คนหนึ่งกลุ่มต่อด้วยอีกหนึ่งกลุ่มมาขอชนเหล้า เซิ่งอันหรานดื่มจนเริ่มทรงตัวไม่ได้ ตรงหน้ามีภาพซ้อนจางๆ จู่ ๆที่เอวก็แน่น ไม่รู้ว่ามือข้างหนึ่งมาจากไหนกอดเธอไว้
“มา ดื่มอีกแก้ว”
——
รถของเกาหย่าเหวินจอดที่หน้าประตูอวี้ย่วน ไม่รอคนขับรถมาเปิดประตูให้เธอ เธอเปิดประตูลงรถด้วยตัวเอง เหยียบรองเท้าส้นสูง12เซนติเมตรไปเดินไปทางในบ้าน
“คุณเกามาได้ยังไงครับ? คุณชายไม่อยู่บ้าน”
พ่อบ้านอวี้ย่วนขวางอยู่หน้าประตู
“ไม่อยู่?”
เกาหย่าเหวินขมวดคิ้ว มองไปทางในบ้าน ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะชัดเจน
“เป็นไปไม่ได้!”
อวี้หนานเฉิงจะทิ้งอวี้จิ่งซีอยู่บ้านคนเดียว แล้วตัวเองไปทำธุระได้อย่างไร?
ขอแค่อวี้จิ่งซีเด็กนี่อยู่บ้าน เขาต้องอยู่แน่นอน
พูดอยู่ เธอผลักพ่อบ้าน เปลี่ยนรองเท้าเอง เดินไปทางชั้น 2
มีเสียงหนึ่งเดินมาทางห้องของเล่น ชั้น 2 หลังเปิดประตูภาพที่เห็นทำให้เกาหย่าเหวินหน้าเสียในชั่วพริบตา “เธอเป็นใคร?”
ถานซูจิ้งนั่งขัดสมาธิอยู่ในกองของเล่น ได้ยินเสียงแหลมหนึ่งของผู้หญิงทำเอาตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม สักพักถึงได้สติ ตามเสียงมองไปทางหน้าประตู เห็นเกาหย่าเหวินท่าทางหวาดกลัว หน้าเปลี่ยนพูดอย่างไม่พอใจทันที
“ฉันเป็นใครเกี่ยวอะไรกับเธอ? ทำฉันตกใจหมด”
“ฉัน…” เกาหย่าเหวินโกรธจนหน้าเขียว “ท่าทีอะไรของเธอ เธอรู้ว่าฉันเป็นใครไหม?”
“รู้”ถานซูจิ้งดันเก้าอี้ลุกขึ้น ดึงเด็กทั้งสองที่เหมือนจะตกใจเหมือนกันไปไว้ด้านหลังตัวเอง กอดอกแล้วพูด
“ดาราใหญ่เกาหย่าเหวิน ใครไม่รู้จัก แต่เธอบุกเข้ามาในบ้านคนอื่นด้วยท่าทางดุร้ายเหมือนปีศาจแบบนี้ เธอคิดจะทำอะไร?”
“คนอื่น?” เกาหย่าเหวินกำหมัดแน่น
“ฉันเป็นคู่หมั้นของหนานเฉิง ที่นี่เป็นบ้านฉันในอนาคต ว่าแต่เธอเป็นโสเภณีที่โผล่ออกมาจากไหน ถึงกล้าวิ่งมาทำอะไรตามใจที่นี่”
ถานซูจิ้งหน้าตาสวยและมีเสน่ห์ และยังไม่ปิดบังความสวยของตัวเอง วันนี้สวมเสื้อปาดไหล่มีสายและกางเกงขาสั้นและหุ่นดี เป็นผู้หญิงคนหนึ่งก็ต้องเริ่มระแวงยิ่งไปกว่านั้นเกาหย่าเหวินอยู่ข้างกายอวี้หนานเฉิงมานาน ยิ่งระแวงผู้หญิงรอบตัวเขา
ในเวลาสั้นๆ เธอไม่ทันสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงที่หลบอยู่หลังถานซูจิ้งคือเซิ่งเสี่ยวซิง
“โสเภณี?” ถานซูจิ้งจับแขนเสื้อ มองเธอด้วยสายตาดูถูก
“ไม่แปลกที่ผู้หญิงอย่างเธอ ให้ท่าอวี้หนานเฉิงมา5-6ปียังไม่ยอมขอเธอ ปากเสียอย่างนี้ ใครจะรับไหว”
“…”
เห็นสงครามดุเดือดบนชั้น 2 พ่อบ้านโทรหาอวี้หนานเฉิงอย่างร้อนรน
“คุณชายที่บ้านเกิดเรื่องแล้ว คุณเกามาเจอคุณถานเข้า ดูท่าทั้งสองคนใกล้จะตีกันแล้ว”
อวี้หนานเฉิงยืนอยู่ที่ระเบียง ได้ยินคิ้วก็ขมวดตามมาด้วยพูดเตือน
“พาเด็กทั้งสองไปที่อื่น อย่าให้บาดเจ็บ”
“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ งั้น งั้นคุณเกากับคุณถานล่ะครับ?”
“ไม่ต้องสน”
พูดเสร็จอวี้หนานเฉิงก็กดวางสาย
ฝีมือถานซูจิ้งเขาเคยเห็นบนตัวเกาจ้าน ไม่เสียเปรียบ ส่วนเกาหย่าเหวิน เขาบอกเธอในสายก่อนแล้วว่ามีธุระแบบนั้น เธอยังไปถึงบ้าน ข้ามเขตไปแล้วควรสั่งสอนเธอหน่อย
หลังวางสายกลับไปในงานเลี้ยง อวี้หนานเฉิงมองไปรอบๆ งาน เห็นคนกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเซิ่งอันหราน กำลังแย่งกันแก้ว เธอเหมือนดื่มจนเมาแล้ว ยืนไม่ไหวด้านข้างมีผู้ชายคนหนึ่งประคองอยู่ คนรอบข้างยังเชิญชวน หนึ่งกลุ่มตามด้วยหนึ่งกลุ่มคนแบบไหนก็มี เริ่มโกลาหลแล้ว
เขาหน้าขรึมก้าวเท้ายาวเดินตรงไปผลักผู้คนออก ดึงเซิ่งอันหรานที่ดื่มจนเมามายมาในอ้อมกอดตัวเอง ใช้สายตาเย็นชาใส่ผู้ชายก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดว่า
“นายไม่อยากมีแขนละก็ ยืนอยู่ตรงนี้ต่อได้”
คนนั้นได้ยินตกใจตัวสั่นรีบเดินหนีไป
คนกลุ่มหนึ่งรอบๆ เหมือนคิดไม่ถึงว่าอวี้หนานเฉิงจะกลับมาเร็วแบบนี้ ต่างก็หนีหายไปเหมือนกัน
เหลือเซิ่งอันหรานซบอยู่ในอ้อมกอดอวี้หนานเฉิง ในมือยังเขย่าแก้วเหล้าหนึ่งใบอยู่
“มา ฉันจำคุณได้ ดื่ม”
“ดื่มอะไรอีก?”
อวี้หนานเฉิงดึงแก้วเหล้ามาอย่างไม่พอใจ ทิ้งไว้บนโต๊ะข้างๆ มือข้างหนึ่งกอดเอวเธอไว้ อีกข้างหนึ่งตบไปบนหน้าเธอ
“เซิ่งอันหรานได้ยินไหม?”
เขาแค่เดินออกไปครู่เดียว ก็ดื่มจนเป็นแบบนี้ หัวสมองไปไหนแล้ว?
“ฉันไม่เมา ดื่มสิ!”
เซิ่งอันหรานยื่นแขนพยายามขัดขืนออกมา แต่ขยับอยู่สองทีก็ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมกอดเขา
มองหน้าแดงๆ ในอ้อมกอด ความโมโหของอวี้หนานเฉิงกลับหายไปบางส่วน มีโกรธบ้างมีจนใจบ้าง ยกเธออุ้มท่าเจ้าหญิงภายใต้สายตาผู้คน พาเธอออกจากงานเลี้ยงไป
เฉียวเจ๋อทรมานอยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะตามไป แค่สองก้าวก็ถูกหลีเย่ว์ดึงไว้
“อาเจ๋อ นายจะทำอะไร?”
“ฉันไปดูหน่อย อันหรานเมาแล้ว”
“ดูอะไร?”หลีเย่ว์หน้าเขียว “เธอเมาแล้ว นายไม่เห็นอวี้หนานเฉิงพาเธอไปแล้วเหรอ? ตอนนี้เธอเป็นคู่หมั้นที่อวี้หนานเฉิงยอมรับด้วยตัวเอง กงการอะไรที่นายต้องตามไป?”
เฉียวเจ๋อก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อย เดิมในใจก็หงุดหงิดอยู่แล้ว ได้ยินก็สะบัดมือหลีเย่ว์ออกอย่างแรง พูดอย่างหงุดหงิด“ใช่ไง กงการอะไรของฉัน ฉันรู้ดีต้องให้เธอมาเตือนฉันซ้ำๆ เหรอ?”
หลีเย่ว์ยืนไม่มั่นคง ส่ายไปมา กรีดร้องอยู่ชนเข้ากับโต๊ะด้านหลัง ตามมาเสียงล้มของแชมเปญนั่งอยู่ในกองเหล้า ทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่เป็นเวลาหนึ่ง
อวี้หนานเฉิงอุ้มเซิ่งอันหรานอยู่เพิ่งเดินถึงหน้าประตู เสียงดังสนั่นด้านหลัง เขากลับไม่หันไปมอง ได้ยินเพียงเสียงร้องตกใจและเสียงวุ่นวายจากในงานเลี้ยง
“เลือด หลีเย่ว์เธอเลือดออกแล้ว พระเจ้าทำไมเลือดเยอะขนาดนี้”
“เลือด…”
“อาเย่ว์ อาเย่ว์อย่าทำฉันกลัว”
สุดท้าย เสียงอ่อนแอหนึ่งทะลุผ่านเสียงวุ่นวายเข้ามาในหูอวี้หนานเฉิง
“ลูกของฉัน…”
หางตาเขาค่อยๆ ยกสูง ก่อตัวในองศาดูถูก
หลังจากขึ้นรถ วางเซิ่งอันหรานเรียบร้อย คนขับรถขับรถออกงานโรงแรมจัดเลี้ยง
“เรื่องที่ให้นายไปสืบถึงไหนแล้ว?”
คนขับรถพยักหน้า “ตรวจสอบชัดเจนแล้ว คนนี้ชื่อหลีเย่ว์ 3วันก่อนไปโรงพยาบาลเอกชนนั้นเพื่อตรวจครรภ์จริงๆ เด็กพิการโดยกำเนิด หมอแนะนำให้ทำแท้ง”
อวี้หนานเฉิงได้ยินหน้าขรึมขึ้น
ทางมางานฉลองการหมั้นเขาได้รับสายของถานซูจิ้ง
ในสายพูดถึง3วันก่อน ถานซูจิ้งไปตรวจการตั้งครรภ์เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล เจอเรื่องของหลีเย่ว์ บังเอิญสามีของเพื่อนเธอเป็นหมอที่โรงพยาบาลเอกชนนั้น เลยถามก็ได้ข่าวว่าหลีเย่ว์รีบร้อนจะหมั้นเป็นเพราะท้องก่อนแต่ง แต่เด็กกลับพิการโดยกำเนิด
“ฉันไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มีปัญหาอะไร แต่สามีเพื่อนของฉันบอกว่าหลีเย่ว์ให้เขาเก็บเป็นความลับเรื่องเด็กพิการโดยกำเนิด แม้แต่เฉียวเจ๋อก็ไม่บอก ฉันถึงนึกหลีเย่ว์ส่งการ์ดเชิญให้อันหรานและตามตื๊อให้เธอไปงาน เวลานี้เธอเชิญอันหรานไป กลัวว่าจะมีเรื่อง ฉันแค่กลัวเกิดเห็นการณ์ไม่คาดฝัน”
ในสาย ถานซูจิ้งพูดเรื่องที่เธอกังวล นี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่เธออยากให้อวี้หนานเฉิงไปช่วยในงานฉลองการหมั้น
ความจริงพิสูจน์ เรื่องที่ถานซูจิ้งกังวลใจ มันไม่ผิด