เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 118 ตัวเลือกของเธอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“ไม่!” สวีหย่าหรงรีบลุกขึ้นจากโซฟาตามเขา ใบหน้าซีดเผือด:”คุณชายหลิน ได้โปรดอย่าไปที่ตระกูลหนานกง”

“งั้นความหมายของป้าสะใภ้คือเลือกตัวเลือกแรก?”

“ฉัน……” เธอพูดไม่ออก

ถ้าไปตระกูลหนานกงตอนนี้ แล้วบอกทุกอย่างกับหนานกงเฉินและคุณผู้หญิง ไม่เพียงแต่ไป๋ยิ่งอันจะตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งตระกูลไป๋ทั้งตระกูลคงประสบหายนะเป็นแน่

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอไม่มีทางให้ถอยแล้ว ก็เลยจำใจฝืนเดินต่อไป

ไม่ว่ายังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเป็นเรื่องของการเล็งผลประโยชน์ ไม่คำนึงถึงคนรุ่นหลัง ช่วงนี้หลินอันหนานเงียบตลอด ที่แท้ก็มีอะไรแอบแฝงอยู่!

สองเส้นทางในตอนนี้ ไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางไหนก็ตายทั้งนั้น!

“คือว่า……” เธออ้าปาก:”คุณชายหลิน เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปเจอมู่ชิง แต่ว่าพวกเรามาคุยกันดีๆก่อนได้ไหม”

หลินอันหนานยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ:”ผมรู้ว่าคุณจะพูดถึงอะไร วางใจเถอะ ที่ผมต้องการคือมู่ชิง ตระกูลหนานกงกับตระกูลไป๋ของพวกคุณเรื่องรักๆแค้นๆผมไม่สนใจหรอก”

“แต่ว่าจะสามารถครอบครองมู่ชิงได้ตลอดไหมนั้น มีบางเรื่องที่คุณต้องให้ความร่วมมือฉัน” สวีหย่าหรงรีบพูดออกมา:”ก็อย่างเช่น……ถ้าหนานกงเฉินพบว่าพวกเขาทั้งสองคนสลับสถานะกัน คงไม่ปล่อยมู่ชิงไปอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าเขาไม่เอาตัวมู่ชิงกลับมา ก็คงฆ่าเธอซะ คุณ……คุณจะสูญเสียมู่ชิงไปไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม”

“หลังจากนั้นล่ะ?”

“หลังจากนั้น……หลังจากนั้นเพื่อป้องกันเรื่องนี้ที่นานวันเข้าก็จะเกิดเรื่องร้ายแรงตามมาได้ ฉันหวังว่าพวกคุณตระกูลหลินจะสามารถจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด ให้พวกคุณสองคนรีบแต่งงาน และฉันก็จะให้มู่ชิงแต่งออกจากตระกูลไป๋เพื่อเป็นหน้าเป็นตา” สวีหย่าหรงยิ้มอย่างเอาใจ:”ยังไงซะปีที่แล้วพวกคุณก็เคยหมั้นกันไว้ แต่งงานตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แบบนี้คนทางตระกูลหนานกงก็คงไม่สงสัยอะไรมากเกินไป มู่ชิงเองก็คงไม่คิดจะกลับตระกูลหนานกงอีก คุณว่ายังไง?”

หลินอันหนานคิด พยักหน้า:”ได้”

จุดประสงค์ของเขาคือไป๋มู่ชิง แน่นอนว่าไม่หวังให้ไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินจับตัวกลับไป วิธีนี้ก็คงจะดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน

“งั้น……งั้นพวกเราไปกันเถอะ……” สวีหย่าหรงยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนขมับ แล้วนำหน้าเดินไปยังชั้นล่าง

ตอนที่หลินอันหนานมองเห็นไป๋มู่ชิง เธอนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ใบหน้าก็มองเหม่อเหมือนกับคนโง่

แค่พริบตาเดียว หลินอันหนานก็โกรธจนหันมาตวาดใส่สวีหย่าหรง:”เธอเพิ่งจะคลอดลูกไปนะ! คุณก็ปฏิบัติต่อเธออย่างนี้เหรอ?”

สวีหย่าหรงหดคอ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ถ้าเธอเป็นผู้ชายล่ะก็ คาดว่าหลินอันหนานคงโกรธจนสวนหมัดมา

พอเขาตะโกน ก็ทำให้ไป๋มู่ชิงมองมาทางเขาอย่างเงียบๆ ขณะที่เธอเห็นการปรากฏตัวของหลินอันหนานอย่างไม่คาดคิดนั้น นัยน์ตาก็เผยความตกใจ แต่ไม่นานก็เงียบสงบลง

หลินอันหนานเคยเตือนเธอแล้ว ถ้าเธอยังเอาแต่เดินตามความคิดของตัวเอง สถานการณ์จะต้องเลวร้ายอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาพูดถูกแล้ว

“พวกคุณ……คุยกันไปนะ” สวีหย่าหรงพูดจบประโยคนี้ ก็หมุนร่างออกไปจากห้องเล็กๆอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่สวีหย่าหรงเดินไป หลินอันหนานก็เดินมาตรงหน้าไป๋มู่ชิง มองลงมาใบหน้าเหมือนรู้สึกไม่ดีที่เธออยู่ในสภาพนี้:”ตอนนั้นผมบอกว่าอะไร แม่ลูกคู่นี้ไม่ใช่คนจิตใจดี บอกให้คุณอย่าไปเชื่อพวกเขา”

“ฉันรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คนจิตใจดี แต่คุณล่ะ? คุณเป็นคนจิตใจดีเหรอ?” ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างเจ็บปวด

“จนถึงตอนนี้ คุณก็ยังจะดื้อดึงใช่ไหม?” หลินอันหนานนั่งยองลงมา มองมาที่เธอ:”ผมเคยพูดไปแล้ว บนโลกนี้มีแค่ผมที่สามารถช่วยคุณได้ รวมถึงวันนี้มีแค่ผมที่สามารถช่วยคุณออกไปได้”

“คุณสามารถช่วยฉันออกไปได้?” ไป๋มู่ชิงมองเขาอย่างตกใจ

“ถูกต้อง ไป๋ยิ่งอันเข้าไปยังตระกูลหนานกงได้แล้ว เพื่อจะไม่ให้คุณไปรบกวนพวกเขา ทั้งชีวิตนี้คุณผู้หญิงไป๋คงไม่ปล่อยคุณออกไปแน่ แต่แค่ผมเอ่ยปาก เขาไม่กล้าไม่ปล่อยอย่างแน่นอน”

ออกจากที่นี่ เป็นเรื่องที่เธอฝันอยู่ทุกวัน แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวมาเยอะขนาดนี้แล้ว เธอจะไม่เชื่อใครอีกไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม รวมถึงผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วย

“ปล่อยฉันออกไป คุณคงมีเงื่อนไขละสิ? บอกมาสิว่าเงื่อนไขของคุณคืออะไร?”

“ตอนนี้ ไม่ว่าผมจะพูดเงื่อนไขอะไรก็ตามคุณคงตอบรับใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เขา สายตาเริ่มโกรธทีละนิด

หลินอันหนานยื่นมือมาลูบแก้มเธอ ยิ้มอย่างอ่อนโยน:”มู่ชิง พวกเราไม่จำเป็นต้องทำให้เสียบรรยากาศขนาดนี้ ความจริงแล้วที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมยังรักคุณอยู่ ผมอยากคบกับคุณ เพราะฉะนั้นผมจะต้องช่วยคุณออกไป”

“หลังจากนั้นล่ะ ฉันต้องแต่งงานกับคุณใช่ไหม?”

“หรือว่าคุณยอมที่จะอยู่ที่นี่ เพราะไม่ยอมแต่งงานกับผม?”

“แต่งงานกับคุณ……” ไป๋มู่ชิงยิ้มเจื่อนๆแล้วส่ายหน้า

หลินอันหนานเห็นความไม่ยินยอมอยู่บนใบหน้าของเธอ อดไม่ได้ที่จะโมโห:”ถ้าความเกลียดที่คุณมีต่อผมมันมากขนาดนี้ งั้นก็ช่างเถอะ คิดซะว่าวันนี้ผมไม่ได้มา”

หลินอันหนานลุกขึ้นยืน หมุนร่างเตรียมจะเดินออกไป

ในเวลานี้ไป๋มู่ชิงกลับจับขากางเกงเขาไว้ ห้ามไม่ให้เขาก้าวออกไป

หลินอันหนานยิ้ม เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเธอไม่อยากให้เขาไป

“ถ้าไปกับคุณแล้ว คุณจะทำตามต้องการของฉันทุกอย่างใช่ไหม?” ไป๋มู่ชิงสะอึกสะอื้นถาม

“มันก็ไม่แน่หรอก ถ้าคุณอยากได้หนานกงเฉินขึ้นมา ผมคงไม่ให้คุณอย่างแน่นอน”

“หนานกงเฉิน……” เธอปาดน้ำตาในตา:”ผู้ชายคนนี้ฉันไม่ต้องการตั้งนานแล้ว ฉันต้องการแค่ครอบครัวของฉัน”

เธอคิดแค่แม่กับน้องชายอยู่อย่างปลอดภัย คิดแค่ตามหาลูกสาวของตัวเองที่หายตัวไปตามร่องรอยที่ทิ้งไว้

ถ้าการได้แต่งงานกับหลินอันหนานทำให้เธอได้ออกจากที่นี่ ทำให้เธอมีโอกาสได้เจอกับครอบครัวของตัวเอง แล้วเธอจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ?

“ตกลง ผมจะช่วยคุณตามหาครอบครัวของคุณ” หลินอันหนานยื่นมือไปให้เธอ

ไป๋มู่ชิงมองมือของเขา ครู่ใหญ่ถึงจะเอามือของตัวเองส่งขึ้นไป หลินอันหนานออกแรงนิดหน่อย ดึงเธอขึ้นมาจากพื้น เข้ามาในอ้อมกอด

“ไม่ต้องร้องแล้ว ผมรับประกันกับคุณ หลังจากนี้จะไม่มีใครกล้ามารังแกคุณอีก” หลินอันหนานลูบผมของเธอ หลังจากนั้นก็โอบเธอแล้วเดินออกจากประตูไป

เป็นครั้งแรกที่ไป๋มู่ชิงได้เห็นโลกภายนอกของห้องเล็กๆนั้น ด้านนอกประตูเป็นบันไดที่เต็มไปด้วยฝุ่น ชั้นแรกเป็นห้องรับแขกที่ตกแต่งได้นับว่าหรูหราเลยทีเดียว

ฝั่งประตูก็จะเป็นทะเลที่มองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา

เป็นสถานที่ที่เรียกสวรรค์สวรรค์ไม่ได้ยิน เรียกนรกนรกไม่สนใจจริงๆ

สวีหย่าหรงยืนอยู่ตรงขั้นบันไดที่ประตูของห้องหลัก ใบหน้าไม่มีความเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ในทุกๆวัน ยิ้มอย่างยินดี:”มู่ชิง ในเมื่อเธอตัดสินใจว่าจะไปอยู่กับคุณชายหลินแล้ว ฉันก็วางใจแล้ว ขอโทษนะ ที่ก่อนหน้านี้ขังเธอไว้ที่นี่หลักๆก็เพราะกลัวว่าเธอจะไปก่อความวุ่นวายที่ตระกูลหนานกง ถ้าเป็นแบบนั้นไม่เพียงแต่เธอจะไม่มีชีวิตอยู่ พวกเราทั้งตระกูลไป๋ก็คงตายด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น……”

เขายิ้มแล้วพูดใหม่:”เธอวางใจได้ รอให้เสี่ยวอี้รักษาอาการเสร็จ ฉันจะรีบพาเขากลับมาให้พวกเธอได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน หลังจากนั้นจะให้เธอได้แต่งออกจากตระกูลไป๋อย่างมีหน้ามีตา ตอนนั้นพวกเราก็ให้สัญญากันแบบนี้ ใช่ไหม”

ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของสวีหย่าหรง รู้สึกไม่ชอบมากแค่ไหนก็ไม่ชอบมากแค่นั้น

เธอมองไปที่เขา ใบหน้าไร้อารมณ์:”ยังไงก็รีบรับเขากลับมาเถอะ เทคโนโลยีการรักษาพยาบาลของเมืองซีก็ไม่แย่”

เธอรู้อยู่แล้วว่าสวีหย่าหรงพูดจุดประสงค์แบบนี้ ก็เพียงเพื่อใช้อาการป่วยของเสี่ยวอี้มาเป็นเหตุผลเท่านั้น ที่จะควบคุมอิสระของแม่กับเสี่ยวอี้ต่อไป

แน่นอนว่าเธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับหลินอันหนาน ก็จะใช้ประโยชน์จากหลินอันหนานหนีจากอำนาจชั่วร้ายของเขา จะต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ดีๆ ไม่เช่นนั้นก็แต่งงานไปเสียเปล่า

