เรื่องการปิดล้อมยังไม่ได้รับการแก้ไข สงครามเมืองเซวียนถงก็อยู่ในช่วงเร่งด่วน ไม่มีใครกล้ารับรองว่าจะมีใครมีความคิดที่จะมาขอพึ่งพาไท่ฮูหยินหรือไม่ การที่ไท่ฮูหยินไปอยู่ที่เรือนซีซานกับฮูหยินสองช่วงหนึ่งก็จะสามารถหลีกเลี่ยงสองเหตุการณ์นี้ได้
“ขอบคุณพี่สะใภ้สอง!” สวีลิ่งอี๋คำนับฮูหยินสอง “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนพี่สะใภ้สองไปปรนนิบัติท่านแม่ที่เรือนซีซานสักช่วงระยะหนึ่งแล้ว!”
ฮูหยินสองพยักหน้า หันหลังแล้วเข้าห้องไป
“ให้เจี้ยเกอกับอิงเหนียงพาถิงเกอกับจวงเกอไปอยู่ด้วยเถิด!” สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋เดินอยู่ข้างกันบนทางเดินที่ปูด้วยหินสีเขียว “เช่นนี้บรรยากาศก็จะได้มีชีวิตชีวามากขึ้น!”
“เจ้าจัดการเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งมาก!” พูดอย่างครุ่นคิด “เรื่องนี้ควรจะจัดการให้เร็วที่สุด”
สืออีเหนียงรับปาก เมื่อกลับถึงเรือนก็เรียกสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยสามีภรรยาทั้งสองคู่มา “เจี้ยเกอกับอิงเหนียงพาลูกๆ ไปอยู่ที่เรือนซีซานเป็นเพื่อนท่านย่าและท่านป้าสะใภ้สองสักช่วงหนึ่ง ส่วนจุนเกอไปเอาฤกษ์ยามสำหรับออกเดินทางที่เรือนท่านป้าสะใภ้สอง จัดการเรื่องที่จะไปพักที่ซีซาน ส่วนเซ่อเซ่ออยู่ที่เรือนช่วยข้าต้อนรับแขก อิงเหนียงไปช่วยเด็กๆ เก็บของใส่หีบ” พูดจบก็กำชับทั้งสองคนทีละคน “จุนเกอจำไว้ว่าต้องส่งองครักษ์ไปที่เรือนซีซานให้มาก อย่าให้ใครมารบกวนท่านย่า ส่วนเจี้ยเกออยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนท่านย่า อย่าให้ท่านย่ารู้สึกเบื่อจนอยากกลับมา!”
ข้อเสนอของเฉินเก๋อเหล่าที่ให้ยึดที่ดินพระราชทานของขุนนางคืนได้แพร่กระจายไปทั่วเยี่ยนจิง พวกเขาก็กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากไม่มีที่ดินพระราชทานแล้ว ผู้ที่มีงาน มีตำแหน่งจะได้รับเงินรายปี ส่วนผู้ที่ไม่มีงาน ไม่มีตำแหน่งก็จะไม่มีเงินรายปี เช่นนี้สกุลสวีก็จะมีเพียงสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควน สวีซื่อจุน และสวีซื่อจิ่นที่มีเงินรายปี รายได้ลดลงถึงเก้าในสิบส่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลที่มีผู้ที่มีตำแหน่งเพียงคนเดียวเหล่านั้น
ผู้คนทั่วเยี่ยนจิงต่างก็จับจ้องมายังโจวซื่อเจิงกับสวีลิ่งอี๋! แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อ่อนไหวทางการเมือง แต่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จัดการได้ง่าย
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยขานรับพร้อมกัน แล้วแยกย้ายกันไปจัดการ
ไท่ฮูหยินรู้เพียงว่าฮูหยินสองอยากไป ทั้งยังมีอิงเหนียงที่คุยเก่งพาถิงเกอกับจวงเกอไปด้วย ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มทันที
ฮูหยินสองตัดสินใจอย่างรวดเร็ว กำหนดวันเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า
เก็บของใส่หีบ จัดเตรียมบ่าวรับใช้ คนครัว คนเฝ้าเวรยามที่ตามไปปรนนิบัติ…เจียงซื่อยุ่งจนหัวหมุน ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ออกไป ทั้งยังต้องจัดเตรียมป้ารับใช้คอยเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนในจวนและสาวใช้ทำความสะอาดแต่ละเรือนใหม่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้หยุดพัก จวนหย่งชังโหว จวนเว่ยเป่ยโหว จวนจงซานโหว จวนติ้งกั๋วกง แม้กระทั่งจวนติ้งหนานโหวสกุลเดิมของฮูหยินห้าและบรรดาฮูหยินที่ดูแลเรื่องในเรือนจวนเจิ้นหนานโหวสกุลหวังที่ปกติไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันก็มาเป็นแขกอยู่เรื่อยๆ ต้องจัดเตรียมชา ขนม อาหาร ส่งแขก และอยู่คุยเป็นเพื่อนบรรดาคุณนายน้อยที่ตามมาปรนนิบัติแม่สามี เจียงซื่อแทบไม่มีเวลาอยู่นิ่ง แต่ก็ได้เข้าใจคำบางคำที่บังเอิญได้ยินมาถึงหู สงครามซีเป่ยตึงเครียด เงินเดือนทหารไม่เพียงพอ ฮ่องเต้ตัดสินใจยึดที่ดินพระราชทานของสกุลขุนนางคืนเพื่อนำมาเติมเต็มเงินเดือนทหาร บรรดาฮูหยินต่างก็ถามความคิดอ่านของกันและกัน บรรดาท่านโหวและท่านปั๋วจะได้ทยอยกันเขียนหนังสือในเวลาเดียวกัน ทำเป็นรวมกลุ่มกันต่อต้านด้วยความไม่พอใจ
“ถังฮูหยินวางใจได้ นี่ไม่ใช่เรื่องของสกุลใดสกุลหนึ่ง” สืออีเหนียงแสดงออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ต่อให้ท่านโหวของพวกเราไม่สนใจเรื่องนี้ เรื่องนี้ก็ไม่สามารถเงียบลงได้อยู่ดี”
ถังฮูหยินถอนหายใจ “ครั้งนี้บรรดาเก๋อเหล่าทำเกินไปแล้ว ทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดเส้นทางทำมาหากินของพวกเราไม่ใช่หรือ”
“พอกระต่ายจนตรอกก็ย่อมกัดคน ยิ่งไปกว่านั้นเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการตัดเส้นทางทำมาหากินของพวกเรา” ฮูหยินของเจิ้นหนานโหวซื่อจื่อที่ซูบผอมเหลือเพียงกระดูกแต่ยังสามารถพูดได้ยิ้มอย่างเย็นชา “ฮ่องเต้ไม่ได้บอกว่าสงครามซีเป่ยตึงเครียด คลังหลวงว่างเปล่าหรอกหรือ เฉินจื่อเสียงทำการเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และมีนโยบายใหม่ทุกปี เหตุใดจึงทำให้คลังหลวงว่างเปล่าเสียได้ ตอนนี้ยังต้องให้พวกเราช่วยเช็ดก้นให้ บนโลกใบนี้จะมีเรื่องดีเช่นนี้เสียที่ไหนกัน”
เฉินจื่อเสียงคือนามของเฉินเก๋อเหล่า
ถังฮูหยินไม่ได้พูดอะไรแต่ตากลับเป็นประกาย
ฮูหยินของเจิ้นหนานโหวซื่อจื่อเหลือบมองถังฮูหยินด้วยหางตาอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางกล่าวลา “ข้าได้รับคำยืนยันจากฮูหยิน สามารถกลับไปอธิบายให้ท่านโหวของพวกเราได้แล้ว ต้องขอตัวก่อน รอวันไหนหากฮูหยินมีเวลาว่างก็ขอเชิญมานั่งเล่นที่เรือนข้า จะว่าไปแล้วสกุลของพวกเราก็นับว่าเป็นดองกัน”
สืออีเหนียงยิ้มรับ ไปส่งนางที่ประตูด้วยตัวเอง
เมื่อกลับมาถังฮูหยินก็ลุกขึ้นกล่าวลาเช่นกัน “ความตั้งใจของท่านโหวของพวกเราก็คืออาศัยโอกาสที่วันหนึ่งจะมีข่าวดีทางฝั่งของเมืองเซวียนถงแล้วค่อยเขียนฎีกาถวาย เมื่อฮ่องเต้อารมณ์ดีก็จะทำให้ง่ายขึ้น” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้ายังต้องไปนั่งเล่นกับโจวฮูหยินอีก”
“ควรไป ควรไป” สืออีเหนียงส่งนางกลับไป “คำพูดของฮูหยิน ข้าจะถ่ายทอดแก่ท่านโหวแน่นอน”
ถังฮูหยินพยักหน้าแล้วจากไป
เจียงซื่อพยุงสืออีเหนียงมานั่งที่ห้องชั้นใน พูดอย่างลังเลว่า “ท่านแม่ เป็นอย่างที่หวังฮูหยินพูด ช่วงไม่กี่ปีมานี้ราชสำนักได้ออกนโยบายใหม่อยู่เรื่อยๆ ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ก็มีมากกว่าครึ่ง อาณาจักรมั่งคั่งราษฎรแข็งแกร่ง ทั้งหมดเป็นเพราะมีเฉินเก๋อเหล่า ตอนนี้ฮ่องเต้บอกว่าคลังหลวงว่างเปล่า ไม่แน่อาจจะเป็นข้ออ้าง ในเมื่อฮ่องเต้ตัดสินใจอย่างหนักแน่นแล้ว…เขียนฎีกาถวายเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนที่หวังฮูหยินจะพูดประโยคนี้ เจ้าเคยคิดเช่นนี้หรือไม่”
แม่สามีท่าทางอ่อนโยนราวกับน้ำฝนโปรยปรายก็ไม่ปาน
เจียงซื่อมีความกล้าขึ้นมา “ข้าก็เคยคิดเช่นกันเจ้าค่ะ!”
“เจ้าดูสิ เจ้าเองก็คิดได้ หวังฮูหยินก็คิดได้ คนอื่นๆ ก็ย่อมต้องคิดได้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ทำไมทุกคนยังส่งฮูหยินมาเป็นแขกที่เรือนและทำการตกลงอย่างเป็นส่วนตัวเช่นนี้ ก็เป็นเพราะอยากรอดูว่าสกุลไหนจะรอไม่ไหวกระโดดออกมาก่อนเป็นสกุลแรก!เซ่อเซ่อ สกุลของพวกเราเป็นกลางมาเสมอ ไม่มีทางไปยืนอยู่ตรงหน้าคนอื่น และไม่มีทางไปยืนอยู่ด้านหลังคนอื่น แต่เช่นนี้จึงจะสามารถเดินออกมาได้ในเวลาที่เหมาะสม นี่เป็นความรู้อย่างหนึ่ง” แล้วพูดต่อว่า “เซ่อเซ่อ เจ้าต้องจำคำข้าไว้ สกุลพวกเราไม่ใช่สกุลข้าราชการ ที่ให้ความสำคัญต่อคำว่า ‘ขุนนางพลเรือนยอมตายเพื่อกราบทูล’ เช่นนี้ แม้ต่อให้ในบรรดาพี่น้องไม่มีผู้ที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ด้วยชื่อเสียงของเราคงอาจจะยังได้รับความเคารพ พวกเราเป็นขุนนางชั้นสูง ขอเพียงแค่ไม่ทำอะไรผิดพลาด ความมั่งคั่งนี้จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ตราบนานเท่านาน”
เจียงซื่อเหงื่อออก ก่อนจะขานรับด้วยความเคารพ
******
หลิวหงผู้บัญชาการทหารแนวหลังของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคได้รับตำแหน่งแม่ทัพเจิงซีนำกองทัพทหารจำนวนหนึ่งแสนนายไปต่อสู้กับศัตรูที่เซวียนถงพร้อมกับฟั่นเหวยกัง ดูเหมือนว่าสวรรค์กำลังเยาะเย้ยขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ที่กังวลเหมือนมดบนกระทะร้อนก็ไม่ปาน ตลอดเวลาครึ่งเดือนข่าวที่ได้รับจากเซวียนถงล้วนเป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
เริ่นคุนบุตรชายขององค์หญิงฉังหนิงเป็นคนแรกที่ร้องทุกข์ ฟ้องร้องเฉินเก๋อเหล่าโทษฐานหลอกลวงเบื้องบน มิเช่นนั้นหลังจากที่ดำเนินการตามนโยบายใหม่ เหตุใดคลังหลวงจึงว่างเปล่า และร้องขอให้เรียกเก็บภาษีชาภายใต้ระบบเก่า ต่อมาจงซานโหวได้ตอบรับด้วยการฟ้องร้องหลี่ถิงกระทรวงครัวเรือนที่ยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างผิดกฎหมาย นอกจากนี้ราชบุตรเขยองค์หญิงซุ่ยผิงได้ฟ้องร้องสิงอานกระทรวงครัวเรือนที่รับสินบน…เฉินเก๋อเหล่า หลี่ถิง และสิงอานทยอยกันเขียนฎีกาโต้แย้ง…ฮ่องเต้ได้รับข่าวว่าเซวียนถงถูกทำลาย…เขาโยนฎีกาใส่หน้าราชบุตรเขยองค์หญิงซุ่ยผิงทันที “ในขณะที่เรากำลังทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อรักษามรดกของบรรพบุรุษ พวกเจ้ากลับโต้เถียงกันอย่างไม่รู้จบเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง!” จากนั้นก็มีราชโองการทันที ก่อนเริ่มฤดูหนาวจะต้องยึดที่ดินพระราชทานของสกุลขุนนางชั้นสูงคืนทั้งหมด เมื่อข่าวแพร่กระจายออกมา บรรดาขุนนางต่างก็เอะอะโวยวาย มีบรรดาองค์หญิงหลายคนสวมเสื้อกระสอบมาร้องไห้คร่ำครวญอยู่นอกประตูตงเหมินตะโกนไปยังพระตำหนักเฟิ่งเซียนเพื่อร้องทูลฮ่องเต้องค์ก่อน…เยี่ยนจิงล้วนวุ่นวายอลหม่าน จิตใจของผู้คนต่างก็ไม่มั่นคง
เป็นเวลาหลายวันติดกันที่หลังจากสืออีเหนียงหลับไปแล้ว สวีลิ่งอี๋จะลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง พร้อมทั้งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
สืออีเหนียงไหนเลยจะนอนหลับได้
โจวซื่อเจิงมาหาสวีลิ่งอี๋เมื่อสองวันก่อน ตำหนิสวีลิ่งอี๋ที่ไม่ออกหน้าในยามคับขัน ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋ได้อธิบายก็จากไปด้วยความโกรธเคือง
นางเพียงแค่แกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว อยากจะให้สวีลิ่งอี๋มีเวลาได้คิด
เมื่อเห็นเขาไม่นอนตลอดทั้งคืนนางก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงใส่เสื้อคลุมห่มผ้าแล้วลุกขึ้นนั่ง “ท่านโหวยังคิดถึงคำพูดของใต้เท้าโจวอยู่อีกหรือเจ้าคะ”
“เปล่า!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางกอดนางไว้ในอ้อมแขน “พวกเราโตมาด้วยกัน เขาก็เพียงแค่จะกระตุ้นข้าก็เท่านั้น ถ้าหากโกรธจริงๆ เขาก็จะไม่สนใจข้าเลย ไม่ใช่ว่าวิ่งมาถึงเรือนแล้วด่าข้า!”
สืออีเหนียงซบศรีษะอยู่บนแผ่นอกกำยำ “เช่นนั้นก็กำลังกังวลเรื่องยึดที่ดินพระราชทานคืนหรือ”
“ในเวลานี้ใครจะยังมีความคิดที่จะยึดที่ดินพระราชทานคืนอีก” สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเบาๆ “สงครามไม่สงบสุข ไม่มีใครเป็นคนดำเนินการเรื่องยึดที่ดินพระราชทานคืน ตราบใดที่ยังไม่เริ่ม ก็ยังมีที่ว่างสำหรับการผ่อนผัน”
เช่นนั้นก็มีเพียงเรื่องสงครามเซวียนถง
สืออีเหนียงไม่อยากพูดถึง
ทุกคนต่างก็มีจุดอ่อนไหว สงครามก็คือจุดอ่อนไหวของสวีลิ่งอี๋
“เช่นนั้นท่านโหวกังวลเรื่องอันใดกัน” นางลุกขึ้นนั่งมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวรีบนอนเถิดเจ้าค่ะ! ท่านเป็นเช่นนี้ข้าเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน!”
สวีลิ่งอี๋มองนางอย่างลึกซึ้ง ยิ้มรับคำ “ตกลง” ล้มตัวนอนลงอย่างเชื่อฟัง
สืออีเหนียงกอดเอวเขาไว้แน่น
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบสนองต่อนางอย่างกระตือรือร้นเหมือนปกติ แต่กลับลูบผมนางอย่างช้าๆ
สืออีเหนียงเข้าไปอิงแอบเขาอย่างเงียบๆ รอให้เขาหลับ แต่ยังคงได้ยินเสียงสาวใช้น้อยลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาอยู่นอกเรือน สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้หลับตาเช่นกัน
เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!
สืออีเหนียงสั่งหู่พั่วทำชาโสมให้สวีลิ่งอี แล้วยกไปที่ห้องหนังสือด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย มองนางด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงไม่เคยกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน นางก้มหน้าก้มตาช่วยสวีลิ่งอี๋ทำความสะอาดชั้นหนังสือ กำชับเขาว่า “รีบดื่มเถิด หากเย็นรสชาติจะแรง”
สวีลิ่งอี๋นั่งบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ พลางจิบชาโสม
เติงฮวารีบเดินเข้ามา “ท่านโหว ยงอ๋องมาขอพบขอรับ!”
สองสามีภรรยาประหลาดใจเล็กน้อย
เขามาทำอะไรในเวลานี้ หรือว่ามาถ่ายทอดพระดำรัสของฮ่องเต้!
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับสืออีเหนียงว่า “ข้าไปครู่เดียว ประเดี๋ยวกลับมา!”
สืออีเหนียงส่งสวีลิ่งอี๋ออกจากห้องหนังสือ
“ท่านน้าไม่ต้องเกรงใจกับข้าเช่นนี้” ยงอ๋องสวมเสื้อคลุมสีฟ้าลายมังกรเมฆา นัยน์ตาหงส์เป็นประกายดุจดวงดาว พูดไปยิ้มไปจนกระทั่งเดินมาถึงกลางลาน “การเปิดประตูกลางหนึ่งครั้งเป็นเรื่องที่วุ่นวายมาก หากฮ่องเต้รู้เข้าก็จะตำหนิว่าข้าเกียจคร้าน เอาแต่เที่ยวเล่นไปมาทั้งวัน…ท่านเปิดประตูรองให้ข้าเข้ามาก็พอแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางก้าวเข้าไปคำนับยงอ๋อง
ยงอ๋องไม่รอให้เขาคำนับก็รีบเข้าไปจับแขนเขาไว้ “ท่านน้า ข้ามีเรื่องนิดหน่อย พวกเราไปคุยกันในห้องเถิด!”
สวีลิ่งอี๋กับยงอ๋องไปที่ห้องหนังสือเล็ก
สืออีเหนียงหลบออกไปนานแล้ว
ก่อนหน้านี้ยงอ๋องก็มาอยู่เป็นประจำ ชื่นชอบเก้าอี้จุ้ยเวิงในห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋เป็นที่สุด
เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ
“ท่านน้า ฮ่องเต้ได้มีพระราชโองการให้โอวหยางหมิงรับช่วงต่อหลิวหงในฐานะแม่ทัพเจิงซี และออกเดินทางไปเซวียนถงเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเราเรียกตัวจิ่นเกอกลับมาเถิด ข้าจะไปบอกกับโอวหยางว่าเมื่อถึงเวลานั้นให้จิ่นเกอไปช่วยขนย้ายเสบียงอาหาร เมื่อมีผลงานด้านสงคราม เขาก็จะต้องมีส่วนแบ่ง อาจจะได้แต่งตั้งเป็นท่านโหว ท่านปั๋วหรืออะไรก็ตาม ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องยาก”
“นี่…คงไม่ดีกระมัง!” สวีลิ่งอี๋ปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “แม่ของเขาไม่มีทางให้เขาไปเซวียนถง ความหวังดีของท่านข้ารับไว้ในใจแล้ว ทำได้เพียงรอมีโอกาสในภายภาคหน้าค่อยเชิญท่านอ๋องมาช่วยวางแผน!”
ยงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านน้ากลัวจะพ่ายแพ้สงครามใช่หรือไม่” เขาพูดพลางหัวเราะ “ท่านวางใจได้เลย ครั้งนี้ฮ่องเต้ได้ระดมกำลังทหารในซานตงและซานซีสี่แสนนาย คนเผ่าตาดมองโกลมีเพียงแปดหมื่นถึงเก้าหมื่นคน กองทัพของพวกเราแค่ถ่มน้ำลายกันคนละหนึ่งครั้งก็สามารถทำให้พวกเผ่าตาดมองโกลเหล่านั้นจมน้ำตายได้แล้ว!”