกลง “วางมันไว้”
ฉินปู้เข่อก้าวไปข้างหน้าและยื่นจานให้กับพระสนมเสียนผินที่ยังมีความดื้อรั้นแบบเด็กน้อย “เสด็จแม่ลองชิมดูสิเพคะ เค้กก้อนนี้จะละลายในปาก มันทั้งหวานและไม่เลี่ยน หม่อมฉันได้ลองชิมไปบ้างแล้วเพคะ”
พระสนมเสียนผินนึกถึงคำพูดของหมี่โม่หรู่ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นช่วงย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง นางหรี่ตาลงเล็กน้อยและตักขนมชิ้นเล็กเข้าไปในปาก
“รสชาติช่างวิเศษนัก แต่ท่านอ๋องกินของหวานเช่นนี้ด้วยหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเขายังไอไม่หยุดตั้งแต่ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง”
ฉินปู้เข่อวางจานไว้ด้านข้าง “เมื่อไม่นานมานี้คุณชายซือต๋าได้นำยาสูตรใหม่มาให้ท่านอ๋องเพคะ หลังจากได้กินยาไปสองสามหม้อ อาการไอของท่านอ๋องก็ลดลงเพคะ”
นางต้องใช้เวลานานถึงจะเข้าใจจุดประสงค์การใช้ ‘น้ำสุขสันต์แก้ไอ’ ของหมี่โม่หรู่ และยังคงต้องแสร้งทำเป็นไอต่อผู้อื่นทันทีดื่มมันเข้าไปแล้ว เพราะเหตุนี้คนนอกจึงคิดว่าเขายังคงป่วยอยู่ อาการไอของเขาเป็นมานานหลายปี หากอาการไอของเขาหายดีอย่างกะทันหันอาจจะทำให้ผู้คนตกใจเป็นได้
“อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปวังน้ำพุร้อนแล้ว เตรียมของพร้อมหรือยัง นี่คงเป็นครั้งแรกที่พระชายาจะได้ไปที่วังน้ำพุร้อน เก็บของสำคัญไว้ในส่วนพระคลังประจำวัง และที่สำคัญอย่าได้แต่งตัวดูโทรมนัก” พระสนมเสียนผินมองดูฉินปู้เข่อตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาวิพากษ์วิจารณ์
“วันนี้ชุดของพระชายาเรียบเกินไป มันคงไม่เป็นอะไรหากเจ้าจะแค่แวะเข้ามาที่วัง แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในวังแล้ว ยังดูแย่กว่าเล็กน้อย เจ้าเป็นคนดูดีอยู่แล้ว อย่าได้ปล่อยตัวนักเลย”
ฉินปู้เข่อไม่ได้โวยวายอะไรออกไป แต่กลับเห็นด้วย “เมื่อหม่อมฉันกลับไป จะเตรียมของไปอย่างดีเพคะ ทั้งท่านอ๋องและหม่อมฉันจะไม่ยอมให้ใครมามองว่าเป็นตัวตลกเด็ดขาด”
ระหว่างบทสนทนาที่ออกรสออกชาติ พระสนมเสียนผินได้ตักขนมขึ้นมากินอีกสองสามคำ จนจานที่ฉินปู้เข่อหยิบยื่นให้กลายเป็นจานเปล่าไปกว่าครึ่ง
“เสด็จแม่ ของว่างนี้ค่อนข้างหวานนัก ดื่มชาสักหน่อยนะเพคะ มันจะได้ช่วยลดความกระหาย”
ขณะเดียวกันฝูหลิงได้นำน้ำชาชนิดใหม่มาแทนที่ชาสมุนไพรที่วางอยู่ตรงหน้าพระสนมเสียนผิน
พระสนมเสียนผินเขยิบเข้ามาใกล้ ขณะที่ฝูหลิงมองดูอย่างประหลาดใจ การเคลื่อนไหวของนางช้าลงเล็กน้อย ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดราวกับได้กลิ่นของอะไรบางอย่าง
ทว่ามันเป็นเพียงการสำรวจเล็กน้อยเท่านั้น ไม่นานนักฝูหลิงก็เก็บถ้วยน้ำชาออกไป
ฉินปู้เข่อฟังเสียงกลไกของระบบที่อยู่ในศีรษะของนาง ก่อนจะอมยิ้ม พลางลุกขึ้นและกล่าวอำลา
พระสนมเสียนผินไม่ได้ยื้อนางไว้ หลังจากกล่าวอำลาเพียงไม่คำ ฝูหลิงก็พานางออกไป
“ท่านอาฝูหลิง ส่งหม่อมฉันแค่หน้าปากประตูตำหนักถังหลีก็พอเพคะ” ฉินปู้เข่อตามติดฝูหลิงไปอย่างใกล้ชิด จ้องมองไปที่มวยผมด้านหลังของนาง การเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงที่คาดหมาย และเว้นระยะห่างกับฝูหลิงอีกครั้ง
หลังจากฝูหลิงได้ยินคำพูดดังกล่าว นางก็หยุดเดิน และงอเข่าลงเพื่อคำนับ “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอส่งถึงตรงนี้นะเพคะ”
“ได้สิเพคะ” ฉินปู้เข่อพยักหน้า แล้วหันหลังกลับก่อนจะเดินจากไป
หลังจากเดินห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ลมก็พัดผ้าไหมที่อยู่ในมือของฉินปู้เข่อล่องลอยไปยังมุมกำแพง นางรีบวิ่งเหยาะ ๆ สองสามก้าวเพื่อไปเก็บผ้าไหม ทว่านางกลับพบเข้ากับเศษกระดาษขนาดเล็กที่ถูกหินก้อนเล็กบริเวณมุมกำแพงทับไว้อยู่
ครั้งเมื่อนางเข้าไปในตำหนักถังหลีกับฝูหลิง เศษกระดาษแผ่นนี้ได้ปลิวออกมาจากแขนเสื้อของนางกำนัลฝูหลิง แต่ตอนนั้นนางไม่สามารถจ้องมองมันในระยะใกล้ได้ จึงเหยียบกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้และเอาติดตัวไปด้วย จนกระทั่งมาถึงทางเข้าตำหนักถังหลี นางจึงทิ้งกระดาษแผ่นนี้และสั่งให้ซวงหวนเตะก้อนหินไปทับมันไว้
การสอดรู้ความลับของผู้อื่นไม่ใช่งานอดิเรกของนาง เพียงแต่กลิ่นของฝูหลิงนั้นค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้นดูไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศในวังตอนนี้เสียเท่าไร
“หมี่ลี้…” ฉินปู้เข่อค่อย ๆ คลายกระดาษที่อยู่ในมือที่โดนปกคลุมอยู่ภายใต้ผ้าเช็ดหน้า
“พระชายากำลังทำอันใดหรือ?” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมาจากด้านหลัง
ฉินปู้เข่อขยำกระดาษใส่ผ้าเช็ดหน้า และหันกลับไปมองบุคคลดังกล่าว “ผ้าเช็ดหน้าถูกลมพัดปลิวไปและเปื้อนฝุ่นน่ะเพคะ”
นางยังคงยืนนิ่ง และปรับบุคลิกท่าทางทั้งหมดให้ดูดีที่สุด “ถวายบังคมท่านอ๋องจั่วเสียนเพคะ”
“หึ คราวที่แล้วเจ้าบอกว่าเจ้าจะตามโม่หรู่มาเข้าเฝ้า ‘เสด็จอาเก้า’ มิใช่หรือ เหตุใดจึงลืมง่ายนัก!?” หมี่เฉินอี้ดีดหน้าผากของฉินปู้เข่อถึงสองครั้งเพื่อเตือนถึงจุดประสงค์
ประโยคทั้งสองไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเช่นนั้น ทว่าบัดนี้หน้าผากขาวนวลของฉินปู้เข่อได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงเสียแล้ว
และนี่ทำให้นางรู้สึกระแวดระวังมากกว่าทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ท่านอ๋องจั่วเสียนปรากฏตัวขึ้น เขาไม่เคยแยแส ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารอารักขา หรือต่อหน้าคนในพระราชวังก็ตาม ทุกครั้งจะเห็นเขาอยู่เพียงลำพัง และไม่สนใจใครทั้งนั้น
ฉินปู้เข่อหัวเราะเบา ๆ “เสด็จอาเก้า”
“เจ้ากำลังจะออกจากวังอย่างนั้นหรือ งั้นก็ไปด้วยกันเลยสิ”
เขาไม่ได้รอให้ฉินปู้เข่อตอบอะไรออกมา แต่หมี่เฉินอี้กลับเดินผ่านนางไป ขณะที่นางกำนัลทั้งสองของเขาที่อยู่ด้านหลังเดินมาขนาบฉินปู้เข่อกับซวงหวนให้มาอยู่ตรงกลาง ราวกับพวกนางเป็นนักโทษ เพื่อที่พวกนางจะได้เดินตามหลังหมี่เฉินอี้ออกไป
ไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าหมี่เฉินอี้ผู้นี้คือศัตรูหรือมิตรสหาย เขาต้องรู้ความลับเกี่ยวกับ ‘โซดาห้ามเลือดฉุกเฉิน’ อย่างแน่นอน ทว่าเขากลับไม่เคยถามนางโดยตรง หรือบังคับขู่เข็ญถามนางด้วยวิธีอื่น
เขาเพียงเข้าหานางอย่างสุภาพและแสดงความปรารถนาดีต่อตำหนักอ๋องหลี่ชิน และนั่นทำให้นางไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรในตอนนี้ หวาดกลัวที่ทำอะไรให้แย่ลง
ฉินปู้เข่อตั้งใจปิดปากเงียบไปตลอดทาง เพียงแต่ก้าวขาเดินตามหลังเขา และก้มหน้าก้มตาลงอย่างระวังตัว
“เจ้าเอารถม้ามาด้วยหรือ” คนที่อยู่ข้างหน้าหันกลับมาถาม
“อั้ก!” คราวนี้ฉินปู้เข่อกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของหมี่เฉินอี้
ให้ตายเถิด
“ถอยไป” ฉินปู้เข่อรีบถอยห่างออกมา โดยยังคงรักษาระยะห่างจากอีกฝ่าย และก้มศีรษะลงด้วยความเคารพและระมัดระวัง
หมี่เฉินอี้ยิ้มมุมปากขณะจ้องมองผ้าคลุมศีรษะสีดำที่อยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “สามครั้ง เจ้าชนข้าสามครั้งแล้วนะ”
ไปตายเสียเถิด!
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ยังดูปกติ “เสด็จอาเก้าคงจำผิดไปแล้วเพคะ แค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่หม่อมฉันเขียนแผ่นเพลงให้ท่านอาในตำหนักจั่วเสียน”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นข้าคงเข้าใจผิดไป” หมี่เฉินอี้มองดูอย่างไม่แยแสและชี้นิ้วไปที่รถม้าที่จอดอยู่ด้านข้างเขา “เจ้าต้องการให้ข้าไปส่งเจ้าที่วังหรือไม่”
“ไม่ต้อง ขอบคุณเพคะ” นางรีบขึ้นไปบนรถม้า และลดม่านลง
นางไม่สามารถคงทักษะการแสดงให้อยู่ต่อหน้าคนประเภทนี้ได้นาน ทว่านางเพียงต้องการแสดงความโง่เขลาชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกได้ว่าท่านอ๋องจั่วเสียนไม่ได้ยั่วโมโหนางด้วยการกระทำและคำพูดอีกต่อไป
พระเจ้า!
และที่สำคัญไปกว่านั้น ช่วงเวลาที่นางกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของหมี่เฉินอี้ กลิ่นแบบเดียวกันกับของเขาโชยเข้ามาในจมูกของนางเป็นครั้งที่สองของวันนี้