เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 136 ปรารถนาสิ่งสวยงามในอนาคต

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนานกงเฉินปล่อยมือจากปุ่มลิฟต์และเดินเข้าไปยืนข้างๆเธอ

เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆเธอไป๋มู่ชิงก็สัมผัสได้ถึงออร่าอันทรงพลัง

เธอเอนตัวเข้ามุมลิฟต์โดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “พรุ่งนี้ฉันจะต้องจัดงานแต่งแล้ว คืนนี้จะมีเพื่อนๆกับสไตล์ลิสต์มานะคะ”

สิ่งที่เธอหมายถึงนั้นชัดเจน บ้านของเธอนั้นมีคน เขาไม่มีสิทธิ์คิดไม่ซื่อกับเธอเป็นอันขาด

หนานกงเฉินหันกลับมา ใช้ร่างกายขวางเธอไว้ที่มุมลิฟต์ และใช้นิ้วเรียวแตะริมฝีปากที่น่าดึงดูดของเธอ”ไม่ต้องกังวลคืนนี้ฉันไม่ได้ดื่ม”

“งั้นก็ดี” ไป๋มู่ชิงหันหน้าหนีอย่างลุกลี้ลุกลน พยายามเอานิ้วที่เขากดเข้ากับริมฝีปากของเธอออกไป

หนานกงเฉินไม่ให้โอกาสเธอได้ผละออกไป และพูดต่ออย่างเรียบง่ายว่า “และ … ฉันเป็นโรคกลัวเชื้อโรค ฉันไม่ชอบผู้หญิงที่เพิ่งถูกผู้ชายคนอื่นจูบมา”

“ฟู่ … ” ไป๋มู่ชิงสูดหายใจ เริ่มรู้สึกเจ็บเบาๆที่ริมฝีปากของเธอ

“ในเมื่อคุณไม่ชอบ ก็ปล่อยรีบปล่อยฉันสิ ”

ลิฟต์ได้หยุดลงที่ชั้นที่ทั้งสองคนอยู่ ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกอย่างแรงและพยายามเบียดร่างกายเขาออกไป

แต่ก่อนที่เธอจะวิ่งออกจากลิฟต์ จู่ๆก็มีมือมาพันธนาการที่เอวของเธอ และหนานกงเฉินก็พาเธอกลับเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ที่เอวมีแขนอันทรงพลังของเขา ร่างกายของเธอแนบแน่นไปกับเขา ใบหน้าของเธอเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ

“ พรุ่งนี้แต่งงานใช่ไหม” เขาก้มลงมองเธอ

เธอพยักหน้าราวกับหุ่นยนต์ “ใช่ค่ะ”

“เธออยากได้ของขวัญแต่งงานแบบไหนล่ะ พี่เขยจะให้เธอ ไม่สิ…ต้องบอกว่าบอกคนรักจะให้เธอเอง”

“ ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นค่ะ” เธอพยายามอย่างหนักที่จะดันตัวเองออกจากพันธนาการของเขา แต่เธอก็ไม่สามารถออกจากอ้อมแขนของเขาได้เลย

“หนานกงเฉิน ถ้านายยังไม่ปล่อยฉันอีก ฉันจะตะโกนแล้วนะ!” เธอขู่ด้วยความโกรธ

ในที่สุดหนานกงเฉินก็ปล่อยมือออกจากตัวเธอ ไม่ใช่เพราะเขากลัวเธอร้องตะโกน แต่เป็นเพราะเขาได้เล่นจนพอใจแล้ว

ทันทีที่เธอเป็นอิสระ ไป๋มู่ชิงก็หันหลังและรีบออกจากลิฟต์ เธอวิ่งไปไม่กี่ก้าวจนไม่ได้ยินเสียงหนานกงเฉินไช่ตามมา เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงรีบใส่รหัสผ่านที่ประตูด้วยความรวดเร็วและเปิดประตูเข้าห้องไป

จะกระทั้งประตูทุกบานถูกล็อคหมดแล้ว ประตูระเบียงเองก็ถูกล็อคเช่นกัน ในที่สุดไป๋มู่ชิงก้รู้สึกโล่งใจ เธอเดินเข้าไปในห้องนอน มองดูริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ ยังดีที่ไม่ถูกเขาทำร้ายจนเป็นแผล

เธออาบน้ำและเก็บของเล็กน้อย จากนั้นก็ขึ้นเตียงนอนหลับพักผ่อน

เธอไม่ให้เหยาเหม่ยเข้ามาเพราะเมื่อพิจารณาแล้วว่าหนานกงเฉินรู้จักเหยาเหม่ยและรู้ว่าเหยาเหม่ยเป็นภรรยาของเพื่อนเขา ถ้าหากเจอเธอ เขาจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน

หลับตาลง เธอพยายามอย่างมากที่จะทำให้ตัวเองหลับโดยเร็วที่สุด แต่เธอกลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างนั้นก็มีสายโทรศัพท์จากหลินอันหนาน และโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศที่มาแสดงความยินดีของซซี่ หลังจากวางสาย เธอก็ยังคงไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย

เป็นเพราะหนานกงเฉินอาศัยอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงหรือไงกัน? จึงเป็นสาเหตุให้ใจของฉันเริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

ทำไมฉันถึงกลัวเขามากขึ้นเรื่อยๆกันนะ? กลัวแม้กระทั่งเงาของเขา

หลังจากคิดเพ้อเจ้อมาพักหนึ่ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็หลับได้สักที แต่หลังจากหลับได้ไม่นานก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายของพวกสไตล์ลิสต์นั่นเอง

ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง ไป๋มู่ชิงถูกแต่งหน้าแต่งตัวโดยความช่วยเหลือของสไตล์ลิสต์

เธอได้รับสายจากหลินอันหนานด้วยความงุนงง อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์หลินอันหนานคงจะตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อถามเธออย่างสดชื่อว่าตื่นหรือยัง

ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นและมองตัวเองในกระจก “ฉันกำลังแต่งหน้าอยู่”

“อะไรนะ?ยังไม่ตื่นเหรอ”

“อืม” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา:”การแต่งงานมันเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก”

“ เด็กดี อดทนสักหน่อยก็ผ่านไปแล้วนะ กลางคืนก็ค่อยนอนชดเชยนะ” เสียงของหลินอันนั้นฟังดูเอาแต่ใจ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วถามว่า “แปดโมงมารับฉันไม่ได้เหรอ คุณตื่นมาทำอะไรเช้าขนาดนี้”

“ เพราะฉันอยากแต่งงานกับเธอไวๆน่ะสิ” หลินอันหนานยิ้มเบา ๆ

เขาไม่ได้บอกไป๋มู่ชิงว่าในความเป็นจริงนั้นเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าจะได้ไป๋มู่ชิงมาอย่างราบรื่น

ทำไมถึงมีความรู้สึกแย่ ๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้

ไป๋มู่ชิงเหลือบมองเวลาบนกำแพงและปลอบว่า “เพิ่งจะตีห้าเอง เช้าเกินไป ไปนอนอีกสักหน่อยเถอะ”

“ไม่เป็นไร ฉันตื่นแล้วก็นอนไม่หลับ”

“ ก็ได้้ ถ้างั้นเดินทางปลอดภัยนะ”

“เอาล่ะ ไม่รบกวนคุณแต่งตัวแล้วนะ” หลินอันหนานกล่าวด้วยรอยยิ้มและวางสายโทรศัพท์

ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์และมองตัวเองในกระจก ตอนนี้เธอในกระจกนั้นดูสวยขึ้นกว่าเมื่อก่อน แล้วมีออร่าของเจ้าสาวอีกด้วย

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงฉากที่เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเมื่อปีที่แล้วโดยไม่มีชุดแต่งงานและผ้าคลุมศีรษะที่สวยงาม ไม่มีสไตล์ลิสต์มากมาย เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอใส่เสื้อผ้าแบบไหนและเธอก็กลายเป็นภรรยาของหนานกงเฉินด้วยความงุนงง

หนึ่งปีต่อมาวันนี้เธอก็ได้กลับมาเป็นเจ้าสาวอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ชายที่เธออยากจะแต่งงานด้วย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าครั้งที่แล้วมากนัก

เธอหลับตานึกถึงสิ่งดีๆทั้งหมดที่หลินอันหนานทำให้เธอ และเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ

เธอจะแต่งงานกับคนที่ดีกับตัวเองได้ไหมนะ เธอยังมีอะไรที่ดีกว่านี้ให้เลือกอีกนะ?

ทันใดนั้นเธอรู้สึกอยากจะโทรหาหลินอันหนาน เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโทรออกอีกครั้ง ที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์หลินอันหนานดูแปลกใจเล็กน้อย”ไป๋มู่ชิง เป็นอะไรเหรอ?”

“ อันหนาน ฉันอยากคุยกับคุณ”

“ เธออยากคุยเรื่องอะไร?” น้ำเสียงของหลินอันหนานเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที

ไป่มู่ชิงหัวเราะ “อย่ากังวลนักสิ ฉันแค่มีความในใจบางอย่างจะบอกกับคุณ”

ความในใจ … ฟังแล้วดูน่าตื่นเต้นนะ!

หลินอันหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า”งั้นก็ได้ เธอพูดมาสิ ฉันฟังอยู่”

ไป๋มู่ชิงบีบโทรศัพท์บนฝ่ามือของเธอแน่น และพูดว่า “ครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณอยู่ในร้านกาแฟ ฉันตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น ฉันไม่รู้ว่าทำอะไร มีครอบครัวหรือแฟนหรือไม่ เพียงแค่นั้นฉันก็ถูกคุณดึงดูด เพียงแค่คุณยื่นมือมาเล็กน้อย ฉันก็พร้อมที่จะติดกับดักแล้ว จนกลายเป็นแฟนของคุณ ตอนนั้นฉันรักคุณจากใจจริงๆ และยังเป็นรักครั้งแรกของฉันอีกด้วย จนกระทั่ง … ”

“มู่ชิง คุณหยุดพูดเรื่องนั้นได้ไหม” หลินอันหนานขัดเธอ “ฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชดเชยความผิดพลาดนั้น ดังนั้นโปรดหยุดพูดถึงเรื่องนี้เถอะ”

“อันหนาน ฉันยกโทษให้คุณค่ะ”

“เธอพูดว่าอะไรนะ?”

“ฉันบอกว่าฉันยกโทษให้คุณ” ไป่มู่ชิงย้ำ “ตราบใดที่คุณไม่ทรยศฉันอีก ฉันจะยกโทษให้คุณ และฉันจะรักคุณและชอบคุณเหมือนเดิม”

“มู่ชิง … ” หลินอันหนานกระซิบเสียงเบาอย่างประหลาดใจ “เธอพูดจริงเหรอ?”

“อืม”

หลินอันหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับมาเลย”

“ งั้นคุณต้องรักษาไว้ให้ดีนะคะ”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะถนอมมันไว้ ต่อไปฉันจะรักเธอเหมือนเดิมและฉันจะไม่ทำเรื่องเลวทรามแบบนั้นอีก”

“โอเคค่ะ ฉันเชื่อคุณ”

“ แล้วเธอล่ะ … ” หลินอันหนานลังเล

ไป๋มู่ชิงยิ้มเบา ๆ “ไม่ต้องกังวล ฉันจะลืมสิ่งต่างๆและผู้คนในอดีตให้เร็วที่สุดและเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง”

“ อืม … แล้วฉันจะปรารถนาสิ่งสวยงามในอนาคตได้ไหม”

“อะไรเหรอคะ”

“เช่น มีลูกให้เร็วที่สุด”

ไป่มู่ชิงเงียบ ลูกเอ๋ย หัวใจของเธอเริ่มเจ็บปวดอีกครั้ง ในขณะที่ยังหาลูกของเธอไม่เจอนั้นเธอจะมีลูกคนใหม่มาแทนที่หรือเปล่า?

ไม่ เธอทำแบบนี้ไม่ได้ เธอตัดสินใจแล้วว่าหลังแต่งงานเธอจะออกไปตามหาลูกสาวของเธอ และจะต้องพาลูกสาวกลับมาให้ได้

หลินอันหนานรู้สึกถึงความเงียบของเขาและหัวเราะเบา ๆ “เธอก็รู้ว่าแม่ของฉันเร่งให้ฉันมีลูก เพราะอยากอุ้มหลานไวๆ แต่ถ้าเธอไม่อยากเร่งรีบตอนนี้ล่ะก็ ไม่เป็นไรนะ พวกเรารอก่อนก็ได้”

“ฉันแค่คิดว่าฉันเพิ่งลอดไปไม่นานถ้าจะคลอดอีก … อันหนาน งั้นพวกเราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ” เธอเปลี่ยนเรื่อง “โอเค คุณทำธุระไปนะคะ ไว้เจอกันค่ะ”

“โอเค ไว้เจอกัน” หลินอันหนานกำลังจะวางสาย แต่ไป๋มู่ชิงก็พูดว่า “อันหนาน คุณจะทำทุกอย่างเพื่อฉันจริงๆเหรอ?”

“อืม แน่นอน”

“เช่น … ยอมรับความคิดเล็กๆ น้อยๆ ยอมรับลูกของฉัน … ฉันหมายถึง … ถ้าลูกของฉันยังไม่ตาย” ในที่สุดเธอก็พูดประโยคนี้ออกมา

หลินอันหนานครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้า “แน่นอน”

“จริงเหรอถ้าอย่างนั้นคุณช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม”

“ เรื่องอะไรเหรอ”

“ฉัน … ” ไป๋มู่ชิงกระพริบตาที่มีน้ำตาและหัวเราะเบา ๆ”ฉันจะบอกคุณหลังงานแต่งงานนะคะ”

ถ้าเธอบอกหลินอันหนานว่าตอนนี้ลูกสาวของเธออาจยังมีชีวิตอยู่ และขอให้เขาช่วยตามหา เขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน แต่เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริง ๆ หลังจากคิดได้แล้วเธอก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้หลังแต่งงาน

“ มีอะไรเหรอ?” หลินอันหนานถูกกระตุ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเธอ

“มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ฉันจะบอกคุณหลังจากแต่งงานนะคะ”

หลินอันหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอเค ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เธอเอง ไม่ต้องกังวล”

“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกและวางสายโทรศัพท์

เธอไม่รู้ว่ามันเหมาะสมหรือไม่ที่จะบอกหลินอันหนานเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น เธอได้คิดมาเป็นเวลานานก่อนที่จะตัดสินใจ

เพิ่มคนช่วยมาหนึ่งคน ก็เหมือนกับความหวังเพิ่มขึ้นมาอีกไม่ใช่เหรอ?

ณ โรงพยาบาล ไป๋จิ้งผิงตื่นขึ้นมาและเห็นไป๋ยิ่งอันอยู่หน้าเตียง เขามองไปที่เธอและถามว่า “ยิ่งอัน วันนี้มู่ชิงแต่งงานแล้วเธอไม่ควรอยู่ที่นั่นเหรอ?”

“หนูจะอยู่ที่นั่นในฐานะคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง แต่ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่ไปทำพิธีตอนสิบเอ็ดโมง” ไป๋ยิ่งอันจับมือเขา: “พ่อ หนูอยากอยู่เป็นเพื่อนพ่อที่นี่ก่อน”

“ ที่นี่มีพยาบาล เธอไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก”

“หนูเองก็ไม่มีอะไรจะทำแล้ว” ไป๋ยิ่งอันยิ้ม “หนูกลัวว่าพ่ออยู่ที่นี่คนเดียวจะเบื่อ”

“ยิ่งอัน … ” ไป๋จิ้งผิงตบมือของเธอและพูดด้วยรอยยิ้มที่แสนขมขื่น “แม้ว่าเธอจะเอาแต่ใจ แต่เธอก็ยังเป็นเด็กดี พ่อปลื้มใจมากๆ”

“ แน่นอนสิคะ พ่อเป็นพ่อแท้ๆของหนู หนูไม่กตัญญูต่อพ่อแล้วจะกตัญญูต่อใครล่ะคะ”

“เด็กดี” ไป๋จิงผิงมองไปรอบ ๆ “แล้วแม่ของเธอล่ะ?

“ก่อนมาที่นี่หนูโทรไปที่บ้านแล้วค่ะ ป้าหงบอกว่าแม่ออกมาแล้ว น่าจะกำลังเดินทางมาค่ะ” ไป๋ยิ่งอันหันกลับมาและเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง หลังจากพูดจบก็หยิบขนมออกมาจากถุง “พ่อ หนูเอาเค้กสับปะรดของโปรดมาให้ พ่อลองชิมดูสิ”

เธอยื่นขนมชิ้นหนึ่งป้อนไปที่ปากของไป๋จิ้งผิง ไป๋จิงผิงอ้าปากกัดและพยักหน้าอย่างยินดี “อื้ม อร่อยมาก”

“จริงเหรอคะ ถ้าอร่อยก็กินอีกสิคะ” ไป๋ยิ่งอันหยิบให้เขาเพิ่มอีกชิ้น

“มา ฉินกินเอง” ไป๋จิ้งผิงหยิบรับขนมจากเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ขนมที่ลูกสาวสุดที่รักของฉันซื้อมาให้ อร่อยกว่าขนมที่คนอื่นซื้อมาอีก”

“ จริงเหรอคะ งั้นเอาไว้หนูจะซื้อมาให้บ่อยๆนะคะ”

“ดี ดี” ไป๋จิ้งผิงพยักหน้า แต่ดวงตาของเขากลับหรี่ลงโดยไม่ได้ตั้งใจ

เขาปัดเศษขนมปังออกจากมือ จากนั้นก็หยิบบัตรธนาคารออกมาจากใต้หมอนแล้วยื่นให้เธอ “ยิ่งอัน เธอน่ะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่บริษัทของเรื่องเกิดปัญหาแบบนี้ ต่อไปพ่อก็คงตามใจลูกไม่ได้อีกแล้ว นี่คือเงินก้อนสุดท้ายของพ่อ รหัสผ่านคือวันเกิดของลูก เธอจะต้องประหยัดนะรู้ไหม ”

ไป๋ยิ่งอัน มองไปที่บัตรธนาคารในมือของเขาและน้ำตาไหลก็ไหลริน”พ่อ ตัวพ่อเองก็ไม่มีเงิน ยังจะเอามาให้หนูอีกทำไม ต่อไปนี้ควรจะเป็นหนูที่เลี้ยงพ่อสิคะ”

เธอผลักฝ่ามือของไป๋จิ้งผิงกลับไป “พ่อเก็บไปเถอะค่ะ ตอนนี้หนูเป็นถึงคุณผู้หญิงตระกูลหนานกง จะขัดสนเรื่องเงินทองได้ยังไงกัน”

“หนานกง … ” ไป๋จิ้งผิงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น”ยิ่งอันหนานกงเฉินไม่มีทางจะดีกับเธอ ดังนั้นเธอจะต้องรู้จักปกป้องและเลี้ยงดูตัวเองให้ได้”

“ ทำไมพ่อถึงพูดแบบนั้นล่ะ หนานกงเฉินดีกับหนูมาก”ไป๋ยิ่งอันรู้สึกงงงวย นอกเหนือจากบางครั้งที่เขาทำตัวเมินเฉย เรื่องอื่นๆเขาก็ดีทั้งหมด

ไป๋จิ้งผิงยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง “ยังไงก็ตาม เธอฟังที่พ่อพูดนะ เก็บเงินเอาไว้ อีกหน่อยก็คงได้ใช้ประโยชน์ และ … ” เขาคว้ามือของไป๋ยิ่งอันมาจับไว้”ถ้าหากในอนาคตฉันดูและพวกเธอไม่ได้ล่ะก็ ได้โปรดดูแลแม่ของเธอแทนฉัน แม่เธอก็เป็นคนเอาแต่ใจเช่นเดียวกันกับเธอต้องการให้คนมาดูแล”

“พ่อ พ่อกำลังพูดเรื่องอะไรนะ ทำไมพ่อถึงดูแลพวกเราไม่ได้” ไป่ยิ่งอันก็รู้สึกเศร้าเช่นกัน “เพราะปัญหาเรื่องภาษีเหรอคะ ไม่ต้องกังวล หนูจะหาทางป้องกันไม่ให้พ่อต้องติดคุกพ่อจะต้องไม่เป็นอะไรค่ะ”

เมื่อเห็นท่าทางกังวลของไป๋ยิ่งอัน ไป๋จิ้งผิงก็ปลอบใจ”โอเค พ่อรอให้เธอคิดหาวิธีแก้ปัญหา ไม่ต้องกังวลนะ”

ไป๋จิ้งผิงกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผมของเธอ “โอเค รีบไปงานแต่งงานของมู่ชิงเถอะ”

“ใช่แล้ว … ” จู่ๆไป๋จิ้งผิงก็พูดขึ้นอีกครั้ง “มู่ชิงเป็นน้องสาวของเธอ อย่าทำให้เธอลำบากใจอีกต่อไปรู้ไหม”

“พ่อ … ทำไมพ่อพูดแบบนั้นล่ะ พ่อเริ่มจะห่วงเธอไม่ห่วงฉันแล้วใช่ไหม” ไป๋ยิ่งอันเบ้ปาก

ไป๋จิ้งผิงยิ้ม “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ พ่อน่ะรักเธอที่สุดแล้วนะ”

“ แล้วทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ”

“ พ่อแค่คิดว่าเธอเป็นน้องสาวคนเดียวของเธอ ในวันข้างหน้าพวกเธอควรจะดูแลซึ่งกันและกันให้ดี”

“เธอไม่ใช่น้องสาวของหนู” ไป๋ยิ่งอันบ่นพึมพำและเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะ หนุไม่คุยกับพ่อละ พ่อพักผ่อนเถอะค่ะ หนูจะไปร่วมงานแต่งแล้ว”

“โอเค ไปเถอะ”

“ไปแล้วนะคะ” ไป๋ยิ่งอันลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นไป๋จิงผิงก็คว้าข้อมือเธอไว้และร้องเรียกชื่อเธอ“ยิ่งอัน”

ไป๋ยิ่งอันหันกลับมาและมองเขาอย่างสงสัย “มีอะไรเหรอคะ?”

“ไม่มีอะไร แค่อยากเรียกชื่อเธอสักหน่อย” ไป๋จิงผิงยิ้มและปล่อยมือเธอ”ไปเถอะ”

ไป๋ยิ่งอันมองไปที่พ่อของเธอ รู้สึกว่าวันนี้เขามีท่าทีที่แปลกเป็นพิเศษ เป็นเพราะเจ็บป่วยหรือบริษัทเกิดเรื่องขึ้นเลยทำใให้เขารู้สึกอ่อนไหวขึ้นมากันนะ?

เธอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เธอหันหลังและออกจากห้องพักของพ่อไป

หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันออกจากโรงพยาบาล เธอก็ตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานของประธานที่ชั้นบนสุดของหนานกงกรุ๊ป

หนานกงเฉินกำลังคุยกับเลขาเหยียน เธอผู้ซึ่งไม่ชอบเลขาเหยียน จึงเหลือบมองเธอเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปหาหนานกงเฉินที่อยู่ด้านหลังโต๊ะอย่างมีความสุข

“เฉิน เราจะไปเข้าร่วมพิธีแต่งงานกันเมื่อไหร่คะ” เธอเดินไปด้านข้างของหนานกงเฉินและนั่งลงบนตักของเขา โดยไม่สนใจว่าเธอสวมชุดเซ็กซี่ขนาดไหน

เลขาเหยียนลดระดับสายตาลงเล็กน้อยและพูดว่า “นายน้อยเฉิน งั้นฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”

“ไปส” มือข้างหนึ่งของหนานกงเฉินจับเอวของไป๋ยิ่งอันเอาไว้

ไป๋ยิ่งอันกอดอกและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จริงๆแล้วไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงเองใช่ไหมคะ?”

หมายความว่าถ้าเขาอยากมีเซ็กส์ตอนนี้ เธอก็พร้อม หนานกงเฉินจะไม่เข้าใจความหมายโดยนัยนี้ของเธอได้อย่างไร เขาเพียงแค่ยิ้มจางๆ และปล่อยให้เธอเริ่มเอง

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ต่อต้านใดๆ ไป๋ยิ่งอันก็กล้ามากขึ้น มือเล็กๆของเธอสอดเขาไปใต้เสื้อของเขา ลูบเบาๆอย่างอ่อนโยน

โทรศัพท์มือถือของหนานกงเฉินดังขึ้นเขาเหลือบมองไปที่หน้าจอ และมองผู้หญิงที่กำลังแกล้งเขาอยู่ และกดปุ่มรับสายทันที

“มีเรื่องอะไร” น้ำเสียงของเขาไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวใดๆ

เสียงร้องด้วยความเศร้าโศกของชายคนหนึ่งดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ และเขาไม่พูดอะไรเลย หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “ถ้าไม่มีอะไร ฉันจะวางสาย”

ในที่สุดคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ก็พูดขึ้นว่า “นายน้อยเฉิน ผมโทรมาเพื่อขอโทษคุณ ทุกอย่างเป็นฝีมือผมทั้งหมด ผมเป็นคนบังคับให้สองพี่น้องทำแบบนี้เอง ไม่เกี่ยวกับพวกเธอเลย … …. ”

“หยุด” หนานกงเฉินพูดออกมาหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไปยิ่งอันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ หนานกงเฉินก้มศีรษะลงและยิ้มให้เธอ “มันไม่เกี่ยวกับคุณ ที่รัก”

ไป๋ยิ่งอันยิ้มอย่างนุ่มนวลและเคลื่อนไหวต่อไป

หนานกงเฉินพูดต่อว่า”ฉันไม่ชอบที่จะได้ยินคำขอโทษ และไม่ต้องการคำอธิบาย”

“ได้ … ผมรู้ว่าผมได้ทำบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้ และผมเต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของผมเอง นายน้อยหนานกง… คุณจะยกโทษให้ลูกสาวทั้งสองของผมได้ไหม ถ้าผมตายคุณจะปล่อยพวกเขาไปไหม ”

“ไม่จำเป็น”

“ นายน้อยหนานกง ถือว่าผมขอร้องได้ไหม?”

“ลืมซะไปเถอะ ฉันไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น” หนานกงเฉินวางมือไว้บนศีรษะของไป๋ยิ่งอันและลูบเบาๆ

“นายน้อยหนานกง ได้โปรดปล่อยลูกสาวของผมไปเถอะ!” ไป๋จิ้งผิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ก็ร้องออกมา ตามด้วยเสียงหอบ’ เหมือนถูกลมพัด และในที่สุดเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของทุกคน

เสียงนั้นดังมากจนแม้แต่ไป๋ยิ่งอันก็ยังตื่นตระหนก

“เสียงอะไรนะ” ไป๋ยิ่งอันถามพลางเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของหนานกงเฉินด้วยความประหลาดใจ

หลังจากเงียบไปเพียงสองวินาที หนานกงเฉินก็วางโทรศัพท์ลงพลางก้มศีรษะและยิ้มให้เธอ “ไม่มีอะไร แค่มีคนกระโดดตึกแค่นั้นเอง”

“โกระโดตึก ใครกันคะ เกิดอะไรขึ้น” ไป๋ยิ่งหนานมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่ยังมีเสียงดังอยู่ในมือ

“ฉันไม่รู้ อาจมีคนไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปล่ะมั้ง หนานกงเฉินดูโทรศัพท์ กอดไป๋ยิ่งอันที่นั่งอยู่บนตักของเขา พลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกันเถอะเราควรไปกันได้แล้ว”

“ ไปเลยเหรอ ยังเช้าอยู่เลย”

“ ไม่เช้า สายแล้วเดี๋ยวจะพลาดฉากเด็ด”

“ ก็แค่งานแต่งงาน ดูจนเบื่อแล้วค่ะ”

“แต่ฉันไม่เบื่อ” หนานกงเฉินยิ้มให้เธออีกครั้ง

ไป๋ยิ่งหนานรู้ตัวดีว่าเธอไม่สามารถห้ามเขาไว้ได้จึงต้องตามเขาออกไปจากห้องทำงานและเดินไปที่ลิฟต์

โรงแรมระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซี ตั้งอยู่ต่อหน้าแขกแล้วสวนสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ตั้งแต่ในร่มถึงกลางแจ้งได้รับการตกแต่งในบรรยากาศที่อบอุ่นและโรแมนติกและมีดนตรีไพเราะอยู่ทุกมุม

ท่ามกลางงานเลี้ยงที่หรูหรา บรรดาชายหนุ่มต่างสวมใส่ชุดสูท และบรรดาหญิงสาวต่างสวมใส่ชุดราตรีเซ็กซี่ ใบหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

งานเลี้ยงแต่งงานเทียบเท่ากับงานสังสรรค์ขนาดใหญ่ที่กลุ่มคนร่ำรวยถือแก้วไวน์ไว้ในมือและพูดคุยอย่างสุภาพ เพื่อสร้างความสัมพันธ์บรรยากาศที่กลมกลืนและสงบสุข

หลังจากต้อนรับแขกแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ถูกจัดให้พักผ่อนในห้องรับรองเจ้าสาว

เธอนั่งอยู่หน้ากระจกและขอให้ช่างแต่งหน้าเติมเครื่องสำอางค์ให้กับเธอ หลินอันหนานยืนอยู่ข้างหลัง มองดูเธอทั้งสวยและมีเสน่ห์ในกระจกนั่น และอดไม่ได้ที่จะจูบไปที่แก้มของเธอ “สวยจัง”

เหยาเหม่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นเขาจูบไป๋มู่ชิงแล้วก็หัวเราะและพูดติดตลกทันที “นายน้อยหลิน คุณอดใจไว้จูบเธอคืนนี้ไม่ได้เหรอ คนเขากำลังแต่งหน้าอยู่นะ”

“เติมได้อีกน่ะ” หลินอันหนานมองไปที่เธอ ส่งสายไปให้เธอ

“ ช่างแต่งหน้าก็เหนื่อยมากแล้ว คุณก็ไม่เพิ่มเงินเดือนให้”

“เพิ่มสิ เพิ่มให้ทุกคนเลย” หลินอันหนานพูดอย่างใจกว้าง

ช่างแต่งหน้าหัวเราะอย่างมีความสุขทันที “ขอบคุณค่ะนายน้อยหลิน!”

“ดูสิ รวยก็ต้องใจกว้าง พวกเธอควรจะขอบคุณฉันนะ” เหยาเหม่ยชี้ไปที่ตัวเอง

“เอาล่ะ อย่าแกล้งคนอื่นเลย” ไป๋มู่ชิงยิ้มและดึงชายเสื้อของเหยาเหม่ย

“คนเขามาร่วมงานแต่งยังต้องแอบๆซ่อนๆ ไม่สะใจเลย เธอยังไม่ให้ฉันแกล้งนายน้อยหลินอีก” เหยาเหม่ยแสร้งทำเป็นโกรธและเหลือบมองเธอ “ยังไม่ทันได้แต่งงานก็ปกป้องนายน้อยหลินซะแล้ว ใจร้ายจริงๆ”

เธอผิดหวังอยู่แล้วที่ไม่ได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวแม้แต่ไปร่วมงานแต่งงานเธอก็เหมือนกับขโมย เธอยังไม่สามารถปล่อยให้หนานกงเฉินเห็นตัวเองได้อีก ความรู้สึกแอบๆซ่อนๆแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดจริงซะจริง

“ มู่ชิงจะกลายเป็นคุณผู้หญิงหลินในไม่ช้าแน่นอน แน่นอนว่าต้องปกป้องหลินอันหนาน” หลินอันหนานยิ้มอย่างมีชัยชนะ

เหยาเหม่ยมองเขาไปด้านข้างพลางฮัมเพลงและหยุดพูด

ทุกคนคุยกันในเลานจ์สักพักบริกรก็มาแจ้งว่าได้เวลาออกไปด้านนอกแล้ว

“ไปกันเถอะ” หลินอันหนานพยุงไป๋มู่ชิงขึ้นจากเก้าอี้แล้วทั้งสองก็เดินออกจากห้องโถงไปด้วยกัน

ในขณะที่การเดินขบวนของงานแต่งงาน ดำเนินไปอย่างช้าๆคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งก็ปรากฏตัวจับมือกันที่บันไดวนที่เปิดอยู่ชั้นสอง ทุกคนที่ยืนอยู่ชั้นล่างต่างส่งเสียงปรบมือ

เมื่อเห็นการรวมตัวกันของแขกที่ชั้นล่าง ไป๋มู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้

หลินอันหนานรู้สึกถึงความกังวลใจของเธอ จึงจับมือของเธอไว้แน่นและกระซิบข้างหูของเธอว่า”อย่าประหม่า เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น”

ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างพอใจให้เขา ก้าวเท้าส้นสูงคริสตัลอย่างระมัดระวังและเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับเขา

ทั้งสองมาถึงขั้นตอนการแต่งงาน เมื่อบาทหลวงถามว่าเขาจะรักกันชั่วลูกชั่วหลานโดยไม่คำนึงถึงความยากจนหรือความยากลำบาก จนกว่าเขาจะเกิดแก่ชราป่วยและเสียชีวิต หลินอันหนานจึงประกาศความปรารถนาของเขาโดยไม่ลังเล

“ผมเต็มใจ” เขาเอ่ยออกมาสามคำโดยไม่รีรอ

“คุณไป๋มู่ชิง แล้วคุณล่ะ” บาทหลวงถามไป๋มู่ชิง

เมื่อไป๋มู่ชิงแค่อยากจะพูดว่า “ฉันยอมรับ” ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงสายตาที่น่ากลัวที่มาจากทางเข้าล็อบบี้ เธอมองไปที่นั่นโดยไม่รู้ตัวและได้สบตากับหนานกงเฉิน

เขาเพิ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก จ้องมองเธอราวกับมีดที่เชือดเฉือนเธอ ทำให้เธออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว

เขามาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปงานแต่งของใครหรอกเหรอ?

เขามาได้ยังไง? แถมยังมองเธอด้วยสายตาแบบนั้นอีก?

เธอชำเลืองมองด้วยหางตาของเธอมากขึ้น และหลังจากที่ได้เห็นไป๋ยิ่งอันอยู่ข้างๆเขาในที่สุดเธอก็รู้สึกสงบลง พวกเขาสองคนสามารถอยู่ด้วยกันได้และพวกเขายังคงรักกันมากนั่นหมายความว่าเธอคิดมากไปเอง บางทีสายตาของเขาอาจจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วก็ได้

หลินอันหนานเห็นว่าไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบคำถามของบาทหลวง และเมื่อมองตามสายตาของเธอไป ได้พบกับหนานกงเฉิน หัวใจของเขาก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นมาทันใด

เมื่อเช้านี้เพิ่งโทรหาเขาและบอกเขาว่าเธอจะพยายามลืมอดีต แต่นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในพิธีแต่งงาน เธอกลับเสียสมาธิเพราะผู้ชายคนอื่น

“ คุณไป๋มู่ชิง คุณเต็มใจหรือไม่?” บาทหลวงถามอีกครั้งด้วยความลำบากใจ

“อ่า … ” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็กลับมามีสติอีกครั้ง และพยักหน้าอย่างกังวล “แน่นอน ฉันเต็มใจค่ะ นี่ต้องถามด้วยเหรอคะ”

คำตอบของเธอทำให้ผู้ฟังหัวเราะเบา ๆ และแม้แต่บาทหลวงผู้จริงจังก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วก็พูดว่า “ดีแล้ว ขอให้ทั้งคู่แลกแหวน”

บริกรสองคนส่งแหวนให้ หลินอันหนานหยิบแหวนผู้หญิงขึ้นมาสวมที่นิ้วของเธอและกระซิบขู่ข้างหูของเธอว่า “ฉันจะลงโทษเธอในตอนกลางคืน”

ไป๋มู่ชิงหยิบแหวนผู้ชายขึ้นมาสวมที่นิ้วนางและพูดกับเขาอย่างรู้สึกผิด”ฉันขอโทษ”

ผู้มาใหม่บนเวทีเผยให้เห็นถึงความสุขและความโรแมนติกโดยทั่วกันและผู้คนที่ชมพิธีก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน

ไปยิ่งอันที่อยู่เคียงข้างหนานกงเฉินอย่างรักใคร่และกล่าวด้วยความอิจฉาว่า“ มีความสุขจังเลยนะ ฉันต้องการงานแต่งงานที่โรแมนติกแบบนี้เหมือนกัน”

หนานกงเฉินมองลงไปที่เธอและยิ้ม “เดี๋ยวก็มีนะ”

“จริงเหรอ” ไป๋ยิ่งอันเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้นและจ้องมาที่เขา “คุณจะจัดงานแต่งงานแบบตะวันตกให้ฉันจริงเหรอ?”

“ไม่จำเป็นต้องเป็นฉันนี่” หนานกงเฉินยังคงยิ้ม

ไป๋ยิ่งอันเบ้ปากและบ่นด้วยความผิดหวัง”ฉันคิดว่าคุณจะเต็มใจที่จะทดแทนให้ ฉันมันไม่ดีเอง”

ระหว่างนั้นเลขาเหยียนเดินเข้ามาจากประตูอย่างรวดเร็ว เธอยืนอยู่ด้านนอกฝูงชนและมองไปรอบ ๆ เธอเห็นหนานกงเฉินที่โดดเด่นที่สุดในฝูงชน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเขาผ่านฝูงชน

“นายน้อยเฉิน ของขวัญพร้อมแล้วค่ะ” เธอยื่นกล่องสีชมพูที่ห่อแล้วให้กับหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินหันไปด้านข้างเล็กน้อยหยิบกล่องของขวัญสีชมพูจากเธอและพูดกับเธอว่า “ขอบคุณ”

เลขาเหยียนลดศีรษะลงเล็กน้อยและหันไปออกจากห้องจัดเลี้ยง

ไป๋ยิ่งอันมองไปที่กล่องของขวัญที่ห่อด้วยริบบิ้นสีชมพูในมือของหนานกงเฉิน และถามด้วยท่าทีสงสัยว่า”เป็นของขวัญแบบไหน คุณช่วยแสดงให้ฉันดูได้ไหม?”

เมื่อเธอมาครั้งแรกเธอถามหนานกงเฉินว่า เขาวางแผนจะให้ของขวัญอะไรกับไป่มู่ชิงและหลินอันหนาน แต่หนานกงเฉินบอกว่าเธอต้องการทำให้พวกเขาประหลาดใจและเธอก็เซอร์ไพรส์เธอด้วย

ยิ่งหนานกงเฉินแกล้งทำเป็นลึกลับมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งสงสัยว่าสิ่งๆนั้นคืออะไรกันแน่

และหนานกงเฉินยังคงลึกลับเช่นเคย “อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้”

“ ทำไมจะต้องทำให้ลึกลับขนาดนั้นเนี่ย คนเขาสงสัยหมดแล้ว”

หนานกงเฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร

หลินอันหนานและไป๋มู่ชิงบนเวทีแลกเปลี่ยนแหวนกันเสร็จ บาทหลวงมองไปที่ทั้งสองด้วยรอยยิ้มและกล่าวอย่างเสียงดังว่า “ตอนนี้ฉันขอประกาศการแต่งงานของคุณหลินอันหนานและคุณไป๋มู่ชิงอย่างเป็นทางการนับจากนี้ … ”

คำพูดที่เหลือยังไมทันได้พูดจบ ทันใดนั้นเสียงของด้านล่างเวทีก็ดังขึ้น”เดี๋ยวก่อน”

ผู้คนที่รอให้บาทหลวงประกาศงานแต่งงานได้ยินเสียงนี้จึงหันไปมองโดยไม่รู้ตัว

หลินอันหนานและไป๋มู่ชิงบนเวทีก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน โดยเฉพาะไป๋มู่ชิง การได้ยินเสียงของหนานกงเฉิน เหมือนกับการเผชิญหน้ากับฝันร้าย ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวเย็นและขนลุกขึ้นมา

เธอหันไปรอบ ๆ อย่างช้าๆและเห็นหนานกงเฉินถือกล่องของขวัญที่ห่อด้วยริบบิ้นสีชมพูอยู่ในมือ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆจากฝูงชนและเดินขึ้นไปบนเวที

ฝูงชนที่เฝ้าดูพิธีต่างพากันหลีกทางให้เขาโดยไม่รู้ตัว

“เฉิน คุณจะทำอะไร” ไป๋ยิ่งอันกระซิบและรีบเดินตามไปข้างหลังเขาและพูดว่าแค่ให้ของขวัญกับพนักงานเสิร์ฟก็พอ คนเขากำลังจะทำพิธีกันนะ”

หนานกงเฉินเมินเฉยและเดินตรงไปที่เวทีด้วยขาเรียวยาวของเขา เขาหยุดลงที่ด้านหน้าของคนทั้งสองคนและพูดว่า “ช่างเป็นของขวัญล้ำค่า … แน่นอนว่าต้องมอบให้แก่เจ้าสาวด้วยตัวเองสิ ไม่งั้นจะแสดงความจริงใจได้ยังไง ”

มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและผู้คนอาจไม่เข้าใจ แต่ไป๋มู่ชิงเห็นมันในแวบแรก

ในความเป็นจริงนั้น เพียงแค่เธอได้ยินเสียงของหนานกงเฉิน ในใจของเธอก็รู้สึกว่ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง หนานกงเฉินให้ของขวัญกับเธองั้นเหรอ? เขาจะมีน้ำใจให้ของขวัญกับเธอจริงๆเหรอ?

หนานกงเฉินถือกล่องของขวัญไว้ในมือ แต่ทว่าหลินอันหนานและไป๋มู่ชิงไม่ได้ยื่นมือมารับมัน ทุกคนรู้ดีว่านี่คงไม่ใช่ของขวัญที่ดีอย่างแน่นอน

ในที่สุดหลินอันหนานก็ขยับริมฝีปากจ้องไปที่หนานกงเฉินและพูดอย่างเย็นชาว่า “พี่ พี่ต้องการจะทำอะไรกันแน่?”

“ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ แน่นอนว่าฉันมาที่นี่เพื่อให้ของขวัญ” เขาขยับฝ่ามือถือกล่องของขวัญและหันกล่องไปทางเพื่อนเจ้าสาว “รบกวนช่วยเปิดกล่องของขวัญให้หน่อยสิครับ”

เพื่อนเจ้าสาวมองไปที่หลินอันหนานและไป๋มู่ชิง และมองไปที่กล่องในมือของ หนานกงเฉิน จากนั้นก็หยิบกล่องและฉีกริบบิ้นออก

“เอาของขวัญลงไปก่อนเถอะ” หลินอันหนานพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

เพื่อนเจ้าสาวตอบ กำลังจะหันกลับมาและยื่นกล่องให้พนักงานเสิร์ฟ แต่จู่ๆ หนานกงเฉินก็พูดขึ้นว่า “ไม่ ของขวัญแพงมาก ถ้าหากทำหายไปไม่มีอะไรมาชดเชยได้”

ทันทีที่พูดจบ มือของเพื่อนเจ้าสาวก็หดลงทันทีและกอดกล่องของขวัญไว้แน่น

“บอกให้แกะก็แกะสิ จะพูดมากทำไม” ไป๋ยิ่งอันรู้สึกรำคาญกับพฤติกรรมที่ไม่รู้ความของไป๋มู่ชิง

คุณผู้หญิงหลินที่อยู่ด้านล่างเห็นว่าหลินอันหนานและไป๋มู่ชิงอยู่ในทางตันมาระยะหนึ่งแล้วและเธอก็เริ่มพูดว่า “อันหนาน พี่ของเธอมีน้ำใจ รีบแกะกล่องของขวัญเร็วสิ”

ทุกคนพูดเช่นนั้นหลินอันหนานก็ไม่กล้าคัดค้านอะไรอีก จึงได้แต่เงียบนิ่งไป

หลังจากเพื่อนเจ้าสาวมองดูทุกคนอีกครั้ง เธอก็เริ่มเปิดกล่องของขวัญ แกะริบบิ้นสีชมพูออกชั้นหนึ่ง กระดาษสีชมพูอีกชั้นหนึ่งกล่องกระดาษอีกชั้นหนึ่ง

เปิดกล่องออกมา ข้างในเป็นงานกองหนึ่ง

เมื่อมองไปที่กองกระดาษ A4 จำนวนมากที่อยู่ข้างใน ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน ของขวัญล้ำค่าที่สำคัญมากจนต้องแกะออกนั้น ข้างในเป็นเพียงกองกระดาษ

ไป๋ยิ่งหนานมองไปที่หนานกงเฉินอย่างงงงวยและถามด้วยเสียงต่ำว่า “เฉิน นี่คืออะไร?”

หนานกงเฉินยิ้มให้เธอดูก็รู้แล้ว เซอร์ไพรส์คุณด้วยเหมือนกันนะ”

ยิ่งหนานกงเฉินพูดแบบนั้นไป๋มู่ชิงก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ เหลังจากนั้นไม่นานเธอก็มือสั่นพลางหยิบเอกสารในกล่องของขวัญขึ้นมา

ฉบับแรกคือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการที่ตระกูลไป๋ถูกยิ่นเทียนเข้าซื้อกิจการ

ฉบับที่สองคือการแจ้งว่าซูวยาหยงถูกตำรวจควบคุมตัว

ฉบับที่สามคือการแจ้งการเสียชีวิตของไป๋จิ้งผิง

สองฉบับแรกสร้างความตกตะลึงให้กับไป๋มู่ชิง แต่ก็ไม่มีอะไรน่าตกใจมากนัก แต่เมื่อเธอหันไปดูสำเนาฉบับที่สาม เห็นการแจ้งการเสียชีวิตของไป๋จิ้งผิง ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ถ้าหลินอันหนานไม่ช่วยพยุงเธอ เธอคงจะล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว

พ่อของเธอเสียชีวิตแล้วงั้นเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?

เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆและจ้องไปที่ หนานกงเฉิน ก่อนที่จะพูดประโยคหนึ่งออกมาว่า “คุณหมายถึงอะไร?”

เขาหมายถึงอะไร? ทำไมถึงให้สิ่งเหล่านี้กับเธอในวันแต่งงาน? เจออะไรงั้นเหรอ? หรือมันคือการแก้แค้น?

“ส่งของขวัญให้เธอยังต้องถามอีกเหรอว่าหมายความว่าอะไร ไม่เข้าใจน้ำใจของคนอื่นเลยหรือไง” ไป๋ยิ่งอันดุเธอด้วยความโกรธ “คนกำลังดูอยู่เยอะแยะเลยนะ จะไม่ขอบคุณพี่เขยหน่อยเหรอ … ”

“หุบปากไปเลย!” ไป๋มู่ชิงปาแฟ้มในมือใส่เธออย่างขมขื่น

ไป๋ยิ่งอันถูกทำแบบนี้ในที่สาธารณะ เธอเกือบจะกระโดดด้วยความโกรธ

เมื่อมองไปที่ไป๋มู่ชิงซึ่งหน้าซีดและตัวสั่น หนานกงเฉินยังคงยิ้มเช่นเคย“ ในนั้นยังมีอีกนะ”

“มู่ชิง” หลินอันหนานกอดไป๋มู่ชิงไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างเป็นห่วง และกระซิบปลอบโยนเธอ “มู่ชิง ไอย่าไปสนใจเขาเลย พวกเขาเข้าไปข้างในก่อน”

หลินอันหนานประคองเธอไว้กำลังจะเดิน แต่ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เอกสารขนาดใหญ่ชิ้นสุดท้ายที่วางอยู่ในกล่องของขวัญและคว้ามันได้ในที่สุด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท