ตอนแรกเซิ่งอันหรานคิดว่าอวี้หนานเฉิงไม่ต้องการรบกวนเธอ เธอจึงพูดซ้ำ ๆ ว่าไม่เป็นไร เธอให้มือทั้งสองผลักชิงช้าไปมา จากนั้นเธอก็ได้ยินน้ำเสียงที่พูดดูเหมือนจะกัดฟันเล็กน้อยออกมาจากปากของอวี้หนานเฉิง
“เซิ่งอันหราน ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
เธอค่อยๆคลายมือออก “มี…มีอะไรเหรอ?”
อวี้หนานเฉิงใช้เท้าทั้งสองแตะลงที่พื้นเพื่อควบคุมการแกว่งของชิงช้า รองเท้าหนังราคาแพงทั้งสองข้างเปื้อนไปด้วยดินโคลน
อวี้หนานเฉิงหันหน้าไปจ้องที่เซิ่งอันหรานและพูดขึ้นว่า
“ผมบอกว่าผมอยากจะเล่นชิงช้าอย่างนั้นเหรอ?”
“คุณไม่คิดเลยหรือว่ามันจะไม่ปลอดภัย ก็นึกซะว่าลองเล่นแทนจิ่งซีลูกของคุณ”เซิ่งอันหรานไม่คิดว่าเธอทำผิดอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจ
“ยิ่งไปกว่านั้น การที่จะทำตัวให้เข้ากับเด็กได้ ก็ต้องลองเล่นและเข้าใจในสิ่งของที่เด็กๆชอบเล่นไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุณไม่เคยเล่นเป็นเพื่อนจิ่งซีเลย”
“นั่นเป็นเหตุผลที่คุณคิดว่าผมควรจะลองเล่นแกว่งชิ่งช้าที่นี่?”
แววตาของอวี้หนานเฉิงดูหงุดหงิดเล็กน้อย เขาจ้องไปที่เซิ่งอันหรานอย่างไม่พอใจ
แม้ว่าเซิ่งอันหรานจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มาก แต่หลังจากที่มองดูสายตาของอวี้หนานเฉิงอย่างใกล้ชิดแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆแข็งทื่อขึ้นที่ล่ะเล็กน้อยๆ
เขาสวมชุดสูทและรองเท้าหนังแบบนี้ แน่นอนว่ามันดูจะไม่ค่อยจะเหมาะสมกับการเล่นชิงช้า เมื่อกี้เธอก็แค่อยากจะปลอบใจเขา แต่จู่ๆก็นึกขึ้นได้ ว่าภาพลักษณ์โดยปกติของเขานั้นเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง
“เอ่อ…แคกๆ … จู่ๆฉันก็นึกขึ้นได้ว่าฉันกำลังรีบ ฉันจะต้องไปทำงานแล้ว ฉัน… ฉันไปก่อนนะ”
เซิ่งอันหรานแสร้งทำเป็นดูนาฬิกาข้อมือ เธอค่อยๆถอยหลังไปสองถึงสามก้าว จากนั้นก็หันหลังกลับและวิ่งจากไป
เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของเซิ่งอันหรานค่อยๆไกลห่างออกไป ความหงุดหงิดบนใบหน้าของอวี้หนานเฉิงก็ค่อยๆจางหาย เขากลับมีท่าทางที่ดูอบอุ่นขึ้น อวี้หนานเฉิงมองไปรอบๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ นิ้วเรียวของเขาก็ค่อยๆจับเข้ากับเชือกแกว่งทั้งสองข้างของชิงช้า มุมตาของเขาค่อยๆยกขึ้นราวกับว่ายิ้มได้
เซิ่งอันหรานวิ่งออกจากโรงเรียนโดยไม่หยุดฝีเท้า จนกระทั่งเธอวิ่งพ้นออกจากประตูโรงเรียน จากนั้นจึงหยุดวิ่งด้วยความหอบเหนื่อย
ตกใจหมดเลย หากว่าเมื่อกี้ยังอยู่ต่ออีกนิด เธอคงจะต้องถูกสายตาของอวี้หนานเฉิงฆ่าตายแน่ๆ
“ผู้จัดการเซิ่ง ออกมาคนเดียวเหรอ?”
ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็พบกับเกาหย่าเหวินที่กำลังลงมาจากรถVIPของอวี้หนานเฉิง เกาหย่าเหวินยืนกอดอกและกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาที่ไม่ค่อยดีนัก
เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว เธอนึกถึงคำพูดที่เธอเพิ่งไปบังคับถามจากเสี่ยวซิงซิงมา ตอนนี้เธอรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย เธอทำได้เพียงแค่พยักหน้า และเปล่งเสียง อืม ออกไป จากนั้นก็กวักมือเรียกรถแท็กซี่ที่อยู่บนถนน
“เรื่องที่ฉันจะแต่งงานกับหนานเฉิง คุณรู้ใช่ไหม?”
เกาหย่าเหวินยังคงพยายามที่จะไล่ตามถามต่อ
เซิ่งอันหรานหันหน้ากลับมาและตอบกลับไปว่า“ในบริษัทพูดถึงเรื่องนี้กันไปทั่ว จะทำเป็นปิดหูปิดตาไม่รับรู้ก็คงเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าคุณรู้ก็ดีแล้ว” เกาหย่าเหวินจับที่ผมของเธอและยกคางเชิดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ถึงแม้ข่าวจะยังไม่ถูกประกาศออกไป แต่ก็จะมีงานแถลงข่าวในเร็ว ๆ นี้ งานวิวาห์ระหว่างฉันกับหนานเฉิงจะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่คนทั้งประเทศต้องรู้ ดังนั้นหากว่ามีใครที่คิดไม่ดี คิดที่จะหาโอกาสทำเรื่องไม่ดีอะไรอยู่ ก็คงจะต้องเตรียมตัวรับการต่อว่าจากคนเป็นร้อยเป็นพัน ”
“คุณเกาคงคิดมากเกินไปแล้ว” เซิ่งอันหรานแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงพูดรักษาหน้าของทั้งสองฝ่าย “ฉันก็ไม่เข้าใจเรื่องที่คุณพูด”
เกาหย่าเหวินไม่สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้ เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและตรงไปตรงมา
“ฉันอยากให้คุณอยู่ห่างๆจากหนานเฉิง”
เธอรู้จักอวี้หนานเฉิงมาหกปีแล้ว และไม่เคยเห็นอวี้หนานเฉิงทำดีกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เดิมทีเธอเคยคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นข้อดีสำหรับเธอ เนื่องจากเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องของผู้หญิงเลย เพียงแค่เธอพยายามอยู่ครองตำแหน่งนี้ให้ดีที่สุด เธอก็จะสามารถได้ในทุกสิ่งที่เธอต้องการ โดยไม่ต้องกังวลใจว่าเขาจะเกิดเปลี่ยนใจ
แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เธอจะสามารถทำให้อวี้หนานเฉิงตั้งใจช่วยเหลือลูกสาวของเธอและหาโรงเรียนเป็นการส่วนตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ
พอพูดประโยคนี้ออกไป ก็เหมือนกับถูกฉีกหน้า
เซิ่งอันหรานสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอกำหมัดแน่น และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“คุณเกา ฉันขอแนะนำให้คุณเอาคำพูดประโยคนี้ของคุณกลับคืนไป”
“ทำไมเหรอ?” เกาหย่าเหวินพูดอย่างเย็นชา “หรือว่ามันแทงใจดำ?”
“หรือคุณคิดว่า ถ้าคุณได้เป็นผู้หญิงข้างกายของประธานอวี้ จะสามารถทำให้คุณเชิดหน้าชูคอได้?”
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใครๆก็รู้ว่าคุณพยายามช่วยจิ่งซีเพราะว่ามีแผนการอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นคุณก็บอกฉันมาสิว่า เป็นผู้จัดการฝึกหัดในโรงแรม จะมีปัญญาที่ไหนมาส่งลูกสาวของตัวเองไปเรียนที่หลานเป่า ยังจะมาแก้ตัวอีก คุณคิดอยากจะอยู่ใกล้ๆกับหนานเฉิง อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ ความคิดของผู้หญิงอย่างพวกคุณ ฉันเจอมาเยอะแล้ว”
เมื่อได้ฟังความคิดที่น่ารังเกียจและคำพูดไม่น่าฟังของเกาหย่าเหวิน ใบหน้าของเซิ่งอันหรานก็ดูเคร่งขรึมขึ้น เธอถามย้อนกลับไปว่า
“ผู้หญิงอย่างฉัน?”
“คิดอยากจะใช้ผู้ชายเป็นเครื่องมือ เพื่อทำให้ตัวเองดูสูงขึ้น ผู้หญิงไร้ยางอาย” เกาหย่าเหวินแสยะริมฝีปากเยาะเย้ย “ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะว่า อย่าคิดอยากจะได้สิ่งของหรือคนที่ไม่ใช่ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็คิดถึงลูกสาวของตัวเองให้มากๆ ”
ทันทีที่เซิ่งอันหรานได้ยินคำพูดประโยคนี้ มือทั้งสองของเธอก็กำแน่นขึ้น
“คุณเกา คุณควรจะรู้ผิดชอบชั่วดีในสิ่งที่คุณกำลังพูด ฉันไม่ได้คิดอะไรกับท่านประธานอวี้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่คุณสงสัย มันล้วนเป็นสิ่งที่คุณคิดไปเองเท่านั้น”
เกาหย่าเหวินยังคงต้องการที่จะพูดต่อ แต่ทันใดนั้นหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเหงาของบุคคลที่คุ้นเคยกำลังเดินออกมาจากประตู สีหน้าของเกาหย่าเหวินเปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้ม พร้อมกับหันหน้ากลับไป “หนานเฉิง ทำไมคุณเพิ่งจะออกมาล่ะ?”
“มีเรื่องที่ทำให้เสียเวลานิดหน่อย”อวี้หนานเฉิงเหลือบมองเธออย่างไม่แยแส จากนั้นก็มองไปที่เซิ่งอันหรานซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังของเธอ และถามเซิ่งอันหรานขึ้นว่า
“ผมมีเรื่องที่จะต้องไปทำที่โรงแรมสักหน่อย คุณจะไปด้วยกันไหม?”
เป็นเพราะคำเตือนของเกาหย่าเหวินก่อนหน้านี้ หากว่าครั้งนี้เธอไม่คิดให้ดีๆ นั่นมันก็หมายความว่าเธอจงใจยั่วยวนเขา
เซิ่งอันหรานไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ตัวเอง ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันนั่งแท็กซี่ไปเองได้”
เมื่อเห็นเช่นนั้น อวี้หนานเฉิงก็ไม่บังคับเธอ เขาเดินขึ้นรถไปพร้อมกับเกาหย่าเหวินและมุ่งหน้าเดินทางไปที่โรงแรมก่อน
ในระหว่างทาง เกาหย่าเหวินคอยมองดูอวี้หนานเฉิงอยู่ตลอดเวลา เธอเห็นว่าวันนี้เขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มันยิ่งทำให้เธอเริ่มรู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียนอนุบาลกันแน่ ดังนั้นเธอจึงถามหยั่งเชิงออกไปว่า
“หนานเฉิง แม้ว่าผู้จัดการเซิ่งจะช่วยชีวิตขอวจิ่งซีไว้ แต่คุณไม่ทำดีกับเธอมากจนเกินไปหน่อยเหรอ?”
อวี้หนานเฉิงมองออกไปที่ถนนทางด้านนอกหน้าต่างของรถ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติว่า “จริงเหรอ ?คุณคิดมากเกินไปแล้ว”
“เรื่องที่ลูกสาวของผู้จัดการเซิ่งได้ไปเรียนในโรงเรียนอนุบาลหลานเป่า คุณเป็นคนจัดการให้ใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของอวี้หนานเฉิงก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย เขามองไปที่คนขับที่กำลังขับรถอยู่
น้ำเสียงอันเย็นชาของอวี้หนานเฉิงดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของรถ
“โจวฟัง ตอนนี้การคัดเลือกคนประสิทธิภาพแย่ลงเรื่อยๆเลยนะ ฉะนั้นตอนบ่ายคุณไปจัดการเรื่องเงินที่แผนกการเงินได้เลย แล้วต่อไปก็ไม่ต้องมาทำงานแล้ว”
“ท่านประธานอวี้” คนขับมีน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก “ผมผิดไปแล้ว ผม…”
“ใช่ ฉันถามเขาเอง” เกาหย่าเหวินอธิบายอย่างเร่งรีบ “ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้คิดที่จะทำอะไร ทำไมคุณถึงได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบมากขนาดนั้น ไหนบอกว่าคุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกับเซิ่งอันหราน?”
“ผมก็พูดไปแล้ว”
อวี้หนานเฉิงมองเธอด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “คุณคิดมากเกินไปแล้ว”
“จริงเหรอ? แต่ฉันคิดว่า…”
“ผมไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร” อวี้หนานเฉิงจ้องไปที่เกาหย่าเหวิน พร้อมกับเตือนเธอด้วยสายตาที่เย็นชา
“ถ้ายังถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ คุณก็ลงจากรถไปได้เลย ช่วงนี้คุณมีคำถามมากเกินไปแล้ว ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกาหย่าเหวินก็เม้มริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น มือของเธอค่อยๆกำรวบเข้ากับต้นขาของตัวเอง เส้นเอ็นและกระดูกเกร็งไปหมด
สัญชาตญาณของเธอบอกเธอว่า เซิ่งอันหราน ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา