เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 117 สมดังใจอยาก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ประตูห้องผู้ป่วยถูกเปิดออกกะทันหัน ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนดังขึ้น“ใครบอกว่าฉันจะไม่เอาคุณกับลูกกัน”

สองแม่ลูกที่กอดกันร้องไห้อยู่นั้นก็ชะงัก แล้วแยกออกจากกัน หันไปมองทิศทางของประตู

ตอนที่พวกเธอเห็นหนานกงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นก็หน้าซีดเผือดไปชั่วขณะ อย่างแรกคือ หนานกงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเมื่อสักครู่ได้ยินที่พวกเธอคุยกันหรือเปล่า?

แล้วอีกอย่าง……เมื่อสักครู่พวกเธอได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรอไหม? คงไม่มีหรอกใช่ไหม? เกือบไปแล้วจริงๆ!

ไป๋ยิ่งอันที่เห็นหนานกงเฉินนั้นก็ตกใจ เธอนั่งอยู่บนเตียงโดยที่น้ำตานองหน้า เห็นแล้วก็น่าสงสารจับใจ

ซูวยาหยงก็ตกใจเช่นกัน แต่เธอก็รู้ตัวแล้วตอบสนองก่อนไป๋ยิ่งอัน

เธอเช็ดน้ำตาบนหน้าออก แล้วกดความดีใจที่ก่อขึ้นในใจนั้นลงไป ตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า“คุณชายเฉินไม่เอายิ่งอันกับลูกแล้วไม่ใช่หรอคะ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

หนานกงเฉินมองหน้าเธอ แต่ไม่ได้ตอบ กลับก้าวเดินเข้ามาแล้วเดินเข้าไปที่เตียงของเด็กน้อยก่อน มองเด็กที่กำลังหลับปุยอยู่บนเตียง แล้วค่อยเดินไปอยู่หน้าเตียงของไป๋ยิ่งอัน และมองเธออยู่อย่างนั้น

นอกจากเธอที่ดูอ้วนขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไป ยังคงมีผมสีดำยาวๆ ผิวขาวสะอาด ตอนร้องไห้ก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกอยากปกป้อง

สักพักถึงจะพูดขึ้นว่า“ยังจำสิ่งที่เราสัญญากันได้ไหม?”

ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกตัว เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเธอออก

เธอดีใจไม่น้อยไปกว่าซูวยาหยงเลย หนานกงเฉินมาแล้ว เขามาแล้ว ดูก็รู้ว่าเขายังคงเป็นห่วงเธอกับลูกอยู่ เธอคิดไม่ถึงว่าจุดพลิกที่เห็นในละครจะมาเกิดขึ้นที่ตัวเธอได้

เพื่อไม่ให้ความดีใจของเธอจะแสดงออกมากับน้ำเสียง เธอไม่กล้าแม้แต่จะพูด

หนานกงเฉินยืนอยู่ห่างเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนานกงเฉินอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ ใกล้จนได้กลิ่นหอมที่แสนมีเสน่ห์ของเขา

เธอรู้สึกว่าตัวเธอแทบจะหลงใหลไปกับความสง่าของนั่น เธอกลัวเธอจะเก็บความดีใจของเธอไว้ไม่อยู่ แล้วทำให้การเจอกันครั้งแรกของพวกเธอพัง

การไม่พูดเป็นทางที่ดีที่สุด ดังนั้นเธอแค่พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า’จำได้’สองคำ แล้วเสหน้าไปทางอื่น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“ผมจำได้ว่าผมเคยบอกไว้ว่า ถ้าเด็กคลอดออกมาแล้วผมยังเลือกคุณ ผมจะมารับคุณและลูกกลับบ้าน ตอนนี้ลูกได้คลอดออกมาแล้ว และผมก็ไม่อยากทิ้งคุณไป ดังนั้น…… ”หนานกงเฉินยิ้ม“เรากลับบ้านกันนะ”

ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็เก็บความดีใจไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

น้ำตาพวกนี้เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ หนานกงเฉินบอกว่าจะพาเธอกลับบ้านงั้นหรอ? เขาตกลงที่จะพาเธอกลับบ้านแล้ว ก็แสดงว่าเวลาครึ่งปีที่เธอทำมามันไม่ได้เปล่าประโยชน์ แผนของพวกเธอก็ไม่ได้ล่ม

ซูวยาหยงก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่เธอไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ พูดด้วยทั้งน้ำตาว่า“คุณชายเฉิน แค่มีคำนี้ของคุณ แม้ยิ่งอันต้องลำบากอีกเท่าไหร่ก็ถือว่าคุ้มค่า”

“ลำบากคุณแล้วสินะ” หนานกงเฉินยกมือขึ้นจะวางที่ไหล่ของไป๋ยิ่งอัน

อาจเป็นเพราะตื่นเต้นและดีใจเกินไป ทำให้ไป๋ยิ่งอันหดตัวตังเองกลับ แล้วร่างกายก็ถอยห่างด้วยสัญชาตญาณ

การที่เธอถอย ทำให้สะกิดความเอ็นดูของหนานกงเฉินที่มีต่อเธอ มือของเขาค้างไว้แบบนั้น แล้วค่อยว่างลงบนไหล่ของเธออีกครั้ง แล้วค่อยไโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด

พอได้รับอ้อมกอดของเขา ทำให้ไป๋ยิ่งอันอ่อนระทวยไปทั้งตัว พอรู้สึกตัวเธอก็เอามือโอบเอวของเขาไว้แล้ว ใบหน้าเล็กที่แนบกับหน้าท้องที่แข็งแกร่งนั่น ทำให้เธอดีใจจนร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

ไป๋ยิ่งอันมองบ้านพักแสนกว้างใหญ่ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ยังคงหลงเหลือความตื่นเต้นเล็กน้อย

บ้านพักหลังนี้คือที่ไป๋มู่ชิงเคยพูดถึงในสมุดบันทึกที่เป็นบ้านพักเจียงจิ่งหรอ? ทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่ล่ะ?

เธอหันกลับไปหาซูวยาหยงที่ดึงดันจะตามมา

ซูวยายหยงยิ้มให้เธอเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆข้างๆหูของเธอว่า“อย่าลืมว่าลูกเป็นผู้หญิงที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน”

“แต่หนูลืมโครงสร้างของบ้านนี้ไปแล้ว” ไป๋มู่ชิงเคยพูดถึงบ้านหลังนี้กับเธอ ตอนนั้นเธอคิดว่ามันเป็นแค่ที่พักหนานกงเฉินที่จะมาพักเป็นนานๆครั้ง เธอคงไม่มีโอกาสได้มาหรอก เลยไม่ได้ไปสนใจมากนัก

คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่ได้อยู่กับหนานกงเฉิน ก็คือห้องนี้

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก” ซูวยาหยงลูบมือเธอด้วยความอ่อนโยน

หลังจากที่หนานกงเฉินส่งลูกเข้านอนด้วยตัวเขาเองแล้วก็เดินออกมาเห็นสองแม่ลูกกระซิบกระซาบกันอยู่ เขายกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ซูวยาหยงรีบตอบอย่างยิ้มๆว่า“คือว่ายิ่งอันกลัวว่าถ้าคุณผู้หญิงรู้ว่าคุณพาเธอกลับมาอยู่ด้วยแล้วจะโกรธอ่ะค่ะ อาจจะทำให้คุณเดือดร้อนได้”

“วางใจเถอะครับ คุณยายท่านไม่ได้น่ากลัวแบบที่พวกคุณคิดหรอก” หนานกงเฉินเดินเข้ามาแล้วโอบไหล่ของไป๋ยิ่งอันเอาไว้ แล้วพาเธอเดินไปนั่งที่โซฟา“ที่นี่อาจจะไม่ใหญ่เท่าบ้านของตระกูลหนาน แต่สภาพแวดล้อมและบรรยากาศเหมาะกับลูกของเรา ใกล้โรงพยาบาลอีกด้วย คุณว่ายังไง?”

“ฉัน……ฉันยังไงก็ได้ค่ะ” ไป๋ยิ่งอันมองเขาด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ“แค่ได้อยู่กับคุณและลูก แม้ว่าจะอยู่ในบ้านคนจนฉันก็ยอม”

สายตาของหนานกงเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แบบนี้มักจะทำให้เธอรู้สึกใจอยู่ไม่เป็นสุข

“คุณสามารถคิดแบบนี้ได้ก็ดีแล้ว” มือที่โอบอยู่บนไหล่ของเธอได้เลื่อนต่ำลงมาที่ฝ่ามือของเธอ บนนิ้วนางมือเรียวสวยนั้นได้สวมแหวนหยกเม็ดงามเอาไว้

แหวนวงนี้แม้จะเป็นผลงานของนักออกแบบชื่อดัง เลียนแบบออกมา แต่ยังไงมันก็เป็นของปลอมอยู่ดี ไป๋ยิ่งอันซ่อนนิ้วนางของเธอเข้าไปใต้ฝ่ามืออีกข้าง

ดีที่หนานกงเฉินแค่จับฝ่ามือเธอเพื่อแค่ปลอบโยน แล้วก็ได้ปล่อยมือออกไป

ซูวยาหยงที่กังเกตุเห็นถึงความวิตกของไป๋มู่ชิง เพื่อป้องกันไม่ให้หนานกงเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติไปของเธอ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา“คุณชายเฉินคะ ยิ่งอันพึ่งคลอดลูกไป แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีแม่นมอยู่ แต่ฉันก็ไม่ค่อยไว้วางใจสักเท่าไหร่ ฉันอยากอยู่ดูแลเธอสักพักได้ไหมคะ?”

“เอาที่ยิ่งอันสบายใจเลยครับ” หนานกงเฉินพูดด้วยท่าทีสบายๆ

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋ยิ่งอันถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

มีซูวยาหยงอยู่ช่วย เธอก็สบายใจขึ้นเยอะแล้ว

หนานกงเฉินที่นั่งข้างเตียงของลูก มองเขาดิ้นไปมา มองลูกที่หายใจอย่างรวดเร็วและผิวที่คล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ภาพที่เขาไม่ต้องการเห็นมากที่สุด สุดท้ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

เขาแค่ไม่ได้เหมือนกับคุณผู้หญิงที่โยนความผิดทั้งหมดให้ไป๋ยิ่งอัน ในเมื่อตอนนั้นเขาเองก็ไม่เด็ดขาดพอ และยอมให้กับคำร้องขอของเธอ

เขายื่นมือไปยอกเล่นกับลูก ลูกก็เปิดปากตอบกลับทันที ในที่สุด บนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา

ไป๋ยิ่งอันนอนหันข้างมองเขา เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รังเกลียดลูกเพียงเพราะเด็กไม่แข็งแรง แล้วเขาก็ดูจะชอบลูกมากเสียด้วย

พอชินกับใบหน้าแสนเย็นชาของหนานกงเฉินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่บนใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นปรากฏขึ้น

ลูกน่าจะหิวแล้ว ดูจากการอ้าปากเล็กๆนั่นร้องไห้เสียงดัง

หนานกงเฉินที่เห็นลูกร้องไห้ ก็ทำอะไรไม่ถูก คนที่ไม่เคยอุ้มลูกอย่างเขา ยื่นมือออกไปอยากจะอุ้มลูก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง

จนถึงแม่นมวิ่งเข้ามา แล้วอุ้มลูกขึ้นจากเตียงแล้ววางไว้ที่อ้อมแขนของเขาด้วยใบหน้ายิ้มๆ“คุณชายใหญ่คงจะไม่เคยอุ้มเด็กใช่ไหมคะ? เด็กยังเล็ก คุณเอามือรองหัวเขาไว้ก็พอค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้ารับ แล้วอุ้มลูกตามที่เธอสอน

“ที่จริงเด็กจะชอบให้ผู้ชายอุ้มนะคะ เพราะอ้อมกอดของผู้ชายกว้าง” แม่นมเดินออกไปชงนมให้ลูก พอชงเสร็จแล้วก็สอนหนานกงเฉินให้นมลูกอย่างใจเย็น

แม่นมหันกลับมาพูดกับไป๋ยิ่งอันว่า“คุณหญิงน้อยคะ ตอนกลางคืนคุณสามารถให้เด็กดูดนมได้แล้วนะคะ ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนถ้าน้ำนมมีเยอะเกินไปเด็กจะทานไม่หมดได้ คุณจะลำบากนะคะ”

สีหน้าของไป๋ยิ่งอันเปลี่ยนไปทันที แล้วเอามือโอบหน้าอกตัวเองไว้ด้วยสัญชาตญาณ“ฉัน……ฉันไม่เอาหรอก”

พอได้ยินเสียงของไป๋ยิ่งอัน หนานกงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วตามด้วยรอยยิ้มบางๆ“คุณตื่นแล้วหรอ?”

“อื้ม มองคุณเล่นกับลูกตลอด มองเพลินไปเลย” ใบหน้าของไป๋ยิ่งอันเขินจนขึ้นริ้วสีแดงเล็กน้อย

“ผมมองลูกบิดขี้เกียจแล้วก็ทำปากจู๋ๆน่ารักดี มองเพลินไปเหมือนกัน คุณที่ตื่นแล้วผมยังไม่รู้เลย ”

อยู่ๆไป๋ยิ่งอันก็เดินลงมาจากเตียงแล้วเดินไปกอดแขนของหนานกงเฉินไว้“คุณชายใหญ่คะ ฉันไม่อยากให้นมลูกจากเต้าเลย เขาพูดกันว่าถ้าให้นมลูกจากเต้าจะทำให้หน้าอกหย่อนยานได้ น่าเกลียดจะตายไป”

หนานกงเฉินมองเธอด้วยความแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำแบบนี้ออกมา ในความทรงจำของเขา ภรรยาของเขาไม่ห่วงภาพลักษณ์ ยิ่งมองลูกเสมือนชีวิตแบบนี้ เป็นได้ไงที่จะไม่ให้นมลูกจากเต้าเพียงเพราะจะรักษาหุ่นของตัวเอง?

ไป๋ยิ่งอันที่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ก็พูดอย่างยิ้มๆว่า“คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรอคะ ตอนนี้สถานะของฉันมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้”

“แต่เมื่อก่อนคุณไม่ได้พูดแบบนี้นิ”

“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” ไป๋ยิ่งอันยกข้อมือของตัวเองขึ้นพูดว่า“คุณดูสิคะ เพื่อความสวย ฉันไปศัลยกรรมรอยแผลที่เป็นกัดตรงข้อมือออกแล้ว”

หนานกงเฉินมองไปที่ข้อมือของเธอ เห็นรอยกัดตรงข้อมือของเธอหายไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาฝากไว้ให้เธอ ตอนนั้นเลือดไหลเยอะมาก แล้วก็ฝากรอยที่น่าเกลียดเอาไว้

ตอนนี้เหลือแค่สีผิวที่ยังคงหายไม่หมด แต่ก็ดูสวยขึ้นจากตอนนั้นมาก

ไป๋ยิ่งอันเขย่ามือไปมา“หมอบอกว่าอีกสองเดือนก็สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว จะมองไม่ออกเลยว่าเคยมีแผล”

“หรอ ดีแล้วหล่ะ” มองไปที่ข้อมือที่ขาดสะอาดนั่น ในใจของหนานกงเฉินก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกแบบนี้

อาจจะเป็นเพราะเขาเคยจับมือของไป๋มู่ชิงไว้ มองรอยฟันที่ชัดเจนนั่นไม่เพียงแค่ไม่สงสารแล้ว ยังรู้สึกเหมือนประกาศว่านี่เป็นเครื่องหมายที่เป็นสำหรับเขาเอง

เมื่อเห็นร่องรอยที่เป็นของเขาถูกทำลายทิ้ง เขาก็รู้สึกผิดหวังงั้นหรอ? เขาส่ายหัว ไม่แปลกที่เธอในตอนนั้นบอกกับเขาว่า เขาเป็นคนบ้าอำนาจและเห็นแก่ตัว

“ผมก็เคยพูดไว้นิว่า ในสายตาของผมคุณไม่หลงเหลือภาพลักษณ์อะไรไว้แล้ว” เขายิ้ม

“คนบ้า”

“ถ้าคุณไม่อยากให้นมลูกจากเต้าก็ไม่เป็นอะไร เราให้ลูกดื่มนมวัวก็ได้”

“เฉิน คุณใจดีจัง” ไป๋ยิ่งอันยิ้มอย่างดีใจ แล้วยื่นมือไปเล่นกับลูก“คุณดูสิคะ ลูกดื่มนมวัวก็ดูมีความสุขดีนะคะ”

หลังจากที่ลูกดื่มนมเสร็จ หนานกงเฉินก็วางเขาลงบนเตียง ลุกขึ้นเอามือวางที่หัวของไป๋ยิ่งอันอย่างเบามือ“ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านนะครับ”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณกลับมานะคะ“ไป๋ยิ่งอันก็ส่งเขาไปที่ประตู”

พอหนานกงเฉินกลับถึงบ้านตระกูลหนานกง ก็เข้าไปพบคุณผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ดูก็รู้ว่าเธอรอการมาถึงของเขาโดยเฉพาะ

ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พอคุณผู้หญิงเห็นหนานกงเฉินก็พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า“เฉิน นายบอกจะไม่รับไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกนั่นกลับมาไม่ใช่หรอ?”

เมื่อสักครู่ที่ได้ยินข่าวว่าหนานกงเฉินไปรับไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกนั่นกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ของเขา ก็โกรธเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็โทรหาหนานกงเฉิน สั่งให้เขากลับมาหาเธอที่บ้าน

หนานกงเฉินกลับมาหาเธอโดยเฉพาะ ก็ต้องมีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับเธอไว้อยู่แล้ว เขาเดินมาหาคุณผู้หญิงด้วยท่าทางใจเย็น แล้วนั่งลงตรงข้ามกับคุณผู้หญิง“คุณยายครับ คุณยายบอกว่าไม่อยากเห็นเด็กคนนั้นเสียใจ ผมเลยให้เขาไปอยู่ที่เพ้นท์เฮ้าส์ของผม แบบนี้คุณยายก็จะไม่ต้องไม่สบายใจอีก ผมตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุเท่าไหร่ ผมก็จะเป็นคนเลี้ยงดูเขาเอง”

“นาย…….” คุณผู้หญิงโกรธจนหายใจติดขัด

ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่จะกีดกันเด็กน่าสงสารคนนั้น แต่จะใช้โอกาสนี้ในการเขี่ยไป๋ยิ่งอันนั่นทิ้งสะ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเธอกัน? แล้วไม่คิดว่าเขาจะไปรับกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์โดยไม่บอกเธออีก

“คุณยายครับ เราสัญญากันแล้วไม่ใช่หรอครับ ว่ารอลูกคลอดออกมาเมื่อไหร่ แล้วผมยังไม่สามารถลืมยิ่งอันได้ ก็จะรับเธอกลับมา”

