รีสอร์ทที่พวกเขาเลือกพักเป็นรีสอร์ทสวยแห่งหนึ่งในม่อนแจ่มเชียงใหม่ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรูราคาแพงจึงจำกัดคนเข้าพักและได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด
สามสาวพอใจมากกับพี่พักแห่งนี้แม้จะเทียบกับที่หรู ๆ ที่พวกเธอเคยไปมานับครั้งไม่ถ้วนที่ต่างประเทศไม่ได้ แต่เพราะที่นี่คือเมืองไทย คือที่บ้านเกิดเมืองนอนจึงให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นที่สุด
เก่งพากุ๊กไก่แยกออกมาจากสองสามีภรรยานั่นแล้วจูงมือเธอมายังที่พักของพวกเขาทันที เขาวางกระเป๋าไว้ด้านหน้าที่พักและบอกกับกุ๊กไก่อย่างเร่งร้อน
“พี่ลืมคุยเรื่องงานกับไอ้เคนน่ะ กุ๊กเข้าไปก่อนนะคะถ้าเหนื่อยก็นอนสักหน่อยนะ”
“ค่ะ”
กุ๊กไก่พยักหน้า เก่งรีบกระทั่งกระเป๋ายังไม่ยอมถือเข้าไป
“กระเป๋าวางไว้ตรงนี้นะคะเดี๋ยวพี่ให้พนักงานมาจัดการเอง”
“ได้ค่ะ”
เก่งดันเธอเข้าไปในบ้านพัก
“รีบเข้าไปเถอะค่ะอากาศเย็นมากแล้ว กุ๊กยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วยพี่จะรีบกลับมานะคะ”
กุ๊กไก่พยักหน้ารับในขณะที่เก่งหันหลังเดินไปอย่างเร่งรีบ เธอไขกุญแจเปิดเข้าไปซึ่งระบบกุญแจของที่นี่ยังเป็นแบบเก่า แต่ให้ความรู้สึกคลาสสิกไปอีกแบบ
ที่พักแห่งนี้มีลักษณะเป็นกระโจมที่ด้านบนทำด้วยกระจกใส สามารถมองดูดาวได้ในเวลากลางคืน และแบ่งเป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัว กระทั่งห้องอาบน้ำยังเป็นวิวพาโรนาม่าหากว่าต้องการอาบน้ำท่ามกลางธรรมชาติ แต่หากว่าอายก็สามารถปิดม่านบังตาได้
กุ๊กไก่เดินไปมองรอบ ๆ ห้องนอนและสำรวจไปทั่ว ๆ มันสวยมากจนเธอตื่นเต้นเพราะเธอไม่ได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้หลายปีแล้ว เธอเดินไปดูกระจกแล้วแนบหน้าลงไป
“อ้อ ที่แท้กระจกก็เป็นกระจกแบบที่สามารถมองเห็นจากด้านในเท่านั้นนี่นา”
หญิงสาวพึมพำคนเดียว ถึงแม้เก่งจะบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนมาจัดการกระเป๋าใบโตเองแต่กุ๊กไก่ก็คิดว่าตัวเองจัดการได้ เธอวางกระเป๋าถือใบเล็กลงไว้บนเตียงที่ทำเป็นรูปวงกลม และยังมีดอกกุหลาบกับผ้าที่พับเป็นรูปหัวใจวางอยู่กลางเตียง
“สวยจังเลย”
หญิงสาวนั่งลงบนเตียงนุ่มแล้วเอนตัวลงนอนกระทั่งระดับความนุ่มของเตียงก็ยังถูกใจเธอ อารมณ์ของกุ๊กไก่ที่หดหู่มาเนิ่นนานตั้งแต่อชิเสียกลับดีขึ้นอย่างประหลาด
นี่ละนะที่คนเขาบอกว่า การเปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้างจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ยิ่งได้มากับคนที่ชอบและเพื่อนรักแบบนี้เธอรู้สึกมีความสุขมาก
เสียงประตูเปิดออก เป็นพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนำ welcome drink มาเสริฟ และยังมาคอยดูแลเรื่องกระเป๋าให้เธอจนเรียบร้อย และเสียงของสองสาวนาชาและลูกเกดก็ดังขึ้น
“ว๊าวไอ้กุ๊กห้องสวยนี่หว่า”
“แล้วของพวกแกไม่สวยเหรอวะ”
“สวยเหมือนกันแต่คนละแบบที่นี่แต่ละห้องเหมือนจะดีไซน์แตกต่างกันของไอ้ชาก็เป็นอีกแบบ ของฉันก็อีกแบบอ่ะ”
กุ๊กไก่รู้สึกหิวเพราะตอนนี้ก็มืดแล้วจึงมองไปที่ประตูอย่างกังวล
“ไม่รู้ว่าพี่เก่งคุยอะไรกับพี่เคนและพี่โน่นะ ยังไม่กลับมาอีกหิวแล้วอ่ะ”
นาชาหัวเราะ
“เออ ก็พวกฉันมาตามแกอยู่นี่ไง ไปมีนัดตอนหนึ่งทุ่มอากาศค่อนข้างหนาวแกใส่หมวกด้วยสุขภาพยิ่งอ่อนแออยู่ช่วงนี้”
นาชารื้อหมวกในกระเป๋าของกุ๊กไก่มาใส่ให้เธอจนได้ อากาศบนดอยค่อนข้างหนาวน่าจะไม่ถึงสิบองศาด้วยซ้ำ กุ๊กไก่จึงคว้าเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของเก่งติดมือมาอีกตัวเมื่อนึกได้ว่าเก่งสวมแค่เสว็ตเตอร์ตัวเดียวเท่านั้น
“กินข้าวที่ไหนอะ”
ลูกเกดชี้ไปที่ลานกว้างต้องเดินไปตามทางเล็ก ๆ ที่อยู่ฝั่งหนึ่ง
“นั่นเห็นมั๊ย มีแสงไฟดวงเล็ก ๆ และมีวงดนตรีอยู่นั่น แขกที่นี่มีไม่เยอะประมาณยี่สิบห้องมั้งคนกำลังดีไม่พลุกพล่าน”
ลูกเกดเองก็ชอบที่นี่มากเป็นพิเศษ สามสาวเดินจูงมือกันไปจนถึงร้านอาหารที่ประดับตกแต่งด้วยไฟดวงเล็ก ๆ ทำให้แสงไม่สว่างจ้ามาก เป็นเพราะเหตุผลว่าจะได้เห็นดาวบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
“ข้อดีของการอยู่บนเขาและสถานที่แบบนี้ทำให้เห็นดาวสวยกว่าอยู่ที่อื่น”
นาชาพูดขึ้นเธอขยับเก้าอี้สามสาวต่างเลือกนั่งกันคนละมุม โดยเว้นที่เอาไว้ให้สามีของตัวเองเพื่อให้นั่งข้าง ๆ
“สั่งอาหารก่อน หนุ่ม ๆ กำลังคุยกันเดี๋ยวก็มา”
ลูกเกดเองก็หิวเพราะเดินทางมาทั้งวันเธอกลังจะเวียนหัวเพราะต้องขึ้นเขาจึงไม่ยอมกินอะไรรองท้องมาก่อนเลย เมื่อสั่งอาหารเสร็จกระทั่งอาหารมาเสริฟเควิลและลูเซียโน่ก็มาถึงพอดี
กุ๊กไก่มองหาเก่งแต่ไม่เห็นแม้แต่เงา
“พี่เก่งละคะ”
ลูเซียโน่ตอบชัดถ้อยชัดคำ
“เดี๋ยวมาค่ะ กุ๊กไก่กินก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”
ถึงลูเซียโน่จะบอกว่าไม่ต้องรอกุ๊กไก่ก็อดรอไม่ได้อยู่ดี ทั้งเควิลและลูเซียโน่ต่างตักอาหารให้ภรรยาของตัวเองอย่างเอาใจ เมื่อเห็นว่ากุ๊กไก่ไม่ขยับช้อนสองคนจึงเอาใจเธอและช่วยตักอาหารให้
“กินก่อนนะคะไม่ต้องห่วงมันไปเก็บของหน่อยเดี๋ยวก็มา”
เมื่อไม่เห็นหน้าเก่งอาการอยากอาหารของกุ๊กไก่ลดลงทุกที เธอยอมรับว่าเธอจิตตกตั้งแต่อชิตาย เธอกำลังติดเก่งแจ แต่เพราะเป็นอาหารที่สามีเพื่อนอุตส่าห์ตักให้ทานกุ๊กไก่จึงไม่ได้ปฏิเสธ เธอยังคงรักษามารยาทที่ดีเอาไว้
ตักกินได้สองสามคำ รู้สึกว่าอาหารอร่อยดีจึงกินไปอีกหลายคำเสียงดนตรีคลอเบา ๆ ไม่ได้เสียงดังมากจนรบกวนการพักผ่อน เพลงที่นักร้อง ร้องนั้นส่วนใหญ่เป็นเพลงสากลฟังง่ายสลับกับเพลงพื้นเมืองของภาคเหนือที่ฟังแล้วชวนให้คนยิ้มออกมา
กระทั่งเกิดเสียงฮือฮาขึ้น นาชาอุทานอย่างตื่นเต้น
“กุ๊กดูบนท้องฟ้าสิแก มีคนใช้โดรนแปลอักษรด้วย”
นาชาลุกขึ้นรวมทั้งลูกเกดด้วยสองสาวต่างเดินมาจับมือกุ๊กไก่คนละข้าง แล้วพาไปที่ระเบียงชมดาวเพื่อดูโดรนชัด ๆ
“มากุ๊ก สวยจังเลยดูสิ”
โดรนแปรอักษาเป็นรูปต่าง ๆ นาชารีบให้ทุกคนหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาและถ่ายวิดีโอเอาไว้
สามสาวจ้องมองท้องฟ้าอย่างมีความสุข กุ๊กไก่ถึงกับพูดออกมาด้วยความรู้สึกทึ่งและประทับใจ
“ที่นี่มีโดรนแปลอักษรด้วย เลิศว่ะพวกแกว่าปะ”
“อื้อ ที่สุดเลยแก”
ทั้งนาชาและลูกเกดต่างพูดขึ้นพร้อมกัน นาชากำลังถ่ายวิดีโอสีหน้ากุ๊กไก่ส่วนลูกเกดก็ถ่ายวิดีโอโดรนที่กำลังแปลอักษรอยู่บนท้องฟ้า
เริ่มจากทำเป็นแสงไฟข้อความยินดีต้อนรับ และขอให้มีความสุขที่ม่อนแจ่ม จากนั้นสิ่งที่ทำให้กุ๊กไก่ใจเต้นระทึกก็เกิดขึ้น
เมื่อโดรนกำลังแปลอักษรเป็นชื่อของเธอ
Hello Kookkai My daring
เธอหันไปมองเพื่อนสีหน้าค่อนข้างตกใจ
“หมายถึงฉันใช่ปะ”
นาชาอมยิ้มเหมือนรู้อะไรอยู่แล้ว “ใช่สิยะ รีบดูสิเร็วอย่ามัวมองฉัน”
กุ๊กไก่เงิยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้ง รู้สึกตื่นเต้นจนมือเย็นเยียบ
I Love You
Will you marry me?
จากนั้นก็เป็นรูปกล่องของขวัญที่กำลังเปิดออก ก่อนจะมีแหวนลอยออกมาจากกล่องนั้น เสียงกรี๊ดของนาชาและลูกเกดดังขึ้นพร้อมเสียงกรี๊ดของสองสาว กระทั่งเควิลและลูเซียโน่ที่เดินมากอดภรรยาของตัวเองเอาไว้ยังพูดพร้อมเพียงกัน
“กุ๊กว่ายังไง ยินดีหรือเปล่า”
กุ๊กไก่นิ่งค้าง เธอเคยวางแผนจะแต่งงานกับเก่งแต่ก็ไม่ได้พูดกันจริงจังจนเกิดเรื่องของอชิขึ้นมาก่อนจึงทำให้ทุกอย่างไม่ได้พูดคุยกันต่อและหยุดชะงักไป
เสียงนุ่มทุ้มของเก่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“กุ๊กไก่จะแต่งงานกับพี่ได้หรือเปล่าคะ”
กุ๊กไก่หันหลังไปทันใด ท่ามกลางเสียงเพลงแผ่วหวานที่คลอเบา ๆ และแสงไฟอ่อน ๆ ที่ส่องกระทบใบหน้าของเก่ง เขาดูหล่อมากในชุดสูทเป็นทางการ เขากำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น และพูดกับเธอพร้อมถือกล่องแหวนในมือ
“แต่งงานกับพี่ได้หรือเปล่าคะ คนดีของพี่”
“พี่เก่งคะ กุ๊ก…”
เขาจับมือของเธอข้างหนึ่งเอาไว้ และดูเหมือนว่าตอนนี้รอบข้างจะเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียวรวมทั้งแขกที่มาพักคนอื่นด้วย ความสนใจที่คนพวกนี้มีต่อพวกเขาเกิดขึ้นตั้งแต่ทุกคนเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารแล้ว
เพราะพวกเขาต่างก็หน้าตาดีกันทุกคนจึงเป็นที่จับจ้องและสนใจของคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาวสวยหรือหนุ่มหล่อก็ต่างมีคู่กันหมดแล้ว และดูจะรักกันมากจนไม่มีสายตาที่จะมองคนอื่น
กุ๊กไก่มองเก่งด้วยดวงตาไหวระริก เธอเม้มปากที่สั่นเทาเอาไว้ การแต่งงานที่แสนจะเซอร์ไพรส์และโรแมนติกเพิ่งจะเกิดขึ้นกับเธอ ท่ามกลางเพื่อน ๆ ของเธอและบรรยากาศอันงดงามและภายใต้แสงดาวที่ส่องประกาย
“ตั้งแต่เกิดมาพี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคบใครจริงจังเลยสักคน เพราะที่กลัวการถูกผูกมัด แค่คิดว่าถ้าคบผู้หญิงคนนี้แล้วผู้หญิงทำท่าจะจริงจังพี่ก็มักจะถอยห่างเสมอ แต่ว่าตั้งแต่วันที่พี่ได้เจอกับกุ๊กในวันนั้นวันแรก หัวใจกลับเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พี่เคยบอกกุ๊กหลายครั้งแล้วว่าพี่เฝ้ามองกุ๊กมานาน และรอคอยโอกาสของพี่บ้าง นั่นคือเรื่องจริงที่สุดในชีวิตของพี่ พี่เฝ้าแต่สวดภาวนาว่าขอโอกาสให้พี่ได้เข้าใกล้กุ๊กแค่สักครั้งก็ยังดี พี่จะทำอย่างเต็มที่จนสุดความสามารถของพี่ พี่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงตกลงไปในหลุมแห่งความรักจนไม่สามารถที่จะถอนตัวได้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น สุดท้ายแล้วในชีวิตของพี่ที่คิดว่ามีทุกอย่างพร้อมแล้วกลับโหยหาเพียงแต่กุ๊ก ได้โปรดอนุญาตให้พี่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ได้เข้าไปเป็นคนปกป้องดูแล และเป็นครอบครัวของกุ๊กจะได้หรือเปล่าคะคนดีของพี่”
กุ๊กไก่พึมพำแผ่วเบา ดวงตากลมโตมีน้ำคลอจนแทบจะหยดลงมา
“ครอบครัวเหรอคะ”
เธอยอมรับว่าตั้งแต่เสียอชิไปเธอลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว และคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับเก่ง แต่เขากลับคอยอยู่เคียงข้างเธอมาเสมอ และยังยินดีรอจนกว่าจะถึงวันนี้ เก่งไม่ได้คิดที่จะมาเป็นสามีของเธอเท่านั้นเขายังคิดที่จะเป็นครอบครัวของเธอ เขาดีขนาดนี้เธอคงจะโง่มากหากไม่ตอบรับความรักของเขา
กุ๊กไก่ยิ้มทั้งน้ำตา เธอคุกเข่าลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเขา
“พี่เก่งไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้กุ๊กค่ะ แค่พี่คอยเคียงข้างกุ๊กและอยู่กับกุ๊กไปแบบนี้จนแก่เฒ่าก็พอแล้ว”
เธอยื่นมือให้เขา เก่งเบิกตากว้างอย่างยินดี
“กุ๊กรับคำขอของพี่แล้วใช่หรือเปล่าคะ”
กุ๊กไก่พยักหน้าติดกันหลายครั้งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “กุ๊กจะแต่งงานกับพี่ค่ะ ขอบคุณเช่นกันนะคะที่รอคอยมานานขนาดนี้”
หัวใจของเก่งพองโต สิ่งที่เขาโหยหามาเนิ่นนานได้รับการตอบรับแล้ว เขาสวมแหวนให้กุ๊กไก่ที่นิ้วนางข้างซ้าย ก่อนจะค่อย ๆ ดึงเธอเข้ามาแล้วจูบเบา ๆ ที่ข้างแก้ม ก่อนจะไล้ริมฝีปากผ่าน ๆ มากระทั่งพบกลีบปากนุ่มนวล เขาจูบเธออย่างอ่อนหวานท่ามกลางพยานหลายสิบชีวิต กระซิบเบา ๆ ชิดใบหูของเธอ
“พี่รักกุ๊กมากเท่าที่ชีวิตของผู้ชายคนนี้จะสามารถรักใครได้”
“กุ๊กก็รักพี่เก่งมากค่ะ”
สองคนต่างถ่ายเทความรักให้แก่กันและกันด้วยอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นและอ่อนหวาน ไม่ว่าชีวิตนี้ของพวกเขาจะเหลือเวลาอีกสักเท่าไหร่ จากนี้ต่อไปคนทั้งคู่ต่างคิดที่จะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ พวกเขาก็จะจับมือกันให้มั่นและไม่มีทางปล่อยมือจากกันอีกต่อไป
สำหรับคนสองคนแล้ว ความรักไม่จำเป็นต้องพร้อมทุกอย่างขอเพียงพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันก็พอ
จบบริบูรณ์