เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 143 กินข้าวกับเขา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง? ตื่นหรือยังนะ?

เธอรีบลุกจากเตียงนอนเดินไปทางประตูทันที ไม่คิดว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับร่างใครบางคน

“อ๊ะ!” เธอร้องตกใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแผลตรงหน้าผากตามมา

พอเธอเห็นว่าคนที่เธอชนคือหนานกงเฉินก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณตื่นแล้วเหรอ?”

เธอยังกังวลว่าเขาจะไม่ตื่น เพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าหลังจากอาการเขากำเริบวันถัดไปถ้าไม่ตื่นขึ้นมา ก็อาจจะมีโอกาสไม่ตื่นอีกเลย

หนานกงเฉินเห็นแผลบนหน้าผากเธอที่ก่อนหน้านี้บาดแผลแห้งแล้ว แต่พอมาชนเขาแบบนี้อีกแผลก็ปริออกอีกครั้งและมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่เธอทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร

ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงไม่ใช่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่เพราะเธอดีใจที่เห็นเขาตื่นแล้วจนลืมเรื่องแผลไปชั่วขณะ

“คุณ……ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” เธอหุบยิ้มก่อนจะค่อยๆถามขึ้น

หนานกงเฉินละสายตาจากแผลบนหน้าผากเธอ ก่อนจะยิ้มเย้ย : “แผนการยอมให้ทรมานร่างกายตัวเองเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ทำได้แยบยลมากนะ”

ไป๋มู่ชิงได้ฟังแบบนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทำได้แค่ส่ายหน้า: “ฉันไม่ได้…..”

แผน? มันเป็นการเสี่ยงตายชัดๆ เธอไม่โง่ขนาดเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง เพื่อเรียกร้องให้เขาเห็นใจหรอกนะ

แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตามใจเขาให้มาก อย่างขัดใจเขา ขอแค่เขาพอใจอะไรก็ได้

หนานกงเฉินเห็นเธอไม่ตอบ จึงเข้าใจว่าเธอยอมรับเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่แผนการเรียกร้องความเห็นใจของเธอ

จากตอนแรกที่ยังนึกเห็นใจเธออยู่ วินาทีนี้กลับมลายหายไปหมดสิ้น

เขาหมุนตัวออกจากห้องนอนทันที

ไป๋มู่ชิงเปลือยเท้าวิ่งตามไปถามเขา : “คุณชายใหญ่ คุณทานข้าวเช้าหรือยังคะ?”

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินลงไปชั้นล่าง

หลังจากหนานกงเฉินออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกถึงอาการเจ็บตรงแผล เธอใช้มือแตะที่แผลเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เธอตกใจกับสภาพตัวเองในกระจกเป็นอย่างมาก

นี่มัน….สภาพอะไรเนี่ย

เสื้อยับยู่ยี่ ผมเผ้ารุงรัง แผลบนหน้าผากมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ เมื่อเช้าง่วงมากจนไม่ทันได้ทำแผลก่อน เธอก็นอนทั้งสภาพนี้เลย

เธอเอากล่องยาจากลิ้นชักขึ้นมาหาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็คแผลฆ่าเชื้อ เธอหวังว่ามันจะไม่เป็นแผลเป็นนะ

แผลบนหน้าผากเริ่มทุราวลง แต่แผลตรงไหล่กลับรู้สึกปวดมากขึ้น เธอดูสภาพยับเยินของตัวเองในกระจก ไป๋มู่ชิงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงเหล่านั้นถึงได้ทิ้งเขาไป เธอเพิ่งมาอยู่กับเขาได้แค่ปีเดียวยังเจอขนาดนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแผล ถ้าต้องอยู่กับเขาไปทั้งชีวิตจะขนาดไหนกัน?

แต่ถึงจะดูน่ากลัวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยคิดจะไปจากเขา ไม่เคยแม้แต่จะคิด

หรือเธอจะเป็นพวกซาดิส? ไป๋มู่ชิงคิด

ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังนั่งทานข้าวเช้าก็คิดไปด้วยว่าจะเอาผมเด็กน้อยที่เธอได้จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง

หนานกงเฉินไม่ให้เธอออกไปไหน และไม่ให้เธอใช้โทรศัพท์ เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ที่นี่ก็ดันมีแต่พี่ยามกับป้าใบ้ที่ออกจะดูถูกสถานะของเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลย

เธอคิดวกไปวนมา จนนึกขึ้นได้วิธีหนึ่ง

ตอนเดินออกจากห้องอาหารเธอทำเป็นเดินเซเหมือนจะเป็นลม ป้าใบ้ที่ทำงานบ้านอยู่เห็นเข้าก็รีบเข้ามาประคองเธอ ก่อนจะทำมือถามว่าเป็นยังไงบ้าง

ไป๋มู่ชิงเอามือกุมหัวไว้ จ้องมองป้าใบ้อย่างน่าสงสาร:”ป้า เมื่อคืนฉันหัวกระแทกจนเป็นแผล ไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า”

ป้าใบ้รีบเรียกหายามที่มาเข้าเวร เมื่อยามเห็นแผลบนหน้าผากของไป๋มู่ชิงก็รีบโทรฯหาหนานกงเฉิน

ไม่นาน เสี่ยวหลินก็ขับรถมาถึงหน้าคฤหาสน์

ระหว่างที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาล เสี่ยวหลินก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนเธอ: “นายหญิงน้อยครับ คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ให้คุณไปไหนคนเดียว และไม่ให้คุณไปเจอคนอื่นด้วย ดังนั้น…..” เขายิ้มแหยอย่างเกรงใจ

“สบายใจเถอะ ฉันจะไม่หนีไปไหน” ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร พูดจบเธอก็รีบขอร้อง: “ช่วยพาฉันไปที่โรงพยาบาลเหิงซินได้มั้ย?”

“ไม่ได้ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าไปได้แค่โรงพยาบาลหงเอินเท่านั้นครับ”

ไป๋มู่ชิงจนคำพูด นึกในใจนี่หนานกงเฉินเห็นเธอเป็นนักโทษหรือไง

เพื่อจะหาโอกาสส่งผมไปตรจให้ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องแกล้งป่วยจนต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลหงเอิน ระหว่างที่เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสองวันหนึ่งคืนนั้น มีแต่ป้าใบ้ที่มาเฝ้าเธอทุกวัน นอกนั้นก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย

โชคดีที่เธอหาทางส่งผมให้ซู่ซี่ได้ในระหว่างที่ออกไปเดินเล่น เธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียวจึงไม่สามารถส่งไปตรวจเองได้ เลยต้องส่งไปให้ซูซี่ช่วย

หลังจากที่ซูซี่ได้รับผมของเด็กน้อยที่ไป๋มู่ชิงส่งมา เธอนึกว่าไป๋มู่ชิงในใจดื้อดึงจริงๆ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยคนนั้นไม่มีทางเป็นลูกเธอได้ ไป๋มู่ชิงก็ยังต้องการจะตรวจดีเอ็นเอให้ได้

แต่ในเมื่อไป๋มู่ชิงขอความช่วยเหลือมา เธอก็ต้องช่วยอยู่แล้ว

หลังออกมาจากโรงพยาบาลเหิงซิน ซูซี่มองดูเวลาก่อนจะโทรฯหาหนานกงเฉิน หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายได้ยินว่าซูซี่จะชวนไปทานข้าวด้วย เขาก็ตอบอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ดีกว่า”

หนานกงเฉินคิดว่าตัวเองปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินจะเห็นซูซี่มาดักรออยู่

หนานกงเฉินขมวดคิ้วก่อนถามขึ้น : “เธอมาทำไม? ”

เชิญคุณชายเฉินทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็ต้องมาเรียนเชิญถึงที่ไง คุณชายเฉินโปรดให้เกียรติทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ซูซี่ทำสัญลักษณ์มือเป็นการเรียนเชิญ

หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอก่อนจะยิ้มเยาะ “ไป๋มู่ชิงให้มาเหรอ?”

“คุณชายเฉินไม่ได้กักขังเธอไว้เหรอ ตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้”

“หมายความเธอไม่ได้มาขอร้องแทนไป๋มู่ชิง”

“ไม่ใช่” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย “เชิญคุณชายค่ะ”

หนานกงเฉินปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปทางรถตัวเอง ซูซี่จึงรีบวิ่งตามไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

หลังจากที่รถขับออกจากโรงจอดรถ หนานกงเฉินที่มีสีหน้าราบเรียบก็ถามขึ้น “อยากกินอะไร?”

อันที่จริงแล้วเขาไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น โดยเฉพาะซูซี่เขารู้ว่าเธอมากินข้าวกับเขาเพราะไป๋มู่ชิง

เขาควรห้ามไม่ให้ซูซี่ขึ้นรถ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะลึกๆแล้วเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูซี่จะแก้ตัวให้ไป๋มู่ชิงยังไง

ความรู้สึกในใจเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว แค่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว

“ขอเป็นที่เงียบๆก็พอ” ซูซี่ตอบ

“งั้นก็ร้านอาหารฝรั่งเศสแถวนี้แล้วกัน”

“ได้ค่ะ”

หนานกงเฉินขับรถมาถึงร้านอาหารฝรั่งเศสร้านหนึ่ง ร้านอาหารฝรั่งเศสถือเป็นร้านอาหารที่เงียบสงบและดูมีระดับ หนานกงเฉินได้เลือกห้องที่ติดกับริมหน้าต่าง

ซูซี่มองดูหนานกงเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาในตอนนี้นั่งก้มหน้าเล็กน้อยแสงไฟจากด้านบนที่ส่องกระทบบนหัวทำให้ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเขาดูน่ามองยิ่งขึ้น

รู้จักเขามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กับเขาในระยะใกล้ชิดแบบนี้ และยังนั่งทานข้าวกันสองคนอีก ซูซี่รู้สึกเกิดปลื้มใจขึ้นมาเล็กน้อย

หนานกงเฉินใช้ปลายนิ้วเปิดหน้าเมนูอาหารไปเรื่อยๆ ก่อนจะถามขึ้นโดยไม่เงยหน้า “อยากกินอะไร?”

ซูซี่ดึงสติกลับมาและตอบเขาว่า “ขอเมนูแนะนำของร้านที่หนึ่งก็พอค่ะ”

“แค่นั้นเหรอ?”

“ค่ะ”

หนานกงเฉินวางเมนูอาหารลง ก่อนจะพูดกับพนักงานที่รออยู่ “ขอเมนูแนะนำของร้านสองที่”

พนักงานรับออเดอร์เสร็จก็ถอยออกไป

หนานกงเฉินยกน้ำขึ้นดื่มนิดหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่ซูซี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดมาเถอะ ถ้าไม่ได้มาแก้ตัวแทนไป๋มู่ชิงแล้วชวนมาทานข้าวด้วยทำไม?”

เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดล้อขึ้น “คงไม่ได้มาตามจีบฉันหรอกนะ?”

ซูซี่ที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มได้ยินเข้าเกือบจะพ่นน้ำใส่หน้าเขา

หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “เรียบร้อยหน่อยได้มั้ย?”

ซูซี่หยิบทิชชูเช็คปากไปก็พูดตอบเขาไปด้วย “คุณนั้นแหละช่างกล้าพูด”

หนานกงเฉินไม่ได้ว่าอะไร เขายกมือเรียกพนักงานมาเปลี่ยนแก้วให้

ซูซี่วางแก้วลงก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย “เอาเถอะ ฉันไม่ได้มาขอร้องอะไรแทนไป๋มู่ชิง แต่ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจริงบางอย่างอยากจะบอกให้คุณได้รับรู้ ส่วนเรื่องที่คุณจะให้อภัยเธอหรือไม่นั้นมันก็เรื่องของคุณ”

หนานกงเฉินทำเสียงเย็นในลำคอ เป็นอย่างที่คิดไว้ “เรื่องจริงอะไร? เรื่องที่ไป๋มู่ชิงโดนไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกขู่บังคับเหรอ?”

“ใช่ไง ในเมื่อรู้แล้วทำไมคุณยังทำกับเธอแบบนี้?” ซูซี่รีบยกมือขึ้นห้ามเขาไว้แล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่าคุณต้องบอกว่าโกหกหลอกลวงก็คือโกหกหลอกลวง ให้อภัยไม่ได้ แต่คุณรู้บ้างมั้ยว่าตั้งแต่ต้นจนจบไป๋มู่ชิงต้องเจอกับอะไรบ้าง?”

ซูซี่เห็นเขาไม่พูดอะไรก็พูดต่อ “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงก็เป็นเพราะตระกูลหนานกงเองนั้นแหละ มีสิทธิ์อะไรที่เห็นว่าไป๋ยิ่งอันมีดวงเป็นคู่ครองตามชะตากำหนดแล้วไปบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับคุณ? ยังเรื่องสินสอดที่ส่งไปถึงหน้าบ้านตระกูลไป๋อีก? แน่นอนคุณอาจจะบอกว่าบ้านตระกูลไป๋ปฏิเสธได้นิ แต่ผลที่จะตามมาหลังจากปฏิเสธล่ะ? คุณรู้ดีที่สุด”

“ก่อนคุณจะส่งสินสอดไปสู่ขอ ไป๋มู่ชิงกับแม่และน้องรักใคร่กลมเกลียว กับหลินอันหนานเองก็รักหวานชื่นมื่น หลังจากที่คุณไปสู่ขอ ไป๋ยิ่งอันที่เชื่อเรื่องเล่าลือของคุณก็ไม่อยากแต่งงานกับคุณ แต่ก็ไม่อยากผิดใจกับตระกูลหนานกง เลยคิดแผนการให้ไป๋มู่ชิงไปแต่งงานแทน เพื่อบีบให้ไป๋มู่ชิงยอมทำตามไป๋ยิ่งอันได้แย่งแฟนเธอ แล้วยังเอาแม่และน้องเธอไปกักตัวไว้เมืองนอก ไป๋มู่ชิงไม่มีทางเลือก เธอจะไม่ไปแต่งงานแทนก็ไม่ได้”

“หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณ ก็รู้ว่าเรื่องที่เล่าลือกันนั้นไม่ใช่เรื่องจริง จึงเปลี่ยนใจพุ่งเป้ามาที่คุณแทน แล้วเอาชีวิตของเสี่ยวอี้มาข่มขู่ไป๋มู่ชิงให้ถอยออกจากบ้านตระกูลหนานกง ในตอนนั้นไป๋มู่ชิงตั้งท้องพอดี พวกเขาก็บังคับให้เธอไปทำแท้ง ครั้งนั้นไป๋มู่ชิงหนีออกจากโรงพยาบาลปั๋วเซิน โชคดีที่เจอคุณเข้าไม่งั้นก็คงต้องเสียลูกไปนานแล้ว ไป๋มู่ชิงรักลูกคนนี้มาก เธอพยายามปกป้องเขามาตลอด แต่เธอไม่มีทางเลือกมากนัก ทางหนึ่งก็น้องชาย อีกทางก็ลูกตัวเอง จากแรงบีบคั้นของไป๋ยิ่งอันเธอจำต้องทนเสียใจสละลูกตัวเองแทน เธอคิดว่าคุณจะดูแลลูกได้เป็นอย่างดี เธอไม่คิดว่าไป๋ยิ่งอันจะเป็นบ้าถึงขนาดฆ่าลูกเธอเพื่อเก็บซ่อนถานะที่แท้จริงของตัวเอง เสียลูกน้อยไปเธอก็เสียใจมากไม่แพ้คุณ ฉะนั้นคุณอย่าเอาเรื่องที่ลูกตายมาลงโทษเธอแบบนี้เลย”

“อีกอย่าง พอคลอดลูกเสร็จซูวหยาหยงก็อุ้มเด็กไปทันที ไป๋มู่ชิงเองยังไม่ทันได้เห็นหน้าลูกด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าเด็กใช่ลูกของตัวเองหรือเปล่า….”

พูดถึงตรงนี้ซูซี่ก็เงียบลง มองดูปฏิกิริยาของหนานกงเฉิน เขากำลังหุบตาลงเล็กน้อยเพื่อเก็บความรู้สึก ก่อนที่เธอจะแอบเม้มปากแล้วพูด “ยังมีอีกเรื่องที่คุณไม่รู้ ไป๋ยิ่งอันต้องการตัดปัญหา หลังจากที่ไป๋มู่ชิงคลอดลูกได้สองวันก็เอาเธอไปกักขังไว้ในห้องใต้หลังคา ต่อมาหลินอันหนานได้ไปช่วยเธอไว้ ถ้าไม่ได้หลินอันหนานไปช่วยป่านี้เธอคงโดนสองแม่ลูกนั้นฆ่าตายไปแล้ว”

ซูซี่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่น แอบสำรวจดูปฏิกิริยาของหนานกงเฉินชั่วครู่ เธอลังเลเล็กน้อยว่าจะบอกเรื่องที่เด็กอาจจะถูกสลับตัวให้กับหนานกงเฉินรู้ดีมั้ย

พูดถึงเด็ก เธอก็นึกถึงเรื่องที่ผลตรวจร่างกายโดนสลับ ก่อนจะนั่งตัวตรงแล้วจ้องมองไปที่เขา: “หนานกงเฉิน อย่าว่าแต่คนอื่นเลย คุณเองก็นักบุญคนบาปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไปทำอะไรกับผลตรวจครรภ์ของไป๋มู่ชิง เธอก็คงไม่ต้องมาเจอความทุกข์ยากมากมายแบบนี้”

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ “ผลตรวจครรภ์?”

“คุณจะบอกว่าคุณไม่เคยทำอะไรกับผลตรวจครรภ์?”

“ฉันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร?”

“ก็คุณไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงคลอดลูกของคุณไง”

“ถ้าฉันไม่อยากเก็บลูกไว้ ต่อให้ไป๋มู่ชิงจะกระโดดสะพานสักร้อยครั้งก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้น……” หนานกงเฉินยิ้มเย็น “ฉันไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปทำเรื่องน่าละอายแบบนั้น”

ขณะที่ฟังเขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจซูซี่รู้สึกแปลกใจอย่างมาก หนานกงเฉินไม่เคยทำอะไรกับผลตรวจครรภ์ งั้นก็แปลว่าเธอเข้าใจผิดเองเหรอ?

นี่เรื่องมันยังไงกันแน่ จากตอนแรกที่เธอคิดจะบอกเรื่องลูกกับเขา ตอนนี้ความคิดดังกล่าวได้มลายหายไปหมด

หนานกงเฉินดูแล้วไม่น่าโกหก และไม่จำเป็นต้องโกหก

ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงได้ค่อยๆพูดขึ้น “ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่งั้นไป๋มู่ชิงไม่มีวันให้อภัยคุณแน่”

ทั้งสองต่างเงียบไป

หนานกงเฉินยังคงหุบตาเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำกังคิดอะไรอยู่ สักพักใหญ่กว่าเขาจะเงยหน้าขึ้น จ้องมองหน้าซูซี่ “ความหมายของคุณซูซี่ก็คือ ไป๋มู่ชิงทำไปเพราะจำใจ โดนบังคับ อยากให้ฉันเห็นใจและยอมให้เธอกับหลินอันหนานได้สมหวังกันเหรอ?”

“ไม่ใช่ คุณเข้าใจฉันผิดแล้ว” ซู่ซี่รีบตอบ “หลินอันหนานเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตอนที่ไป๋มู่ชิงโดนบังคับให้แต่งงานถึงเขาจะไม่ใช่ผู้บงการโดยตรงแต่ก็มีส่วนช่วย ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงเองก็ไม่ได้รักเขาแล้ว แต่ที่ต้องแต่งงานด้วยก็เพราะเป็นเงื่อนไขที่เขาตั้งขึ้นตอนที่ไปช่วยไป๋มู่ชิงในห้องใต้หลังคา”

ซูซี่มองเขาที่ยังคงเงียบอยู่ ก่อนจะไหวไหล่เล็กน้อย “ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้อะไรกับเรื่องนี้แค่ไหน แต่ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน ไป๋มู่ชิงก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้”

ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง คุณจะนำเอาความเคียดแค้นมาบดบังหัวใจตัวเอง แล้วกล่าวโทษเธอ กักขังเธอ แม้กระทั้งเอาชีวิตของเสี่ยวอี้มาข่มขู่เธอแบบนี้ไม่ได้ หลังจากที่ซูซี่พูดจบไปพักใหญ่ เขาก็ยังคงไม่พูดตอบอะไรเธอ ซู่ซี่จึงรีบถามขึ้น: “คุณชายเฉินคุณได้ฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า? หรือว่าฉันยังพูดไม่ชัดเจนพอ?”

ในที่สุดหนานกงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย “ไม่เลย คุณหนูซูซี่พูดได้น่าสนใจมาก ซาบซึ้งมาก เกินกว่าที่ฉันคาดไว้”

“คุณหมายความว่าไง?” ซูซี่หน้าเสีย

หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟา ปรายตามองอาหารที่เพิ่งขึ้นโต๊ะเล็กน้อย : “วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า คุณหนูซูซี่ค่อยๆทาน”

“เดี๋ยว! หนานกงเฉินนี่คุณหมายความว่าไง?” ซูซี่พูดตามหลังเขาด้วยอารมณ์โมโห “คุณไม่เชื่อใช่มั้ย? คุณคิดว่าฉันแต่งเรื่องขึ้นมาเองใช่มั้ย?”

หนานกงเฉินหยุดตามเสียงเรียกของเธอ ก่อนจะค่อยๆหันกลับมา “คนประเภทเดียวกัน เธอกับไป๋มู่ชิงจอมโกหกเป็นเพื่อนกัน ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย?”

“คุณ……!” ซูซี่จี๊ดถึงขีดสุด เธอไม่สนใจแล้วว่าที่นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส เธอด่าตามหลังเขาไปติดๆ: “ถึงว่าทำไมไป๋มู่ชิงถึงไม่ยอมบอกอะไรคุณเลย ที่แท้คุณมันก็เป็นคนที่ไม่มีความสามารถในแยกแยะนี่เอง ต่อให้เธอพูดจนปากฉีกคุณก็ไม่มีวันเชื่อใช่มั้ย?”

หนานกงเฉินเอาเงินยื่นให้พนักงานที่ยืนอยู่ : “ไม่ต้องทอน” แล้วเดินไปยันประตูทางออก

ซูซี่วิ่งตามหนานกงเฉินออกมาทางหน้าร้าน ก่อนที่เขาจะดึงประตูกระจกออกไปเธอก็รีบจับแขนเขาไว้ : “หนานกงเฉินฉันขอเตือนคุณนะ คุณทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย ฉันไปฟ้องคุณได้ อีกอย่างตอนนี้ไป๋มู่ชิงยังรักคุณอยู่ก็ช่วยทำดีกับเธอหน่อย ไม่งั้นถ้าเธอหมดใจเมื่อไหร่ ระวังคุณจะเสียเธอไปไม่รู้ตัว”

“เสียเธอไป…..มันน่ากลัวมากเหรอ?” หนานกงเฉินหันกลับมาทิ้งท้ายให้เธอ

ซูซี่เจอคำถามนี้เข้าก็พูดอะไรไม่ออก

หนานกงเฉินเห็นเธออ้างปากค้าง ก็ยกมือขึ้นตบเบาๆบนหลังมือที่จับแขนเขาอยู่ ก่อนจะยิ้มบาง: “คุณซูซี่ ถ้าว่างนะก็เอาเวลาไปดูคุณชายเฉียวดีกว่า ข่าวลือที่ว่าเขาไปมีลูกอยู่ข้างนอกนั้น ในงานเมื่อคืนคุณก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ”

พูดจบหนานกงเฉินก็ออกแรงดันมือเธอออกจากแขนเขา

ซูซี่อยู่ๆก็ไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมา

ไม่ใช่สิ ในงานวันเกิดของคุณผู้หญิงเฉียว เธอได้ยินกับหูจริงๆว่าเฉียวซือเหิงมีลูกนอกบ้านแล้วจริงๆ!

เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและเดินออกจากร้านไป

เธอเดินออกมาได้ไม่ไกล ก็มีรถที่คุ้นเคยมาจอดขวางหน้าไว้ เธอเงยหน้ามองเข้าไปในที่นั่งคนขับเห็นเฉียวซือเหิงนั่งอยู่

มองผ่านกระจกหน้ารถเข้าไปเธอเห็นหน้าเฉียวซือเหิงที่กำลังโมโหอย่างชัดเจน คาดว่าคงจะเป็นฉากที่เธออยู่กับหนานกงเฉินเข้าเป็นแน่

ซู่ซี่ยืนอยู่หน้ารถเสี่ยววินาที ก่อนจะเดินไปนั่งข้างคนขับ

เฉียวซือเหิงจ้องหน้าเธอก่อนพูดอย่างเย้ยหยัน “เมื่อกี้นี้ยังคิดว่าตาฝาด ที่แท้ก็เป็นนายหญิงบ้านตระกูลเฉียวจริงๆที่จับมือถือแขนผู้ชายไม่ยอมปล่อย”

“คุณเห็นเหรอ?” ซูซี่ยิ้มกว้างให้เขา “แล้วยังไง? ฉันชอบ!”

เฉียวซือเหิงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที กัดฟันจ้องมองเธอ “คุณหนูซูซี่! แน่จริงลองพูดอีกทีสิ?”

“ฉันพูดว่า ฉันอยากจับมือถือแขนกับใครก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ!” ซูซี่พูดเสียงหนักแน่น ก่อนจะเตรียมเปิดประตูลงจากรถ

เฉียวซือเหิงใช้มือข้างหนึ่งล็อคประตูรถอย่างโมโห มืออีกข้างก็เอื้อมไปจับตัวเธอกลับมาแล้วดันตัวเธอพิงไปกับเบาะนั่ง พูดใส่หน้าเธอด้วยเสียเย็นชา “ผู้หญิงไม่รักดี ฉันยังเติมเต็มเธอไม่พอหรือไง? ทำไมถึงกล้ามาสวมเขาให้ฉัน?”

ซูซี่โดนเขาทำจนเจ็บ เธอโกรธจนเอากระเป๋าถือทุบไปบนไหล่เขา เฉียวซือเหิง คุณยังทำให้ฉันเป็นแม่คนได้เลย แล้วทำไม่ฉันจะสวมเขาให้คุณบ้างไม่ได้? คุณทำได้ แต่ห้ามฉันทำงั้นหรือ? คุณเป็นบ้าอะไร? อยากเล่นบทบาทท่านประธานผู้บ้าอำนาจเหรอ? ก็ต้องดูก่อนนะว่าจะใช้ได้กับฉันมั้ย?

เฉียวซือเหิงโกรธจนล็อคมือเธอที่ถือกระเป๋าไว้หลังเบาะนั่ง จนเธอขยับตัวไม่ได้: ” เธอไม่ยอมมีลูกเอง แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้หญิงอื่นมีด้วยงั้นเหรอ? เธอต้องการให้บ้านตระกูลเฉียวไม่มีผู้สืบทอดหรือไง? ภรรยาท่านประธานผู้บ้าอำนาจ”

“คุณ……..” ซูซี่โกรธจนแทบอ้วกเป็นเลือดต่อหน้าเขา : “พูดแบบนี้หมายความว่าเด็กข้างนอกที่ว่าก็เป็นลูกคุณจริงๆใช่มั้ย?”

“ใช่ ลูกฉันเอง” เฉียวซือเหิงกัดริมฝีปากเธอทีหนึ่ง : “ฉันต้องการให้เธอรู้ว่า ถึงเธอไม่ยอมมีลูกให้ฉัน ก็ยังมีผู้หญิงข้างนอกมากมายที่อยากมีลูกให้ฉัน”

“ดี….ดีมาก! ” ซูซี่โกรธจนตัวสั่น พยายามดิ้นรนจะลงจากรถ เฉียวซือเหิงกลับจับแขนทั้งสองเธอไว้แน่นก่อนจะดึงเธอขึ้นมานั่งทับอยู่บนตัวเขา

ซู่ซี่โดนบังคับให้นั่งอยู่บนตักเขา เธอดิ้นรนยังไงก็ไม่สามารถออกจากอ้อมกอดเขาได้

ซูซี่หยุดการดิ้นรน เธอสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเริ่มจูบและลูบไล้เขา นิ้วมือเธอค่อยๆไล้ไปตามสาปเสื้อเขาจากบนลงล่าง ตามด้วยกระดุมที่แกะออกทีละเม็ด

เธอใช้มือไล้เบาๆบนอกแกร่ง

เฉียวซือเหิงที่โดนเธอปลูกไฟตันหาในตัวขึ้นมา เตรียมจะดึงเสื้อผ้าที่กีดขวางบนตัวเธอออก ซูซี่ก็ใช้จังหวะนั้นดึงประตูรถออกและกระโดดลงจากตักเขาออกไปนอกรถทันที

เธอไปง่ายๆแบบนี้เลย!

ในขณะที่เฉียวซือเหิงยังไม่ได้สติ เธอก็ดึงกระโปรงเข้าที่เรียบร้อย มือข้างหนึ่งจับบนขอบประตูอีกข้างแตะอยู่บนตัวรถ ก้มลงมาจ้องมองเฉียวซือเหิงที่ยังดูงงๆ : “ไปเถอะ ไปให้ผู้หญิงพวกนั้นดับไฟให้เถอะ ภรรยาท่านประธานผู้บ้าอำนาจอนุญาตให้คืนนี้ไม่ต้องกลับบ้าน”

พูดจบ เธอปิดประตูเต็มแรง เสียงดัง ‘ปัง’

เฉียวซือเหิงที่อยู่ในรถได้สติกลับมา จ้องเขม็งตามหลังไวๆของเธอ ไฟปรารถนาที่ถูกเธอปลูกขึ้นมาถูกแทนที่ได้ไฟโมโหทันที

คิดในใจอย่างเคียดแค้น สงสัยว่าผู้หญิงที่ท่านประธานผู้บ้าอำนาจเป็นคนฝึกสอนมากับมือไม่อยากตายดีแล้ว!

หลังออกจากร้านอาหารฝรั่งเศส หนานกงเฉินก็ขับรถมาตามถนน

ระหว่างทางที่จะกลับบ้านตระกูลหนานกงนั้น ต้องผ่านโรงพยาบาลหงเอิน และผู้ดูแลไป๋มู่ชิงก็โทรฯเข้ามาตอนนี้พอดี แจ้งว่าไป๋มู่ชิงร้องอยากกลับบ้าน

หนานกงเฉินนิ่งคิดก่อนจะตอบ : “งั้นก็ให้เธอกลับเถอะ”

หลังวางสายหนานกงเฉินก็เลี้ยงรถไปยันทางที่จะไปโรงพยาบาลหงเอิน

เมื่อวานไป๋มู่ชิงแสดงสมจริงไปหน่อย จนคุณหมอต้องให้เธอนอนโรงพยาบาลสามวัน และไป๋มู่ชิงก็ยินดีจะทำตามเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ภารกิจสำเร็จลุกล่วงไปเรียบร้อยแล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลต่อ

ในโรงพยาบาลมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ และเชื้อโรคเต็มไปหมด เทียบกับที่บ้านพักแล้วที่โรงพยาบาลไม่น่าอยู่เอาซะเลย เธอไม่อยากนอนที่โรงพยาบาลแม้แต่วินาทีเดียว

ยาลดอัดแสบขวดสุดท้ายยังคงให้พร้อมกับน้ำเกลืออยู่ ไป๋มู่ชิงนั่งพิงหัวเตียงอย่างเบื่อหน่าย ตอนที่ประตู้ห้องถูกเปิดออก เธอยังคงนังชันเข่ากอดขาไว้

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็ถามขึ้นทันที “ไอ้บ้าหนานกงเฉินยอมให้กลับหรือยัง?”

เธอเงยหน้าขึ้นมา ต้องตกใจทีพบว่าคนที่อยู่ในห้องคือหนานกงเฉิน ก่อนจะชะงักไป พร้อมถอยหลังไปอยู่ตรงมุมเตียงอย่างอัตโนมัติ

“ขอโทษค่ะ…….เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย…….” เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ? ไอ้บ้าเหรอ?

น่าจะเป็นครั้งแรกนะที่มีคนด่าเขาต่อหน้าแบบนี้ แย่ชะมัดเลย!

หนานกงเฉินยืนห่างจากเธอประมาณสองเมตร เขามองสำรวจเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหยุดมองตรงแผลบนหน้าผากที่มีผ้าก๊อตปิดอยู่ ถามขึ้นเรียบๆว่า “ไม่เจ็บแผลแล้วเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกลนลานในใจ ถึงเขาจะไม่แสดงว่าโกรธที่เธอด่าเขา แต่คำถามเรียบๆแบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่าด่าเธอซะอีก

น้ำเสียงแบบนี้เขาหมายความว่าไง? หรือว่าเขารู้แล้วว่าเธอแกล้งป่วยเพื่อจะได้นอนที่โรงพยาบาล?

“ไม่เจ็บแล้ว” เธอตอบเบาๆ

“บรรลุเป้าหมายแล้ว?”

“เป้าหมายอะไร?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกตกใจ ไม่ใช่ว่าเขารู้เรื่องที่เธอให้ซูซี่ไปตรวจดีเอ็นเอให้หรอกนะ? แล้วเขา…….

หนานกงเฉินยิ้มเย้ยเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงมาแล้วท้าวมือทั้งสองข้างไว้ข้างตัวเธอ จ้องมองดวงตาลนลานของเธอในระยะใกล้ชิด : “ซูซี่เพิ่งมาหาฉัน พูดแก้ตัวแทนเธอมากมาย”

“เธอพูด………..อะไรบ้างเหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างตะกุกตะกัก

“บอกว่าที่เธอทำไปทั้งหมดเพราะโดนบังคับ ยังบอกอีกว่าตอนนั้นเธอกับหนานรักกันชื่นมื่น ถึงขนาดจะแต่งงานกัน”

“………..”

“เป็นเรื่องจริงเหรอ?”

คำถามนี้ตอบยากจัง เธอต้องตอบยังไงถึงจะไม่ทำให้เขาโกรธนะ?

“จริง…….”

เห็นสีหน้าเขาเข้มขึ้น เธอรีบพูดต่อ “แต่นั้นมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตั้งแต่ถูกหลินอันหนานหักหลัง ฉันก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับเขาอีกเลย จริงๆนะ ฉันสาบานได้” เธอยกมือชูสามนิ้วขึ้น

“สาบานอะไร? เกี่ยวอะไรกับฉัน?” เขาจับมือเธอที่ยังมีสายน้ำเกลือวางลง

“แล้วคุณถามทำไม?”

“ก็ไม่ทำไม แค่อยากจะเตือนเธอว่า ต่อไปไม่ต้องเสียเวลามาวางแผนอะไรกับฉัน เพราะฉันไม่มีวันเชื่อใครทั้งนั้น” พูดจบเขาก็ยืดตัวขึ้นยืน : “ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

ขณะที่เขากำลังหมุนตัว สายตาก็เห็นเข้ากับเข็มให้น้ำเกลือที่ยังติดอยู่บนหลังมือเธอ เขาหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับยกมือเธอขึ้นแล้วเริ่มแกะผ้าเทปที่ติดอยู่บนหลังมือเธอ

เอ้ย! คุณจะทำอะไร? ไป๋มู่ชิงเห็นท่าทางแกะผ้าเทปให้เธอ นี่เขากะจะถอดเข็มส่งน้ำเกลือให้เธอเองเลยเหรอ? ต้องเจ็บแค่ไหนเนี่ย ขนาดพยาบาลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญยังเจ็บขนาดนั้น มือใหม่อย่างเขาไม่ต้องพูดถึงเลย

“ให้พยาบาลถอดให้ฉัน…….ฉันกลัว…..เจ็บ” ไป๋มู่ชิงตกใจจนร้องขึ้น

พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะพูด “คุณชายเฉินฉันทำให้เองดีกว่าค่ะ นายหญิงน้อยเธอกลัวเจ็บ ทุกครั้งที่ฉีดยาก็ต้องได้น้ำตาร่วงทุกที”

ไป๋มู่ชิงใช้ข้อศอกกระทุ้งพยาบาลเบาๆ พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน

เธอแค่กลัวเข็ม เวลาฉีดยาก็อาจมีน้ำตาร่วงนิดหน่อย

เธอรู้สึกได้ถึงสายตาหนานกงเฉินที่จ้องมองมา ในแววตาแสดงออกถึงความไม่เชื่อ ไป๋มู่ชิงรีบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะอธิบาย “ฉันไม่ได้กลัวเจ็บขนาดนั้น แค่กลัวเข็มเฉยๆ”

ที่หนานกงเฉินไม่เชื่อ เพราะเท่าที่เขาเห็นเธอไม่ได้กลัวเจ็บเลย ไม่งั้นก็คงไม่โดนเขาทำร้ายแล้วยังกล้าเข้าใกล้เขาอีกแบบนั้น

“เรียบร้อยค่ะ” พยาบาลสาวบอกอย่างมีมารยาท

“ไปเถอะ” หนานกงปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อเลย” ไป๋มู่ชิงรีบร้องเรียกเขาไว้

“ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว” หนานกงเฉินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อย่างรำคาญ

ไป๋มู่ชิงไม่กล้าขัดเขา จึงต้องขึ้นรถไปแบบนี้

เมื่อทั้งสองขึ้นรถเรียบร้อย หนานกงเฉินก็ถามขึ้นเรียบๆ: “กินข้าวหรือยัง?”

“กินแล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบ

หนานกงเฉินพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะขับรถออกจากโรงพยาบาล

ไป๋มู่ชิงนั่งจ้องมองท้ายรถคันหน้ามาตลอดทาง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่รถจอดสนิทแล้ว เธอมองไปรอบๆพบว่าไม่ใช่ที่บ้านพัก เลยหันไปถามเขา “คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”

“กินข้าว” หนานกงเฉินตอบขณะที่กำลังปลดที่คาดเบลล์ออก

“ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันกินแล้ว”

“ฉันยังไม่ได้กิน”

“……………….”

หนานกงเฉินลงจากรถแล้ว เห็นว่าไป๋มู่ชิงไม่ขยับตัว จึงก้มลงมาถาม “จะให้ฉันอุ้มเธอเหรอ?”

“ไม่ใช่……” ไป๋มู่ชิงก้มมองเสื้อผู้ป่วยที่ตัวเองใส่อยู่

“ก็ฉันกินแล้ว ฉันนั่งรอคุณที่รถนะ”

“แน่ใจ?”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงมองดูเขาที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบ “ฉันไม่แน่ใจ” แล้วจึงรีบเปิดประตูลงจากรถทันที

ยังคงเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสเหมือนเดิม ทั้งสองเดินเข้าร้านมาก็ดึงดูดสายตาคนในร้านไม่น้อย ไป๋มู่ชิงรู้สึกอายจนต้องเอามือบังหน้าเล็กๆเอาไว้ ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปยันโต๊ะด้านในสุด

ตอนมากับซูซี่อาจมีสั่งอาหารไปบ้างแต่เขาแทบไม่ได้กินอะไรเลย ตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว หนานกงเฉินเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อย

เขาสั่งอาหารชุดมาที่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามาเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจ้องมองปีกไก่ย่างอยู่ เขาจึงสั่งพนักงาน: “เพิ่มปีกไก่ย่างอีกที่หนึ่ง”

พนักงานพยักหน้ารับ ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ ฉันไม่เอา”

หนานกงเฉินขมวดคิ้ว “แสดงอีกแล้ว?”

“ฉันเปล่า……” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดว่าไง “ฉันแค่นึกถึงช่วงเวลาที่ทำปีกไก่ทอดให้เสี่ยวอี้”

ทำไมต้องพูดว่าเธอแกล้งแสดงตลอดเวลานะ เธอแกล้งแสดงตรงไหนกัน? อืม แต่มีเรื่องหนึ่งที่เธอแกล้งจริง เธอเพิ่งแกล้งทำเป็นป่วยอยู่หลายวัน

เห็นเขายังจ้องมองเธอไม่วางตา ก็รู้สึกได้ว่าต้องพูดอะไรผิดหูเขาอีกเป็นแน่ สมองรีบทบทวนอีกรอบ ก่อนจะรีบพูด “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเสี่ยวอี้”

เธอก้มหน้าลง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ใช่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง: “ไม่ใช่สิ ทำไมฉันต้องขอโทษคุณด้วย ทั้งๆที่คุณเองที่เป็นคนจับตัวเสี่ยวอี้ไป คุณควรจะเป็นฝ่ายขอโทษฉัน ถึงแม้ว่าคุณจะห้ามไม่ให้ฉันพูดถึงเสี่ยวอี้ แต่ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อน ถ้าเสี่ยวอี้เป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะซื้อน้ำมันก๊าซมาหนึ่งขวดและพาคุณไปตายด้วยกัน!”

เธอได้แค่หวังว่าเขาจะเป็นอย่างที่ซูซี่พูด หนานกงเฉินไม่ทำร้ายเสี่ยวอี้แน่ หวังว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ

หนานกงเฉินปิดเมนูอาหารลง ก่อนจะมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เวลากินข้าวอย่าพูดเรื่องที่ทำให้เสียอารมณ์กินข้าวได้มั้ย?”

ไป๋มู่ชิงไม่อยากทำให้เขาโมโห เธอจึงเลือกที่จะเงียบ

ขณะที่หนานกงเฉินกำลังกินข้าว ไป๋มู่ชิงก็นั่งมองเขาอยู่ตรงข้าม ดูเขาสิยังกินลงได้หน้าตาเฉย แถมยังกินได้อย่างผู้ดีและยังดูเพลิดเพลินกับการกิน

กินข้าวเป็นเพื่อนเขาเสร็จ ทั้งสองก็กลับมาที่คฤหาสน์ ขณะที่ลงจากรถไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะพักที่นี่มั้ย เธอจึงเอ่ยขึ้น: “ที่นี่ไม่มีโรงพยาบาล ไม่ปลอดภัย คุณกลับไปพักที่บ้านเถอะ”

หนานกงเฉินที่สองมือจับพวงมาลัยอยู่ หันมาจ้องเธอ: “เธอกำลังเป็นห่วงฉัน หรือตั้งใจไล่ฉันกันแน่?”

“ที่นี่เป็นบ้านของคุณ ฉันจะไล่คุณไปได้ไง?”

“ถ้างั้นเธอกำลังจะบอกว่าเป็นห่วงฉันเหรอ?”

“เป็นห่วงคุณก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?” ไป๋มู่ชิงถามกลับ

เธอต้องเป็นห่วงเขาสิ ถึงเขาจะเป็นคนที่กักขังตัวเธอก็ตาม คนป่วยก็คือคนป่วย ถ้าเขาเกิดมาตายที่นี่ เธอก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี

อืม เพราะแบบนี้แหละ!

หนานกงเฉินหัวเราะเยาะก่อนจะย้ายสายตาจากเธอ กลับรถและขับออกไป

มองเขาขับรถออกจากคฤหาสน์แล้วไป๋มู่ชิงก็รู้สึกแปลกใจ เขารู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอแกล้งทำเป็นไม่สบาย แต่ทำไม่เขาไม่ยักกะโมโหใส่เธอเลย

ชีวิตที่เหมือนติดคุกดำเนินมาอีกหลายวัน จนเธอเริ่มรู้สึกจะทนไม่ไหวแล้ว

ผลตรวจดีเอ็นเอน่าจะออกมาแล้ว แต่เธอยังหาวิธีติดต่อซูซี่ไม่ได้เลย ยังไม่มีวิธีอะไรที่จะทำให้เธอได้รู้ผลตรวจเลย

เสียงฝนตกดังมาจากหน้าต่าง เธอเดินวนไปมาคิดหาทางออกจากคฤหาสน์ จะแกล้งทำเป็นไม่สบายก็คงไม่ได้แล้ว แต่นอกจากวิธีแกล้งทำเป็นไม่สบายแล้วเธอก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีวิธีไหนอีก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ป้าใบ้ทำสัญญามือบอกให้เธอไปกินข้าว เธอจึงเดินตามป้าใบ้ลงไปชั้นล่าง

บนหน้าจอทีวีขึ้นรายการข่าวภาคค่ำ ตั้งแต่ถูกกักขังอยู่ที่นี่นอกจากดูโทรทัศน์และฟังข่าวแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้เธอได้ใช้ฆ่าเวลาเลย

ขณะนั้นเธอก็ได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานข่าว: “ต่อไปเรามาดูรายงานข่าวจากผู้สืบข่าวของสถานีเมืองซีรายงานสดจากริมแม่น้ำปินเจียง

ค่ะ…..”

ไป๋มู่ชิงที่ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะฟังข่าว พอได้ยินเสียงผู้สืบข่าวตะโกนรายงานสดจากริมแม่น้ำปินเจียงช่วงถนนหงลี่มีแม่ลูกคู่หนึ่งกระโดนแม่น้ำฆ่าตัวตาย ทำให้เธอนิ่งไปทันที ก่อนจะวางถ้วยและตะเกียบลงแล้ววิ่งไปที่ห้องรับแขกทันที

บนหน้าจอโทรทัศน์ขึ้นภาพริมแม่น้ำปินเจียงที่กำลังฝนตก เจ้าหน้าที่ต่างพยายามดำน้ำงมหาร่างสองแม่ลูกท่ามกลางสายฝน ผู้สืบข่าวที่ใส่เสื้อกันฝนยืนรายงานข่าวอยู่หน้ากล้องว่าเด็กน้อยที่จมน้ำใส่เสื้อผู้ป่วย อายุราวๆหกเจ็ดขวบ คาดว่าเด็กน่าจะป่วยแล้วไม่มีเงินรักษา แม่เลยเลือกที่จะคิดสั้น

ไป๋มู่ชิงสองขาอ่อนแรง เกือบจะทรุดลงไปกับพื้น

“เสี่ยวอี้…….” เธอร้องเรียกเสียงเบาหวิว ก่อนวิ่งไปทางประตู

ป้าใบ้เห็นเธอวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนเหมือนคนบ้า จึงตกใจรีบวิ่งตามออกไป อยากตะโกนเรียกเธอ แต่ร้องเรียกยังไงก็ไม่มีเสียงออกมา

ยามที่ปฏิบัติหน้าวันนี้กำลังกินข้าวเย็นอยู่ในห้องทำงานและดูโทรทัศน์ไปด้วย เขาเงยหน้าขึ้นมองหลังจากได้ยินเสียงเปิดประตู ก่อนจะพบว่าไป๋มู่ชิงกำลังวิ่งออกไปอย่างกระวนกระวาย จึงคว้าร่มที่วางอยู่ด้านข้างและวิ่งตามออกไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท