หลังจากที่คุณหมอหวงเดินออกไป ในห้องก็เหลือแค่ไป๋มู่ชิงกับหนานกงเฉิน บรรยากาศเงียบจนน่าอึดอัด ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง
เลือดที่มือของหนานกงเฉินยังไม่หยุดไหล พื้นห้องสีเทาถูกระบายด้วยเลือด ถ้ายังไม่รีบทำแผลห้ามเลือดไว้เธอเกรงว่าเขาจะเลือดหมดตัวตาย แต่เสียงในใจอีกเสียงก็ย้ำเตือนเธอว่า เขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าคุณย่าเธอ เขาเป็นศัตรูของเธอ
เธอจะเกิดความรู้สึกสงสารเขาได้ยังไง? มันไม่สมควรจะมี! ถ้าคุณย่ารู้ก็ไม่ให้เธอมีความรู้สึกแบบนี้ด้วย!
ถึงหนานกงเฉินจะเมาแล้วแต่ก็ยังพอมีสติ จนรู้สึกถึงว่าเธอเปลี่ยนไป เธอช่างเย็นชาเหลือเกิน
เขาใช้เลือดตัวเองรอเธออยู่ รอว่าเธอจะเหมือนแต่ก่อนที่รีบพุ่งเข้ามาหาเขา แต่การรอคอยของเขาก็ไม่มีผลอะไรเธอก็ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียง
เขาเริ่มโมโหแล้วก้าวเดินตรงไปที่เตียงแล้วใช้มือที่เลือดกำลังไหลจับคางเธอให้เงยหน้าขึ้นมองเขา “เธอเป็นคนที่แอบท้องเอง เธอก็เป็นคนที่จะเก็บเด็กไว้ เธอชนะแล้ว แต่ทำไมไม่ดีใจไม่สมใจล่ะ? นี่เธอจะเอายังไงกันแน่?”
ลมหายใจของเขาพ่นลงตรงหน้าเธอพร้อมกลิ่นวิสกี้อ่อนๆ
“ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาสฉันได้คลอดเด็กคนนี้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรู้สึกสงสารคุณ ดูแลคุณเหมือนแต่ก่อน”
“เหรอ? ตัดใจแล้วว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมอีกเหรอ” เขาหัวเราะเย้ย
“แต่ก่อนฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นคนยังไงเลยมีความเห็นใจ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าคุณไม่ต้องการความเห็นใจจากคนอื่นหรอก ไม่ว่าจะเรื่องการงานหรือเรื่องผู้หญิงคุณก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร คุณอยากได้อะไรก็ต้องได้ แม้กระทั่งชีวิตของคนอื่น เพราะคุณมันรวย!”
เธอหัวเราะพร้อมกับจ้องตาเขา “คุณชายจำคำพูดที่ฉันเคยพูดได้หรือเปล่าคะ? ฉันไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ฉันจะไม่ยอมทำตามคุณเพราะคุณรวยหรอก แล้วก็จะไม่หลอกตัวเองในการเอาอกเอาใจคุณด้วย!”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยคิดว่าฉันเป็นภรรยาคุณ คุณเลยไม่ยอมให้ฉันคลอดลูกของคุณ พวกคุณอาจจะไล่ฉันออกจากตระกูลด้วยซ้ำถ้าคลอดลูกแล้ว แต่ฉันไม่สนใจหรอก ฉันแค่อยากให้ลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็พอ กับคุณ แต่ก่อนฉันไม่เคยคาดหวังเลย ตอนนี้ยิ่งก็ไม่คาดหวัง”
“เธอหมายความว่า เพราะนิสัยของผมทำให้เธอไม่อยากใส่ใจผมอีก?”
“ใช่”
“อ่อ ผมก็คิดว่างั้น” อยู่ๆหนานกงเฉินก็ยกมือออก มองไปที่ใบหน้ากับเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเธอ “งั้นเรามาพนันกัน ว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน”
“คุณคิดจะทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่ฝามือที่เขายกให้ดู ฝามือเขาเต็มไปด้วยเลือด
“จะลองดูว่าเธอจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า” เขาหัวเราะเบาๆ
ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาด้วยความโมโห “คุณอย่าทำตัวไร้สาระหน่อยเลย”
“ผมลืมบอกคุณไป ว่าหมอบอกว่าผมเสียเลือดมากไม่ได้ ห้ามติดเชื้อ ไม่งั้นผมก็จะเป็นโรคฮีโมฟีเลียง่าย” ใบหน้าเขาก็ยังยิ้มอยู่ เขาวางฝามือเบาที่ท้องของเธอ “แม่สุดที่รักของลูกผม เธอรู้หรือเปล่าว่าอะไรคือโรคฮีโมฟีเลีย? นั่นเป็นโรคที่รักษายากยิ่งกว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งอื่นๆอีก……”
เสียงเขาเบาลงเรื่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จากนั้นตัวเขาก็ล้มลงข้างตัวไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปแล้วรับเรียกเขา “คุณชาย! คุณชายเป็นอะไรไป?”
เธอคาดไม่ถึงเลยว่าหนานกงเฉินจะเป็นลมไป ทั้งๆที่เมื่อกี้เขายังดูปกติอยู่ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้……
ร่างกายของหนานกงเฉินไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เขายังดื่มจนเมาเลาะแล้วเลือดยังไหลเยอะขนาดนี้อีก หรือว่าโรคเขากำเริบอีกแล้ว? ทำยังไงดี? เธอควรจะทำยังไงดี?
ไป๋มู่ชิงรีบไปหยิบกล่องยาอย่างลนลานแล้วรีบโทรหาคุณหวงไปด้วยทำแผลที่มือเขาไปด้วย
โทรออกแล้ว เพิ่งดังไปครู่หนึ่งก็มีคนกดตัดสายออก
ไป๋มู่ชิงอึ้งนิ่งไป เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหนานกงเฉินที่เป็นลมลืมตามองเธอด้วยสีหน้าสายตาที่เยาะเย้ย
มือทั้งสองข้างของไป๋มู่ชิงก็นิ่งไปด้วย แล้วมองเขาอยู่อย่างนั้น
“ผมคิดว่าคุณเปลี่ยนไปแล้วซะอีก แต่ก็ไม่เลย ไม่ต้องพูดทำให้ตัวเองดูดีขนาดนั้นก็ได้ ก็แค่อยากหลอกให้ติดกับดัก ใช่ไหม?” เขาหัวเราะเยาะเย้ย “คุณไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นจริงๆ อย่างน้อยคุณก็ใช้วิธีการหลอกล่อผมได้ดีกว่า ทั้งๆที่เธออยากเอาอกเอาใจผม ให้ผมยอมรับทั้งตัวเองแล้วก็ลูกในท้องด้วย แต่กลับแสดงสีหน้าไม่แยแส เพราะเธอคงรู้ดีสินะว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงเอาแต่ร้องไห้งี่เง่า”
“ไม่ว่าผมจะเป็นคนยังไง มีผู้หญิงเยอะแค่ไหน ไม่ว่าผมจะใช้วิธีอะไรก็ตามเพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมา ยังไงคุณก็ขาดผมไม่ได้ ยิ่งเกลียดผมไม่ลงด้วยซ้ำ”
สีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปตามอารมณ์อยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ในที่สุดเธอก็สะบัดมือเขาออก โกรธจนต้องกัดฟันพูด “หนานกงเฉิน! ไสหัวออกไปซะ!”
หนานกงเฉินพยักหน้าตอบรับแล้วใช้มือมาคล้องคอเธอให้เข้าไปซบอกเขาพร้อมก้มหน้าลงมาจุมพิตที่ปากของเธอ “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอท้อง ผมคงอยากจะเล่นกับคุณอีกสักหน่อย”
พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงไปจูบเธอต่อ
กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนลอยออกมาจากริมฝีปากเขาจนเธอลิ้มรสได้
ไป๋มู่ชิงโมโหจนเอาแต่ทุบไปที่อกของเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ขยับตัวออกเลย
เลือดที่มือเขายังไม่หยุดไหลจนเธอได้กลิ่นคาวเลือดลอยมา บาดเจ็บขนาดนี้แล้วเขายังมีอารมณ์มาระบายชัยชนะของตัวเองอีกเหรอ?
ไป๋มู่ชิงกัดไปที่ลิ้นของเขาที่ยื่นเข้ามาในปากของเธอ แต่เขาเหมือนงูที่เลื้อยหลบเก่ง เขาเลยหลบการกัดนี้ได้
เขาหงุดหงิดมากขึ้นจนจูบเธอแรงกว่าเดิม กดลงไปหนักที่ริมฝีปากเธอจนเธอต่อต้านอะไรเขาไม่ได้อีก
ในเมื่อใช้ฟันตอบโต้เขาไม่ได้ ไป๋มู่ชิงเลยใช้มือทั้งสองข้างทุบตีไปที่หลังเขาจนเกิดเสียงโอดโอยดังขึ้นในปาก
จนกระทั่งได้ลิ้มลองรสชาติที่ขมขื่นนี้จนพอใจ หนานกงเฉินเลยปล่อยริมฝีปากเธอ แล้วใช้ลิ้นเลียมุมปากของตัวเองก็มีแต่รสของความไม่ยินยอม
จากแสงไฟที่สะท้อนมาจากผนังห้อง เขาเห็นน้ำตาที่ไหล่สองข้างตาของเธอกับสีหน้าของเธอที่โกรธจนบูดเบี้ยว ในใจเขาก็ยังมีความสงสารเลยปล่อยเธอไปแล้วลุกขึ้นยืน
“เกมส์นี้ไม่เลว ก็สนุกอยู่ ถ้ายังมีอารมณ์เล่นต่อผมก็จะยอมลดตัวมาเล่นด้วย ถ้าคุณยังกล้าเล่น”เขาทิ้งคำพูดนี้ไว้ก่อนจะหันหลังเดินตรงออกไปห้องของตัวเอง
เขาออกไปแล้ว เขากลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว
ไป๋มู่ชิงนั่งตกใจอยู่บนเตียงแล้วมองไปที่เศษแจกันกับคราบเลือดบนพื้น เธอหมดแรงที่จะต่อต้านแล้วก็ไม่อยากตอบโต้อะไรด้วย
หนานกงเฉินจะมองเธอยังไงเธอไม่แคร์เลยสักนิดเพราะอีกไม่กี่เดือนก็แยกทางใครทางมันแล้ว
เธอนั่งนิ่งอย่างนั้นไปพักหนึ่งก่อนจะลุกลงมาจากเตียงช้าๆมาเก็บกวาดพื้นที่เละเทะนี้จากนั้นก็ปิดประตูลงแล้วกลับมานอนบนเตียง
เช้าวันต่อมา พอไป๋มู่ชิงนั่งลงหน้าโต๊ะอาหารก็เห็นหนานกงเฉินเดินเข้ามาจากหน้าประตูห้องอาหาร
ผ่านไปคืนนึง แอลกอฮอล์ในร่างกายเขาก็หายไปหมดแล้วกลับมาดูมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม พอเห็นหน้าเขา ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ลอยขึ้นมาบนหัวของเธอ เขานั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางเศษแจกันแล้วเลือดในมือก็ไหลไม่หยุด
เมื่อคืนเขาดูทุลักทุเลมาก แค่ผ่านไปคืนเดียวเขาก็กลับมาปกติดีแล้ว ดูเหมือนเขาค่อยข้างจะฟื้นฟูตัวเองได้เร็วเหมือนกัน
หนานกงเฉินที่เดินก้าวเข้ามามองไปที่ไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้านิ่งเฉยก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างไป๋มู่ชิง
เขาวางมือลงข้างๆจาน เป็นมุมองศาที่ไป๋มู่ชิงสามารถสังเกตเห็นได้ชัด
มือเขาถูกบาดเป็นแผลยาวแต่เขากลับไม่พันผ้าพันแผลเลย หรือว่าเมื่อคืนหลังจากที่เขากลับห้องไปเขาไม่ได้ทำแผล? แค่ล้างคราบเลือดออกงั้นเหรอ?
ไป๋มู่ชิงเรียกสติตัวเองกลับมา นึงในใจทำไมต้องเห็นใจเขาอีก ถ้าเขารู้คงคิดว่าเธอจงใจจะยั่วเขาอีก
ทำไมไม่เคยจำใส่สมองบ้าง? หรือจะให้เขาทารุณจนไม่เหลือซาก?
ผู่เหลียนเหยาเป็นหมอ พอมองไปที่มือหนานกงเฉินก็รู้สึกผิดปกติเลยเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่ชายคะ ฝ่ามือพี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูเหมือน……”
เธอมองสำรวจไปที่มือหนานกงเฉิน ทุกคนบนโต๊ะอาหารก็มองตามเธอไปด้วย คุณหญิงสังเกตเห็นว่าฝ่ามือเขาบวมแดงเลยขมวดคิ้วถามขึ้น “โดนอะไรมา? เฉิน”
หนานกงเฉินดึงมือตัวเองกลับ แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่โดนอะไรครับ”
“ไหนให้ฉันดูหน่อย” คุณหญิงพูด
หนานกงเฉินแบมือไปแล้วเอ่ย “แจกันบาดนิดหน่อยครับ”
ที่ฝ่ามือเขามีแผลยาวประมาณสามสี่เซนติเมตรทั้งบวมทั้งแดงสะดุดตามาก
“เมื่อคืนโรคกำเริบอีกแล้วเหรอคะ? เมื่อคืนหนูเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากห้องพี่สะใภ้ นึกว่าหูฝาดสักอีก” ผู่เหลียนเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นห่วงแล้วหันไปทางเสี่ยวลู่ “เสี่ยวลู่ รีบไปหยิบกล่องยามา”
พอได้ยินคำว่ากำเริบคุณหญิงก็เป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม “กำเริบอีกแล้วเหรอ?” ขณะที่ท่านถามก็หันไปทางไป๋มู่ชิง ท่านกำลังถามไป๋มู่ชิงต่างหาก
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะตอบยังไงเลยหันมองไปที่หนานกงเฉินก่อนจะตอบว่า “เปล่าค่ะ……”
“เปล่า? แล้วทำไมถึงเสียงดังล่ะ? แถมมือยังสาหัสขนาดนี้อีก?”
ที่หนานกงเฉินไม่พันผ้าพันแผลลงมาด้วยก็เพราะไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนกตกใจกัน ไม่คิดว่าจะทำให้ทุกคนคิดไปไกลขนาดนี้ เขาอธิบายอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีอะไรครับ แค่ผมเมาแล้วทำแจกันแตกเลยบาดมือ”
สีหน้าที่ไม่แยแสของเขาทำให้คุณหญิงไม่พอใจ ท่านวางตะเกียบลงด้วยสีหน้าเข้มงวด “ฉันล่ะสับสนกับแกจริงๆ รู้ว่าตัวเองดื่มมากไม่ได้ยังจะออกไปดื่มอีก ทำไมแค่เมายังล้มแล้วได้แผลมาอีก จนตอนนี้ทำไมไม่มีใครทำแผลให้แกอีก?”
ฟังเหมือนท่านกำลังตำหนิหนานกงเฉิน แต่สายตากลับมองผ่านมาที่ไป๋มู่ชิง ที่จริงแล้วคงกำลังว่าเธอที่ไม่ดูแลหนานกงเฉินดีๆ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่ายังไงเสียเปรียบแล้วก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร
คุณหญิงก็ยังตำหนิต่อ “เป็นภรรยาคนอื่น แค่ความรับผิดชอบแค่นี้ก็ทำไม่ได้เหรอ? แค่ต้องการจะคลอดลูกแค่นั้นเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงกัดฟันแน่น ทำไมหนานกงเฉินต้องแต่งเธอเข้าบ้านทุกคนในตระกูลคงรู้ดีแก่ใจ ไม่ใช่ให้เธอมาครองรัก ดูแลเอาใจกันและกันหรอก ขนาดสิทธิ์ในการมีลูกยังไม่ให้เธอเลย
ลังเลไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะทนไม่ไหวแล้วพูดออกมาว่า “คุณย่าคะ คุณชายคงคิดแยกแยะได้เองว่าควรหรือไม่ควรดื่ม ถ้าเขาตั้งใจจะทำใครจะห้ามเขาได้คะ? เมื่อวานที่เขาล้มลงไปหนูก็รีบโทรหาคุณหมอหวงให้มาดูแลเขาทันที”
“นี่เธอกำลังผลักความรับผิดชอบเหรอ?”
“คุณย่าอย่าอารมณ์เสียเลยนะคะ……” เซิ่งซินเอ่ยขึ้น “อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนพี่ชายกลับดึกเกินไปจนพี่สะใภ้หลับไปแล้วเลยไม่ได้ดูแลพี่ชาย ใช่ไหมคะพี่ชาย?” เธอหันไปทางหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินมองผ่านทุกคนไปก่อนจะยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “ใช่”
พอได้ยินเขาเอ่ยถึง คุณหญิงถึงหยุดตำหนิไป ขณะเดียวกันผู่เหลียนเหยาก็รับกล่องยามาจากเสี่ยวลู่ แล้วพูดยิ้มๆ “นั่นสิ พี่สะใภ้เป็นห่วงพี่ชายมากแค่ไหนทุกคนรู้ดี เมื่อคืนอาจจะเผลอหลับไปแหละ”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างตัวหนานกงเฉิน “พี่ชายคะเดี๋ยวหนูทำแผลให้นะคะเดี๋ยวติดเชื้อจะลำบากเอา”
ไป๋มู่ชิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้มตัวลงไปหาหนานกงเฉิน แต่เขากลับผลักมือเธอออก
เพื่อที่จะไม่ให้คุณหญิงอารมณ์เสียมากกว่านี้ หนานกงเฉินกับผู่เหลียนเหยาเลยออกไปทำแผลที่อื่นแทน
เมื่อทำแผลเสร็จ หนานกงเฉินค่อยกลับมาทานข้าวเช้าซึ่งคนอื่นๆก็ทานอิ่มลุกจากไปแล้ว บนโต๊ะอาหารเหลือแค่คุณหญิง หนานกงเฉินกับผู่เหลียนเหยา
ผู่เหลียนเหยารู้ว่าคุณหญิงตั้งใจนั่งรออยู่ เลยหยิบขนมปังแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วเอ่ยขอตัวกับทั้งสองคน “คุณย่าคะ พี่ชายคะ หนูไปทำงานก่อนนะคะ”
หลังจากที่ผู่เหลียนเหยาลุกออกไป คุณหญิงก็หันไปพูดกับหนานกงเฉิน “เฉิน ผู้หญิงที่อาจารย์หวังให้หาแกหาเจอหรือยัง?”
หนานกงเฉินคาดไม่ถึงเลยว่าท่านจะถามคำถามนี้ มือที่หยิบตะเกียบอยู่หยุดลง “ยังครับ”
“หาไม่เจอหรือไม่ได้หากันแน่?”
“หาแล้วครับ แต่ไม่เจอ” หนานกงเฉินพูด
“ทำไมถึงหาไม่เจอล่ะ? ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันถึงได้หาตัวยากขนาดนี้?” คุณหญิงเริ่มใจร้อน เมื่อกี้ท่านเห็นท่าทางของไป๋มู่ชิงที่ไม่ใส่ใจหนานกงเฉินเลย ถึงจะโกรธแต่ยังมีสติอยู่ ท่านรู้ว่าทั้งสองกำลังทะเลาะไม่เข้าใจกันอยู่เรื่องลูกตั้งแต่ที่หนานกงเฉินรู้ว่าเธอท้องจนตอนนี้
เดิมทีท่านอยากจะสั่งสอนไป๋มู่ชิงสักหน่อยให้เธอสำนึก แต่คิดอีกทีก็ปล่อยให้เป็นเรื่องแบบนี้ไปก่อนแกจะได้ใช้โอกาสนี้คุยเรื่องผู้หญิงคนนั้นกับหนานกงเฉิน
ถ้าเขาแตกหักกับไป๋มู่ชิง ในใจก็ต้องรู้สึกโล่งๆบ้างเขาจะได้ให้ความร่วมมือเพื่อที่จะให้ผู้หญิงที่ถูกลิขิตไว้
หนานกงเฉินกินโจ๊กเข้าไปคำนึงพร้อมขำออกมา “ใครจะรู้? อาจจะเป็นคนต่างประเทศก็ได้ครับหรืออาจจะไม่อยู่บนโลกใบนี้?
เขาล้มเลิกความคิดที่จะหาผู้หญิงคนนั้นไปตั้งนานแล้ว ไม่ว่าเธอจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม
เมื่อคุณหญิงได้ยินอย่างนั้นก็ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่หรอกมั้ง? เธอยังเป็นสาวอยู่”
“ไม่แน่หรอกครับ ไม่มีอะไรที่แน่นอน”
คุณหญิงรู้สึกว่าหนานกงเฉินตอบแบบขอไปที ท่านเลยเอ่ยเสียงเข้มว่า “ไม่ต้องมาตอบแบบขอไปที รีบไปหาเดี๋ยวนี้”
หนานกงเฉินก็เลียนเสียงคุณหญิงแล้วพูดไปว่า “ถ้าหาเจอแล้วจะเอายังไงครับ? ไม่เอาเหลนสุดที่รักแล้วเหรอครับ? ไป๋ยิ่งอันก็ไม่เอาแล้วเหรอครับ?”
“เรื่องนี้แกไม่ต้องยุ่ง แกไปหาผู้หญิงคนนั้นมาให้ได้ก็พอ ฉันจะจัดการเอง” คุณหญิงพูด
หนานกงเฉินมองไปที่แกแล้วพยักหน้าให้ “ครับ ผมจะตั้งใจหา” พูดจบก็ลุกเดินออกจากห้องอาหารไป
คุณหญิงมองตามหลังเขาไปพร้อมกับถอนหายใจยาว ท่านรู้ดีว่าหนานกงเฉินแค่ตอบส่งๆแกเท่านั้น
ท่านนั่งอยู่ในห้องอาหารสักพักก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นบ้านไปที่ห้องของไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงรู้อยู่แล้วว่าคุณหญิงต้องขึ้นมาแน่ เพราะยังไงหนานกงเฉินก็เป็นหลานสุดที่รักของท่าน มือเขาได้รับบาดเจ็บขนาดนี้แต่ไม่มีใครสนใจ แค่คำตำหนิเมื่อกี้จะดับไฟในใจแกได้ยังไง?
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเธอก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วรีบไปเปิดประตู “คุณย่า”
“นั่งลงเถอะ” คุณหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามเธอ จากนั้นก็จ้องมองเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ “ทำไมแผลที่มือของเฉินถึงปล่อยไว้อย่างนั้น?”
เป็นเพราะเรื่องนี้นั่นเอง ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆก่อนจะเอ่ย “หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ หนูเรียกคุณหมอหวงให้แล้วแต่คุณชายก็ไล่เขาออกไป”
“เธอยังจะผลักความรับผิดชอบอีก!” คุณหญิงอารมณ์ขึ้น
“ขอโทษค่ะ” ไป๋มู่ชิงรู้สึกตกใจจนสะดุ้งเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอท้อง คุณหญิงก็ไม่เคยพูดเสียงดังกับเธอเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโมโหใส่ ถึงจะรู้ว่าเธอเปลี่ยนไปก็เพราะลูกในท้อง แต่ยังไงเธอก็เปลี่ยนไปแล้วก็ให้เธอได้ใช้ชีวิตสงบสุขไปสักพักหนึ่ง
พอมาเห็นคุณหญิงโมโหอีก ในใจเธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
คุณหญิงก็ไม่อยากกดดันให้เธอตึงเครียด แถมเธอยังก้มหน้าก้มตาฟังเลยกั้นความโมโหไว้บ้าง “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกำลังตั้งครรภ์ ฉันใช้กฎตระกูลกับเธอแน่”
พอได้ยินคำว่า ‘กฎตระกูล’ ไป๋มู่ชิงก็ใจสั่นใจวูบ ที่ตรงนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน เธอไม่อยากเข้าใกล้อีก!
พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆก็ก้มหน้าลงไปปลอบคุณหญิงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองไป๋มู่ชิง “คุณหญิงน้อยคะ คุณหญิงก็แค่เป็นห่วงคุณชายน่ะค่ะ คุณเป็นภรรยาก็ควรดูแลอยู่เคียงข้างเขา ถึงจะโกรธกันก็น่าจะมีขอบเขตเพราะยังไงร่างกายคุณชายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าแผลติดเชื้ออีกจะลำบากเอา”
ไป๋มู่ชิงก็ยังคงก้มหน้าก้มตาฟัง ถ้าพูดจบ พวกแกก็น่าจะเดินออกไป
คุณหญิงตำหนิไปอีกคำสองคำ คงรู้สึกเบื่อแล้วเลยออกไปจากห้องเธอพร้อมพี่เหอ
ตอนเย็น เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากผู่เหลียนเหยา เธอพูดอย่างดีใจว่า “พี่สะใภ้ หนูได้รับคำสั่งจากคุณย่าว่าหลังจากเลิกงานแล้วให้พาพี่สะใภ้ออกไปเดินช้อปปิ้ง”
“ช้อปปิ้ง? ไม่ต้องหรอก เธอทำงานทั้งวันคงเหนื่อยแย่เลย” ไป๋มู่ชิงปฏิเสธอ้อมๆ
เธอคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู่เหลียนเหยายังไม่สนิทขนาดนั้น ถ้าไปเดินช้อปปิ้งกินข้าวด้วยกันอาจจะอึดอัดก็ได้ ถ้าจะช้อปปิ้งจริงๆเธอก็อยากจะชวนเหยาเหม่ยไปด้วยมากกว่า
“วันนี้หนูทำงานสบายๆ ไม่เหนื่อยเลยสักนิด หนูกำลังไปบ้านหนานกง พี่แต่งตัวรอเลย” พอผู่เหลียนเหยาพูดจบเธอก็ตัดสายไปเลยโดยไม่ให้โอกาสปฏิเสธ
ถึงจะไม่ค่อยอยากไป แต่ไป๋มู่ชิงก็ต้องเดินเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนชุด
เธอยืนอยู่หน้ากระจกแล้วมองไปที่ท้องที่นูนออกมาเล็กน้อย อารมณ์ที่ตึงเครียดก็เหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาจนเธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
เธอขยับมุมปากขึ้นพร้อมยิ้มกับตัวเองในกระจก
ขอแค่เด็กคนนี้ได้เติบโตมาอย่างแข็งแรงในท้องเธอ เธอก็พอใจแล้ว!
ผู่เหลียนเหยาจอดรถไว้ที่หน้าประตูบ้านใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน พี่เหอก็เดินออกมาพอดีเลยทักขึ้นอย่างมีมารยาท “คุณหนูผู่กลับมาแล้วเหรอคะ?”
“ค่ะ หนูมารับพี่สะใภ้ไปช้อปปิ้งค่ะ”ผู่เหลียนเหยาพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย
พี่เหอประหลาดใจไป “คุณหนูจะพาคุณหญิงน้อยออกไปช้อปปิ้ง? คุณหญิงรู้หรือเปล่าคะ?”
“คุณย่าก็ต้องรู้สิ คุณย่าเอาแต่ย้ำหนูกับเซิ่งซินว่าให้อยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้มากๆไงคะ” ผู่เหลียนเหยาพูดไปด้วยเดินตรงเข้าไปด้วย “เดี๋ยวหนูจะไปทักทายคุณย่าก่อนแล้วค่อยไป”
“ค่ะ เดินทางระมัดระวังนะคะ”
“ได้ค่ะ”
หลังจากที่ผู่เหลียนเหยาทักทายกับคุณหญิงเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็เดินลงมาพอดี ผู่เหลียนเหยารีบเดินเข้าไปคล้องแขนเธอไว้ “ไปกันเถอะ เราไปกินของอร่อยๆข้างนอกกัน”
“ขอบใจนะ ลำบากเธอด้วย” ต้องให้เธอมารับถึงที่ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกเกรงใจเธอ
“ขอบคุณทำไมกัน หนูก็อยากไปพอดีเลย” ผู่เหลียนเหยาเปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่งก่อนตัวเองจะอ้อมไปอีกฝั่ง
ครั้งก่อนที่นั่งรถกับเธอจนหัวโขก พอนั่งอีกครั้ง ไป๋มู่ชิงก็ยังรู้สึกหวั่นๆใจยังไงอยู่
เธอไม่กลัวตายหรอก ถ้าเธอไม่ได้กำลังตั้งครรภ์อยู่
ผู่เหลียนเหยารู้สึกถึงความกลัวของเธอ เลยใช้มือชี้ไปที่ตัวล็อกเข็มขัดนิรภัย “วางใจได้ หนูไปเปลี่ยนที่ล็อกมาแล้ว”
“งั้นก็ดี” ไป๋มู่ชิงโล่งอกไป
ผู่เหลียนเหยายิ้มแห้งๆแล้วเอ่ยขึ้น “ครั้งก่อนเกือบทำให้พี่แท้งแล้ว หนูไม่กล้าให้พี่นั่งรถที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัยหรอก ยังไงหนูก็ไม่กล้า พี่สะใภ้วางใจได้เลย ครั้งนี้หนูจะขับระวังๆกว่าเดิม”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้ “ขับรถยังไงก็ต้องระวังมากๆก็เพื่อตัวเองด้วย”
“รู้แล้วค่ะ” ผู่เหลียนเหยาหันไปทำหน้าขี้เหร่ใส่เธอแล้วสตาร์ทรถขับออกไป
ทั้งสองมาถึงตัวเมือง ผู่เหลียนเหยาก็จอดรถลงนรงหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งแล้วหันไปถามไป๋มู่ชิง “พี่เคยมาร้านนี้ไหมคะ? เพิ่งเปิดใหม่เลย อาหารอร่อยมากๆ”
ไป๋มู่ชิงมองสำรวจร้านผ่านกระจกรถแล้วส่ายหน้า “ยังเลย”
“งั้นหนูเลี้ยงเอง” ผู่เหลียนเหยาดูไปที่นาฬิกาข้อมือ “แต่ถ้าทานข้าวเย็นตอนนี้อาจจะเร็วไป งั้นเราไปเดินห้างใกล้ๆกันก่อนดีไหมคะ?”