“ใครสัญญากับนายกัน? นั่นคือนายสัญญากับตัวเองต่างหาก” คุณผู้หญิงพูดน้ำความโมโห“ที่ฉันสัญญากับนายคือ ถ้าเราให้เด็กคลอดออกมา นายก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นของนายจริงๆ คนที่ฉันเป็นคนจัดหาให้”

“ผมเคยบอกไปแล้วนิครับ ว่าเธอคนนั้นตายไปแล้ว”

“ฉันก็เคยบอกไปแล้วเหมือนกันว่าฉันไม่เชื่อ”

“คุณยายครับ…….” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เราอย่าไปหลงเชื่อสิ่งพวกนั้นเกินไปได้ไหมครับ? ให้คุณหนูจิ้งฉีเขาหลับให้สบายเถอะครับ แล้วก็เลิกตามหาคนที่ไม่มีตัวตนคนนั้นสักที แล้วยอมรับยิ่งอัน ผมแค่อยากทำงานตัวเองให้ดี ไม่อยากเสียเวลาให้กับความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไป”

ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่คุณผู้หญิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกทั้งโกรธแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

“บอกว่าผมมีอายุอยู่ไม่ถึงสามสิบปี แต่ดูผมตอนนี้สิ อีกหนึ่งเดือนก็จะครบสามสิบแล้ว ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรอครับ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นอีกครั้ง

“ยังเหลือเวลาอีกเดือนหนึ่งไม่ใช่หรอ? อีกอย่าง พออายุสามสิบก็ยังมีเวลาตั้งหนึ่งปีเต็ม นายรับรองได้หรือเปล่าว่านายจะไม่เป็นอะไร?”

“แน่นอน” หนานกงเฉินตอบ

คุณผู้หญิงมองไปที่เขา ผ่านไปสักพักถึงจะพูดขึ้นว่า“ต้องรับเธอกลับมาให้ได้ใช่หรือไม่?”

“เธอคือแม่ของลูกของผม ผมต้องรับเธอกลับมาอยู่แล้ว”

“ได้ ถ้ามั่นใจว่าจะทำแบบนี้ ก็รับสองแม่ลูกนั่นกลับมาบ้านเถอะ”

“ถ้าคุณยายรู้สึกไม่สบายใจ ก็ให้พวกเราเลี้ยงดูลูกข้างนอกก็ได้ครับ อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”

คุณผู้หญิงส่ายหน้า“ในเมื่อเขาก็เป็นลูกแท้ๆของตระกูลหนานกงของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะไป ก็ควรให้เขาไปโดยที่อยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ”

ถึงแม้ว่าการเห็นเขาทุกวันมันจะเศร้าใจ แต่ถ้าทิ้งให้เข้าอยู่ข้างนอก คุณผู้หญิงหญิงก็จะปวดใจยิ่งกว่า ก่อนหน้านั้นแข็งใจทิ้งเขาไป ก็เพื่อจะได้เตะไป๋ยิ่งอันออกจากตระกูลหนานกง ในเมื่อหนานกงเฉินยืนกรานที่จะให้ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างกายเขา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องทิ้งเด็กเอาไว้ข้างนอก

เรื่องหลังจากนี้ คงต้องค่อยๆคิดไปทำไป

หนานกงเฉินที่เห็นเธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในที่สุดก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ“ขอบคุณครับคุณยาย ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรับพวกเขากลับมาคืนนี้เลย”

หลังจากที่หนานกงเฉินออกไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็ไม่ต้องแกล้งนอนอยู่บนเตียงอีก นอนเบื่อมาทั้งบ่ายแล้ว เธอก็เริ่มเดินสำรวจทุกมุมและรอบๆบ้านอย่างละเอียด

จากห้องรับแขกถึงห้องนอน แล้วก็ไปถึงห้องพักของแขก รู้สึกว่าของตกแต่งทุกที่นั้นดูหรูและเป็นผู้ดีไปหมด

แม้กระทั่งชั้นวางหนังสือก็ดูใหญ่และหรูหรา นี่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาแบบพวกเธอไม่มีวันเข้าใจ

เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดไปมา พอเปิดถึงตรงกลางของหนังสือ ก็เห็นภาพถ่ายที่เก่าจนเหลืองใบหนึ่ง มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเธอ ก็เปิดกลับไปที่หน้านั้น แล้วก็เอารูปถ่ายแผ่นนั้นออกมา

รูปใบนี้ดูอยู่ทานานแล้ว ในรูปเป็นเด็กที่มัดผมเปียไว้หน้าตายิ้มแย้ม เธอยกรูปถ่ายใบนี้สูงขึ้นอีก มองซ้ายมองขวา รู้สึกว่าเหมือนจะคุ้นตาคนในรูปมาก

“แม่มาทางนี่หน่อยสิคะ” ไป๋ยิ่งอันตะโกนออกไปข้างนอก

ซูวยาหยงที่กำลังจับรีโมตกำลังจะเปลี่ยนช่องนั้นก็ได้วางรีโมตลง ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปที่ห้อง และบ่นไปด้วยว่า“เบาเสียงลงหน่อยได้ไหม? ถ้าทำให้ลูกตื่นก็ต้องใช้เวลาทั้งวันในการกล่อมอีก ลูกไม่รำคาญแต่แม่รำคาญ”

ไป๋ยิ่งอันไม่ได้สนใจคำบ่นของเธอ เอารูปถ่ายใบนั้นยื่นเข้าไปตรงหน้าซูวยาหยง“แม่คะ ทำไมหนูรู้สึกคุ้นหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้จังเลยคะ?”

“คนไหน?” ซูวยาหยงรับรูปถ่ายแผ่นนั้นจากมือเธอมาดู แล้วก็ชะงักไปชั่วขณะแล้วพูดว่า“ทำไมเหมือนไป๋มู่ชิงตอนเด็กเลยล่ะ?”

“ไป๋มู่ชิงตอนเด็ก?” ไป๋มู่อันแปลกใจ

“ใช่ ก็เป็นตอนก่อนที่ไป๋มู่ชิงจะทำศัลยกรรมไม่ใช่หรอ?” ซูวยาหยงโยนรูปถ่ายคืนให้เธอ

ไป๋ยิ่งอันพยักหน้ารับรู้ และไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกคุ้นหน้า

เธอเคยเจอไป๋มู่ชิงก่อนที่จะศัลยกรรมแล้วครั้งนึง ก็คือในปีนั้นจูฮุ่ยพาเธอพาเข้ามาในตระกูลไป๋ แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่หน้าตาตอนอายุสิบเอ็ดของเธอ ยังเด่นชัดในความทรงจำของเธออยู่

“ไม่สิ” จากที่ซูวยาหยงกำลังจะเดินออกไปนั้นก็หันกลับมาใหม่ มองรูปถ่ายในมือของไป๋ยิ่งอันพูดว่า“ไม่มีเหตุผลที่หนานกงเฉินจะเคยเจอไป๋มู่ชิงก่อนศัลยกรรมนิ ยิ่งไม่มีเหตุผลที่หนานกงเฉินจะเก็บรูปของไป๋มู่ชิงเอาไว้ ไป๋มู่ชิงรู้แค่ว่าตัวเองนั้นแต่งเข้าตระกูลหนานกงแทนลูก ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอารูปของตัวเองที่เป็นก่อนศัลยกรรมมาเก็บไว้ในบ้านตระกูลหนานกงให้พวกเขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ”

ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าเห็นด้วย“ใช่ค่ะ ถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าเธอแต่งเข้าตระกูลหนานกงแทนฉัน คงจะเตะเธอออกจากตระกูลหนานกงนานแล้ว แล้วรูปถ่ายใบนี้คืออะไรล่ะคะ?”

“ขอฉันดูหน่อย” ซูวยาหยงรับรูปถ่ายมาพลิกด้านดู เห็นด้านหลังของรูปถ่ายเขียนไว้ว่า’คู่ครอง’ที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ

“คู่ครอง?” ซูวยาหยงพึมพำเสียงเบา คิดแล้วคิดอีกจากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า“ฉันเข้าใจแล้ว”

“ยังไงหรอคะ?” ไป๋ยิ่งอันรีบถามด้วยความอยากรู้

“รู้ไหมว่าทำไมคุณผู้หญิงถึงคิดทำทุกวิธีที่จะเตะลูกออกจากตระกูลหนานกง? ก็เพราะคุณผู้หญิงรู้ว่าหลังจากที่ไป๋มู่ชิงแต่งเข้าตระกูลหนานกงแล้วไม่ได้ช่วยให้โรคของหนานกงเฉินดีขึ้น คงคิดว่าหนานกงเฉินแต่งผิดคนแล้ว ฉันว่าคุณผู้หญิงตอนนี้กำลังตามหาคนที่เป็นคู่ครองตัวจริงของหนานกงเฉินอยู่ และคนต่อไปที่พวกเขาจะหาก็คือคนนี้ ” ซูวยาหยงแกว่งรูปถ่ายในมือไปมา ยิ้มอย่างได้ใจ“แต่พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงที่พวกเขาตามหาอยู่นั้นได้ศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าไปแล้ว ดังนั้น พวกเขาไม่มีวันที่จะหาเธอเจอหรอก”

ไป๋ยิ่งอันชะงัก“แม่คะ หมายความว่าหนูไม่ใช่คู่ครองของหนานกงเฉินใช่ไหมคะ? แต่เป็นยัยไป๋มู่ชิงนั่นหรอคะ?”

“คุณผู้หญิงทำทุกอย่างเพื่อให้หนานกงเฉินหายจากโรค วุ่นวายใจไปหมด มีสะที่ไหนล่ะคู่ครองอะไรนั่น ฉันไม่เชื่อหรอก” ซูวยาหยงโยนรูปถ่ายคืนให้ไป๋ยิ่งอัน

ไป๋ยิ่งอันพูดด้วยสีหน้ากังวลว่า“แต่…….ถ้าพวกเขารู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คือไป๋มู่ชิงหล่ะเราจะทำยังไง?”

“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ยิ่งไม่ควรให้พวกเขารู้เด็ดขาด” ซูวยาหยงสูดหายใจเข้าแล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า“สงสัยยัยไป๋มู่ชิงนั่นคงจะเก็บไว้ไม่ได้สะแล้ว”

“ใช่ค่ะ ตอนนั้นยังบอกว่าหนูเป็นคู่ครองของหนานกงเฉินอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นมันสะอย่างนั้น” ไป๋ยิ่งอันพึมพำเบาๆ ในใจก็เต็มไปด้วยความอิจฉา

ตอนนั้นที่ได้ยินว่าพี่เหอบอกว่าเธอคือคู่ครองของหนานกงเฉิน เธอตกใจจนวิญญาณออกจากร่าง มาตอนนี้รู้ว่าเธอนั้นไม่ใช่คู่ครองของหนานกงเฉินก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา

ไป๋มู่ชิงที่ได้เจอซูวยาหยงนั้น ก็ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนคราวก่อนแล้ว

พอได้ยินเสียงเปิดประตู เธอแค่ลืมตาขึ้นมองแล้วก็หลับตาลงเหมือนเดิม ยังคงนอนขดอยู่บนเตียงไม่แม้แต่จะขยับ เธอรู้ว่าไม่ว่าเธอจะขอร้องอ้อนวอนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เก็บแรงไว้ยังจะดีกว่า

ครั้งนี้ซูวยาหยงดูอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย มองเธอแล้วพูดว่า“ยิ่งอันได้กลับไปบ้านตระกูลหนานกงแล้ว”

ได้ยินดังนั้นไป๋มู่ชิงก็รีบตื่นขึ้นมา“จริงหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้วใช่ไหม?”

ไป๋ยิ่งอันได้ในสิ่งที่เขาอยากได้แล้ว เธอน่าจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วสิ จากตอนแรกที่หมดหวังไป ในใจตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงคือซูวยาหยงนั้นส่ายหัวแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่ายว่า“ตอนนี้ยังไม่ได้ ฉันต้องรอดูให้แน่ใจว่ายิ่งอันได้อยู่ในตระกูลนั้นอย่างมั่นคง มั่นใจว่าเธอจะไม่ไปวุ่นวายที่ตระกูลหนานกงอีก”

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่ไปวุ่นวายเด็ดขาด!” ไป๋มู่ชิงโกรธจัด ลุกขึ้นยืนบนเตียงจ้องซูวยาหยงเขม็ง“คราวก่อนเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ คุณจะกลับพูดได้อย่างไรกัน?”

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ปล่อยแกนิ วางใจได้ แม้ตัวแกจะอยู่ที่นี่ แต่อีกไม่นานแม่และน้องชายของแกก็จะกลับมาที่เมืองซีด้วย รอวันที่แกสามารถลืมหนานกงเฉินได้จริงๆฉันก็จะปล่อยแกไปหาครอบครัวแกเอง”

บนหน้าของซูวยาหยงไม่มีความละลายเลยสักนิด จากเดิมที่จะปล่อยไป๋มู่ชิงไป พอเธอมารู้ว่าไป๋มู่ชิงคือคู่ครองของหนานกงเฉิน เป้าหมายคนต่อไปที่ตระกูลหนานกงนั้นตามหา เธอก็ไม่คิดที่จะปล่อยไป๋มู่ชิงออกไปอีก

แวบนึงที่บนใบหน้าของซูวยาหยงแสดงถึงความมุ่งร้าย และใช่ว่าไป๋มู่ชิงจะมองไม่เห็น เธอจะไม่เชื่อซูวยาหยงเป็นครั้งที่สองอีก เพื่อความสบายใจของไป๋ยิ่งอัน ซูวยาหยงไม่ปล่อยเธอไปแน่!

เล็บที่จิกเข้าไปในฝ่ามือนั้นลึกขึ้นเรื่อยๆ ลึกจนมีเลือดไหลออกมา ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ตะโกนออกมาเสียงดังว่า“ซูวยาหยง! คุณมันไม่ใช่คน! คุณจะไม่ได้ตายดีแน่!”

เธอพุ่งเข้าไปหาซูวยาหยง มือข้างนึงกระชากผมอีกข้างบีบคางของซูวยาหยงแน่น ความวุ่นวายทำให้พวกเขาชนเข้าใส่กัน“ทำไมคุณถึงโหดเหี้ยมเช่นนี้? คุณยังมีสัจจะในความเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”

เสียงดัง’ตึง!’ ซูวยาหยงถูกพลักล้มไปที่กำแพงแล้วหน้าผากชนเข้ากับมุมพอดี เจ็บจนเธอร้องครวญคราง

ไป๋มู่ชิงบ้าไปแล้ว ไม่สนใจเสียงกรีดร้องและแรงต่อต้านของซูวยาหยงสักนิด กระชากผมเธอเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ซูวยาหยงตกใจและกลัวเธอตะโกนออกไปข้างนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ“อาซือ แกไปตายไหนแล้ว? มาช่วยฉันเอายัยบ้านี่ออกไป!”

“ใช่ ฉันหน่ะบ้าไปแล้ว ถ้าคุณยังไม่ปล่อยฉันอีกฉันบ้าได้มากกว่านี้แน่! คุณจะปล่อยฉันออกไปไหม? ว่าไงจะปล่อยหรือไม่ปล่อย? !”

อาซือที่อยู่ชั้นล่างก็รีบวิ่งขึ้นไป แล้วเห็นสองคนนี้ที่ตบตีกับอยู่ก็รีบไปช่วยแยกออกจากกัน ถึงจะช่วยซูวยาหยงหลุดออกมาจากมือของไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงที่ถูกอาซือจับมือทั้งสองข้างเอาไว้ แต่ก็ยังพยายามที่จะทำให้ตังเองหลุดออกจากการควบคุม ตะโกนโหวกเหวก“ปล่อยฉัน! ฉันจะฆ่ายัยอสรพิษนั่น”

ซูวยาหยงจากตอนแรกที่มาด้วยความสง่าสละสลวย หลังจากสงครามขนาดย่อมระหว่างหญิงสองคนจบลงก็สภาพของเธอกลายเป็นเหมือนคนบ้าไปเลย ทรงผมทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด บนหน้ามีรอยเล็บที่ขึ้นเป็นสีแดงทางยาวลงมาสองรอย

เธอจับหน้าที่เจ็บแสบจากรอยข่วน โกรธจนหน้าแดงกล่ำ จ้องหน้าไป๋มู่ชิงแล้วตะโกนใส่เธอว่า“อี่นางนี่! บ้าเหมือนแม่แกไม่มีผิด! ประสาท!”

“คุณต่างหากที่ประสาท!” ไป๋มู่ชิงพยายามหลุดจากการควบคุมของอาซือ พุ่งเข้าไปจะกระชากซูวบาหยงไว้อีกครั้ง ซูวยาหยงตกใจจนรีบวิ่งออกไปจากห้อง

เสียงประตูที่ปิดตัง’ปึง!’ ห้องเล็กๆนี้กลับมาสงบอีกครั้ง เธอเหม่อมองประตูนานเป็นสามนาทีเต็มๆ แล้วความรู้สึกทุกอย่างพังทลายลงแล้วพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตา เธอก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ

พอกลับเข้าบ้านตระกูลหนานกงแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็เข้าไปอยู่ห้องที่ไป๋มู่ชิงเคยอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ปลอดภัยและสะดวกเท่าเพ้นท์เฮ้าส์ที่เคยอยู่ แล้วยังต้องรับมือกับหลายๆคนในบ้านอีก แต่เธอก็ยอมที่จะยอมที่จะอยู่ที่นี่

ที่นี่คือบ้านหลักของบ้านตระกูลหนานกง เป็นถึงคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงจะอาศัยอยู่บ้านข้างนอกได้ยังไง? ถ้าอยู่ข้างนอกตลอด แล้ววันไหนที่ลูกไม่อยู่แล้ว คุณผู้หญิงต้องหาเหตุผลในการไม่ยอมรับให้เธอเข้าตระกูลได้

“คุณหญิงน้อยคะ คุณหญิงไป๋มาหาค่ะ” เสี่ยวลวี่ยืนพูดอยู่ที่ประตู

ไป๋ยิ่งอันที่ได้ยินว่าซูวยาหยงมานั้นก็รีบวิ่งไปเปิดประตู เธอเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดีแล้วพูดบ่นกับซูวยาหยงว่า“แม่คะ หนูกลัวว่าจะเกิดเรื่อง เลยไม่กล้าออกบ้านมาเป็นหลายวันแล้วค่ะ จะอึดอัดตายอยู่แล้ว”

“การอยู่เดือนก็ไม่ควรออกบ้านอยู่แล้ว” ซูวยาหยงพูด“ไม่ออกบ้านน่ะดีที่สุดแล้ว รอลูกชินกับสภาพแวดล้อมที่นี่แล้วค่อยออกไปเดินเล่นจะได้ไม่ทำอะไรผิดพลาด”

“น่าเบื่ออ่ะ” ไป๋ยิ่งอันนั่งบ่น ถึงจะสังเกตเห็นว่าบนหน้าของซูวยาหยงนั้นมีรอยขีดข่วนภายใต้ผมรอนสวยนั่น เธอชะงักแล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า“แม่คะ หน้าของแม่โดนอะไรมาคะ?”

ซูวนาหยงยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองเบาๆ น้ำเสียงก็เริ่มโกรธเคืองขึ้น“ถูกยัยแพศยานั่นข่วนนะสิ โหดเหมือนแม่มันไม่มีผิด”

“อะไรนะคะ? มันกล้าทำร้ายแม่หรอคะ?” ไป๋ยิ่งอันที่รู้ว่าเป็นไป๋มู่ชิงเป็นคนทำแม่ของเธอนั้นก็โกรธขึ้นมา

ซูวยาหยงกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินรับเอามือทำสัญลักษณ์บอกว่าให้เธอเงียบ แล้วพูดว่า“ช่างมันเถอะ ครั้งนี้ให้มันได้ใจไป หลังจากนี้มีให้มันเห็นดีแน่”

พอรู้ว่าอนาคตไป๋มู่ชิงจะแย่แค่ไหน ในใจของไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“เอ่อใช่ คนที่นี่ทำตัวเป็นยังไงกับลูกบ้าง?” ซูวยาหยงถาม

“เหมือนที่ยัยแพศยานั่นบอกเลยค่ะ แต่ละคนเย็นชากันมาก มีแต่ยัยผู่เหลียนเหยานั่นที่ดีกับหนูอยู่บ้าง”

“ยิ่งยิ้มไดอบอุ่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น โดยเฉพาะต้องระวังเด็กที่นามสกุลผู่นั้นไว้ ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา”

“หนูรู้แล้วค่ะแม่”

“แล้วหนานกงเฉินล่ะ? กับลูกเขาเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ไม่เลวค่ะ เขาอยู่ห้องตรงข้าม จะมาหาแค่ตอนกลางคืน เวลาอยู่ด้วยกันน้อยมาก เขาไม่ได้สงสัยอะไร” พอพูดถึงหนานกงเฉิน ไป๋ยิ่งอันก็ยิ้มด้วยความรู้สึกดี

“งั้นก็ดี แค่หนานกงเฉินกับคุณผู้หญิงดีกับลูกก็พอแล้ว คนอื่นไม่สำคัญ” ซูวายาหยงยังคงเป็นสีหน้าหนักใจ“ดังนั้นลูกต้องเก็บนิสัยลูกคุณหนูของลูกไว้ ปากต้องหวานและต้องละเอียดอ่อนหน่อย คนแก่น่ะเอาใจง่ายจะตาย”

ไป๋ยิ่งหน้าพยักหน้ารับพร้อมพูดขึ้นว่า“แต่ว่า ถึงแม้หนานกงเฉินจะทำดีกับหนูมาก แต่หนูก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้ใส่ใจหนูเต็มร้อยขนาดนั้น ไม่เหมือนกับผู้ชายที่หนูเคยคบด้วยเลย”

ซูยาหยงที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ก็เงียบไปสักพักแล้วพูดว่า“ไป๋มู่ชิงเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอ ในใจของหนานกงเฉินมีคนที่เป็นรักแรกของเขาอยู่แล้ว ตอนนั้นกับไป๋มู่ชิงเขาก็ไม่ได้จริงใจ ส่วนวันข้างหน้าเขาจะทำกับลูกยังไงนั้น ก็อยู่ที่การปฏิบัติตัวของลูกแล้วหล่ะ”

ซูวยาหยงพูดขึ้นอีกว่า“ที่นี่ไม่เหมือนกับเพ้นท์เฮ้าส์ หลังจากนี้จะมาหาบ่อยๆไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นลูกต้องระวังตัวเอามาก อย่าทำให้ครึ่งปีที่แม่ทำมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า”

“ค่ะแม่ มันก็เป็นความพยายามที่หนูทำมาเหมือนกัน”

“อื้ม ลูกคิดได้แบบนี้ก็ดี”

พออยู่บ้านตระกูลหนานได้สักพัก ซูวยาหยงก็รู้ตัวว่าควรกลับแล้ว ก็เดินทางกลับไป

พอใกล้กลับถึงบ้านตระกูลไป๋ จากที่ไกลๆซูวยาหยงเห็นมีรถเบนท์ที่คุ้นตาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน แล้วจอดรถไว้ข้างๆรถเบนท์ เลื่อนกระจกรถลงมองไปที่หลินอันหนานที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับรถ แล้วยิ้มเย้ยหยันว่า“คุณชายหลินคะ คุณแม่ของคุณบอกแล้วไม่ใช่หรอคะว่าจะไม่รับยิ่งอันเป็นลูกสะใภ้ ก็แสดงว่าตระกูลของเราไม่คู่ควรกับตระกูลหลินของพวกคุณ ดังนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีก”

หลินอันหนานไม่ได้สนใจที่เธอพูด ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า“คุณอาไม่ให้เชิญผมเข้าไปดื่มชาในบ้านหน่อยเลยหรอครับ?”

“ยิ่งอันไม่อยู่บ้าน” สีหน้าของซูวยาหยงนั้นนิ่งขึ้น

“ผมรู้ครับ ตอนนี้ยิ่งอันได้ไปอยู่ที่บ้านของหนานกงเฉินอย่างสุขสบายแล้ว” หลินอันหนานยังคงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

สีหน้าของซูวยาหยงแข็งกระด้าง มองหลินอันหนานด้วยสีหน้าแปลกใจ

เขารู้?เขารู้งั้นหรอ!

มือของเธอจับพวงมาลัยรถแน่นขึ้น ซูวยาหยงวางหน้าที่เย็นชากลับให้เป็นเหมือนเดิมแล้วพูดกับเขาว่า“ในเมื่อคุณชายหลินอยากเข้าไปดื่มชาก็เชิญเข้ามาเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับคุณอา” หลินอันหนานพูด

ซูวยาหยงขับรถเข้าไปจอดที่โรงรถหลัก ลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้าน จากนั้นให้น้าหงพาหลินอันหนานไปที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นสอง ส่วนเธอก็เข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วยืนมองตัวเองที่อยู่ในกระจก

หลังจากยืนสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกเสร็จ เธอถึงจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น

ตอนที่เธอไปถึง หลินอันหนานนั่งจิบชาอยู่บนโซฟาแล้ว สีหน้าไม่รีบไม่ร้อน เหมือนว่ามีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

ซูวยาหยงเดินไป มองหน้าของหลินอันหนานแล้วพูดว่า“เราจะมาคุยกันโดยไม่อ้อมค้อมเลยนะ คุณชายหลินมารอบนี้มาเพราะเหตุผลอะไร?”

ไม่รอให้หลินอันหนานได้เปิดปากตอบ เธอก็ถามขึ้นอีกว่า“แต่ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อน ยิ่งอันนั้นเป็นคนของตระกูหนานกงอยู่แล้ว เธอคือคู่ครองของหนานกงเฉิน ตอนนี้เธอเข้าไปอยู่ในตระกูลนั้นแล้ว และเพื่อเป็นการแก้ไขความผิดที่เคยหลอกหนานกงเฉินไว้ นี่คือสิ่งมี่เธอต้องทำและเป็นความรับผิดชอบของเธอ ตัดความคิดทุกอย่างที่คุณมีต่อยิ่งอันสะ”

“คุณอาท่านก็ฉลาดและเห็นแก่ตัวมาก ตอนนั้นที่คิดจะเกาะตระกูลหลินของพวกผม ก็หน้าด้าน ไม่อายสักนิด คิดทุกวิถีทางที่จะให้ลูกสาวของคุณอ่อยผมให้ได้ พอตอนนี้หนานกงเฉินดีขึ้นแล้ว ก็คิดจะสะบัดตระกูลผมไปให้ไกลที่สุด กลัวว่าผมจะทำให้พวกคุณเสียเรื่อง ทั้งๆที่เห็นแก่ตัวใช้ไป๋มู่ชิงเป็นเครื่องมือ แล้วแย่งทุกอย่างที่เป็นของเธอมา แล้วยังพูดให้ตัวเองดูดีงามแล้วก็ยิ่งใหญ่อีกว่าเป็นการแก้ไขความผิดที่เคยโกหกหนานกงเฉิน ”

“มันเป็นตระกูลหลินเองไม่ใช่หรอที่ประกาศบอกว่าจะไม่เอายิ่งอัน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตายใจจากคุณหรอก” ซูวยาหยงเถียงกลับด้วยความโกรธ

“แม่ผมก็ส่วนแม่ผม ผมก็ส่วนผม ผมยังไม่เคยพูดว่าจะไม่เอายิ่งอัน พวกคุณก็หาที่พึ่งใหม่แล้วไม่ใช่หรอ? ”หลินอันหนานยิ้มเยาะเย้ย แล้วก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า“สิ่งที่ผ่านไปแล้วจะเป็นแบบไหนไม่พูดถึงก็ได้ ในเมื่อรอบนี้ที่ผมมาจุดมุ่งหมายไม่ใช่ยิ่งอันลูกสาวสุดที่รักของคุณอยู่แล้ว”

“หมายความว่าไง?” ซูวยาหยงไม่เข้าใจ

“หมายความว่า……ลูกสาวของคุณที่เป็นสิ่งที่ดี

ที่สุดในโลกแบบนั้น ผมรับไม่ไหวหรอก เก็บไว้ให้หนานกงเฉินค่อยๆเชยชมเถอะ” หลินอันหนานพูดช้าลงจนเหมือนพูดทีละคำๆ“ผมจะเอาไป๋มู่ชิงและจะเอาตอนนี้!”

“คุณพูดว่าอะไรนะ?” ซูวยาหยงมองเขาด้วยสายตาที่เหลือเชื่อ

ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหลินอันหนานนั้นมีใจให้กับไป๋มู่ชิง แต่จากที่เธอดูแล้ว คนที่สามารถทิ้งความรู้สึกทุกอย่างเพื่อได้ผลประโยชน์เนี่ย มันคงเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีมากไปไหนหรอก อีกอย่างไป๋มู่ชิงตอนนี้คือการแต่งงานครั้งที่สอง และยังเคยมีลูกแล้วอีก เขาที่เป็นคุณชายหลินที่มีหน้ามีตาและถานะในเมืองซี อยากได้ผู้หญิงคนไหนมีหรือจะไม่ได้? อยากได้ของมือสองแบบนี้หรอ?

“ฉันคงฟังไม่ผิดหรอกใช่ไหม? คุณอยากได้ไป๋มู่ชิงนั่น?”

“คุณฟังไม่ผิดหรอก” หลินอันหนานตอบ

“เพราะอะไรล่ะ?”

“ไม่มีอะไรเหตุผลอะไร ก็คือรู้สึกว่าเทียบกับไป๋ยิ่งอันแล้ว เธอมีคู่ควรที่จะได้รับความรักจากผมมากกว่า”

“แต่ว่า……” ซูวยาหยงก็ไม่อยากให้ลูกของเธอโดนดูถูก ใจก็วุ่นไปหมด สักพักถึงจะพูดออกมาได้ว่า“แต่ว่าไป๋มู่ชิงไม่อยู่ที่นี่ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ”

ถ้าไป๋มู่ชิงยังอยู่ตอนนี้ เธอกับยิ่งอันจะได้มีชีวิตอยู่หรือไง?

เขามาขอไป๋มู่ชิงกับฉันงั้นหรอ เป็นเรื่องยากที่จะจัดการจริงๆ!

“คุณป้านี้ชอบพูดเล่นจังนะครับ” หลินอันหนานไม่คิดที่จะเชื่อในสิ่งที่ซูวยาหยงพูดเลยสักนิด เขาจ้องมองไปที่เธอแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน“ด้วยนิสัยของคุณป้าแล้วเนี่ย เป็นไปไม่ได้ที่ทำอะไรแล้วไม่ทิ้งหนทางเหลือไว้ให้ตัวเอง เพื่อที่จะให้ไป๋ยิ่งอันมีตำแหน่งอยู่ในตระกูลหนานกง คุณไม่ปล่อยไป๋มู่ชิงเป็นอิสระตามที่พูดไว้แน่ แต่กลับจะเอาเธอไป……”

เขาหยุดไปสักพัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นกว่าเดิม“แน่นอน ผมหวังว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยดี ไม่อย่างนั้นละก็…….”

สถานการณ์สงบลงทันที ซูวยาหยงมองไปที่สายตาเย็นชาของหลินอันหนาน แล้วรีบพูดขึ้นว่า“เธอต้องยังมีชีวิตอยู่ๆแล้ว ฉันจะไปทำอะไรเธอได้ละ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หลินอันหนานลุกยืนขึ้นแล้วพูดกับซูวยาหยงด้วยสีหน้าจริงจังว่า“ผมจะให้พวกคุณสองทางเลือก หนึ่ง พาผมไปหาไป๋มู่ชิงเดี๋ยวนี้ สองคือพาผมไปบ้านตระกูลหนานกงโดยตรง”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท