เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 155 วันเกิด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“อะไรกัน หรือว่างานไม่ใช่เรื่องสำคัญเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงจั๊กจี้จากการไซ้ซอกคอของเขา จึงได้หัวเราะพร้อมดิ้นไปดิ้นมา

“ธุระทางบริษัทให้สามีเธอจัดการก็พอแล้ว หน้าที่ของเธอคือรีบมีทายาทสืบสกุลให้ฉันโดยเร็ว” หนานกงเฉินโยนเธอไปบนเตียง จากนั้นก็ขึ้นคล่อมอยู่ด้านบน

ไป๋มู่ชิงหัวเราะไปขัดขืนไป พร้อมทั้งตะโกนขึ้น : “หนานกงเฉิน ฉันเพิ่งเข้าทำงานเองนะ คุณจะให้ฉันลาพักคลอดหรือไง”

“ไม่ดีเหรอ ? ไม่ต้องไปทำงานแถมยังมีเงินเดือนใช้อีก”

“ไม่เอาด้วยหรอก……ฉันต้องทำเรื่องใหญ่ !”

“ถ้าขัดขืนต่ออีกฉันจะหักเงินโบนัสเธอนะ” หนานกงเฉินพูดพลางกดร่างของเธอเอาไว้

ไป๋มู่ชิงไม่กล้าดิ้นไปมาเหมือนอย่างที่คิดไว้ ร่างกายของเธอสั่นเทา ในหัวยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ สุดท้ายจึงได้ตะโกนระบายความไม่สบายใจนั้นออกมา : “เมื่อกี้ใครเป็นคนบอกว่าบริษัทเป็นของเรากัน ตอนนี้กลับใช้วิธีหักเงินโบนัสเพื่อข่มขู่ให้ฉันทำเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ ? เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการทำงานด้วย ? ไอ้นายทุนชั่ว!”

จุมพิตของหนานกงเฉินเคลื่อนขึ้นไปอยู่ข้างใบหูของเธอ เขาแค่นหัวเราะแล้วพูดว่า : “ใครใช้ให้ฉันเป็นนายทุนชั่วล่ะ ?”

หนานกงเฉินไม่ให้โอกาสเธอในการโต้เถียงต่อไปอีก เขาประกบปากเข้ากับของเธอทันที คำพูดที่ยังไม่ทันได้เปล่งออกมาจึงถูกดันกลับคืน

หนานกงเฉินจอดรถที่ด้านหน้าบริษัท เขาหันหน้ามาพูดกับไป๋มู่ชิงที่กำลังเตรียมลงรถ : “รอเดี๋ยว”

“มีอะไรคะ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้ามาพลางก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็โน้มตัวลงมาจูบบนแก้มของเขาหนึ่งครั้ง : “เจอกันตอนเย็นค่ะ”

หนานกงเฉินไม่พอใจกับคำว่า ‘เจอกันตอนเย็น’ ของเธอเป็นอย่างมาก จึงได้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “คุณภรรยา การที่ฉันพาเธอมาทำงานที่บริษัท เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือมีคนกินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อน การที่เธอเย็นชาใส่สามีตัวเองแบบนี้มันเหมาะสมแล้วจริง ๆ เหรอ ?”

“มื้อเช้ามื้อเย็นก็กินด้วยกันหมดนี่ คุณไม่เบื่อหรือไง ?” ไป๋มู่ชิงส่งยิ้มให้เขา : “ฉันให้โอกาสคุณไปทานข้าวกับเลขาสาวสวยเหล่านั้นไม่ดีเหรอคะ ?”

“เลขาจะเรียกน้ำย่อยได้ดีเท่าเธอได้ยังไง”

“เลิกล้อเล่นได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงก้มมองเวลาอีกครั้ง : “เหลืออีกสามนาทีจะสายแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกันนะ”

เธอผลักเปิดประตูแล้วลงรถไป หนานกงเฉินเดินตามลงรถไปด้วยติด ๆ มุ่งไปยังล็อบบี้ขนาดใหญ่ชั้นหนึ่ง

ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับมาจึงพบว่าเขากำลังตามตนอยู่ จึงได้ถามขึ้นอย่างเอือมละอา : “คุณจะตามฉันมาทำไม ?”

“ฉันยังมีอะไรจะพูดกับเธออีก” หนานกงเฉินตอบรับการทักทายของพนักงานคนอื่นไป พร้อมทั้งตอบเธอไป

ไป๋มู่ชิงเห็นพวกเสี่ยวเถียนอยู่เบื้องหน้า จึงหันหน้าไปพูดกับเขาทันที : “มีธุระอะไรตอนเที่ยงค่อยว่ากันเถอะ ตอนเที่ยงฉันจะให้โอกาสคุณเลี้ยงข้าวฉันก็ได้”

“ตกลง” หนานกงเฉินหยุดเดินตามเธอ จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังลิฟต์ส่วนตัว

“มู่ชิง อรุณสวัสดิ์” เสี่ยวเถียนและเพื่อนร่วมงานสาวคนอื่น ๆ กล่าวทักทายเธอ

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” หลังจากที่ไป๋มู่ชิงทักทายทุกคนเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกัน

พนักงานผู้หญิงสวมชุดทำงานเต็มยศกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนาหัวเราะคิกคักกันอยู่ในลิฟต์ ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองตนเองที่สวมชุดทำงานเต็มยศเช่นเดียวกัน ทั้งที่เข้ามาอยู่ในสังคมของพวกเธอได้แล้วแท้ ๆ ทว่ากลับไม่สามารถมีความสุขทุกวันได้อย่างพวกเธอเลย

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเธอทุกคนได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สบายกว่าตัวเธอเองก็เป็นได้ !

เธอปรารถนาที่จะเป็นเหมือนอย่างผู้หญิงกลุ่มนี้มาก มีการงานที่มั่นคง มีลูกสาวที่น่ารักร่างกายแข็งแรง ใช้ชีวิตอยู่บนความเรียบง่าย มีชีวิตชีวาเช่นนี้ทุกวัน

“มู่ชิง เธอเป็นอะไรไป ?” เพื่อนร่วมงานสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องมองทุกคนโดยไม่พูดจา จึงได้มองหน้าเธอแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย

ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมา หัวเราะแล้วตอบไปว่า : “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกว่าชีวิตพวกเธอเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาทุกวันเลย ฉันอิจฉามาก”

“เธอเนี่ยนะอิจฉาพวกเรา ?” เพื่อนร่วมงานสาวผู้นั้นพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ : “เธอต่างหากที่พวกเราทุกคนต้องอิจฉา เมื่อวานนี้ฉันได้ยินมีคนคุยกันในห้องน้ำด้วยว่าชาติที่แล้วเธอจะต้องกอบกู้ทางช้างเผือกมาแน่ ๆ ชาตินี้เลยได้แต่งงานกับคุณชายเฉิน”

“อย่างนั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงยิ้มเจื่อน ๆ

เหตุใดเธอจึงคิดว่าตนเองจะต้องไปทำอะไรไม่ดีกับย่าเมิ่งไว้แน่ ๆ ชาตินี้ก็เลยเกี่ยวพันกับตระกูลหนานกงแบบนี้

“เฮ้อ คนเราก็เป็นอย่างนี้กันหมดไม่ใช่หรือไง ? คนอื่นอะไร ๆ ก็ดีหมด แต่ตัวเองอะไร ๆ ก็ไม่ดีสักอย่าง” เสี่ยวเถียนพูดพลางตบไหล่ไป๋มู่ชิงไป : “เธอรู้ไหมว่าเมื่อคืนนี้ฉันทะเลาะกับแฟนที่เอาแต่เล่นเกมทั้งวันจนถึงกี่โมง ? ดูรอยคล้ำใต้ตาของฉันก็รู้แล้วละ”

เธอชี้มายังดวงตาสองข้างของตัวเอง

“ของเธอยังน้อยนะ ดูจุดด่างดำบนหน้าฉันสิ” พนักงานสาวอีกคนชี้ใบหน้าตนเอง : “ลูกสาวคนโตเพิ่งหายป่วยสัปดาห์ที่แล้ว ลูกสาวคนเล็กก็มาไข้สูงติดต่อกันสี่วัน ฉันต้องตื่นขึ้นมาต้มยาสมุนไพรตีห้าทุกวัน หกโมงทำอาหารเช้า เจ็ดโมงส่งลูกไปเรียน ใกล้จะบ้าตายแล้ว”

“และก็ยังมี……”

“ถึงแล้ว ๆ ออกไปเถอะ”

“นี่ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

“ไว้ค่อยหาเวลาว่างมานั่งระบายกันเนอะ ตอนนี้รีบกลับเข้าทำงานแผนกตัวเองก่อนเถอะ” เสี่ยวเถียนพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเข้าไปยังแผนกออกแบบ ทุกคนก็ได้แยกย้ายไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ไป๋มู่ชิงเห็นท่าทางส่ายหัวของทุกคนแล้ว อยู่ ๆ ก็เกิดความคิดที่ว่าความจริงแล้วตนนั้นไม่ใช่ผู้ที่ทุกข์ตรมที่สุดแต่อย่างใด

แต่จะว่าไป หากให้โอกาสเธอสักครั้ง เธอก็ยินยอมดูแลเจ้าหญิงตัวน้อยของตนเองหามรุ่มหามค่ำทุกวัน ต่อให้นอนดึกจนใบหน้าเต็มไปด้วยจุดด่างดำก็ยอม

ครั้นน่าเสียดายที่ลูกของเธอไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอเลย !

ช่วงเที่ยง ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วพูดว่า : “คุณบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับฉันไม่ใช่เหรอ ? เรื่องอะไรกันแน่ ?”

หนานกงเฉินนำสเต๊กเนื้อชิ้นเล็กที่หั่นไว้แล้วใส่จานของเธอ : “ลองดูซิรสชาติเป็นยังไง”

ไป๋มู่ชิงจิ้มสเต๊กเนื้อชิ้นเล็กเข้าปาก แล้วพยักหน้า : “อร่อย”

“ลองอันนี้ดูอีก” หนานกงเฉินหั่นเนื้อสันในไก่เป็นชิ้นเล็กในจานตัวเองแล้วยื่นให้เธอ

ไป๋มู่ชิงทานเนื้อที่เขาตักให้ไม่หยุดไป พร้อมกรอกตามองบนไป : “หนานกงเฉินนานแล้วนะ คุณจะพูดเรื่องสำคัญได้ยัง”

หนานกงเฉินจิ้มสเต๊กชิ้นเล็กเข้าปากตัวเอง แล้วพูดว่า : “ความจริงก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก”

“คุณ……โกหกฉันงั้นเหรอ ?”

“ใช่น่ะสิ อยากทานข้าวเที่ยงกับเธอยังต้องโกหกด้วย น่าสงสารจังเลย”

“คุณชายใหญ่เฉิน ฉันพบว่าตอนที่คุณไม่เย็นชาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ” ไป๋มู่ชิงส่งยิ้มให้เขา จากนั้นก็พูดทิ้งท้ายให้เขาสองพยางค์ : “น่าเบื่อ !”

“ขอบใจ” หนานกงเฉินยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก พลางครุ่นคิดไปมา : “ความจริงเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เมื่อคืนลืมพูดกับเธอ”

“เรื่องอะไรเหรอ ?”

เขาจ้องหน้าเธอ แล้วพูดขึ้นว่า : “วันเกิดของเธอใกล้จะถึงแล้ว อยากได้อะไรเป็นของขวัญหรือเปล่า ? ฉันจะหามาให้”

ไป๋มู่ชิงชะงักเล็กน้อย วันเกิดของเธอหรือ ? จริงด้วย วันเกิดของเธอใกล้จะถึงแล้ว เรื่องนี้แม้แต่ตัวเธอเองก็ใกล้ลืมไปแล้ว ทว่าเขากลับจำได้หรือนี่ ?

เธอฉีกยิ้มขึ้น : “ไม่ต้องหรอก การที่คุณให้ฉันออกมาทำงานก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้วละ”

“เธอขออะไรที่มันดีกว่านี้ได้”

ของขวัญที่ดีกว่านี้เหรอ ? ไป๋มู่ชิงอ้าปากคล้ายจะพูดอะไร ครั้นสุดท้ายก็ส่ายหน้า : “แค่เป็นสิ่งของที่คุณให้ ฉันชอบหมดแหละ”

“ความหมายของเธอคือ ให้ฉันคิดเอาเอง ?”

“ถูกต้อง ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยของขวัญจากคุณนะ”

“งั้นพอดีเลย” หนานกงเฉินยิ้มขึ้น : “อาทิตย์หน้าฉันจะไปทำงานนอกสถานที่ ที่ประเทศฝรั่งเศส เธอไปกับฉัน ไปแคว้นโพรวองซ์ แนวชายฝั่งทะเลสีฟ้าทางตอนใต้เป็นต้น นี่เป็นสถานที่ที่ฉันไปกับผู้หญิงครั้งแรกเลยนะ เซอร์ไพรส์พอไหม ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็มีความผิดหวังลอยผ่านเข้ามา เหตุใดไม่เอาเสี่ยวอี้มาให้เธอ เพื่อมอบเซอร์ไพรส์ใหญ่กับเธอเล่า ?

แม้แคว้นโพรวองซ์จะเป็นสถานที่ที่เธออยากไปมาตลอด และการที่ออกไปท่องเที่ยวกับเขาสองคนนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สวยงามอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับการเอาเสี่ยวอี้มาให้นั้นถือว่าเทียบกันไม่ติด

“ทำไม ? ไม่เซอร์ไพรส์พอเหรอ งั้นเธออยากไปที่ไหนบอกฉันมา ฉันพาเธอไปได้หมด”

“ไม่หรอก เซอร์ไพรส์มากพอแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงกักเก็บความผิดหวังที่อยู่ในใจเอาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม : “ฉันฝันว่าอยากเดินชมวิวในทุ่งดอกไม้ที่แคว้นโพรวองซ์กับคนรักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันคิดว่านี่จะต้องเป็นของขวัญที่ทำให้ลืมไม่ได้ตลอดชีวิตเลยค่ะ”

“ชอบก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินอมยิ้ม

“แต่ว่า……”

“อะไรเหรอ ?”

“อาทิตย์หน้าฉันต้องทำงาน”

สีหน้าของหนานกงเฉินบึ้งตึงขึ้นมา : “คุณภรรยา อย่าทำให้หมดสนุกแบบนี้ได้ไหม ?”

“ฉันพูดจริงจังนะ”

“ฉันก็จริงจังเหมือนกัน ถ้าต่อไปทำให้หมดสนุกแบบนี้อีก ฉันจะไล่เธอออกให้หยุดพักยาวไปเลย”

“หัวรุนแรง !”

“บอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง ? สามีที่หนึ่ง งานที่สอง”

ไป๋มู่ชิงทำหน้ามุ่ย ไม่กล่าวอันใดต่อ

“สามี ดูภาพร่างที่ฉันวาดอันนี้สิ สวยไหม ?” ไป๋มู่ชิงยื่นโทรศัพท์ไปให้หนานกงเฉินดู จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ : “วันนี้ผู้จัดการหวงชมฉันในที่ประชุมด้วยนะ”

หนานกงเฉินหลับตาลง พร้อมกอดเธอเอาไว้แน่น : “เห็นแล้ว ใช้ได้”

“คุณเห็นแล้วเหรอ ? ตอนไหน ?”

“ตอนประชุมวันนี้”

“จริงเหรอ ? คุณคิดว่าใช้ได้จริง ๆ เหรอ ?” ใบหน้าไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความตื่นตื่นเต้นดีใจ

“อืม” หนานกงเฉินนำโทรศัพท์ของเธอไปวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง : “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปขึ้นเครื่อง”

ไป๋มู่ชิงกลับยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์กลับคืนมา แล้วเปิดภาพร่างที่ตนทำขึ้นใหม่ล่าสุดขึ้นพร้อมบังคับให้เขาดู : “คุณไม่ได้ดูสักนิด คุณบอกฉันมาว่าคุณชอบส่วนไหนของรูปนั้นมากที่สุด ?”

หนานกงเฉินเห็นว่าเธอหัวรั้นเช่นนั้น จึงทำได้เพียงลืมตาแล้วมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ จากนั้นก็ชี้ไปสักส่วนในรูปนั้น : “ฉันชอบสวนดอกไม้ลอยฟ้า รู้สึกเหมือนจะสบายมาก”

“จริงเหรอ ? ฉันชอบเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงยิ้มตาหยี : “สถานที่ตรงนี้ตอนเช้าจะมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา ถ้าตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงไปนอนเล่นอาบแดด อ่านหนังสือที่นั้นละก็นะ แค่คิดก็สบายมากเลยแหละ ”

“ถ้าชอบเดี๋ยวซื้อให้สักหลัง”

“ไม่ต้องหรอก ฉันพักบ้านที่เยอะขนาดนั้นไม่ไหวหรอก” ไป๋มู่ชิงดันตัวเองขึ้นนั่งแล้วจ้องหน้าเขา : “ความหมายของคุณคือ จะใช้แผนงานออกแบบของฉันเหรอ ?”

“แผ่นร่างออกแบบของคุณภรรยาของประธานกรรมการบริหาร แน่นอนว่าจะต้องพิจารณาใช้งานเป็นคนแรกอยู่แล้ว”

“จริงหรือเปล่า ? พูดกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะไม่ให้สิทธิพิเศษกับฉัน ?”

“แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เรื่องจริงสิ นี่มันคืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ จะทำตามที่ใจอยากไม่ได้หรอกนะ จะต้องคำนึงถึงการใช้งานจริง รวมถึงขนาดใช้สอยภายในห้องด้วย เพราะสิ่งที่ลูกค้าให้ความสนใจมากที่สุดก็คือส่วนนี้แหละ เธอออกแบบสวนลอยฟ้าที่ใหญ่ขนาดนี้ มันเป็นการสิ้นเปลืองพื้นที่ไม่ใช่หรือไง ?” หนานกงเฉินก้มหน้าลงไปพรมจูบริมฝีปากของเธอ : “เพราะงั้นที่ประชุมวันนี้ ฉันเอาแผ่นร่างของเธอทิ้งเป็นคนแรกแล้วก็ด่าผู้จัดการหวงไปยกใหญ่ด้วย”

“ฮะ ? ด่าผู้จัดการเหรอ ?”

“อืม”

“ด่าว่าอะไร ?”

“ด่าว่าต่อจากนี้อย่าเอาภาพออกแบบที่ไร้คุณภาพแบบนี้มาให้ฉันดูอีก จากนั้นก็ถามไปอีกว่า คนที่ไร้ความสามารถแบบนี้ใครเป็นคนรับเข้ามาทำงานกัน แต่พออ่านชื่อด้านล่างของกระดาษแล้ว……”

ไป๋มู่ชิงหัวเราะ ‘ก๊าก’ ขึ้นมา : “แล้วไงต่อ ? หน้าแดงเลยใช่ไหม ?”

“ประมาณนั้นแหละ สุดท้ายเธอทำฉันขายหน้ากู้ไม่กลับจนได้”

ไป๋มู่ชิงหัวเราะฮ่า ๆ ขึ้นเสียงดัง หลังจากหัวเราะเสร็จจึงถามเขาอีกว่า : “นี่ มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ?”

“ใช่”

“คนบ้า”

“สรุปคุณจะนอนหรือไม่นอน ? ถ้าไม่นอนเราก็มาทำอะไรที่มันสนุกกัน”

ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นมาแล้วพูดคัดค้านทันที : “ฉันจะนอน ฉันจะนอนเดี๋ยวนี้……”

เมื่อกี้เพิ่งถูกเขากระทำรุนแรงมา ตอนนี้ยังจะเอาอีกงั้นหรือ ? เขาทนได้แต่เธอทนไม่ได้นี่

ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็มุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้วตัดพ้อขึ้นว่า : “อยากพักในห้องที่ตัวเองออกแบบจัง จะต้องเยี่ยมมากแน่ ๆ”

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เธอออกแบบคฤหาสน์มาหนึ่งหลัง จากนั้นฉันกับลูกจะเข้าไปพักกับเธอ”

“จริงเหรอ ? งั้นฉันต้องดึงเอาทักษะที่ถนัดที่สุดของตัวเองออกมาทำการออกแบบสักหน่อยแล้ว”

“เธอมีทักษะที่ถนัดที่สุดด้วยเหรอ ?”

“แน่นอน……”

ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มหวาน

เช้าตรู่วันต่อมา ไป๋มู่ชิงโดยสารเครื่องบินไปยังเมืองหลวงของฝรั่งเศสกับหนานกงเฉิน

เป็นเที่ยวบินซึ่งใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงกว่าจะถึงปลายทาง แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับการนั่งเครื่อง ทว่าเนื่องจากมีหนานกงเฉินนั่งอยู่ด้วย ไป๋มู่ชิงจึงไม่รู้สึกทรมานเลย

หลังจากที่ถึงเมืองปารีสแล้ว ทั้งสองคนเข้าพักที่โรงแรมพร้อมปรับเวลา เสร็จแล้วจึงได้ไปเดินเล่นบริเวณรอบ ๆ แถวนั้น และหาอะไรทาน

ไป๋มู่ชิงมาเยือนประเทศฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก เธอถือโทรศัพท์ถ่ายทุกมุมเก็บเอาไว้

ช่วงบ่ายหนานกงเฉินจะต้องไปทำธุระของบริษัท เขาได้หาไกด์นำเที่ยวสัญชาติจีนให้กับเธอ ไป๋มู่ชิงจึงได้เที่ยวเล่นตลอดทั้งบ่าย

ตกเย็นมา ขณะที่หนานกงเฉินยกเลิกการดื่มสังสรรค์แล้วกลับมายังโรงแรม ก็ได้มองเห็นสิ่งของที่ไป๋มู่ชิงเดินเลือกซื้อทั้งบ่ายวางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด

หนานกงเฉินเดินเข้ามา โอบเอวของเธอเอาไว้แล้วพรมจูบตรงซอกคอของเธอ : “มีของฉันหรือเปล่า ?”

“ไม่มี”

“ของเยอะขนาดนี้แต่ไม่มีของฉันเลยอะนะ ?”

“เยอะเหรอ ? เพื่อนที่ออฟฟิตเยอะจะตายไป แถมยังมีซูซี่ เหยาเหม่ยและเด็ก ๆ พวกนั้นอีก……”

“ที่รัก” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอด้วยความเอือมละอา : “พวกเรามาเที่ยวนะ ไม่ได้มาหิ้วของแทนคนอื่น”

“ใช่แล้ว พวกเรามาเที่ยว แต่การมาเที่ยวไม่ต้องเอาของฝากกลับไปให้เพื่อน ๆ เหรอ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปแล้วพรมจูบบนริมฝีปากของเขา : “ทำไม ? ไม่มีของคุณ ก็เลยไม่พอใจงั้นเหรอ ?”

“แน่นอนสิ ในใจของเธอฉันไม่สำคัญเท่าเพื่อนร่วมงานพวกนั้นของเธอเลย……ฉันควรดีใจงั้นเหรอ ?”

“เจ้าคนขี้น้อยใจเอ๊ย” ไป๋มู่ชิงพรมจูบบนริมฝีปากของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบถุงใบหนึ่งออกมาจากข้าง ๆ โซฟา แล้วยื่นไปให้เขา เธอฉีกยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า : “รูดบัตรของคุณแล้ว ใครจะกล้าไม่ซื้อของขวัญให้คุณ ? ไม่ใช่การรนหาที่ตายเหรอ ?”

“ค่อยว่ากันได้หน่อย” หนานกงเฉินรับถุงที่อยู่ในมือของเธอไป จากนั้นก็หยิบกล่องเครื่องประดับอันสวยงามออกมา ด้านในคือกระดุมข้อมือทองคำขาวและอัญมณีสีดำหนึ่งคู่ หนานกงเฉินหยิบขึ้นมาดู

ไป๋มู่ชิงถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น : “เป็นไงบ้าง ? ชอบไหมคะ ?”

“ของที่คุณภรรยาให้ ต้องชอบแน่นอน” กระดุมข้อมือของผู้ชายมีเพียงไม่กี่แบบเท่านั้น เขาไม่เคยเลือกมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ปากหวานจัง”

“งั้นเหรอ ? เดี๋ยวให้เธอลองที่มันหวานกว่านี้” หนานกงเฉินพูดไปพลางก้มหน้าลงมาประกบปากเธอ ส่งต่อลมหายใจของตนเองเข้าสู่ในปากของเธอ

ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกแล้วพูดว่า : “ด้านในยังมีอีกนะ รีบดูเร็ว”

“ยังมีอีกเหรอ ?” หนานกงเฉินหยิบกล่องอีกอันออกมา ด้านในมีเน็กไทลายลูกไม้อันสวยสดงดงามอยู่หนึ่งเส้น

“คุณดูลายลูกไม้นั่นสิ สวยใช่ไหม ? ฉันเห็นครั้งแรกก็ชอบมากเลยแหละ รู้สึกว่าเข้ากับคุณมากเลย” ไป๋มู่ชิงหยิบเน็กไทจากมือเขามาแล้วคล้องบนคอเขา จากนั้นก็พยักหน้ากล่าวชื่นชม : “เข้ากับคุณมากจริง ๆ ด้วย”

หนานกงเฉินก้มหน้ามองเน็กไท จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา : “ที่รัก เธอแต่งตัวให้สามีตัวเองดูดีแบบนี้มันจะดีจริง ๆ เหรอ ?”

“ถึงยังไงคุณก็ดูดีอยู่แล้ว เพิ่มความดูดีเข้าไปอีกมันจะเป็นอะไรไป”

“ไม่กลัวว่าสักวันจะมีผู้หญิงคนอื่นลากไปเหรอ ?”

“คุณเป็นอย่างนั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขา

“นั่นมันก็ไม่แน่นะ”

“ถ้าเป็นสามีที่ถูกคนอื่นลากไปง่ายแบบนั้น ฉันจะมาทำไม ?” ไป๋มู่ชิงยักไหล่ : “ลากไปก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้มีโอกาสเปลี่ยนคู่แต่งงานใหม่ ไปแต่งงานกับผู้ชายที่อารมณ์ดี อ่อนโยน เชื่อฟัง”

“เธอว่าอะไรนะ ?” หนานกงเฉินสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นโน้มตัวลงกดเธอบนโซฟา พร้อมจ้องหน้าตาเขม็ง : “เธอพูดอีกทีซิ ?”

ไป๋มู่ชิงถูกเขากดทับไว้จนต้องหัวเราะคิกคักขึ้นมา : “ฉันบอกว่า……สามีของฉันเป็นผู้ชายแสนดีที่อารมณ์ดี อ่อนโยน เชื่อฟัง ถึงฉันต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งเขาไปได้เด็ดขาด !”

แม้หนานกงเฉินจะรู้ว่าที่เธอพูดนั้นตรงกันข้ามกับความคิดเธอ ทว่าเขาก็ปล่อยเธอออกด้วยความพึงพอใจอยู่ดี : “ค่อยว่ากันได้หน่อย !”

ไป๋มู่ชิงดิ้นรนพร้อมลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นก็กลอกตามองบนอย่างเอือมละอา : “หนานกงเฉินคุณมันหน้าไม่อาย”

หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างไม่สนใจ : “ถึงยังไงไม่ว่าฉันจะอารมณ์ดีหรือร้าย อ่อนโยนหรือไม่อ่อนโอน เชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง……ฉันก็เป็นสามีของเธออยู่ดี นี่มันคือเรื่องจริงที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนได้นอกจากฉัน”

“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น”

“เป็นมาแต่เกิด” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟา : “เอาล่ะ เก็บข้าวของบนโต๊ะหน่อย เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปทานอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับแท้ ๆ”

“ได้เลย ฉันหิวพอดี !” ไป๋มู่ชิงเก็บของลงในถุงด้วยความเร็ว จากนั้นก็ออกจากโรงแรมไปพร้อมหนานกงเฉิน

ไป๋มู่ชิงเห็นว่าหนานกงเฉินคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก จึงได้ถามไปด้วยความสงสัย : “คุณมาบ่อยเหรอ ?”

“ไม่นะ เคยมาสองครั้ง”

“ทำไมฉันถึงคิดว่าคุณคุ้นชินกับที่นี่ดีมากเลยล่ะ ?”

“ก่อนออกมาข้างนอกให้ดูแผนที่ให้ดี ๆ ก่อน ครูเธอไม่เคยสอนเหรอ ?”

“ไม่เคยจริง ๆ ด้วยแฮะ” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มพร้อมคล้องแขนของเขา ทั้งสองคนเดินบนถนนที่มีแสงไฟนีออนตลอดทาง พร้อมทั้งหายใจสูดเอาอากาศที่ต่างประเทศเข้าเต็มปอด ทำให้อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

ทว่าไม่รู้เนื่องด้วยเหตุใด ไป๋มู่ชิงมักรู้สึกเหมือนว่ามีคนเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น เธอหันหลังกลับไปมอง จึงเห็นชาวต่างชาติเต็มไปหมด ซึ่งทุกคนต่างก็มีธุระเป็นของตนเองทั้งนั้น ไม่มีใครกำลังมองเธออยู่เลย

ความรู้สึกเช่นนี้มีมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว หรือว่าตนจะเจ็ตแล็ก จึงเกิดเป็นภาพหลอนขึ้นมางั้นหรือ ?

เธอสะบัดหัว อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ จะมีใครมาสะกดรอยตามเธอในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้กันเล่า ?

หนานกงเฉินรู้สึกได้ว่าเธอหันหลังกลับไปมองหลายรอบ จึงหันไปกวาดสายตามองด้านหลังตามเธอ จากนั้นสายตาก็ไปตกอยู่บนชายหนุ่มผมทองตาฟ้าท่านหนึ่ง เขาจึงทำหน้าหงิกงอขึ้นมา : “เขาหล่อกว่าฉันเหรอ ?”

“ใครเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงถามไปด้วยความสงสัย

“แกล้งบื้อทำไม อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอกำลังมองอะไรอยู่” หนานกงเฉินโน้มตัวลงไปกัดติ่งหูของเธอ : “กลับไปคืนนี้จะจัดการเธอให้เข็ดหลาบ”

ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมอง จึงเห็นชายหนุ่มผู้นั้น พูดตามความจริงแล้ว เขาไม่หล่อเท่าหนานกงเฉินเลย แต่เป็นคนที่ดูดีคนหนึ่ง

“อยากลองเปลี่ยนไปคบเขาดูจังว่าจะรู้สึกยังไง” เธอจงใจพูดตัดพ้อ : “แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาส”

“เธอว่าอะไรนะ ?”

“ล้อเล่นน่า !” ไป๋มู่ชิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา จากนั้นก็วิ่งหัวเราะคิกคักไปด้านหน้า

“อย่าล้อเล่นแบบนี้อีก” หนานกงเฉินกล่าวตักเตือนด้วยความหึงหวง พร้อมก้าวเท้าเดินตามเธอไป

ทั้งสองคนเดินหยอกล้อกันไปบนถนนต่างประเทศตลอดทาง ไป๋มู่ชิงหยุดเดินและแนบอิงบนอ้อมอกของหนานกงเฉินเพื่อถ่ายรูปอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็แต่งรูปให้ตัวเองดูสวย แล้วยื่นให้หนานกงเฉินดู

พวกเขาเดินอยู่ไม่นานก็ถึงร้านอาหารฝรั่งเศสที่หนานกงเฉินจองล่วงหน้าไว้แล้ว เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปพนักงานก็ได้เสิร์ฟอาหารบนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง

หนานกงเฉินชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะ : “เห็นบอกว่าหิวแล้วนี่ ? รีบทานเถอะ”

“งั้นฉันลุยแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงหยิบมีดและส้อมตักอาหารขึ้นมาทาน จากนั้นก็พยักหน้า : “รสชาติต้นตำรับกว่าร้านอาหารฝรั่งเศสที่ประเทศเราจริง ๆ ด้วย อร่อยจริง ๆ”

“อร่อยก็ดีแล้ว”

“คุณทานด้วยสิ” ไป๋มู่ชิงคีบเนื้อสเต๊กส่งให้เขา

หนานกงเฉินเพิ่งทานมื้อเย็นกับลูกค้าไป ทว่าเมื่อเห็นเธอทานอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ เขาจึงตัดสินใจทานมื้อนี้เป็นเพื่อนเธออีกรอบ เขาตักอาหารที่เธอเพิ่งคีบมาให้เอาเข้าปากแล้วรับประทาน

เมื่อทานมาได้ระยะหนึ่ง อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องหน้าเขาพร้อมถามว่า : “จริงสิ คุณจะทำงานเสร็จเมื่อไหร่เหรอ อีกหลายวันหลังมีแผนการอะไร ?”

หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ : “เรื่องงานวันนี้ตอนบ่ายจัดการเสร็จพอสมควรแล้วละ”

“ถ้างั้นวันพรุ่งนี้พวกเราจะไปเที่ยวทุ่งดอกไม้แล้วใช่ไหม ?”

“ไม่ พรุ่งนี้ไม่ไป ไปวันมะรืน”

“ทำไม ? พรุ่งนี้วันเกิดฉันนะ”

“พรุ่งนี้ไปดินเนอร์วันเกิดกับเธอ มะรืนไปทุ่งดอกไม้”

“ความจริงแล้วฉันไม่เอาดินเนอร์วันเกิดก็ได้นะ”

“เรื่องนี้ต้องเชื่อฟังฉัน” หนานกงเฉินยื่นมือไปผลักหน้าผากเธอเบา ๆ : “ห้ามเบ้ปาก”

ไป๋มู่ชิงตอบโต้ไปโดยไม่ยอม : “อะไร ๆ ก็ฟังแต่คุณ”

“ทำไม ? ไม่ยอมเหรอ ?”

“ไม่ยอมสิ”

“เคยได้ยินว่าทานเยอะ ๆ จะลดความโมโหลงได้ ทานเยอะ ๆ หน่อยนะ” หนานกงเฉินคีบอาหารใส่ชามเธอจนพูน

ไป๋มู่ชิงเปลี่ยนจากโมโหเป็นอยากทานอาหารแทนเหมือนอย่างที่คิดไว้ เธอก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานต่อไป

อาหารของที่นี่อร่อยจริง ๆ เธอทานอาหารที่หนานกงเฉินตักให้จนหมดโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็รู้สึกว่าตนนั้นทานจนจุกท้องไปแล้ว

หนานกงเฉินมองจานชามที่วางไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหน้าเธอฉีกยิ้มขึ้นแล้วถามว่า : “อิ่มแล้วเหรอ ? หายโมโหหรือยัง ?”

“อิ่มแล้ว แต่ยังไม่หายโมโห” ไป๋มู่ชิงยืนขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นก็ลูบท้องที่จุกแน่นของตนเอง : “ให้ตายสิ พูดอย่างดิบดีว่าจะลดน้ำหนักแล้วแท้ ๆ”

“ไม่ต้องลดน้ำหนักหรอก แค่ฉันไม่รังเกียจเธอก็พอแล้ว” หนานกงเฉินเรียกพนักงานมาเช็คบิล จากนั้นก็โอบเธอเดินออกจากร้านอาหารไปพร้อมกัน

“ฉันอยากไปเดินเล่น”

“แล้วแต่เธอ……”

“สามีใจดีจังเลย !” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มกว้างพร้อมคล้องแขนเขาไว้ ความจริงแล้วเธอไม่ได้โมโหอะไรเลย มีแต่ความรู้สึกสุขใจทั้งนั้น !

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท