บทที่ 179 ข้าก็ต้องการกอดด้วย
หลังจากพูดจบ หมี่โม่หรู่ก็เอื้อมมือไปลูบแก้มของนางอีกครั้ง “เป็นเด็กดีแล้วรอให้ข้ากลับมา แล้วสามีจะพาไปกินของอร่อย”
เขาลุกขึ้นเดินไปยังประตู ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก็หยิบธูปหักออกจากแขนเสื้อแล้ววางลงในถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ แท่งสีน้ำตาลแตกและละลายในน้ำไม่มีสีและไม่มีกลิ่น
หลังจากเทน้ำธูปที่ละลายแล้วลงในกระถางดอกไม้ริมหน้าต่าง ดอกไม้ในกระถางที่บานสะพรั่งก็พลันเหี่ยวเฉาไปทันที
ขั้นตอนการทำธูปสลายวิญญาณนั้นซับซ้อน ซือต๋าใช้เวลาสามปีในการคิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมา และเขาใช้มันทั้งหมดกับไทเฮาเจิ้งเมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองจริง ๆ
แต่เมื่อคิดว่าเสี่ยวเข่อของเขายังไม่ได้สติแล้วมันก็คุ้มค่า ซ้ำยังน้อยเกินไปสำหรับไทเฮาเจิ้งที่จมน้ำตายขณะฝันร้าย หากเมื่อวานนี้เขาไม่ได้เกลียดนางจนลืมนึกไป เขาก็คงจะทำให้หญิงชราต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้
ท้ายที่สุดแล้วการตายของนางก็มีค่าเพียงชีวิตของหมี่อี้เหิงเท่านั้น และเสี่ยวเข่อที่ได้รับความเดือดร้อนในขณะนี้ก็ไม่ได้รับการชดใช้
“ท่านอ๋อง รถม้าพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินเตือนเบา ๆ ที่ประตู
“อืม”
เมื่อหมี่โม่หรู่เดินไปถึงประตูก็ยังคงกังวลอยู่ เขาจึงอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียดอีกหลายครั้งก่อนจะขึ้นรถม้า
เหล่าสาวใช้และนางกำนัลในตำหนักไม่รอให้รถม้าไปไกล และหันกลับไปทำงานของตนในทันที
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ร่างกายของพระชายาได้รับการดูแลโดยท่านอ๋องเอง
ทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นทุก ๆ ชั่วยาม ป้อนยาต้มทุกครึ่งวันและเช็ดตัวทุกคืน… ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดพวกนางก็ต้องระมัดระวังตลอดเวลา
ตามกฎระเบียบแล้วเหล่าโอรสและพระราชนัดดาจะต้องอยู่เฝ้าวิญญาณเป็นเวลาสามวัน และอ๋องจะกลับตำหนักได้หลังจากสามวัน บัดนี้ทุกคนในตำหนักต่างหวังว่าพระชายาจะตื่นขึ้นเมื่อท่านอ๋องเสด็จกลับมา เพื่อกอบกู้ตำหนักออกจากความไร้ชีวิตชีวา เพราะแม้แต่ใบหน้าของท่านอ๋องก็ยังหม่นหมองจนน่ากลัว
ห้องโถงไว้ทุกข์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในพระราชวัง ฮ่องเต้ องค์ชายและเหล่าขุนนางก้าวไปข้างหน้าเพื่อไว้ทุกข์ทีละคน
หลังจากพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ลุกขึ้นและออกจากห้อง เมื่อเดินผ่านหมี่โม่หรู่ก็เหลือบมองเขาแล้วตรัสว่า “ข้าได้ยินมาว่าไทเฮาเรียกพระชายาหลี่ชินไปเมื่อไม่กี่วันก่อนใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ ความไม่สำรวมของพระชายาทำให้ไทเฮาไม่โปรด ไทเฮาจึงทรงสั่งสอนนางไม่กี่คำ” แม้ว่าไทเฮาจะลักพาตัวเสี่ยวเข่อไปโดยไม่บอกทุกคน แต่การปรากฏตัวของหมี่เฉินอี้ในตอนท้ายก็ย่อมดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ต้าเซี่ย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“ไทเฮาแก่ชราและสับสนและตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้ว อย่าไปสนใจเลย” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมองไปที่ดวงตาอันแดงก่ำอีกครั้ง “หากพระชายาไม่เป็นอะไรมากก็ให้คนในตำหนักช่วยกันดูแลเถิด อ๋องเช่นเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากนัก”
หลังจากตรัสจบแล้วก็ออกจากห้องโถงไว้ทุกข์โดยไม่รอคำตอบจากหมี่โม่หรู่
ชั่วขณะหนึ่งหมี่โม่หรู่ไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อของตนเอง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เสด็จพ่อของเขาพูดกับเขาเยอะถึงเพียงนี้ และทุกคำพูดล้วนสื่อถึงความห่วงใย
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของไทเฮากับเสด็จพ่อจะไม่ได้ลึกซึ้ง แต่น้ำเสียงของเสด็จพ่อในวันนี้… ฟังดูค่อนข้างโล่งอกเล็กน้อย และดูเหมือนว่าผู้เป็นมารดาไม่ได้สิ้นไปเลย
แต่หมี่เฉินอี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างเขาเงียบ ๆ กลับมีแววตาโศกเศร้าอยู่บ้าง
หมี่โม่หรู่คุกเข่าลงบนฟูกและใส่ฟางหนึ่งกำมือลงในเตาไฟที่อยู่ตรงหน้าเขา เขายังคงนึกถึงสิ่งที่ไทเฮาเจิ้งได้พูดกับเขาเมื่อคืนนี้
เขายังจำได้ว่าคำพูดเดิมของไทเฮาเจิ้งคือ ‘เจ๋อเฉินอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า’ ซึ่งหมายความว่าเสด็จพ่อไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเสด็จอาอี้
เขารู้ว่าประสบการณ์ชีวิตของท่านนั้นช่างเหลือทน และเป็นไปได้มากว่าจะเป็นผลร้ายมาจากเสด็จแม่และเสด็จอาอี้ มันจึงเป็นความอัปยศในใจของเสด็จพ่อมาช้านาน แต่พระดำรัสของไทเฮาคงสร้างแรงบันดาลใจใหม่แก่ท่าน
“น้องเจ็ด” เสียงทุ้มลึกขัดจังหวะความคิดอันลึกซึ้งของหมี่โม่หรู่
เขามองไปด้านข้างและขยับไปด้านข้างเพื่อให้มีที่ว่าง “พี่ชายสอง”
หมี่เหิงคุกเข่าลงข้างเขาก่อนจะหยิบฟางหนึ่งกำมือโยนลงในเตาไฟ จากนั้นยกมือขึ้นและพัดไฟตรงหน้าเขา “ข้าได้ยินมาว่าพระชายาเจ็ดไม่สบายหรือ?! ข้าได้ยินพี่สะใภ้สองของเจ้าบอกว่าพระชายาเจ็ดไม่อยู่และถามเยอะมาก”
“ครั้งนั้นข้าไม่ได้ไปที่วังน้ำพุร้อน หลังจากที่พี่สะใภ้สองของเจ้ากลับมา นางก็ยกย่องพระชายาเจ็ดให้ข้าฟังหลายครั้ง โดยบอกว่านางกล้าหาญและไม่กลัวตะขาบ” ราวกับหมี่เหิงเกรงว่าหมี่โม่หรู่จะเข้าใจผิดจึงต้องรีบอธิบาย
หมี่โม่หรู่ตอบว่า ‘อืม’ เบา ๆ และหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญอย่างแนบเนียน “ไม่ใช่การเจ็บป่วยที่ร้ายแรงอะไร เพียงแค่นางไม่อาจมางานศพได้ ซึ่งค่อนข้างดูผิดปกติ”
ความประทับใจที่มีต่อหมี่เหิงอยู่ในระดับปานกลาง ความสามารถของเขาไม่ได้แย่ แต่ทัศนคติของเขาถ่อมตัวเกินไป เมื่อเขาทำธุระจัดการเรื่องชุดแต่งงานให้หมี่เซวียน แต่เขากลับไม่เคยบ่นเลยว่าหมี่เซวียนไม่กล่าวถึงเขา
ไม่มีการเรียกร้องใด ๆ เลยหรือ หมี่โม่หรู่ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป แต่ยังคงไตร่ตรองในขณะที่มองดูควันที่ลอยอยู่ตรงหน้า
เขาและหมี่เหิงไม่คุ้นเคยกัน และไม่จำเป็นต้องทำเป็นดูเหมือนคุ้นเคยในขณะนี้
และดูเหมือนว่าหมี่เหิงเองก็ไม่ต้องการจะสนทนาต่อ ราวกับว่าการมาพูดคุยกับเขานั้นได้รับการมอบหมายมาจากพระชายาสองที่ให้มาถามสถานการณ์ของฉินปู้เข่อ
ร่องรอยของความประหลาดใจอยู่ในใจของหมี่โม่หรู่ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่ององค์ชายสองน้อยเกินไป แม้แต่ข่าวจากสายลับที่ส่งไปก็ลดลงมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา เพราะไม่มีอะไรให้ขุดคุ้ยในตำหนักขององค์ชายสอง
หลังจากการเฝ้าวิญญาณสามวันสามคืนผ่านพ้นไป ทันทีที่หมี่โม่หรู่ออกจากประตูวัง เขาก็เห็นอู๋หัวมารับด้วยสีหน้ามีความสุขอยู่ข้างรถม้า
“เมื่อชั่วยามที่แล้วพระชายาฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เร็วเข้า! รีบกลับตำหนัก!” หมี่โม่หรู่ใจร้อนมากเสียจนไม่มีเวลาขึ้นรถม้า ดังนั้นเขาจึงจูงม้าตัวหนึ่งมาแล้วพลิกตัวขึ้นขี่
หมี่ฉงก็ขี่ม้าตามหลังมาเช่นกัน
หลังจากกลับไปที่ตำหนักแล้ว หมี่โม่หรู่ยังไม่เปลี่ยนชุดไว้ทุกข์แต่ตรงไปที่ห้องชั้นใน เมื่อเห็นฉินปู้เข่อนอนอยู่บนเตียงและดื่มยาด้วยตาของตัวเอง หัวใจของเขาที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายหลายวันก็กลับเข้าที่
“เหตุใดหน้าของท่านถึงเป็นเช่นนี้”
ฉินปู้เข่อรู้สึกตกใจกับคนที่อยู่ตรงหน้านางอย่างเห็นได้ชัด ชุดไว้ทุกข์สีขาวซีด เบ้าตาลึกโหล รอยคล้ำใต้ตาทั้งสองและริมฝีปากที่แตกระแหงทำให้เขาเปลี่ยนไป
ตอนนี้หากมีคนบอกว่าเขาดื่มสุราพิษเข้าไปนางก็จะเชื่อ
นางขมวดคิ้ววางชามยาที่ยังดื่มไม่เสร็จไว้ข้าง ๆ เอื้อมมือพยุงเตียงพร้อมขยับขึ้นนั่งเล็กน้อย เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเหยียดแขนมากเกินไป ขณะที่กอดนางไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ยอมปล่อยมือและไม่เอ่ยคำใด
ฉินปู้เข่อสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงและตื่นตระหนกในร่างกายของเขาผ่านเสื้อบาง ๆ นางไม่สามารถยกมือและสะกิดเขาได้ เสียงของนางอู้อี้เหมือนกับเสียงยุง “คลาย คลายออกหน่อย หม่อมฉันหายใจไม่ออก… ”
“โอ้ โอ้” โชคดีที่หูของหมี่โม่หรู่ยังคงทำงานอยู่ และแขนของเขาก็คลายออกเล็กน้อยแต่ก็ยังกอดนางไว้ในอ้อมแขน
ฉินปู้เข่อหอบหายใจและเอื้อมมือออกไปผลักคนที่อยู่ข้างหน้านางออก แต่นางก็ได้ยินเสียงสั่นเครือของเขา “เสี่ยวเข่อ…”
คำที่คุ้นเคยสองพยางค์นี้ดูเหมือนจะผ่านกาลเวลาและพื้นที่เข้ามาในหูของนาง
“เพคะ”
“ดีใจจังที่เจ้าฟื้นแล้ว”
“เพคะ” ฉินปู้เข่อยกมือขึ้นลูบศีรษะของเขา
“ดีใจจังที่เจ้ากอดข้า”
“เพคะ”
“เสี่ยวเข่อ” หมี่โม่หรู่เอื้อมมือไปจับแก้มนาง ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายและจ้องมองนางโดยไม่กะพริบตา
ฉินปู้เข่อรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางรู้ว่าตนเองนอนบาดเจ็บมาหลายวันแล้ว และใบหน้าของนางก็ไม่ได้ดีไปกว่าชายตรงหน้านางมากนัก
ขณะที่นางก้มหน้าลงและผลักเขาออก เสียงที่น่าขนลุกก็ดังขึ้น
“แง…แง…” หมี่ฉงร้องเสียงดังขณะยืนอยู่ที่ฉากกั้นห้องตรงทางเข้าห้องชั้นใน เขาเหยียดแขนมาข้างหน้าพร้อมกับเงยหน้าคร่ำครวญ “น้องสะใภ้ ข้าก็ต้องการกอดด้วย…”
…………………………………………………………………………….