เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 169 เมาจริงvsแกล้งเมา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“เดี๋ยวผมส่งคุณกลับ” หนานกงเฉินพยุงร่างกายเธอไว้แล้วพยักหน้าให้ทุกคนจากนั้นก็พาเธอเดินออกจากประตูโรงแรมไป

ระหว่างทาง จูจูเดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวก็พูดถึงเรื่องตอนเด็กที่อยู่บ้านสวนจู เดี๋ยวก็พูดถึงเรื่องระหว่างเขาสองคนเมื่อหกเจ็ดปีก่อน

แต่หนานกงเฉินกลับไม่เอ่ยพูดอะไรเลยสักคำ แค่ขับรถเงียบๆไปอย่างนั้น

จูจูก็ยังใส่ชุดกระโปรงขาวอยู่ เธอถูกหนานกงเฉินอุ้มขึ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน

หนานกงเฉินวางเธอลงบนเตียงกำลังจะออกไป แต่จูจูกลับใช้มือทั้งสองข้างคล้องคอเขาไว้แล้วพูดเสียงสะอึกสะอื้นในตาก็มีแต่น้ำตา “เฉิน ฉันไม่ได้ใส่ร้ายมู่ชิงนะ คุณต้องเชื่อฉัน”

หนานกงเฉินพยักหน้าให้ “ผมเชื่อคุณ คุณเมาแล้ว รีบนอนเถอะ”

“ฉันนอนไม่หลับ……ฉันอึดอัด เฉิน……คุณว่าทำไมฉันถึงซวยขนาดนี้? ทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเลย……”

“นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ อย่าโทษตัวเองเลย”

“ฉันนี่แหละผิด ฉันน่ารังเกียจตั้งแต่เด็กจนโต ทุกคนในบ้าน รังเกียจ ถูกเพื่อนร่วมงานรังเกียจ……ยังทำให้มู่ชิงไม่มีความสุขอีก” เธอร้องไห้อย่างเสียใจ “ทำไมฉันถึงน่ารังเกียจขนาดนี้? คุณก็ไม่ชอบฉันแล้วใช่มั้ย?”

“ชอบสิ ก็ต้องชอบอยู่แล้ว” หนานกงเฉินแค่อยากปลอบใจเธอเลยไม่ได้สนใจอะไร

“จริงหรอ?” จูจูยิ้มอย่างดีใจ

“จริงสิ เพราะฉะนั้นคุณต้องเป็นเด็กดี ไม่งั้นผมก็จะไม่ชอบคุณ” หนานกงเฉินนำมือทั้งสองข้างของเธอออกจากคอตัวเองแล้วจ้องไปที่เธอ “รีบนอนเถอะ นอนแล้วอะไรๆก็จะดีขึ้น”

“ไม่ ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ……ฉันจะไปอาบน้ำ……” จูจูดิ้นรนลุกขึ้นจากบนเตียงแล้วใช้มือดึงชุดบนตัวออกพร้อมพึมพำบ่นว่า “ซิปล่ะ?ซิปอยู่ไหน……”

หนานกงเฉินจับมือที่เธอคลำหาซิปไปทั่ว “คุณอย่าเพิ่งดิ้น เดี๋ยวผมให้เสี่ยวหยวนมาช่วย”

“ไม่……เสี่ยวหยวนนอนตั้งนานแล้ว……ฉันทำเองก็ได้” จูจูคลำหาซิปของตัวเอง “หาซิมไม่เจอ……เฉิน คุณช่วยฉันหาหน่อย……”

“เดี๋ยวผมดูให้” หนานกงเฉินพูด

“ซิปอยู่ที่นี่! อยู่นี่……!” มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นที่หน้าประตู

ทั้งสองที่อยู่ในห้องอึ้งไปแล้วมองไปทางประตู ก็เห็นซูซี่กับเหยาเหม่ยพยุงตัวไป๋มู่ชิงที่เมาเละคนละข้างยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าของจูจูเขียวไป สีหน้าของหนานกงเฉินก็ไม่ได้ดูดีมากนัก

“คนรวยยุ่งยากจังเลย จะอยู่บ้านที่กว้างขวางขนาดนี้ทำไม? ทำฉันหาตั้งแต่ชั้นแรก กว่าจะหาห้องนอนเจอยากชะมัด” เหยาเหม่ยพยุงตัวไป๋มู่ชิงไปด้วยแล้วบ่นไปด้วย

จากนั้นทั้งสองก็โยนไป๋มู่ชิงไปที่อ้อมกอดของหนานกงเฉิน ซูซี่ก็ดือซิปข้างหลังของชุดไป๋มู่ชิงลง “เห็นหรือยัง ซิป”

หนานกงเฉินรับตัวไป๋มู่ชิงมา ก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวเธอขมวดคิ้วแล้วจ้องไปที่ทั้งสอง “พวกคุณพาเธอไปดื่มเหล้าหรอ?”

“เธอต่างหากที่ลากพวกเราไปดื่มด้วย” ซูซี่พูดแล้วยักไหล่ “คุณชายเฉินคุณไม่ใช่ไม่รู้นี่คะว่าภรรยาคุณตอนเมาเป็นยังไง เห็นผู้ชายก็พุ่งเข้าไปกอด พอเห็นแม่น้ำก็จะกระโดดลงไป พวกเราสองคนเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

“ตอนนี้สบายสักที” เหยาเหม่ยโล่งอกไป

“พวกเธอเสียงดังจังเลย……” ไป๋มู่ชิงพึมพำขึ้นแล้วพยายามยันตัวลุกขึ้นจากอ้อมกอดของหนานกงเฉิน พอเธอยืนขึ้น กระโปรงที่ถูกซูซี่ดึงซิบลงก็หลุดลงมาถึงเอวแล้วเห็นเรือนร่างอันสวยงามของเธอ

ร่างกายหนานกงเฉินเกร็งไปแล้วรีบดึงชุดของเธอขึ้นไป

ซูซี่เอนตัวมาจับหน้าไป๋มู่ชิงแล้วพูดว่า “มู่ชิง เราถึงบ้านแล้ว พักผ่อนดีๆนะ”

พอไป๋มู่ชิงได้ยินคำว่าถึงบ้านก็รีบโวยวายขึ้น “ฉันไม่อยากกลับบ้าน……ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากกลับ……”

“ถ้าเธอไม่กลับ คุณชายเฉินก็โดนนังหน้าไม่อายแย่งไปสิ”

“คุณชายเฉิน……ฉันไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากได้แล้ว……” ไป๋มู่ชิงรู้สึกลำไส้แปรปรวนแล้วเอนตัวอาเจียนในอ้อมแขนของหนานกงเฉิน สิ่งที่ควรอ้วกก็อ้วกออกมาระหว่างทางหมดแล้ว ตอนนี้เธอแค่คลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น

หนานกงเฉินมองไปที่จูจูที่แกล้งหลับอยู่ปลายเตียงแล้วหันไปพูดกับซูซี่เหยาเหม่ยว่า “พวกคุณช่วยพาเธอไปที่ห้องตรงข้ามนี้ด้วย”

ซูซี่กับเหยาเหม่ยสบตากันแล้วไม่ขยับตัว จากนั้นก็เอ่ยขึ้น”ขอโทษนะ ไม่ใช่หน้าที่!” ซูซี่พูดจบก็ลากเหยาเหม่ยเดินออกไปทางประตูห้อง

ในห้องนอนก็เหลือแค่หนานกงเฉินกับคนเมาสองคน

ตอนที่เหยาเหม่ยเดินออกจากห้องนอนก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปจากนั้นก็พูดเสริมว่า “คุณชายเฉินคะ ฉันจะบอกความลับกับคุณ คนนั้นของคุณแค่แกล้ง แต่มู่ชิงของเราเมาจริง รีบพาเธอไปอาบน้ำเถอะ”

“ฉันรู้สึกว่าเราลืมทำอะไรบางอย่าง” ซูซี่พูดขึ้นขณะเดินลงไปชั้นล่าง

“ลืมอะไร?”

“เราควรจะมอมยามู่ชิงแล้วเปลี่ยนชุดชั้นในเซ็กซี่ให้เธอ ถ้าเป็นอย่างงั้นสถานการณ์คงร้อนระอุแน่ๆ นังหน้าไม่อายนั้นคงโกรธจนอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย”

“ก็ควรจะพูดตั้งแต่แรกสิ”

“……”

ทั้งสองหัวเราะคิกคักแล้วเดินออกไป

ชั้นบน จูจูก็ยังนอนอยู่ที่ปลายเตียงแล้วในปากก็เอาพึมพำว่าอยากจะอาบน้ำ

ถึงแม้จะถูกขัดจังหวะไป แต่ยังไงก็ต้องแสดงต่อไปไม่ใช่หรอ ไม่งั้นหนานกงเฉินก็จะรู้ว่าเธอกำลังแกล้งเมา

มือข้างนึงของหนานกงเฉินช่วยจัดเสื้อที่หลุดลุ่ยของไป๋มู่ชิงแล้วมืออีกข้างหนึ่งก็ยกไปวางบนบ่าของจูจูเบาๆ “จู คุณนอนอยู่ที่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมเรียกเสี่ยวหยวนขึ้นมา”

จูจูขยับร่างกายแล้วเงยหน้ามายิ้มให้เขา “ไม่เป็นไร……คุณพามู่ชิงกลับห้องไปเถอะ เดี๋ยวมู่ชิงจะไม่สบาย”

หนานกงเฉินพยักหน้าให้แล้วจับโทรศัพท์บ้านบนโต๊ะขึ้นมาโทรออก

ผ่านไปสักพัก เสี่ยวหยวนก็ขึ้นมา เธอมองไปที่ทุกคนในห้องก็รู้สึกอึ้งไป

หนานกงเฉินสั่งกับเธอว่า “คุณหนูจูเมาแล้ว จะอาบน้ำตอนนี้ไม่ได้ เธอใช้น้ำร้อนเช็ดตัวให้คุณหนูด้วยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดให้เธอด้วย จำไว้น้ำอุ่นอุณหภูมิอยากต่ำเกินไป ไม่งั้นคุณหนูจูจะไม่สบาย”

“ได้ค่ะคุณชาย” เสี่ยวหยวนพยักหน้าตอบรับ

หนานกงเฉินมองกลับไปบนตัวจูจู แล้วใช้ฝ่ามือที่อบอุ่นลูบผมเธอ “จูจูรีบพักผ่อนเถอะ”

จูจูพยักหน้าอย่างมึนมัว “ขอบใจนะเฉิน ฉันจะพักผ่อนดีๆ”

หนานกงเฉินอุ้มไป๋มู่ชิงขึ้นแล้วเดินออกนอกห้องไป ไป๋มู่ชิงที่สะดุ้งตื่นจากความฝันก็เริ่มโวยวายขึ้น “ฉันไม่อยากกลับบ้าน……ฉันไม่อยาก……”

เสียงเธอค่อยๆเบาลงไป จากนั้นประตูห้องตรงข้ามก็ปิดลง

เสี่ยวหยวนเลยเดินไปปิดประตูห้อง พอหันกลับมาก็เห็นจูจูกำผ้าปูที่นอนแน่นอยู่บนเตียง แล้วน้ำตาก็หยดลงมาข้างล่าง

“คุณหนูจู คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” เสี่ยวหยวนรีบถามอย่างร้อนรนแล้วจับมือเธอ “รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ? ให้ฉันไปเรียกคุณชายกลับมาไหมคะ?”

จูจูปล่อยมือที่จับผ้าปูที่นอนไว้แน่นแล้วดึงชายเสื้อของเสี่ยวหยวนไว้แล้วส่ายหัว

เธอแค่ส่ายหัวไม่พูดอะไรแต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาอยู่

ถึงแม้เธอไม่พูดอะไร แต่เสี่ยวหยวนก็เดาได้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเมื่อกี้หนานกงเฉินเพิ่งอุ้มไป๋มู่ชิงออกไปจากที่นี่ เธอสูดหายใจเข้าเบาๆ แล้วพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน “คุณหนูจูคุณอย่าเสียใจไปเลย คุณดูสิ คุณชายก็เป็นห่วงคุณมาก เขาเป็นห่วงว่าคุณจะไม่สบาย เป็นห่วงว่าคุณจะไม่พักผ่อน”

แต่เขากลับอุ้มไป๋มู่ชิงแล้วเดินออกไปนี่ก็คือเรื่องจริงเหมือนกัน!

เสี่ยวหยวนเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรแล้วพูดขึ้นอีก “คุณหนูจูนอนพักเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้”

หลังจากที่หนานกงเฉินอุ้มไป๋มู่ชิงกลับไปถึงห้องแล้วก็โยนเธอลงบนเตียง จากนั้นก็หันไปมองหน้าเธออย่างหงุดหงิด “ไป๋มู่ชิง เธอจะเลิกแกล้งเมื่อไหร่?”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาโยนลงแบบนี้กระเพาะก็ปั่นป่วนไปหมด จนตัวเธอสะดุ้งไปแล้วอ้วกใส่หน้าเขา

หนานกงเฉินรีบดึงเธอขึ้นจากเตียง จากนั้นเธอก็อ้วกใส่บนตัวเขา พออ้วกเสร็จขาทั้งสองข้างก็อ่อนทรุดลงไปกับพื้น

หนานกงเฉินที่ถูกเธออ้วกใส่ก็ขมวดคิ้วเป็นปม เขาก้มลงมองอ้วกบนตัวของตัวเองเลยไม่ได้ถามต่อว่าเธอเมาจริงหรือว่าแกล้ง จากนั้นก็เอนตัวลงไปดึงเธอขึ้นไปทางห้องน้ำ

เขาเปิดฝักบัวทิ้งไว้ มือข้างหนึ่งพยุงตัวเธอไว้ส่วนอีกข้างก็ถอดเสื้อทั้งสองคนออก ชุดราตรีของไป๋มู่ชิงตกมาถึงเอวแล้วเขาเลยดึงออกได้อย่างง่ายดาย

พอน้ำอุ่นๆไหลลงมา หนานกงเฉินก็จับหัวของเธอมาใต้ฝักบัว ไป๋มู่ชิงก็สำลักน้ำโวยวายขึ้น

“ได้สติหรือยัง?” หนานกงเฉินพูดกัดฟันแน่นข้างหูเธอ

ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคิดว่าตัวเองตกน้ำสะอีก เธอรีบใช้มือทั้งสองข้างกอดหนานกงเฉินที่อยู่ตรงหน้าไว้แน่น ในปากก็โวยวายว่าช่วยด้วย

เธอก็ยังต้องการเขาขนาดนี้ แนบชิดกับร่างกายของเขาจนเขารู้สึกปากแห้งขึ้นมา เดิมทีที่อยากลงโทษเธอแต่ตอนนี้กลับลืมไปแล้วพยุงตัวเธอขึ้น พูดเสียงเบาข้างหูเธอ “เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าไม่ต้องไม่เอาคุณชายเฉินแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้กอดเขาแน่นขนาดนั้นล่ะ?

ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นอย่างมึนมัว พอเห็นเขาก็รีบมองกวาดไปรอบๆแล้วถามขึ้น “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“คุณว่าล่ะ?”

“คุณปล่อยฉันนะ!” เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกเขากอดอาบน้ำอยู่ก็ดิ้นรนโต้ตอบทันที “ฉันไม่ให้คุณแตะ……”

หนานกงเฉินกอดเอวบางเธอแล้วทอดมองไปที่เธอ “ที่เธอทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ก็เพื่อที่จะยั่วยวนผมไม่ใช่หรอ?”

“ฉันไม่ได้สำส่อนเหมือนคนของคุณ……” ไป๋มู่ชิงกระพริบตาแล้วน้ำตาในตาก็ไหลออกมา แสบตาจนทนไม่ไหว

“งั้นเธอก็ดูตัวเองตอนนี้สิ”

ไป๋มู่ชิงก้มมองดูตัวเอง เห็นร่างกายของตัวเองแนบชิดกับร่างกายเขาแล้วใบหน้าก็ร้อนผ่าว จากนั้นก็ดิ้นจะออกจากออมกอดเขา อาจจะเป็นเพราะดื่มจนเมา พอเธอขยับถอยหลังไปเก้าเดียวก็เซกลับไปทันที

เธอกรีดร้องขึ้น ถ้าหนานกงเฉินไม่ใช่จับเธอไว้ เธอคงจะหกล้มหัวฟาดพื้นแล้ว

หนานกงเฉินดึงเธอกลับมาแล้วยิ้มเยือกเย็น “ดูเหมือนเธอจะเมาจริงสินะ”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกเวียนหัวแล้วขี้เกียจโต้เถียงกับเขา จากนั้นก็จ้องเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “คุณจะเอายังไงกันแน่?”

“ผมรอดูว่าคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่ แค่อยากจะหลอกให้ผมออกจากห้องของจูจูเหรอ?”

จูจู เมื่อกี้เขาอยู่ในห้องของจูจู?

ไป๋มู่ชิงส่ายหัวไปมา ช่างเถอะ ไม่ต้องไปคิดแล้ว

เธอดึงผ้าเช็ดตัวบนราวมาปิดตัวเองไว้แล้วเดินออกจากห้องอาบน้ำอย่างเซไปเซมา จากนั้นก็หันไปมองเขา “คุณไปที่ห้องเธอเถอะ ฉันจะไม่บ่นอะไรสักคำ ฉันสัญญา……”

พูดจบเธอก็หันหลังเดินไปทางเตียงจากนั้นก็นอนลงบนเตียงทั้งที่ผมยังเปียกอยู่อย่างนี้

ตอนนี้เธอมึนหัวไปหมด แค่อยากจะนอนเท่านั้น ก็ต้องโทษสองคนนั้นที่มอมเธอขนาดนี้

หนานกงเฉินอยู่ใต้ฝักบัวครู่หนึ่งค่อยใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เมื่อเขาเห็นไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนเตียงทั้งที่ผมยังเปียกอยู่ คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดขึ้นมาอีกครั้ง

ดูเหมือนจะนอนหลับแล้ว เพราะไม่ขยับตัวเลย

ถ้านอนแบบนี้ทั้งคืนคงไม่สบาย หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอสักพัก จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินไปทางลิ้นชัก

เขาหยิบเครื่องเป่าผมออกมาจากลิ้นชัก จากนั้นก็อุ้มตัวเธอทั้งผ้าห่มขึ้นมาบนตักของตัวเอง แล้วก็ใช้เครื่องเป่าผมเป่าให้เธอ

ลมอุ่นๆกับนิ้วมือของเขาสอดแทรกอยู่ระหว่างเส้นผมเธอ สบายจนเธอไม่อยากตื่น แต่สุดท้ายเสียงเครื่องเป่าผมก็ทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากความฝัน

ไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนตักเขาจนอย่างตกอยู่ในภวังค์ เธออยากจะถามเขามากทำไมไม่ไปที่ห้องตรงข้าม แต่ก็ไม่อยากทำลายภาพที่สวยงามตอนนี้ เขากำลังช่วยเธอเป่าผม ยังใช้เครื่องเป่าผมอันเล็กอย่างอ่อนโยนด้วย

เธอหลับตาลง ในใจก็เริ่มไม่เข้าใจในตัวเขา

ทำไมเขาไม่ด่าเธอที่ทำให้เปียโนของจูจูเสีย? จากนิสัยเขาก็ควรจะโยนเธอไว้ที่ไหนสักที่แล้วให้เธอเอาตัวรอดเองไม่ใช่หรอ?

เสียงเครื่องเป่าผมหยุดลง หนานกงเฉินก็วางเครื่องเป่าผมบนหัวเตียง จากนั้นก็เปลี่ยนหมอนที่เปียกชื้นออกแล้วค่อยวางตัวเธอลงเบาๆ

เมื่อหนานกงเฉินกำลังจะลุกขึ้นจากปลายเตียงก็ทอดมองไปที่ใบหน้าเธอ ก็สังเกตุเห็นว่าเธอลืมตาทั้งสองข้างกำลังมองมาที่เขา

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ไป๋มู่ชิงค่อยพูดออกมาว่า “ทำไมคุณไม่ด่าฉันที่ทำให้เปียโนเธอเสียแล้วล่ะ?”

หนานกงเฉินพูดเสียงเบา “ผมเหนื่อยแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วนอนลงบนเตียง หลับตาลงทั้งสองข้าง

ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองเขาก็อดพูดไม่ได้อีกว่า “คุณยังรักเธออยู่ใช่ไหม?”

“ไม่รู้ว่ารักหรือไม่รัก แต่ไม่อยากเห็นเธอลำบากใจ เห็นเธอเสียใจไม่ได้ แค่อยากจะปกป้องเธอดีๆ” หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบาๆ แล้วหันหลังไป “รีบนอนเถอะ”

ไม่อยากเห็นเธอลำบากใจ เห็นเธอเสียใจไม่ได้……นี่ก็แสดงว่ารักไม่ใช่หรอ? ไป๋มู่ชิงคิดอย่างขมขื่น

ที่แท้ผู้ชายสามารถรักผู้หญิงพร้อมกันสองคนได้ แต่เสียดายที่ผู้ชายคนนี้เกิดผิดยุคสมัยแล้ว ไม่งั้นคงแต่งงานพร้อมกันสองคน

นี่หรือเปล่าที่เป็นเหตุผลที่เขาคอยให้อภัยเธอ ไม่ว่าเธอจะทำให้มือของจูจูบาดเจ็บหรือว่าทำให้เปียโนเสียเขาก็ไม่ได้รังควานเธอนัก เขาอยากให้เธอกับคุณหนูจูอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขสินะ!

วันก่อนวุ่นวายขนาดนั้น แต่เช้าวันต่อมาทุกคนก็ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังนั่งล้อมกันทานอาหารเช้าบนโต๊ะด้วยกัน ยังนั่งรถคันเดียวกันไปบริษัทอีก

พอถึง หนานกงเฉินบริษัทก็ขึ้นลิฟท์ของตัวเองไป แล้วไป๋มู่ชิงกับจูจูก็ขึ้นลิฟท์ของพนักงานขึ้นไปชั้นทำงานของตัวเอง

ในลิฟท์ จูจูมองไปที่ไป๋มู่ชิงในกระจกแล้วยิ้มอ่อน “มู่ชิง การแสดงเมื่อวานของเธอดีมากเลยนะ”

“การแสดง?” ไป๋มู่ชิงอะไรมองไปที่เธอ

“เธอปลดเสื้อผ้ายั่วยวนใส่หนานกงเฉินต่อหน้าคนอื่น เธอลืมแล้วหรอ?”

ไป๋มู่ชิงใช้มือตบหน้าผากตัวเอง “จริงหรอ? เหมือนจะจำได้นิดหน่อย แต่ฉันจำได้ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เปียโนเธอเสีย จากนั้นก็จำได้ไปดื่มเหล้ากับเพื่อน แล้วระหว่างนั้นก็ลืมไป แต่พอได้สติอีกครั้งก็กำลังอาบน้ำอยู่กับเฉินในห้องอาบน้ำ แล้วสำลักน้ำจนตื่น จากนั้นเฉินก็เป่าผมให้ฉันแล้วทำอะไรบนเตียง……”

“เฉินทำอะไรกับเธอหรอ?” จูจูเบิกตากว้างถามขึ้น

“แน่นอน แต่ระหว่างสามีภรรยาเขาไม่เรียกว่ายั่วยวนหรอก เขาเรียกว่าหยอกล้อต่างหาก เป็นเรื่องที่วันปกติที่อยากเฉินให้ฉันทำแต่ฉันทำไม่ได้” ลิฟต์จอดชั้นของไป๋มู่ชิงพอดี เธอก็พูดว่า “ฉันไปทำงานก่อนนะ เจอกันตอนเย็น”

พูดจบ ก็ไม่สนใจสีหน้าที่แย่ของจูจูแล้วเดินออกไป

เมื่อหนานกงเฉินไปถึงห้องทำงาน ผู้ช่วยเหยียนก็เดินตามเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าเขา “คุณชายเฉินคะ กล้องวงจรปิดเมื่อคืนเห็นว่าคุณหญิงน้อยไปห้องที่วางเปียโนจริง แต่ว่าเธอเข้าไปหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะว่ากล้องวงจรปิดไปไม่ถึงค่ะ”

ท่าทางที่หนานกงเฉินเปิดโน๊ตบุ๊คหยุดลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ “เช็คไม่ได้ก็ช่างเถอะ

ผู้ช่วยเหยียนประหลาดใจ “คุณไม่อยากรู้หรอคะว่าใครเป็นคนทำกันแน่?”

“ไม่จำเป็น” หนานกงเฉินพูด

ถึงแม้ผู้ช่วยเหยียนจะรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเธอเข้าใจหนานกงเฉินคงมีเหตุผลของตัวเอง

“ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันบอกให้พวกเขาไม่ต้องเช็คแล้ว” ผู้ช่วยพูดจบก็ถามขึ้น “คุณชายเฉินยังมีอะไรหรือเปล่าคะ? ถ้าไม่มีดิฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ”

หนานกงเฉินผายมือให้เธอ เธอก็พยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไป

ถึงเวลาใกล้เลิกงาน ไป๋มู่ชิงก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขาของผู้บริหารให้เธอไปพบผู้บริหารที่ห้องทำงาน

ห้องทำงานของผู้บริหาร นั้นเป็นห้องทำงานของหนานกงเฉินไม่ใช่หรอ? แต่ก่อนถ้าเขาจะหาเธอไม่เคยผ่านเลขาเลย

“มีอะไรหรือเปล่า?” เธอถามอย่างสงสัย

“คุณชายไม่ได้บอกไว้ค่ะ” เลขาพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงลังเลว่าจะไปหรือไม่ไป ในใจก็คิดเข้มงวดขนาดนี้อาจจะมีเรื่องสำคัญก็ได้ก็เลยขึ้นไปชั้นบน

ตั้งแต่ทะเลาะกับเขามา ไป๋มู่ชิงก็ไม่เคยไปที่ห้องทำงานนั้นอีกเลย เธอยกมือขึ้นเคาะประตู พอได้ยินเสียงตอบรับแล้วค่อยเปิดประตูเข้าไป

เธอมองตรงไปก็ไม่เห็นเงาของหนานกงเฉิน ก็เลยมองไปรอบๆห้องทำงาน สุดท้ายก็เห็นหนานกงเฉินนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารที่วางอาหารไว้เต็มโต๊ะ เธอเดินไปแล้วถามเขา “คุณหาฉันมีอะไรหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินเงยหน้ามองเธอ “ยังจะมีอะไรอีกล่ะ? กินข้าว” เขาใช้สายตากวาดมองไปอาหารบนโต๊ะ

ไป๋มู่ชิงแปลกใจแล้วก็มองอาหารบนโต๊ะเหมือนกัน

เมื่อวานเธอเพิ่งโดนใส่ร้ายว่าทำเปียโนของรักแรกเขาเสีย แต่วันนี้เขากลับเรียกเธอขึ้นมากินข้าว? เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?

“เป็นอะไร?”

ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงตรงหน้าเขาแล้วกวาดมองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “คุณลองกินให้ฉันดูสิ”

“หมายความว่ายังไง? กลัวผมใส่ยาพิษในอาหารหรอ?”

“อยู่ๆคุณก็เรียกฉันขึ้นมากินข้าว ฉันก็ควรจะป้องกันหน่อยไม่ใช่เหรอ?”

หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอ จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำ แล้วแลกถ้วยข้าวเปล่าตรงหน้าเธอมาที่ตัวเองแล้วถาม “แบบนี้ได้หรือยัง?”

ไป๋มู่ชิงค่อยหยิบตะเกียบขึ้นกิน

หนานกงเฉินมองเธอหยิบตะเกียบขึ้นกินข้าวก็พูดเสียดสี “สามีภรรยาทำถึงขั้นนี้ คุณไม่รู้สึกว่ามันตลกหรอ?”

“ความสัมพันธ์สามีภรรยาระหว่างเราจะอยู่ได้นานสักกี่วันก็ยังไม่รู้เลย คุณก็อย่าเปลืองความรู้สึกเลย”

“คุณลืมสิ่งที่ผมเคยพูดไปหรือเปล่า”

“คุณพูดหลายคำมาก หมายถึงคำไหนหรอ?”

“ผมเคยบอกว่าผมไม่เคยคิดที่จะหย่ากับคุณ”

“อ๋อ คำนี้หรอ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วยิ้มอ่อน “ฉันไม่ได้ลืม ฉันเลยไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเองแล้วเอาแต่เกาะติดคุณอยู่นี่ไง”

“งั้นก็เกาะไปเถอะ” หนานกงเฉินเนื้อไก่ไปที่เธอ “เรื่องที่ผ่านไปก็ให้มันผ่านไปเถอะ ผมก็ยังคงคำนั้น ผมดูแลจูจูอย่างน้องสาวแท้ๆ คุณต่างหากที่เป็นผู้หญิงที่ผมเอาขึ้นเตียงได้อย่างเปิดเผย เพราะฉะนั้นคุณแค่เก็บความรู้สึกต่อต้านจูจู เพราะถึงจะทำแบบนี้ตัวคุณเองก็ลำบาก ผมก็ลำบาก”

ท่าทางที่ไป๋มู่ชิงจับตะเกียบหยุดนิ่งไปแล้วจ้องมองไปที่เขา “ฉันสงสัยมากเลย คำพูดพวกนี้คุณเคยพูดกับเธอหรือเปล่า?”

“ผมพูดกับเธอตั้งนานแล้ว”

“จริงหรอ?”

“ใช่”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ในใจก็รู้สึกน้อยใจกับหงุดหงิด แต่ว่าพอมีคำพูดคำนี้ของเขา เธอยอมทน!

เธอรู้ว่าในใจของหนานกงเฉินคิดว่าเธอทำให้มือของจูจูบาดเจ็บ เปียโนของก็เธอเป็นคนที่ทำเสีย เขาแค่ให้อภัยเธอ แต่ไม่ใช่เชื่อใจเธอ!

เธอกัดปากแน่นแล้วพูดกับเขาทีละคำ “หนานกงเฉิน คุณทำเกินไปแล้ว!”

“ผมรู้” หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ

ถึงแม้จะได้ยินคำสัญญากับเขา แต่ยังไงอาหารมื้อนี้ก็กินได้อย่างลำบากใจ จนเมื่อเธอกินเสร็จก็ไม่อยากอยู่ในห้องทำงานของหนานกงเฉินต่อแม้แต่วิเดียว

หนานกงเฉินพูดถูก สามีภรรยาทำถึงขั้นนี้ก็ตลกเหมือนกัน แม้แต่ความเชื่อใจก็ยังไม่มี เธอกับเขาจะมีความสุขเหมือนแต่ก่อนได้หรือเปล่า? ยังคาดหวังทริปฤดูร้อนปีหน้าได้หรือเปล่า?

ยืนอยู่ในลิฟท์ ไป๋มู่ชิงมองดูตัวเองในกระจกก็อดถามไม่ได้ ที่เธอยอมอยู่ข้างกายเขาอย่างลำบากแบบนี้เพื่ออะไร? เพราะว่ารักเขาหรอ?หรือเพราะว่า……ลูกสาวที่อาจจะไม่มีตัวตนอยู่?

ถึงแม้จะเหมือนกับที่ซูซี่พวกเธอพูด ถ้าลูกสาวมีตัวตนจริง ถ้าลูกสาวกลับมา เธอก็ไม่สามารถให้ครอบครัวที่มีความสุขกับเธอได้!

เธอยอมรับว่าตัวเองก็รักหนานกงเฉินมาก อาจจะเป็นเพราะเหตุผลทั้งสองเหตุผล แล้วทั้งสองเหตุผลนี้ก็สำคัญมากด้วย!

หลังจากอาหารเย็น หนานกงเฉินก็ทำงานอยู่ในห้องทำงานเหมือนเดิม ไป๋มู่ชิงก็วาดรูปเล่นในห้องนอนตัวเอง

ก่อนนอนเธอก็ทดสอบวันไข่ตก แต่กลับเห็นกระดาษทดสอบวันไข่ตกขึ้นสองขีดแดง เธออึ้งไป จากนั้นเดินออกจากห้องน้ำแล้วโทรหาเหยาเหม่ย

อีกฝั่งของโทรศัพท์เหยาเหม่ยก็ถามขึ้น “มีอะไร?”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่กระดาษทดสอบในมือ “ครั้งก่อนเธอพูดว่าถ้าขึ้นสีแดงสองขีดก็แสดงว่าถึงวันไข่ตกแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ ทำไม? เธอทดสอบออกมาแล้วหรอ?”

“ใช่ ฉันเห็นขึ้นสองขีด”

“รออะไรอยู่ล่ะ ก็รีบใส่ชุดนอนไม่ได้นอนแล้วยั่วหนานกงเให้ขึ้นเตียง เธอได้ตามหวังแน่”

“จริงหรอ?”

“ก็ต้องจริงสิ โอกาสในการตั้งครรภ์มีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย”

“แต่ว่า……” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างละอายปาก “ฉัน……ฉันไปหาเขาทำเรื่องแบบนั้นก็น่าอายอยู่”

“ไป๋มู่ชิง!”

“ว่าไง”

“เธอยังอยากรักษาตำแหน่งคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงของเธอไว้หรือเปล่า? อยากจะชนะนังหน้าไม่อายนั่นหรือเปล่า?”

“ฉันก็อยากสิ”

“งั้นก็รีบไปสิ สามีภรรยากันจะอายทำไม? ฉันเตือนเธอไว้เลย ไข่ตกเป็นแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ถ้าพลาดคืนนี้ไปเธอก็ต้องรอเดือนหน้า แต่ดูจากท่าทางของยัยนั่นแล้วเดือนหน้าก็คงจะขึ้นมาตำแหน่งนี้ได้สำเร็จ ถึงเวลานั้นเธอก็ต้องเสียใจทีหลังแน่”

ถึงแม้เหยาเหม่ยจะพูดถูก แต่ให้เธอไปหาหนานกงเฉินทำเรื่องแบบนี้ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกลำบากใจมาก

เหยาเหม่ยรู้ว่าเธอกำลังลังเลอยู่ น้ำเสียงก็หนักแน่นขึ้น “มู่ชิงฉันถามเธอ เธอรักหนานกงเฉินหรือเปล่า?”

“รักสิ”

“ถ้าแพ้ให้ยัยนั่นเธอ ยอมเหรอ?”

“ไม่ยอม”

“แล้วเธอจะลังเลอะไรอีก?”

“ได้ ฉันไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“ทำแบบนี้แหละถูกแล้ว ขอให้ครั้งนี้เธอได้ลูกชาย แล้วเหยียบยัยนั่นจมมิดไปซะ”

หลังจากที่วางสาย ไป๋มู่ชิงก็ถอนหายใจออกแล้วสายตาก็มองไปทางประตู เธอจะเดินไปหาหนานกงเฉินแบบนี้เลยหรอ? หรือว่าจะทำเหมือนที่เหยาเหม่ยพูด ใส่ชุดนอนไม่ได้นอนแล้วค่อยไป?

ช่างเถอะ ไปดูเชิงเขาก่อน ดูว่าครั้งนี้เขาจะเป็นคนเริ่มหรือเปล่า เพราะแต่ก่อนเขาก็เป็นคนเริ่มก่อนตลอด

ไป๋มู่ชิงเปิดประตูออกไปก็เกือบชนกับจูจูที่เดินออกมาจากห้องตรงข้าม เธออึ้งไปแล้วยิ้มให้เธอ “ดึกขนาดนี้แล้วคุณหนูจูยังไม่นอน ไม่ใช่ว่ากำลังคิดแผนอะไรอยู่หรอกมั้ง?”

คุณหนูจูยิ้มอ่อนให้เธอ “เธออย่าพูดขนาดนี้เลย ฉันแค่รู้สึกเวียนหัวกำลังจะไปหายากิน”

ไป๋มู่ชิงไม่มีเวลาแล้ว ไม่อยากตบปากต่อคำกับเธออีก จากนั้นก็ก้าวเดินไปที่ห้องทำงานหนานกงเฉิน

ดูเหมือนเขาจะยุ่งมาก รับโทรศัพท์ไม่หยุดแล้วพูดคุยกันคำสั้นสั้น แต่ว่าไป๋มู่ชิงก็ใจร้อนมาก เหยาเหม่ยพูดถูก ถ้าเธอพลาดครั้งนี้ไปครั้งหน้าก็ต้องรออีกหนึ่งเดือน

หนานกงเฉินคุยโทรศัพท์เสร็จสักทีแล้วเงยหน้ามองเธอ “มีอะไรหรือเปล่า?”

“กี่วันนี้เธอแค่มาส่งยาก็ไม่เคยมาหาเขา เขาเลยสงสัยว่าคืนนี้เธอมาทำไม

“ฉันแค่……อยากถามว่าคุณกำลังจะนอนหรือยัง”

หนานกงเฉินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามอง “อีกครึ่งชั่วโมงค่อยนอน”

“อื้อ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงต่อ

หนานกงเฉินหยิบเอกสารในมือขึ้นเปิดดูแล้วสายตาก็มองมาที่ตัวเธออีกครั้ง “สรุปมีเรื่องอะไร?”

“ไม่มี……อะไร”

“มีอะไร?”

“ฉันแค่อยากจะถามคุณว่า คุณยังอยากจะมีลูกอีกหรือเปล่า?”

“อยาก ทำไม?” หนานกงเฉินกวาดมองเธอแล้วถามอย่างจงใจ เขารู้แล้วแหละว่าเธอหมายความว่ายังไง เธอเตรียมตัวมาตั้งนาน แล้วกี่วันนี้ก็เป็นวันอันตรายของเธอด้วย

“วันนี้เป็นวันอันตรายพอดี คุณจะ……” ไป๋มู่ชิงพูดต่อไม่ได้แล้วใบหน้าก็ร้อนแดงขึ้น

หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วเผลอยิ้มออกมา “คุณหนูไป๋ คุณกำลังชวนผมไปนอนกับคุณ?”

ทำไมต้องพูดให้มันดูไม่ดีด้วย ไป๋มู่ชิงคิดในใจ

หนานกงเฉินเห็นใบหน้าเธอร้อนแดงจนจะมีเลือดหยดออกมาก็เลยไม่แกล้งเธอต่อ วางเอกสารในมือลงแล้วอ้อมเดินไปต่อหน้าเธอ จ้องมองเธอ “คุณคิดดีแล้วหรอ ถ้ามีลูก ทั้งชาตินี้คุณก็ไปจากผมไม่ได้”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ฉันรู้”

“ถ้าอย่างนั้น คุณเริ่มเลย”

“เริ่มอะไร?”

“ยั่วผมไง คืนนี้คุณเป็นคนชวนผมเอง”

ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง “อย่าทำเป็นเล่น ฉันจริงจังนะ”

หนานกงเฉินหันไปเปิดประตูห้องทำงาน “คุณตั้งท่ารอเลย ผมจะรีบไป”

ไป๋มู่ชิงมองบนใส่เขาอย่างหงุดหงิดแล้วเอาใบหน้าที่รู้สึกอายนี้กลับไปที่ห้องตัวเอง

เขาบอกว่า ถ้าอารมณ์ดีโอกาสที่จะท้องก็มีเยอะขึ้น ถึงแม้จะน่าอาย ไป๋มู่ชิงก็หยิบชุดนอนไม่ได้นอนที่ตัวเองเก็บไว้ขึ้นมาสวมใส่

ยืนอยู่หน้ากระจก เธอมองไปที่ชุดนอนที่ไม่ใช่สไตล์ของตัวเองก็รู้สึกแปลกๆ ในใจก็คิดว่าช่างเถอะ

ก่อนที่เธอจะถอดชุดนอนลง หนานกงเฉินก็เดินเข้ามาเมื่อเห็นชุดนอนบนตัวเธอ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปแล้วถาม “เธอชุดนี้มาจากไหน? มีตั้งแต่เมื่อไหร?”

ไป๋มู่ชิงมองบนอย่างหมดคำพูด ถ้าบอกว่าเขาซื้อเมื่อสามเดือนก่อน เขาก็จะรู้สึกว่าเธอซื้อเตรียมไว้ให้หลินอันหนานสินะ

“ซูซี่ซื้อกลับมาจากต่างประเทศให้ฉัน”

“แต่ก่อนเคยใส่หรือเปล่า?” เขาเดินมาแล้วมองสำรวจชุดนอนซีทรูสีดำบนตัวเธอ

“ไม่เคย คุณก็รู้ว่าฉันไม่ชอบอะไรแบบนี้” ไป๋มู่ชิงดึงเสื้อตัวเองอย่างเกร็ง “ความจริงฉันก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไปเปลี่ยนดีกว่า”

ทีแรกเธอคิดว่าเพื่อเด็กก็ยอมเสียหน้า แต่ว่าดูจากสีหน้าของหนานกงเฉินอาจจะไม่ค่อยชอบเธอใส่แบบนี้

หนานกงเฉินยื่นมือไปกอดเอวเธอแล้วดึงเธอกลับมา “ถ้าคุณกล้าใส่แบบนี้ต่อหน้าผู้ชายคนอื่น ผมจะฉีกคุณจนเละแน่”

“อยู่ต่อหน้าคุณฉันยังไม่ชินเลย ฉันจะกล้าใส่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่นได้ยังไง?” ไป๋มู่ชิงหมดคำพูดอีกครั้ง ในใจเขาเธอเป็นผู้หญิงที่ใจง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?

“ฉันทำเพื่อลูก คุณอย่าคิดมาก……” ไป๋มู่ชิงยังอธิบายไม่เสร็จร่างกายก็ถูกหนานกงเฉินกอดไว้จากนั้นก็ล้มลงไปบนเตียง

หนานกงเฉินจูบอย่างหนักลงบนชุดนอนเธอ พอเงยหน้ามาสายตาก็เคลิ้มไปแล้ว “ต่อไปคุณอย่าใส่แบบนี้อีก”

เขาเห็นเธอใส่ชุดแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่เธอไม่รู้เลยว่าเมื่อเขาเห็นเธอแว๊บแรกร่างกายก็เริ่มเกร็งแล้ว ทำตัวเหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่เคยเจอผู้หญิงมาก่อน

ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดีเลย เขากลัวว่าเธอจะไม่มีแรงขนาดนั้นมาเล่นเกมแบบนี้กับเขา เพราะว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นอยู่แล้ว

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาอย่างสงสัย “ทำไม? ผู้ชายก็ชอบแบบนี้ไม่ใช่หรอ?”

“เพราะว่าคุณใส่แล้วไม่สวย” หนานกงเฉินตอบคำถามเธอสั้นสั้นแล้วไม่สนใจความรู้สึกที่แหลกสลายของเธอแล้วจูบอย่างดูดดื่มที่คอเธอ

ชุดนอนที่ไม่ค่อยปกปิดร่างกายมากถูกเขาดันขึ้นมาข้างบน

ไป๋มู่ชิงกอดเขาแน่นแล้วเตือนเขาข้างหู “เฉิน……อย่าลืมเรื่องหลักล่ะ ลูก……”

“ไว้ใจได้ เดี๋ยวเด็กก็มาแล้ว……” เธอกลัวเขาถ้ายังไม่เร็วกว่านี้ เดี๋ยวก็จะพลาดเด็กไป รอไม่ได้แล้ว

กว่าจะให้เขาวนมาที่ประเด็นหลักได้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรีบรน จากนั้นก็มีเสียงเสี่ยวหยวนดังขึ้น “คุณชายคุณหญิงน้อยแย่แล้วค่ะ คุณหนูจูตัวร้อนถึงสี่สิบองศา คุณชายรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาลเถอะค่ะ……”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท