สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋] – บทที่ 169 หญิงสาวคนนี้อยากจะไปสวรรค์

สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋]

คงจะดีหากเขาได้สูตรของ ‘น้ำห้ามเลือด’ ที่น่าอัศจรรย์นี้

ฉินปู้เข่อเหลือบมองดวงตาที่กระตือรือร้นของเขา ก่อนจะคลี่ยิ้มและหลอกล่อต่อไป “เมื่อใดก็ตามที่เสด็จอาขาดมือในอนาคตก็สามารถไปรับมันจากหม่อมฉันได้ตลอดเวลา และท่านก็สามารถใช้เพิ่มได้อีกเรื่อย ๆ!”

“จริงหรือ?” หมี่เฉินอี้ยกยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะถือ ‘น้ำห้ามเลือด’ ดูเหมือนว่าโม่หรู่จะไม่เจ็บตัวเปล่า หลานสะใภ้ผู้นี้รู้วิธีให้เกียรติเขา

“แน่นอนเพคะ!” ฉินปู้เข่อพยักหน้า “และหม่อมฉันก็ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่นั่น และเสด็จอาต้องชอบแต่ละอย่างมากเป็นแน่ บางอย่างรับประทานเข้าไปแล้วก็สามารถบรรเทาอาการปวดหลังได้ บางอย่างรับประทานแล้วก็ทำให้สามารถได้ยินคำพูดใส่ร้ายของผู้อื่นได้ และ…”

“ข้าสามารถใช้ได้ทุกอย่างเลยหรือ?” หมี่เฉินอี้พยายามไม่ดีใจจนออกนอกหน้าเกินไป สาวน้อยผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก หากนางสามารถเป็นหมอทหารในกองทัพได้ เขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน

“แน่นอน~~” ฉินปู้เข่อกระซิบข้างหูของเขาทันที “ตราบใดที่ท่านบอกหม่อมฉันว่าใครคือหมี่อี้เหิง”

เพล้ง…

นี่คือเสียงของความปรารถนาดีและความร่าเริงของหมี่เฉินอี้ตกกระทบพื้น

เขานึกแล้วว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น!

เมื่อเห็นว่าเขาไม่เอ่ยคำใด ฉินปู้เข่อจึงก้าวไปข้างหน้าและใช้นิ้วจิ้มหน้าอกของเขา “หมี่เฉินอี้ เราพูดกันอย่างลับ ๆ หม่อมฉันอยู่ที่นั่นในตอนที่ท่านจับหมี่จิ่งหานในตำหนักต้องห้ามครั้งล่าสุด และหม่อมฉันก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งมาจากทาสใบ้ด้วย ท่านขโมยมันไปใช่หรือไม่”

“อีกอย่างคือในฤดูหนาวปีที่แล้ว ท่านเผากระดาษเพื่อไหว้หมี่อี้เหิงผู้นี้ใช่หรือไม่ วันนั้นเป็นวันครบรอบวันตายของเขาหรือ?! ท่านขโมยกระดาษที่หม่อมฉันหยิบมา และต่อมาก็จัดการฝูหลิงที่อยู่ข้างกายพระสนมเสียนผินใช่หรือไม่?!”

“วันนี้หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหมี่อี้เหิงกับครอบครัวของโม่หรู่ เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้”

เมื่อเห็นว่าหมี่เฉินอี้กำลังจะอ้าปากพูด ฉินปู้เข่อก็รีบหยุดเขา “และอย่าพยายามโกหกหม่อมฉันเลย หม่อมฉันยังมีบางอย่างที่สามารถมองเห็นคำโกหกของคนอื่นได้”

ปวดหัว ปวดหัว ปวดหัว!

หมี่เฉินอี้มองนางและเอามือปิดหน้า ฉินปู้เข่อจอมเจ้าเล่ห์กำลังข่มขู่เขา หัวใจของเขาถึงกับกระอักเลือด หญิงสาวคนนี้อยากจะไปสวรรค์

“สาวน้อยหยุดก่อน อย่ามารบเร้าต่อหน้าข้า มันทำให้ข้าเวียนหัว”

ฉินปู้เข่อคิดว่าเขาพร้อมจะสารภาพแล้ว นางจึงยืนตรงหน้าเขาและเชิดคางขึ้นแล้วพูดอย่างพอใจเล็กน้อยว่า “พูดมาสิ หม่อมฉันกำลังรอฟังอยู่”

เพียะ!

เพียะ!

เพียะ!

หมี่เฉินอี้หยิบพัดจากแขนเสื้อออกมาตีหน้าผากนางสองสามครั้ง “สาวน้อย เจ้ากล้ามาข่มขู่ผู้อาวุโสของเจ้า ต้องถูกลงโทษ! ครั้งที่แล้วเจ้าคัดลอกหนังสือน้อยเกินไปใช่หรือไม่ หืม?! ข้าเจอการหลอกล่อและข่มขู่เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้มาตลอดหลายสิบปีแล้ว!”

“เจ็บ ๆๆ!” ฉินปู้เข่อเต้นเร่าไปทั่วห้องด้วยความเจ็บปวด นางคิดว่ามันต่างไปจากที่หวังไว้ได้อย่างไร

“เฮ้ หากข้าไม่สอนบทเรียนให้เจ้าแล้วเจ้าจะคิดว่าข้าเป็นใคร! หมี่ฉงหรือหมี่โม่หรู่ของเจ้าหรือ?! ไม่มีใครสนใจเจ้าแล้ว!” หมี่เฉินอี้ยกพัดในมือแล้วตีหัวฉินปู้เข่ออีกครั้ง

อีกฝ่ายรีบกุมหัวของตนไว้และหาที่หลบให้ไกลพลางเกลียดชังหมี่เฉินอี้ในใจยิ่งนัก

ผู้ชายคนนี้สามารถเอาชนะนางได้อย่างไร ฉินปู้เข่อรู้สึกเหมือนหน้าผากของนางบวมปูดแล้ว

“เจ้าจะวิ่งทำไม เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ มาหาข้าตรงนี้!” หมี่เฉินอี้หยิบพัดของเขาออกมาฟาดไปมา “อย่าคิดว่ามีเพียงโม่หรู่เท่านั้นที่สามารถสกัดจุดได้ นิ้วและกำลังภายในของข้าแข็งแกร่งกว่าเขาหลายขั้น ดังนั้นเจ้าจงมาตรงนี้เพื่อลองดู!”

แง แง แง…

นางไม่ได้มาเพื่อข่มขู่เสด็จอาหรอกหรือ แล้วเหตุใดตอนนี้เขาถึงสอนบทเรียนให้นาง มันไม่ยุติธรรมเลย

ฉินปู้เข่อที่มีใบหน้าขมขื่นเดินไปข้างหมี่เฉินอี้ด้วยน้ำตา บัดนี้นางไม่มีความเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อยและกุมหัวตัวเองอย่างน่าเวทนา “เสด็จอาหยุดตีหัวได้แล้ว มันเจ็บนะเพคะ”

“ยื่นมือมา!” เมื่อหมี่เฉินอี้มองหน้าผากอันแดงก่ำของนาง ใจของเขาอ่อนลงแต่น้ำเสียงของเขาก็ยังคงเข้มงวด

ฉินปู้เข่อยื่นมือออกไป หมี่เฉินอี้ปิดพัดในมืออย่างเคร่งขรึมและยกขึ้นสูงเพื่อจะตีฝ่ามือของฉินปู้เข่อ

“เจ้ากล้าข่มขู่เสด็จอาตั้งแต่ยังเด็ก!”

เมื่อพัดฟาดลงมา ฉินปู้เข่อก็รีบดึงมือกลับและหมี่เฉินอี้ก็ตีความว่างเปล่า

“เฮ้! เอามือวางซะ!”

“โอ้”

ตีอีกครั้ง วืดอีกครั้ง แล้วก็วืดอีกครั้ง

“ยื่นมือออกมาแล้วอยู่นิ่ง ๆ เจ้ากล้าลองดีอีกแล้ว!”

“จะพยายาม”

ฉินปู้เข่อพึมพำเสียงเบา และดึงมือกลับอีกครั้งเพื่อให้พัดฟาดลงไปในอากาศ

หมี่เฉินอี้โกรธจัด เขารู้สึกว่าสถานะผู้อาวุโสของเขากำลังถูกท้าทายโดยเด็กตัวเปล่า

สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุดคือเมื่อเขายืนขึ้นและกำลังจะแตะตัวนาง ฉินปู้เข่อก็เหยียดแขนออกมาแล้วเหวี่ยงไหล่ทุ่มเขาจนล้มลงกับพื้นอย่างคล่องแคล่ว

แล้วนางก็พูดตะกุกตะกักเพื่อสร้างความยุติธรรมให้ตัวเองว่า “หม่อมฉันไม่รู้เกี่ยวกับการสกัดจุดและวิชาตัวเบา หากท่านมีความสามารถก็อย่าใช้ทั้งสองสิ่งนี้กับหม่อมฉัน! อีกอย่างคือท่านเป็นอา เป็นผู้อาวุโสก็ต้องมีเมตตา!”

“ไม่จำเป็นหรอก!”

หมี่เฉินอี้รู้สึกว่าเขาต้องสอนบทเรียนให้กับสาวน้อยคนนี้!

เมื่อมองไปที่ห้องโถง หมี่เฉินอี้ก็คว้าไม้ปัดฝุ่นที่ใช้ทำความสะอาดขึ้นมา เมื่อฉินปู้เข่อเห็นเช่นนั้น นางก็ไม่กล้าถามคำถามและวิ่งออกจากประตูไป

จากนั้นเซินหมิงที่อยู่ตรงประตูอย่างเงียบ ๆ ก็มองดูเจ้านายของเขาที่อายุเกินสามสิบและไร้ซึ่งภาพลักษณ์ของความเป็นอา ถือไม้ปัดฝุ่นวิ่งไล่ตามพระชายาที่อายุราวสิบห้าหรือสิบหกปีไปทั่วตำหนัก เพื่อพยายามกอบกู้ความยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสกลับคืนมา

………………………………………………………………………….

สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋]

สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋]

Status: Ongoing
เธอแค่ออกมาหาอะไรกินแก้หิวตอนดึก แต่อยู่ดี ๆ ก็ทะลุมิติและฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ในร่างของชายาอ๋องขี้โรคผู้อ่อนแอ ไหนจะระบบบ้า ๆ ที่ติดตัวมาอีกหญิงสาวที่ออกมาหาอะไรกินยามค่ำคืน จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุทะลุมิติมายังยุคจีนโบราณเมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในร่างของ ‘ฉินปู้เข่อ’สตรีที่งดงามและปราดเปรื่องอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจับพลัดจับพูลได้แต่งงานกับ ‘หมี่โม่หรู่’ อ๋องเจ็ดผู้ขี้โรคแทนการทะลุมิติครั้งนี้นางไม่ได้มาตัวเปล่า แต่มาพร้อมกับ ‘ระบบวิเศษ’ ที่เมื่อเก็บแต้มได้ตามเป้าหมายจะสามารถแลก ‘อาหาร’ วิเศษไว้ใช้ในยามคับขัน

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท