บทที่ 238 เหมือนแอบลิ้มรสสวาท
บทที่ 238 เหมือนแอบลิ้มรสสวาท
“กล้าวางยาที่อาจถึงชีวิตแก่ข้า หากเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร?!”
ฉินปู้เข่อมองเขา “หากเป็นเช่นนั้นจริง หม่อมฉันก็จะพาลูกหนีไป… และนั่นไม่ใช่ยาแต่เป็นชาเทพเจ้า เป็นชาเทพเจ้าที่ช่วยให้ผ่อนคลายอย่างแท้จริงเพคะ”
สิ่งนี้ซื้อมาจากระบบ ดื่มเพียงแค่จิบเดียวก็สามารถทำให้คนหลับใหลได้ทันที ชาเทพเจ้าจะทำให้คนจมลงสู่ห้วงเวลาที่พวกเขาหวนระลึกถึงมากที่สุด
คำพูดของนางเตือนให้หมี่อี้เหิงหวนคิดถึงความฝันอันแสนสั้น และตราตรึงใจเมื่อสักครู่นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หัวใจของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมานานหลายปีร้อนผ่าวราวถูกเผาไหม้ไปชั่วขณะ ในขณะที่สนทนานั้นหญิงสาวยังคงก้มหน้าลง นางจึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางแปลกประหลาดของเขา หมี่อี้เหิงรีบปรับความรู้สึกของตนอย่างรวดเร็วและกระแอมก่อนพูดว่า “เจ้าซื้อสิ่งนี้มาจาก ‘ระบบ’ หรือ?”
“เพคะ เป็นสินค้าใหม่ หม่อมฉันยังไม่ได้ลองใช้เลย ท่านพ่อสามีรู้สึกอย่างไรกับผลของการนอนหลับ” ฉินปู้เข่อถามความคิดเห็นของลูกค้าอย่างเขินอาย แต่หลังจากเห็นสายตาของหมี่อี้เหิงนางก็หดคอแล้วพูดว่า “คราวหน้าหม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้วเพคะ”
หมี่อี้เหิงพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ตอนแรกข้าต้องการให้เจ้าได้มานอนกับหมิงเอ๋อร์ในคืนนี้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว!”
“อย่านะท่านพ่อสามี หม่อมฉันแค่อยากให้โม่หรู่ได้เจอหมิงเอ๋อร์…” ฉินปู้เข่อส่งสายตาเว้าวอนหมี่อี้เหิงอย่างน่าสงสารอยู่บนพื้น น้ำตาในดวงตาที่สดใสของนางกำลังจะเอ่อล้นออกมา ดูเหมือนว่านางกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง
หมี่อี้เหิงพ่นลมหายใจ “แม่สาวน้อย อย่าคิดว่าเคล็ดลับของเมื่อวานจะยังใช้ได้ในวันนี้ อีฮ่วย มาพาฮูหยินกลับไปได้แล้ว!”
“คนใจแคบ กลับเองก็ได้!” ฉินปู้เข่อกระโดดขึ้นพลางกระทืบเท้า หลังจากวิ่งไปที่ประตูแล้วนางก็หันมาหยอกเย้า “ท่านพ่อสามีลงโทษหม่อมฉันได้เพียงหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้หม่อมฉันจะมาหาหมิงเอ๋อร์อีก”
“ไปให้พ้น” ตอนนี้หมี่อี้เหิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกชายของเขาถึงได้ยึดติดกับสตรีผู้นี้นัก เขาขาดการดูแลจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาถูกทอดทิ้งและเปิดใจไม่เก่ง เมื่อเจอคนรบเร้าเซ้าซี้เช่นนี้ เขาจึงย่อมยอมรับและเชื่อฟัง
ที่สำคัญคือสาวน้อยคนนี้มีสมองที่เฉียบแหลม และยอมรับทุกอย่างได้หากเห็นว่าสมควร ด้านหนึ่งคือนางยั่วโมโหจนแทบจะอดใจตีนางไม่ไหว แต่อีกด้านหนึ่งนางก็ทำตัวสงสารนักจนทำให้รู้สึกใจอ่อน และไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ในคืนนั้นฉินปู้เข่อจงใจแสดงความรู้สึกเศร้า หลังอาหารเย็นนางได้ขอร้องให้อีฮ่วยไปช่วยพูดเกลี้ยกล่อมหมี่อี้เหิง ซึ่งทำให้อีฮ่วยทั้งรู้สึกเห็นใจและสงสารเมื่อได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง
เมื่อถึงเวลานางก็เปิดหน้าต่างเพื่อเปิดทางให้ใครบางคน และนั่งรออยู่บนเตียง
หลังจากนั้นไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก ฉินปู้เข่อรู้สึกสงสัยจึงถามว่า “อีฮ่วยหรือ?”
ไม่มีใครตอบ
ด้วยความหวาดระแวงในใจ นางจึงคิดจะย่องไปดู ทันทีที่นางยืนขึ้นนางก็เห็นหมี่โม่หรู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มกำลังยืนพิงฉากกั้นห้องและส่งยิ้มให้นาง
ความเย้ายวนใจราวกับเพิ่งแต่งงานใหม่และความเป็นชายของเขา ทำให้หัวใจของฉินปู้เข่อแทบจะหยุดเต้นเพราะรอยยิ้มนั้น นางหยุดก้าวเดินและหันหลังทิ้งตัวลงบนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หมี่โม่หรู่รอให้สาวน้อยของเขาเข้ามากอดเขาแน่น ๆ แต่เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา
“เป็นอะไรไป? เจ้าไม่สบายหรือ?” เขารีบเดินไปที่เตียงแล้วดึงผ้าห่มออก
ดึงออกไม่ได้
เสียงของฉินปู้เข่ออู้อี้มาก “หม่อมฉันไม่ได้ไม่สบาย”
“เสี่ยวเข่อเป็นอะไรไป รีบออกมาเถิด” หมี่โม่หรู่ควานหารอบผ้าห่มจนพบช่องว่างแล้วจึงยื่นมือเข้าไป “หากเจ้ามีเรื่องจะพูดก็มาคุยกันเถอะ อย่าฝืนเก็บเอาไว้เลย”
ข้อเท้าที่เรียวและอ่อนนุ่มอยู่ในฝ่ามือของเขา สัมผัสอันนุ่มละมุนที่เขาไม่ได้สัมผัสมาหลายวันทำให้หมี่โม่หรู่ไม่อยากจากไป เขาจับข้อเท้าไว้ในมือแน่นแล้วดึงไปด้านข้าง แล้วลูบข้อเท้าในมือไปมาอย่างเงียบ ๆ
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มมีอารมณ์เล็กน้อยจึงเริ่มหายใจถี่มากขึ้น
“ที่รัก ออกมาเถอะ ให้ข้าได้จุมพิตเจ้าหน่อยนะ”
ฉินปู้เข่อที่อยู่ในผ้าห่มรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ไม่ได้เจอกันหลายวันเขาถึงกับพูดเช่นนี้เลยหรือ
“เร็วเถอะ ข้าคิดถึงเจ้าจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยื่นแขนข้างหนึ่งเข้าไปในช่องว่าง มือใหญ่ของเขาลูบขึ้นลงใต้ผ้าห่ม
ฉินปู้เข่อปกปิดร่างของตนไว้ใต้ผ้าห่มและยื่นหัวครึ่งหนึ่งออกมา “ท่านไม่สนใจหม่อมฉัน ท่านสนใจแต่ลูก”
“หึงหวงข้าเพราะลูกถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงเจ้าที่สุด ส่วนลูก… เขาก็แค่เด็กแรกเกิด”
ฉินปู้เข่อยกเท้าขึ้นเตะมือใหญ่ในผ้าห่ม “เด็กแรกเกิดหรือ? เตะเลย”
ทันทีที่ชายหนุ่มจับเท้าเล็ก ๆ ของนางได้อีกครั้ง เขาก็ดึงผ้าห่มออกแล้วเอนตัวพิงไหล่นางด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจ้าจะซ่อนตัวทำไม ข้าคิดว่าเจ้าจะมากอดข้าเสียอีก”
“หม่อมฉันรู้สึกว่าคืนนี้ท่านหล่อมากเสียจนไม่อาจละสายตาไปได้ ในอีกสองวันข้างหน้า จะมีเหล่าสตรีจำนวนมากมาสบตาท่านในพิธีฉลองวันเกิดพระจันทร์เต็มดวงของหมิงเอ๋อร์ และพวกนางย่อมไม่เต็มใจจะจากไป” ฉินปู้เข่อขยับไหล่หนีอย่างหงุดหงิด และไม่ยอมปล่อยให้เขาพิงไหล่ต่อไป
หมี่โม่หรู่ดีใจเล็กน้อยที่ยังสามารถทำให้นางหลงใหลได้ แต่เหตุใดนางถึงยังหงุดหงิดได้ถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนหลังจากที่เขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว พระชายาตัวน้อยของเขาก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะมาอิงแอบแนบชิดเขา
“ส่วนหม่อมฉันนั้นตรงกันข้าม หลังจากคลอดลูกแล้วร่างกายก็ไม่ฟื้นตัว ดูกระเซอะกระเซิงอยู่ทั้งวัน เมื่อต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าท่าน หม่อมฉันก็ดูราวกับผู้หญิงหน้าเหลือง” ฉินปู้เข่อทำหน้ามุ่ย โดยเฉพาะในคืนนี้ นางสวมใส่ชุดที่ดูราวกับผ้าขี้ริ้ว ผมของนางก็ยุ่งเหยิงอยู่บนเตียง และนางไม่มีโอกาสได้ล้างหน้าอย่างตั้งใจเลยในทุกวันนี้
หมี่โม่หรู่หัวเราะอย่างขบขัน เขาเอื้อมมือไปจับผ้าห่มแล้วดึงผ้าห่มออกจนสุด และใช้มือลูบผมที่ยุ่งเหยิงของฉินปู้เข่อให้เรียบ “สวยแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรเสี่ยวเข่อของข้าก็งดงามอยู่เสมอ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ หญิงสาวอยู่ในสภาพเย้ายวน ผมยุ่งของนางสยายอยู่ที่ต้นคอขาวของนาง หูของนางแดงเล็กน้อยขณะที่คุกเข่าด้วยท่าทางน่าเอ็นดู และมองมาที่เขาราวกับต้องการถูกสนอง
“ไม่เชื่อท่านหรอก” ตอนนี้ฉินปู้เข่อรู้สึกอายจริง ๆ เมื่อก่อนนางปกติดีทว่าตอนนี้นางมีแผลเป็นที่ท้องหลังจากคลอดลูก ทุกวันนี้นางกังวลแต่เรื่องลูกอยู่เสมอ เมื่อสัมผัสใบหน้าของตนเอง นางจึงรู้สึกว่ามันหยาบกระด้างขึ้นมาก
หมี่โม่หรู่ไซ้คอของนาง เขาจับมือของนางและใช้มืออีกข้างสำรวจบริเวณใดบริเวณหนึ่งในร่างกายของนาง การสัมผัสที่เร่าร้อนและรุนแรงทำให้ฉินปู้เข่อตัวสั่นสะท้าน
“เอ๊ะ?!” นางใช้มือปัดป้องตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มค่อนข้างรุนแรงเล็กน้อย…
เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อยของนาง หมี่โม่หรู่ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น เขาวางศีรษะลงบนหน้าอกของฉินปู้เข่อแล้วลูบไล้มัน “เจ้ายังไม่เชื่อหรือ”
“ชะ เชื่อแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อผลักคนบนร่างนางแล้วกระซิบ “ยังไม่ถึงเดือนเลยเพคะ ไม่ได้นะ อีกอย่างคือเรายังอยู่ในบ้านของคนอื่น ไม่ได้ ไม่ได้”
“อย่าขยับ!” หมี่โม่หรู่คว้าข้อมือของนางแล้วกดหน้าลงบนหน้าอกของนาง “เดิมทีข้าควบคุมได้อยู่แล้ว แต่หากเจ้ากระตุ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะจัดการเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฉินปู้เข่อเงียบและปล่อยให้หมี่โม่หรู่กอดนางอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรอจนกระทั่งคนที่ซบหน้าอกนางสงบลง นางก็กล้าพูดอีกครั้งว่า “ท่านคิดหรือไม่ว่าเราเหมือนชู้รักที่แอบลิ้มรสสวาทกัน…”
ไฟที่เพิ่งมอดดับไปถูกจุดขึ้นอีกครั้งด้วยคำพูดนี้ หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นและกัดริมฝีปากของนางก่อนจะพูดว่า “อย่าพูด!”
……………………………………………………………………………..