เคลื่อนย้ายกองทัพซานตงและซีซานจำนวนสี่แสนนาย...แม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะอยู่ที่เรือน แต่เขาก็ให้ความสนใจกับเรื่องในราชสำนักอย่างใกล้ชิด เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เห็นได้ว่าฮ่องเต้พึ่งทำการตัดสินใจ
จู่ๆ กองทัพก็ถูกแทนที่ด้วยแม่ทัพคนใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์…
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามยงอ๋องว่า “ตอนนี้เรื่องสงครามเป็นอย่างไรบ้าง ใครเป็นคนเสนอให้โอวหยางหมิงไปแทน”
เซวียนถงถูกตีแตก ฟั่นเหวยกังอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
ไม่รู้ก็ดี จะได้ใช้ความตายชดใช้ความผิด
แต่เกรงว่าจะยังมีชีวิตอยู่และถูกสอบสวนในภายหลัง ตระกูลจะได้รับผลกระทบ
“จ้าวนั่วผู้บัญชาการทหารต้าถงขัดขวางเผ่าตาดมองโกลที่ต้าถง แจ้งขอกำลังทหารเพิ่มอย่างเร่งด่วน ฮ่องเต้จึงส่งโอวหยางหมิงไปที่นั่น” ยงอ๋องยิ้มแล้วพูดว่า “อาลักษณ์ลู่กรมกลาโหมขนย้ายเสบียงอาหารไปยังทงโจวด้วยตัวเอง เรื่องของจิ่นเกอ ข้าได้พูดกับอาลักษณ์ลู่ไปแล้ว”
“นี่เป็นศึกที่ต้องชนะ แม่ทัพของแต่ละภาคของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคจึงได้แย่งชิงกันที่จะไปใช่หรือไม่” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “หากพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เกรงว่าจะทำให้เกิดการติฉินนินทา” แล้วพูดถึงเรื่องสงครามอีกครั้ง “รู้ไม่ว่าใครถูกส่งไปเป็นหัวหน้าหน่วย”
“ดูเหมือนว่าจะย้ายบรรดาหัวหน้าหน่วยจากซานตงและเหอหนานมาที่นี่” ยงอ๋องเลยมาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้สนใจก็เอะอะโวยวาย พูดจาเหลวไหลสองสามประโยคก่อนจะกลับไปด้วยความไม่พอใจ
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ในห้องคนเดียวเป็นเวลานาน
โอวหยางหมิงได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพผิงซี...เขาทำงานในองครักษ์วังหลวงมาตลอด เรื่องความจงรักภักดีนั้นไม่มีปัญหา แต่การทำสงครามไม่ได้เปรียบเทียบกันเรื่องความจงรักภักดี…ฟั่นเหวยกังพึ่งเคยเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้องค์ก่อนในตอนนั้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการเซวียนถงเพราะความจงรักภักดี…ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้ว
เขายืนอยู่หน้าแผนที่จิ่วโจว สีหน้าคลุมเครือเล็กน้อย
สืออีเหนียงกลับกำลังไตร่ตรองอยู่ที่นั่น
ไม่ได้เชิญให้ยงอ๋องอยู่ทานข้าวต่อ จากการคำนวณเวลา ยงอ๋องคงจะกลับไปแล้วกระมัง
นางให้เหลิ่งเซียงไปสืบดู
หันเซี่ยวเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน สะใภ้ว่านอี้จงกับสะใภ้ฉังจิ่วเหอได้ลงหลักปักฐานแล้ว มาที่นี่เพื่อคารวะท่านเจ้าค่ะ!”
“ให้พวกนางเข้ามาเถิด!”
เมื่อได้ยินข่าวว่าเมืองเซวียนถงถูกทำลายแล้ว สืออีเหนียงก็รีบขอให้ว่านต้าเสี่ยนพาครอบครัวของว่านอี้จงในสวนผลไม้และครอบครัวของฉังจิ่วเหอที่อยู่ในหมู่บ้านไปอยู่ที่เรือนในตรอกจินอวี๋ นางกลัวว่าเผ่าตาดมองโกลจะโจมตีมาถึงเยี่ยนจิงแล้วทั้งสองครอบครัวจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทำให้ได้รับผลกระทบจากสงคราม
“ฮูหยินจิตใจดีมีเมตตา เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้ที่ประสบความทุกข์ยาก” ผ่านมาสองสามวันแล้วสะใภ้ว่านอี้จงกับสะใภ้ฉังจิ่วเหอยังคงหน้าซีดตัวสั่นทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ “หากไม่ใช่เพราะท่านให้พวกเราทิ้งของที่แบกไม่ไหวเล่านั้นแล้วรีบเข้าเมืองก่อนที่ประตูเมืองจะปิด ตอนนี้พวกเราต่อให้อยากเข้าเมืองแต่ก็คงเข้าไม่ได้แล้ว!”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
สะใภ้ฉังจิ่วเหอรีบอธิบายว่า “เซวียนถงถูกตีแตก หลายคนหนีมาหลบที่เยี่ยนจิง ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ข่าวแล้ว ต่างก็ตามเข้าเมืองมาด้วย คนของกองปัญจทิศรักษานครขับไล่ผู้ลี้ภัยอยู่นอกประตูเมืองทุกวัน เมื่อเห็นคนสวมเสื้อผ้าที่ดูหยาบไม่เรียบร้อยก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา บางคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปซานตงกับเหอหนาน ได้ยินมาว่ามีหลายหมื่นคน! เปลือกไม้ระหว่างทางถูกเก็บกินหมดแล้วเจ้าค่ะ”
สะใภ้ว่านอี้จงก็ถอนหายใจด้วยเช่นกัน “ท่านพี่นั่งดูดฝิ่นอยู่ใต้ชายคาเรือนทุกวัน บอกว่าหากจดหมายของฮูหยินมาช้าอีกนิดพวกเราก็คงเข้าเมืองไม่ได้แล้ว” แล้วพูดต่อไปว่า “ฮูหยิน พวกนั้นคงจะไม่บุกมาถึงที่นี่หรอกกระมัง นี่คือใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้เชียวนะเจ้าคะ!”
ในใจของสืออีเหนียงก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน
หากสวีลิ่งอี๋ก็ไม่มีวิธีปกป้องนางได้ เช่นนั้นคนอย่างว่านอี้จงกับฉังจิ่วเหอก็ยิ่งไม่สามารถรับประกันได้!
“คงไม่หรอก!” นางพูดอย่างคลุมเครือ “อย่างไรเสียหากยังมีวันสำหรับข้า ก็ต้องมีวันสำหรับพวกเจ้าเช่นกัน!”
ทั้งสองคนสงบใจลง ขอบคุณสืออีเหนียงครั้งแล้วครั้งเล่า สืออีเหนียงพูดคุยกับพวกนางสองสามประโยค เมื่อทั้งสองคนเห็นเหลิ่งเซียงเข้ามาจากข้างนอก ก็รีบไปยืนด้านข้างโดยไม่พูดอะไร รู้ว่าสืออีเหนียงมีธุระ จึงโขกศีรษะคำนับด้วยความเคารพแล้วถอยออกไป
“ฮูหยิน ยงอ๋องกลับไปแล้ว ท่านโหวอยู่ในห้องหนังสือคนเดียวเจ้าค่ะ” เหลิ่งเซียงคำนับ พูดอย่างมีนัยยะว่า “กำชับเติงฮวาว่าไม่พบใครทั้งนั้น”
สืออีเหนียงพยักหน้า รอจนกระทั่งสวีลิ่งอี๋กลับเรือนมาจึงได้ถามเขาว่า “ยงอ๋องมาทำอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาว่า “แค่พูดเกี่ยวกับเรื่องสงคราม”
ส่วนรายละเอียดก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
สืออีเหนียงก็ไม่ถามอีก
ปรนนิบัติเขาพักผ่อนอย่างอ่อนโยน
ช่วงนี้สวีลิ่งอี๋แปลกไปเป็นอย่างมาก
ต้องมีบางอย่างในใจที่ปล่อยวางไม่ได้และไม่สามารถอธิบายให้คนรอบข้างฟังได้อย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเรียกเขาเข้าวัง เขาจัดการเรื่องในเรือนด้วยท่าทางสงบนิ่ง…ในใจนางพลันสัมผัสถึงความรักที่ลึกซึ้ง ลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ ทำให้อารมณ์ของเขาสงบลง
วันนี้ตัวเองเป็นอะไรไป กลับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
เมื่อสงบสติอารมณ์แล้วกำลังจะนอนอีกครั้ง ก็มีเสียงบรรดาสาวใช้ที่ตื่นขึ้นมาดังอยู่ด้านนอก
“ท่านโหว ให้ข้าปรนนิบัติท่านลุกขึ้นเถิด!”
เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้จนถึงรุ่งสาง แต่เมื่อพิจารณาได้ว่าบุตรชาย สะใภ้ หลานๆ ทั้งยังมีอี๋เหนียงอีกสองคนจะมาคารวะพวกเขา พวกเขาก็จะลุกจากเตียงก่อนแล้วไปคำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นค่อยกลับมานอนต่อ
ครั้งนี้สวีลิ่งอี๋กลับไม่ได้พูดอะไร แต่กอดสืออีเหนียที่กำลังจะลุกไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น ใช้การกระทำบอกคำตอบแก่นาง
“ท่านโหว…” สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋กลับใช้ฝ่ามือใหญ่ของเขาปิดตานาง “หลับอีกสักครู่เถิด!” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า!”
อ้อมแขนของเขาช่างอบอุ่น สืออีเหนียงเองก็อ่อนเพลีย ทันทีที่หลับตาความง่วงก็เพิ่มขึ้นมาในทันที ทั้งสวีลิ่งอี๋ยังพูดเบาๆ ข้างหูนางว่า “มีข้าอยู่” นางไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หู่พั่วเรียกนางเบาๆ “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านรีบตื่นเถิด องค์หญิงเจียงตูมาเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นทันที “ท่านโหวเล่า”
“ท่านโหวถูกฮ่องเต้เรียกเข้าวังแล้วเจ้าค่ะ!” หู่พั่วได้ช่วยนางเตรียมเสื้อผ้าไว้แล้ว และรู้ว่านางกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด “บอกกับคุณนายน้อยสี่แล้วว่าเมื่อวานท่านเป็นไข้และเวียนหัวเล็กน้อย ให้พวกนางมาคารวะในตอนเย็นเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบพยักหน้า ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า
องค์หญิงเจียงตูรอไม่ไหว ตะโกนพลางเดินเข้ามาในห้องหลัก “ท่านน้าหญิง ท่านน้าหญิง!”
ตั้งแต่ที่จิ่นเกอไปกุ้ยโจว คำเรียกสืออีเหนียงก็ถูกเปลี่ยนจาก ‘หย่งผิงโหวฮูหยิน’ กลายเป็น ‘ท่านน้าหญิง’
มือเท้าสืออีเหนียงอ่อนแรงเล็กน้อย จ่วนเอ๋อร์ช่วยพยุงสองครั้งก็ไม่สำเร็จ หู่พั่วเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วย แต่องค์หญิงเจียงตูก็ได้วิ่งพรวดเข้ามาแล้ว
“ไอ๊หยา! ท่านน้าหญิงยังไม่ได้แต่งตัวเลย!” องค์หญิงเจียงตูประหลาดใจเล็กน้อย นางเป็นคนใจกว้างจึงไม่ได้รู้สึกอึดอัด นั่งลงข้างสืออีเหนียง แต่กลับถูกดอกไม้ประดับศีรษะบนโต๊ะกระจกของนางดึงดูดสายตา
“งดงามยิ่งนัก!” นางหยิบขึ้นมาชื่นชมในมือ
ดอกไม้ประดับศีรษะนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือของเด็กทารก ใช้เปลือกหอยสีขาวทำเป็นกลีบดอกไม้เลียนแบบดอกกล้วยไม้ที่กำลังเบ่งบาน ก้านประดับด้วยปะการังสีแดงร้อยด้วยไข่มุกสีม่วง ใช้สีเรียบง่ายแต่ดูสวยงามพลอยทำให้คนที่เห็นตื่นตาตื่นใจ
ดอกไม้ประดับศีรษะนี้สวีลิ่งอี๋เป็นคนมอบให้ เมื่อก่อนคิดว่ามีขนาดใหญ่และหนักเกินไป หากใส่ออกไปข้างนอกแล้วไม่ระวังอาจจะร่วงลงมาได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าถือไว้เล่นในมือก็นับว่าไม่เลว
สืออีเหนียงยิ้มพลางถามองค์หญิงเจียงตูอย่างนุ่มนวล “เหตุใดวันนี้ท่านจึงมีเวลามาหาหม่อมฉันที่นี่ได้เพคะ” ไม่ได้พูดถึงเรื่องดอกไม้ประดับศีรษะ
องค์หญิงเจียงตูก็เป็นเด็กที่เคยเห็นโลกมาแล้ว ทั้งยังมาเพราะมีธุระ ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ วางดอกไม้ประดับศีรษะลงบนโต๊ะกระจกเหมือนเดิม พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านน้าหญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานพี่สามมาที่นี่”
สืออีเหนียงลุกขึ้น พาองค์หญิงเจียงตูไปนั่งที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างพลางยิ้มแล้วพูดว่า “รู้เพคะ”
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าพี่สามมาทำอะไร” องค์หญิงเจียงตูซักถาม
สืออีเหนียงตกตะลึงเล็กน้อย “หม่อมฉันยังไม่ทันได้คุยเรื่องนี้กับท่านโหว!”
ทันทีที่นางพูดจบ องค์หญิงเจียงตูก็อุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา” พูดตำหนิว่า “ท่านนี่จริงๆ เลย ไม่ใส่ใจจิ่นเกอเลยแม้แต่นิด โอวหยางหมิงจะได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพผิงซีนำกองทัพทหารสี่แสนนายไปยังต้าถงเพื่อต่อสู้กับพวกเผ่าตาดมองโกล พี่สามมาพูดกับท่านน้าด้วยความหวังดี ให้เขาย้ายจิ่นเกอจากกุ้ยโจวกลับเยี่ยนจิง ติดตามอาลักษณ์ลู่จัดการเรื่องขนย้ายเสบียงทหาร เมื่อโอวหยางหมิงได้รับชัยชนะ ด้วยสถานะของจิ่นเกอ อย่างไรเสียก็สามารถได้รับตำแหน่งท่านโหวหรือท่านปั๋วได้” นางพูดด้วยความเป็นกังวล “ท่านน้าหญิง นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนทั้งในและนอกต้าโจวคอยจับจ้องอยู่! แม้ว่าพี่สามจะช่วยออกหน้าให้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถคว้ามาได้ง่ายๆ ปรากฏว่าท่านน้ากลับบอกว่ากลัวว่าคนจะนินทา ปฏิเสธที่สามอย่างอ้อมค้อม พี่สามโกรธมากเดินกระทืบเท้าไปทั่วเรือน เป็นพระชายาของพี่สามที่กังวลจึงได้มาบอกแก่ข้า ให้ข้าออกหน้าเกลี้ยกล่อมท่านน้า ข้าจึงได้รู้เรื่องนี้”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดจะให้บุตรชายไปแย่งชิงกับจุนเกอ แต่อนาคตของบุตรชายจะเป็นอย่างไร ในใจนางยังคงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ตอนนี้มีโอกาสทำให้อนาคตของบุตรชายสดใสขึ้นแล้ว แน่นอนว่านางย่อมมีความสุข แต่ความสุขที่ปรากฏบนใบหน้าของนางได้หายวับอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่คุ้มกันเสบียงอาหารก็สามารถได้ตำแหน่งท่านโหวหรือท่านปั๋ว...ในโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้!
จะกลัวก็แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นผลงานทางทหารนี้จะไปแย่งทหารเหล่านั้นที่ถือดาบถือปืนต่อสู้จนนองเลือดในสนามรบ ซ้ำยังไม่มีภูมิหลังที่ดี
เกรงว่าสวีลิ่งอี๋ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธยงอ๋องอย่างอ้อมค้อมกระมัง!