“อืม ในเมื่อมู่ชิงแต่งกับผม เสี่ยวอี้ก็นับว่าเป็นน้องชายของผม ผมควรจะรับผิดชอบการรักษาพยาบาลของเขา” หลินอันหนานพูดออกมาอย่างสบายๆ และถือโอกาสนี้โอบร่างกายของไป๋มู่ชิงให้ชิดขึ้น

สีหน้าของสวีหย่าหรงเปลี่ยนไปอีก แต่ก็ต้องมีรอยยิ้มไว้บนหน้า เขาพยักหน้า:”ในเมื่อคุณชายหลินพูดแบบนี้แล้ว งั้นฉันก็จะไปรับเสี่ยวอี้มารักษาต่อที่เมืองซีละกัน”

“หวังว่าคุณจะเร่งมือ” ไป๋มู่ชิงพูด

“ได้ ฉันจะเร่งมือ” สวีหย่าหรงนอกจากพยักหน้า ก็ไม่มีทางไหนให้เดินอีก

หลินอันหนานพาไป๋มู่ชิงมาที่คอนโดระดับสูงห้องหนึ่ง ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ไป๋มู่ชิงยังไม่ปริปากพูดเลยสักประโยค ครั้งนี้เข้าไปในคอนโด เธอก็ยังไม่พูดเหมือนเดิม

หลินอันหนานนำเธอเข้าไปในห้องนอน หยิบเสื้อผ้าผู้หญิงสบายๆออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วส่งให้เธอ:”เข้าไปอาบน้ำด้านในก่อนเถอะ เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด”

ไป๋มู่ชิงมองเสื้อผ้าในมือเขา ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ

หลินอันหนานยิ้มเข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มเบาๆ:”วางใจเถอะ เสื้อผ้าพวกนี้ฉันให้คนซื้อมาใหม่ เป็นของเธอ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า รับเสื้อผ้ามาแล้วเดินไปยังห้องน้ำ

ดูๆแล้วหลินอันหนานคงจะวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ แล้วก็เดาได้ว่าเธอต้องมากับเขา มองตัวเองในกระจกที่กำลังตกที่นั่งลำบาก เธอหัวเราะเยาะตัวเอง ในตอนนั้นปฏิเสธเขาอย่างแน่วแน่ไปหลายครั้ง พูดเอาไว้ว่าต่อให้ตายตนเองก็จะไม่คบกับเขาเด็ดขาด ไม่คาดคิดเพิ่งจะผ่านไปครึ่งปี ตัวเองก็เหมือนหมาน้อยที่กลับมาอยู่ข้างกายเขาอย่างว่าง่าย

เธอทำความสะอาดตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้านั้นไม่ทันระวังมือก็ไปชนกับหน้าอกที่ยังคงอวบอิ่มอยู่ เจ็บซะจนเธอย่นคิ้วเบาๆ

ลูกเกิดมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว ความเจ็บของหน้าอกก็ลดน้อยลง เธอรู้ว่านี่เป็นช่วงที่น้ำนมกำลังจะหยุด ถ้ายังตามหาลูกไม่เจออีก น้ำนมก็คงจะหยุดไหลอย่างหมดสิ้น

พอนึกถึงลูกเวลานี้ไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ากำลังทานอะไรเพื่อผ่านไปแต่ละวัน เธอไม่สบายใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่

“มู่ชิง คุณโอเคไหม?” เพราะเวลาผ่านไปนานแล้วแต่ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ หลินอันหนานก็เริ่มกังวล

“โอเค” เธอเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมา

เธอยืนอยู่ตรงประตูห้องน้ำมองมาที่เขา รอบตามีคราบน้ำตาอยู่ เธอกำลังคิดว่าจะบอกเขาเรื่องลูกดีไหม หลังจากที่บอกเขาแล้ว เขาจะช่วยตามหาลูกกลับมาหรือเปล่า? นั่นเป็นลูกของหนานกงเฉิน เขาคงไม่ช่วยอย่างแน่นอน!

“คุณเป็นอะไรไป?” หลินอันหนานสังเกตเธอแล้วถาม

“ขอโทรศัพท์ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

“ได้แน่นอน” หลินอันหนานยิ้ม:”เพื่อเรื่องแค่นี้ถึงกับทำให้ตาของตัวเองร้องไห้ออกมาทั้งสองข้างเลยเหรอ?”

“ขอบคุณนะ รบกวนช่วยเร็วหน่อย” ไป๋มู่ชิงยิ้มไปทางเขาอย่างยากลำบาก ก้าวเท้าเดินไปยังข้างๆเตียง

หลินอันหนานเดินตามหลังเธอมาจนถึงข้างๆเตียง กำชับด้วยเสียงอ่อนโยน:”ช่วงนี้เธอก็พักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ไม่มีใครจะมาสร้างความลำบากให้เธออีก รอจนกว่าป้าสะใภ้กับเสี่ยวอี้จะกลับมา ก็จะมาอยู่ที่นี่กับเธอ”

“โอเค”

“ผมเชิญพี่สะใภ้เยว่มา ให้เขามาดูแลชีวิตประจำวันของคุณชั่วคราว”

“โอเค” ไป๋มู่ชิงนอกจากพยักหน้าอย่างไม่หยุด ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว

ในช่วงที่ลำบากที่สุดมีคนออกมายืนแล้วดึงตนเองขึ้น เป็นเรื่องที่น่าซาบซึ้งใจจริงๆ เธอพบว่าตัวเองนั้นมีความรู้สึกขอบคุณหลินอันหนานขึ้นมาแล้วนิดหน่อย

หลังจากหลินอันหนานออกไปได้ไม่นาน ผู้หญิงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาของคุณชายหลินก็ส่งโทรศัพท์มา ไป๋มู่ชิงหยิบโทรศัพท์ อดทนรอไม่ไหวแล้วกดโทรหาเบอร์ของซูซี่ทันที

เสียงปลายสายของโทรศัพท์มีเสียงของซูซี่ดังออกมาอย่างร้อนรน:”มู่ชิง ไม่กี่วันนี้เธอไปอยู่ที่ไหนมา? ทำไมโทรศัพท์ปิดเครื่องตลอด? แล้วยังไม่โทรกลับหาฉันอีก?”

“เสี่ยวซี่ เรื่องมันยาว” ไป๋มู่ชิงพูด:”ตอนนี้ฉันอยากให้เธอช่วยตามหาลูกสาวของฉันให้หน่อย”

“ลูกสาวของเธอ? หายไปแล้วจริงๆเหรอ?”

“จริง นอกจากฝั่งบ้านเธอคุณชายเฉียว ก็ไม่มีใครสามารถช่วยฉันได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงพยายามกลั้นน้ำตา

“แต่เฉียวซือเหิงบอกแล้ว วันนั้นในโรงพยาบาลไม่มีเด็กคนไหนที่หายไป ในกล้องวงจรปิดก็ไม่พบว่ามีเด็กหายไปเหมือนกัน” ซูซี่ได้ขอให้เฉียวซือเหิงช่วยสืบหาความจริงเรื่องนี้นานแล้ว เพราะว่าไม่เชื่อเฉียวซือเหิง เธอยังเคยให้แม่สามีคุณผู้หญิงเฉียวช่วยสืบหาความจริงอีกแรง ผลสุดท้ายก็เหมือนว่าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“แต่ว่า……ที่เธอบอกฉันเด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่มีร่างกายแข็งแรงนี่”

“ก็ใช่น่ะสิ” ซูซี่คิด:”งั้นก็ได้ ฉันจะช่วยเธอหาต่อไปแล้วกัน ตอนนี้เธอสะดวกไหม พวกเราออกมาคุยกันต่อหน้า”

ไป๋มู่ชิงมองไปด้านนอก พบว่าที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ไม่รู้ว่าที่ไหน

เธอเดินออกมาตรงดาดฟ้า ถึงจะพบว่าที่นี่คุ้นตามาก ตรงหน้าเป็นวิวแม่น้ำที่สวยมาก ด้านล่างก็เป็นสวนที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

ที่นี่เป็นหมู่บ้านคอนโดของหนานกงเฉิน ขนาดตึกแต่ละชั้นยังเหมือนกันอย่างกับแกะ ห้องของหนานกงเฉินก็คงอยู่ฝั่งขวามือของเธอ

บังเอิญจริงๆ……

หลังจากที่ส่งที่อยู่ไปให้ซูซี่ ไป๋มู่ชิงก็วางโทรศัพท์ ยืนมองห้องข้างๆของหนานกงเฉินบนดาดฟ้าอยู่นาน จนกระทั่งพี่สะใภ้เยว่เตือนให้เธอกลับห้องเพื่อหลบลม เธอถึงจะกลับห้อง

ไป๋ยิ่งอันได้ยินเสียงรถดังมาจากหน้าต่างด้านนอก หลังจากเปิดผ้าม่านดูแล้วเห็นว่าเป็นรถของหนานกงเฉิน ก็รีบไปที่ด้านข้างเตียงเล็กแล้วอุ้มลูกขึ้นมาจากเตียง

หนานกงเฉินเลิกงานเพิ่งกลับถึงบ้าน ก็ตรงไปหาไป๋ยิ่งอันที่อยู่ในห้องเหมือนอย่างปกติ

“คุณชายใหญ่ คุณกลับมาแล้ว” ไป๋ยิ่งอันต้อนรับอย่างอบอุ่น

หนานกงเฉินยิ้มแล้วก้มหน้าลงไปจูบบนริมฝีปากเธอ ยื่นมือมาจับมือเล็กๆของลูก:”ลูกรักวันนี้เป็นเด็กดีไหม?”

“เป็นเด็กดีมากค่ะ คุณจะอุ้มเขาหน่อยไหม” ไป๋ยิ่งอันส่งลูกให้เขา หนานกงเฉินรับเข้ามาอุ้มในอ้อมกอด หลังจากที่ผ่านการฝึกมาหลายวัน เขาอุ้มได้ชำนาญแล้ว

หนานกงเฉินสังเกตลูกอย่างละเอียด ก็พบว่าสีหน้าของเขายังไม่ค่อยดีเหมือนเดิม หายใจถี่อย่างมาก ลูบหน้าผากของลูก แล้ววางเขากลับลงบนเตียงเล็กด้วยท่าทีเงียบสงบ

บางทีให้เด็กนอนบนเตียงคงจะสบายกว่า เขาคิด

ผ่านไปไม่นาน เสี่ยวลวี่ก็เดินขึ้นมาเรียกหนานกงเฉินให้ไปทานอาหารค่ำ

หลังจากที่หนานกงเฉินลงไปไม่นาน ผู่เลี่ยนเหยาก็ยกอาหารบำรุงมื้อค่ำขึ้นมาให้ไป๋ยิ่งอัน เดินเข้าไปด้วยยิ้มสดใสไปด้วย:”พี่สะใภ้ต้องหิวแล้วแน่เลยใช่ไหม? อาหารมื้อค่ำมาแล้ว”

ไป๋ยิ่งอันเห็นว่าเป็นเขา ย่นคิ้วอย่างไม่รู้ตัว แต่ภายนอกยังคงยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน:”เลี่ยนเหยา ทำไมเป็นเธอที่ส่งขึ้นมาให้ฉันล่ะ? เกรงใจแย่เลย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทานจากข้างนอกมาแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรทำพอดีก็เลยขึ้นมาดูเด็กน้อยสักหน่อย” ผู่เลี่ยนเหยาเห็นเธอลงจากเตียง ก็รีบห้ามไว้:”พี่สะใภ้พี่นั่งบนเตียงเถอะ ไม่ต้องลงมาหรอก”

เขาเอาถาดรองมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง แล้วเอาซุปส่งมาด้านหน้าเธอ:”นี่เป็นซุปไก่ตุ๋นที่พี่เหอส่งมาให้พี่เป็นพิเศษ ลองดื่มก่อนค่ะ”

“ขอบคุณนะ” ไป๋ยิ่งอันเชื่อฟังที่สวีหย่าหรงสั่งสอนว่าให้ห่างจากผู้หญิงคนนี้ไว้ เธอดื่มซุปไก่ไปเล็กน้อยแล้ววางกลับไปบนโต๊ะ

ผู่เลี่ยนเหยาพิงข้างเตียงแล้วมองดูเด็กน้อย หันมามองเธอแล้วยิ้ม:”พี่สะใภ้ ทำไมหนูรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนพี่กับพี่ชายเลยสักนิด? หรือว่าโรงพยาบาลอุ้มมาให้พี่ผิดคน? เอางี้ไหมพวกพี่ตัดเส้นผมมาให้หนู หนูช่วยพวกพี่เอาไปวินิจฉัยที่โรงพยาบาลเอง?”

ไป๋ยิ่งอันสมองตื้อ มองเขาอย่างอึ้ง

วินิจฉัยเธอกับเด็ก? งั้นก็ต้องรู้สิว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเธอ?

ผู่เลี่ยนเหยาเห็นว่าเธอทำหน้าตกตะลึงก็หัวเราะออกมา:”พี่สะใภ้ ฉันล้อพี่เล่น นี่พี่คิดว่าเรื่องจริงเหรอ?”

“ฉัน……ฉันเกือบจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว เรื่องล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกหรอก” ไป๋ยิ่งอันยิ้ม:”ถ้าให้คุณชายใหญ่ได้ยินคงไม่ดีใจอย่างแน่นอน คุณชายใหญ่คนนี้เดิมทีก็ใจแคบ”

“พี่ชายใจแคบ? ไม่เห็นจะรู้สึกเลย” ผู่เลี่ยนเหยาเดินกลับไปนั่งข้างเตียง:”หนูรู้สึกว่าพี่ชายเขาดีมากเลยนะ นอกจากตอนกลางคืนเวลาพี่เขาอาการกำเริบน่ากลัวอยู่นิดหน่อย เวลาอื่นพี่เขาก็ดีมาก”

“ตอนกลางคืน……น่ากลัวนิดหน่อยจริงๆ แต่ฉันไม่กลัวหรอก ก็ชินแล้วนี่นา” ไป๋ยิ่งอันรู้สึกว่ารอบศีรษะของตัวเองเริ่มชาแล้ว ความจริงแล้วเธอกลัวมาก!

โชคดีที่พี่ไม่กลัว ไม่งั้นพี่ชายคงเสียใจตายแน่ๆ พี่สะใภ้รีบดื่มซุปนี้ตอนยังร้อนเถอะ ผู่เลี่ยนเหยาส่งถ้วยซุปบนโต๊ะให้เธออีกครั้ง

ไป๋ยิ่งอันยื่นมือออกไปพอโดนกับถ้วยซุปแล้ว ถ้วยซุปกลับหล่นลงมาจากนิ้วมือของเธออย่างกะทันหัน ซุปไก่ทั้งถ้วยกระจัดกระจายอยู่บนเตียง

“ไอหยา! ขอโทษค่ะ โทษหนูที่ไม่ดี” ผู่เลี่ยนเหยาวิ่งไปหยิบทิชชู่บนโต๊ะชาอย่างลุกลี้ลุกลน หลังจากนั้นใช้ทิชชู่เช็ดคราบซุปบนเตียง

เดิมทีผ้าคลุมเตียงก็ดูดซับน้ำง่ายอยู่แล้ว พอซุปหกใส่ผ้าคลุมเตียงก็เปียกชื้นเป็นวงกว้าง คาดว่าฟูกที่นอนก็คงเปียกไปด้วย

ถึงแม้ว่าไป๋ยิ่งอันจะโกรธ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าผู่เลี่ยนเหยาเธอก็เลยต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีงามเอาไว้ กลับต้องเสแสร้งแกล้งยิ้มปลอบโยน:”ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจ พรุ่งนี้ค่อยให้คนเข้ามาทำความสะอาด”

“แต่คืนนี้พี่จะไม่มีที่นอนนะ” ผู่เลี่ยนเหยายังคงรู้สึกผิด

“เกิดอะไรขึ้น?” หนานกงเฉินเดินเข้ามาจนถึงบนเตียงที่ทั้งสองเพิ่งจะสร้างความยุ่งเหยิงไป ก็เลยเดินเข้ามาถามพวกเขา

ผู่เลี่ยนเหยาลงมาจากบนเตียง มองสายตาของหนานกงเฉินแล้วยังคงรู้สึกผิด:”พี่ชาย หนูไม่ระวังทำเตียงของพี่สะใภ้สกปรกซะแล้ว”

หนานกงเฉินมองบนเตียงที่เปียกชื้นเป็นวงกว้าง:”ไม่เป็นไร คืนนี้ก็มาพักที่ห้องของฉันก่อนสิ”

เขาพูดตามสิ่งที่เหมาะสม แต่ไป๋ยิ่งอันหลังจากที่ได้ยินว่าให้พักห้องของเขา ในใจจู่ๆก็หวาดกลัวขึ้นมา รีบตอบเลี่ยง:”ไม่ต้องหรอกค่ะ เปียกแค่นิดเดียวเอง แค่เปลี่ยนผ้าคลุมเตียงก็เสร็จแล้ว”

ถึงแม้ว่าหนานกงเฉินหล่อมากและมีเสน่ห์มาก เธอก็มักจะทนไม่ไหวอยากจะใกล้ชิดเขาเหมือนกัน แต่พอคิดถึงดึกๆดื่นๆเขาอาการกำเริบกัดไป๋มู่ชิงจนเป็นแผลแบบนั้น ในใจเธอก็กลัวขึ้นมา

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อาการกำเริบทุกคืน แต่ถ้าคืนนี้ดันมากำเริบล่ะจะทำยังไง? เธอต้องแกล้งทำท่าทางไม่กลัวแล้วไปดูแลเขา? หรือว่าต้องเอามือของตัวเองส่งไปให้เขากัด? ไม่เอาด้วยหรอก!

ส่วนหนานกงเฉินแต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ไม่ชอบที่สุดก็คือเห็นว่าไป๋มู่ชิงตั้งใจหลบเลี่ยงตัวเอง หลังจากที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็เริ่มเผยความรุนแรงที่ติดเป็นนิสัยออกมา

เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เอนร่างใช้มือเชยกรามของเธอขึ้นแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย:”นี่เป็นซุปไก่ไม่ใช่น้ำเปล่า เธอไม่กลัวว่าดึกๆดื่นๆจะมีหนอนปีนขึ้นมาเหรอ?”

พอไป๋ยิ่งอันได้ยินหนอน ก็ขดตัวกลัวตามสัญชาตญาณ อ้าปาก:”หรือไม่ก็……ฉันไปนอนห้องลูก?”

หนานกงเฉินส่ายหน้า:”ไม่ได้ กลางคืนลูกจะร้องรบกวนการพักผ่อนของคุณนะ”

“ฉัน……ความจริงแล้วฉันก็แค่กลัวว่ากลางดึกตัวเองจะรบกวนการนอนของคุณ” ไป๋ยิ่งอันเห็นว่าหนีไม่ได้แล้ว ทำได้แค่ยิ้มแล้วพูดจาให้น่าฟัง

“ไม่เป็นไร คุณรบกวนผมไม่ได้หรอก” หนานกงเฉินส่ายหน้า

กลางคืน ไป๋ยิ่งอันนั่งอยู่บนเตียงมองเงาสะท้อนกลับหัวอันยั่วยวนที่ส่องสะท้อนทางกระจกออกมาจากห้องน้ำ ฟังเสียงน้ำซ่าๆที่ดังออกมาจากด้านใน ความหวาดกลัวภายในใจก็เริ่มหายไปทีละนิด

ขณะที่หนานกงเฉินนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ ถึงขนาดทำให้เธอลืมเรื่องที่อาการกำเริบในตอนกลางคืนอย่างหมดสิ้น สายตาพุ่งตรงไปที่ร่างกายอันแข็งแรงของเขา

เดิมทีนึกว่าหนานกงเฉินที่ป่วยตั้งแต่เล็กๆจะอ่อนแออย่างมาก ไม่ได้คาดคิดว่าไม่แย่ไปกว่าผู้ชายคนอื่นเลยสักนิด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่โผล่ออกมาให้เห็นร่างเปลือย มองแล้วทำให้คนทนไม่ไหวอยากจะเข้าไปใกล้

หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาที่โจ่งแจ้งของเธอ ยิ้มเบาๆแล้วเลิกคิ้วถามเธอ:”ทำไม? ใบหน้าที่เหมือนเสือจะเข้าขย้ำเหยื่ออยากให้ฉันโผตัวเข้าไปหา?”

ไป๋ยิ่งอันได้สติคืน ถึงแม้ว่าอยากจะให้เขาโผตัวเข้ามาหาจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้ลืมสถานะของตัวเองตอนนี้ นิสัยของไป๋มู่ชิงที่ไม่มีรสนิยมนั่น เวลานี้ควรจะอายแล้วมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มใช่ไหม?

“ไม่ได้เห็นร่างกายคุณนานมากแล้ว ก็เลยทนไม่ได้ชั่วขณะ” เธอยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน

“งั้นเมื่อกี้ใครแกล้งทำว่าไม่อยากนอนร่วมเตียงเดียวกับผม?” หนานกงเฉินเดินเข้ามา โผเข้าไปหาเธอบนเตียง

ไป๋ยิ่งอันหัวเราะแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับหน้าหล่อๆของเขาเอาไว้ มองเขาอย่างไม่ละสายตา:”แม่บอกไว้ เป็นผู้หญิงรุกเกินไปไม่ได้ค่ะ”

“แต่ตอนนี้พวกเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”

“ก็จริง งั้นหลังจากนี้ฉันจะไม่เสแสร้งแกล้งทำแล้ว”

“ไม่เสแสร้งแกล้งทำหมายความว่ายังไง?” หนานกงเฉินตั้งใจแกล้งเธอ

“ไม่เสแสร้งแกล้งทำก็คือ……อยากกอดคุณก็กอด อยากจูบคุณก็จูบ” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วพลิกตัวกดเขาให้อยู่ด้านล่างร่างกาย หลังจากนั้นก็ก้มหน้าจูบลงไปบนริมฝีปาก

ไป๋ยิ่งอันตอบความต้องการไม่ชัด:”หลังจากที่ผู้หญิงคลอดลูกแล้วต่างก็อวบอิ่มขึ้นกันทั้งนั้น”

“งั้นเหรอ? งั้นต่อไปคุณก็สามารถคลอดได้หลายคนหน่อย”

“เกลียดอะ……ฉันไม่คลอดเยอะขนาดนั้นหรอก”

“อันนี้เกรงว่าไม่อาจทำตามคุณได้” หนานกงเฉินพลิกตัวให้เธอไปอยู่ด้านล่างอีกครั้ง

ความเร่าร้อนของเธอทำให้หนานกงเฉินรู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย กลิ่นอายของเธอก็ทำให้หนานกงเฉินรู้สึกว่าไม่คุ้นเคย กลิ่นอายของแต่ละคนเดิมทีก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้จูบกับไป๋มู่ชิงมาเกือบห้าเดือน แต่สำหรับกลิ่นอายของเธอนั้นเขายังคงสามารถแยกแยะออกได้

หรือเพราะกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป กลิ่นอายของคนหนึ่งก็จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลางั้นเหรอ?

หนานกงเฉินค่อยๆปล่อยเธอ มองเธอแล้วถามว่า:”ทำไมผมถึงมีความรู้สึกว่า คุณไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อก่อน?”

ไป๋ยิ่งอันนิ่งอึ้งไป ในใจลุกลี้ลุกลน ความต้องการที่ถูกเขาขัดจู่ๆก็เงียบลงไม่น้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงแสร้งพูดน้ำเสียงเศร้าสลด:”คงเป็นเพราะช่วงนี้คุณผ่านผู้หญิงมาหลายคน ลืมฉันเกือบหมดแล้วใช่ไหม?”

เป็นแบบนี้จริงๆเหรอ? หนานกงเฉินถามตัวเองในใจ

ท่าทางอยากสืบหาความจริงนั้น เขาก้มหน้าจูบบนริมฝีปากเธออีกครั้ง

เวลานี้ไป๋ยิ่งอันกลับห้ามการกระทำของเขาไว้ ใบหน้าอายจนหน้าแดง:”ตอนนี้ฉันไม่ค่อยสะดวก รอฉันคลอดพ้นหนึ่งเดือนก่อน”

“ขอโทษ ผมลืมไป” หนานกงเฉินเปลี่ยนไปจูบบนหน้าผากของเธอ หลังจากนั้นก็พลิกตัวไปนอนอีกฝั่งนึงของเตียง

ไป๋ยิ่งอันถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่อยากจากและเสียดาย แต่เพื่อไม่ให้ถูกเขาพบความแตกต่างของตัวเอง เธอทำได้แค่ปล่อยมันไป

หลังจากที่ซูซี่ถูกไป๋มู่ชิงตามถามอยู่หลายครั้ง ก็เริ่มสงสัยตัวเองว่าในตอนนั้นดูผลการตรวจสอบผิดหรือเปล่า หรือว่าเป็นพนักงานที่ทำผลการตรวจสอบผิด

“ฉัน……ฉันมั่นใจว่าตัวเองดูไม่ผิดแน่ แต่ว่า……” ซูซี่ตกใจอ้าปาก:”แต่ว่าถ้าเกิดหาไม่เจอจริงๆว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จะทำยังไง? ฉันไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงถอนหายใจ:”ในเมื่อเธอบอกว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไปแน่ๆ งั้นฉันก็เหลือแค่ความหวังเดียว ขอแค่มีความหวังฉันไม่มีทางยอมแพ้หรอก”

“หรือไม่ก็……รอตอนที่จัดงานครบเดือนของเด็ก ฉันจะหาทางไปเอาเส้นผมของเด็กมาแทนเธอเอง แป๊บเดียวก็รู้ผลกันแล้ว”

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า:”หนานกงเฉินคงไม่จัดงานครบเดือนให้กับเด็กที่ป่วยหรอก”

“ถึงแม้ว่าจะไม่จัดงานครบเดือน แต่เฉียวซือเหิงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา ต้องมีของขวัญให้อย่างแน่นอน มีโอกาสอยู่นะ”

“ขอบคุณเธอนะ” ไป๋มู่ชิงซาบซึ้งใจ

ซูซี่มองเธอ ใบหน้าแต่มีความสงสาร

สองวันก่อนตอนที่ไป๋มู่ชิงบอกความจริงเธอเรื่องทั้งหมด เธอเกือบจะไม่เชื่อ ละครที่เล่นนอกบทแบบนี้กลับเกิดขึ้นกับไป๋มู่ชิง

หลังจากที่ซูซี่กลับไป ไป๋มู่ชิงพิงโซฟานั่งคิดเรื่องวันนั้นที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลอยู่คนเดียว เธอจำหน้าตาของหมอคนนั้นไม่ได้ แต่เธอจำได้ว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่ และนิสัยก็ไม่เลวเลยทีเดียว

เธอลุกขึ้นยืนจากโซฟาอย่างรวดเร็ว กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปโรงพยาบาลเหิงซิง

เธอไม่รู้ว่าที่เธอทำอยู่นี้มีประโยชน์หรือเปล่า แต่ก็คงเสี่ยงที่จะถูกโรงพยาบาลขับไสไล่ส่ง เธอหารูปร่างคนในความทรงจำที่แผนกสูตินรีเวชทีละห้องๆ

ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวอยู่ นั่นก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาทำงานอยู่ข้างในโรงพยาบาลนี้ และก็อยู่ในระหว่างไม่กี่ชั้นนี้

น่าเสียดายที่หาทั่วที่ทำงานไปแล้วหนึ่งรอบ เธอก็ยังคงหาคนที่รูปร่างใกล้เคียงไม่เจอ แล้วยังถูกยามที่เฝ้าแต่ละชั้นไล่ลงมาอีกด้วย

ไป๋มู่ชิงยังไม่ยอมแพ้แล้วออกไปแบบนี้ หวนกลับไปรอที่ประตูลิฟต์อย่างนาน เธอคิดว่าขอแค่ผู้ชายคนนั้นทำงานที่นี่ เวลาเข้างานเลิกงาน ก็ต้องเข้าออกลิฟต์อย่างนอน

ตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงกลางคืน จนกระทั่งหลินอันหนานโทรมาหาเธอ เธอถึงนึกได้ว่าฟ้ามืดแล้ว ควรกลับไปได้แล้ว

หลินอันหนานถามเธอว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เธอพูดเล่นไปเรื่อยว่าตัวเองนั้นมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หลินอันหนานที่อยู่ปลายสายเงียบไปประมาณสองวินาที หลังจากกำชับให้เธอรออยู่ที่นี่ห้ามไปไหนก็วางสายลง

ไม่นาน หลินอันหนานก็มาอยู่ตรงหน้าเธอ หลังจากพาเธอกลับขึ้นไปบนรถก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่า:”อย่าลืมสิว่าตอนนี้คุณยังคลอดไม่พ้นหนึ่งเดือนห้ามออกไปข้างนอก”

“ฉันรู้ ฉันก็แค่……” น้ำตาของไป๋มู่ชิงไหลลงมาจากเบ้าตา แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าบอกเขา ว่าตัวเองนั้นมาหาคน

“ต่อไปห้ามออกมาอีก” หลินอันหนานใช้น้ำเสียงสั่งคำสั่งพูด

กลับถึงบ้าน ไป๋มู่ชิงค่อยข้างเหนื่อย อยากจะกลับห้องไปพักผ่อน หลินอันหนานกลับดึงมือเธอให้มานั่งลงข้างโต๊ะอาหาร:”ทานข้าวก่อนค่อยกลับห้อง”

พี่สะใภ้เยว่เอาอาหารยกขึ้นมา ไป๋มู่ชิงทานไปนิดนึง แล้วก็กลับห้องไป

เธออาบน้ำในห้องน้ำแล้ว ความเหนื่อยล้าของร่างกายก็ลดลงไม่น้อย ก็เลยรินน้ำหนึ่งแก้วยืนหันหน้าเข้าที่มุมหน้าต่างมองเหม่อไปยังด้านนอก

หลินอันหนานเดินไปปิดหน้าต่างที่จรดพื้นให้สนิท หลังจากนั้นก็จับร่างกายเธอให้หันกลับมา สังเกตเธอ:”ผ่านไปหลายวันแล้ว อารมณ์คุณดีขึ้นบ้างไหม?”

ไป๋มู่ชิงเปิดหนังตาขึ้น แล้วมองไปยังเขา:”คุณเคยลิ้มรสความเจ็บปวดของการสูญเสียลูกหรือเปล่า?”

หลินอันหนานถูกเธอถามกลับก็เงียบลง

ไป๋มู่ชิงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้ถามคำถามโง่เขลาออกไป ส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด:”ขนาดลูกคุณยังไม่เคยมีเลย จะไปลิ้มรสถึงความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกจากไหนกัน?”

“ผมว่า……น่าจะเป็นความเจ็บปวดเดียวกับสูญเสียคนรักใช่ไหม? แน่นอนว่าความเจ็บปวดนี้ผมเคยลิ้มรสมาแล้ว” หลินอันหนานพูด:”ทุกครั้งที่เห็นว่าคุณกับหนานกงเฉินอยู่ด้วยกัน ในใจผมทั้งหดหู่ทั้งเสียใจ”

“ของคุณคือความอิจฉาไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่ความรัก”

“ถ้าแค่ความอิจฉาไม่ยอมแพ้ งั้นในตอนนี้ผมมีคุณแล้ว ทำไมถึงทำใจทิ้งคุณไม่ลงล่ะ?” หลินอันหนานจ้องเธออย่างไม่ละสายตา ด้วยสายตาที่อ่อนโยน หลังจากนั้นก็ก้มหน้าจูบลงบนริมฝีปากของเธอ

ริมฝีปากของเขาในความนุ่มยังรู้สึกเย็น สัมผัสบนริมฝีปากเธออย่างกับไฟช็อต ไป๋มู่ชิงถอยไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ ทำให้ริมฝีปากของเขาค้างอยู่กลางอากาศ

บนหน้าของหลินอันหนานเผยความผิดหวัง มองใบหน้าของเธอที่รู้สึกอึดอัด

“ขอโทษนะ ฉัน……ฉันยังไม่พร้อม” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างรู้สึกผิด

เธอรู้ว่าตนเองไม่ควรที่จะปฏิเสธเขา ยังไงซะในตอนแรกเป็นเธอเองที่เลือกออกมากับเขาจากห้องเล็กๆนั่น แต่ว่า……เธอในตอนนี้ยังไม่สามารถตอบรับผู้ชายคนอื่นได้จริงๆ ช่วยไม่ได้จริงๆ!

หลินอันหนานถอยกลับมา ยิ้มอย่างสบายๆ:”ไม่เป็นไร ผมจะรอให้คุณปรับตัว”

“ขอบคุณนะ” ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยสายตารู้สึกผิด

“จริงสิ บอกข่าวดีคุณหนึ่งเรื่อง ป้าสะใภ้กับเสี่ยวอี้จะบินมาจากฝูซางมาถึงพรุ่งนี้” หลินอันหนานเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา

“จริงเหรอ?” ไป๋มู่ชิงร้องออกมาอย่างดีใจ

“จริงแน่นอน”

“ดีจังเลย!” ไป๋มู่ชิงร้องออกมาอีกครั้งอย่างดีใจ บนหน้าเผยรอยยิ้มครั้งแรกในไม่กี่วันมานี้

ในที่สุดเวลาที่เธอรอก็มาถึง ในที่สุดก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับแม่และเสี่ยวอี้แล้ว ช่วงไม่กี่วันมานี้นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดแล้ว เธอจะไม่ดีใจได้ยังไง?

หลินอันหนานมองใบหน้าเธอที่กำลังตื่นเต้น ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขไปพร้อมกับเธอ

แต่รอยยิ้มบนใบหน้าเขาไม่นานก็หายไป ใช้มือจับไปที่ไหล่ของเธอทั้งสองข้างอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่เธอ:”มู่ชิง ตอนนี้ในมือของคุณผู้หญิงไป๋แม่ลูกนั้นไม่มีอะไรกุมอำนาจคุณได้แล้ว คุณคงไม่……ลืมสัญญาระหว่างพวกเรา แล้วกลับไปหาหนานกงเฉินใช่ไหม?”

เขาพูดอย่างกังวลมาก และระวังมากเช่นกัน

รอยยิ้มบนในหน้าของไป๋มู่ชิงก็เริ่มจางหายไป จริงสิ ถ้าแม่กับเสี่ยวอี้กลับมาแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรให้สองแม่ลูกดุร้ายคู่นั้นกุมอำนาจไว้ในมือได้อีก

แค้นนี้ต้องชำระ!นี่เป็นโอกาสดีที่จะแก้แค้น เธอสามารถทวงคืนความเจ็บปวดและเก็บเพิ่มจากแม่ลูกคู่นั้นที่ทำไว้บนร่างกายเธอ

แต่ว่า……

ถ้าตอนนี้เธอไปหาคุณผู้หญิง แล้วเปิดโปงแผนการของแม่ลูกสองคนนั้น หนานกงเฉินคงไม่ปล่อยเธอไปแน่ เธอไม่กลัวว่าต้องแลกกับอะไร ที่เธอกลัวคือถ้าตัวเองล้มลง ใครจะช่วยเธอตามหาลูก? ใครจะมาดูแลเสี่ยวอี้กับแม่?

ที่สำคัญก็คือ เพื่อคนที่ไม่รักตนเองอย่างหนานกงเฉิน สูญเสียเยอะขนาดนี้มันคุ้มจริงๆเหรอ?

ช่างเถอะ ในเมื่อตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอกับตระกูลหนานกงและตระกูลไป๋ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันอีก งั้นก็ปล่อยพวกเขาไปตามทางเถอะ

แม่ลูกตระกูลไป๋ ก็ให้พวกเขาโอหังไปเถอะ

หนานกงเฉิน……ก็ปล่อยเขาไปตามทางเถอะ

และตัวเธอเองก็ต้องมีชีวิตใหม่และจุดมุ่งหมายใหม่ ตามหาลูกกลับมา ดูแลครอบครัวให้ดี

ส่วนหลินอันหนานนั้น ยังไงซะเขาก็เป็นดึงเธอให้ขึ้นมาจากความตาย และยังมีสัญญาก่อนหน้านั้นอีก เธอไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเขาเพื่อบรรลุเป้าหมายแล้วมาผิดสัญญาทีหลัง ถ้าทำแบบนั้น เธอก็คงเหมือนสวีหย่าหรงที่ไร้ยางอายอะไรแบบนั้นน่ะสิ?

เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มไปทางเขา:”คุณวางใจเถอะ ฉันไม่ใช่คนที่ไม่รักษาคำพูดอะไรแบบนั้น”

งั้นก็ดี หลินอันหนานวางใจ ยื่นมือดึงเธอเข้ามากอด:”ผมรู้จักการวางตัวของคุณ และก็เชื่อใจในการวางตัวของคุณ ก็เลยไม่ได้เลือกใช้วิธีเหมือนคุณผู้หญิงไป๋ที่ใช้เสี่ยวอี้มาควบคุมคุณ”

ไป๋มู่ชิงให้เขากอดอย่างตามใจจะขยับก็ไม่กล้า หลับตาลง เวลานี้กลับเห็นภาพที่เธอกับหนานกงเฉินอยู่ด้วยกัน ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับเขาขนาดนั้น กลับยังคงลืมเขาไม่ได้ ลืมภาพเหตุการณ์ที่อยู่ด้วยกันกับเขาไม่ได้

ทำไมล่ะ? เพราะลูกของเธอเป็นลูกของเขาเหรอ? เห็นพูดกันว่าลูกจะเป็นตัวเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เหรอ?

หลังจากที่ค้างคืนกับหนานกงเฉินโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไป๋ยิ่งอันกลับมีความรู้สึกอยากจะสัมผัสใกล้ชิดกับเขา ลุ่มหลงเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

กลางคืน เธอยืนอยู่หน้าประตูคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อจะได้นอนห้องเขาอีก เมื่อคืนเธอใช้กลิ่นฟูกที่นอนใหม่เป็นเหตุผลในการไปค้างที่ห้องเขา หรือคืนนี้ยังต้องใช้เหตุผลเดิม?

ขณะที่ความคิดกำลังพันกันนั้น จู่ๆเธอก็เห็นเสี่ยวลวี่กำลังถือถ้วยยาขึ้นบันไดมา

ในใจเธอก็ดีใจ พุ่งไปทางเสี่ยวลวี่:”เอายามาให้ฉัน ฉันจะถือเข้าไปให้คุณชายใหญ่เอง”

เสี่ยวลวี่ส่งถ้วยยาให้เธอ เตือนว่า:”นายหญิงน้อยต้องให้คุณชายใหญ่ดื่มให้หมดนะคะ”

“วางใจเถอะ ฉันทำได้น่า” ไป๋ยิ่งอันโยนใส่เธอหนึ่งประโยคอย่างหงุดหงิด หลังจากที่ยื่นมือไปเคาะประตูของหนานกงเฉิน ก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท