เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 190 พบกันโดยบังเอิญ 1

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เฉียวเฟิงอ้าปากขึ้น และลองพูดอธิบายว่า : “หลัก ๆ เลยคือผมกลัวว่าเสียวหว่านชิงจะโดดเด่นเกินไปจนถูกคนหาบเร่จับตามองเข้าหรือถูกลักพาตัว ดูสิเสียวหว่านชิงของเราน่ารักซะขนาดนี้ อันตรายมากเลยใช่ไหมล่ะ ?” อีกมือของเขาลากเสียวหว่านชิงเข้ามา จากนั้นก็ลูบเส้นผมของเธอและพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดอยู่สักครู่จากนั้นก็พยักหน้า : “คุณพูดถูกค่ะ ฉันสะเพร่าเอง อีกประเดี๋ยวฉันจะไปบอกครูฟางเองว่าอย่าให้หว่านชิงไปเป็นตัวแทนนักเรียนอะไรนั่น”

“ถ้างั้นหนูก็ไม่ต้องใส่กระโปรงสวย ๆ แล้ว” เสียวหว่านชิงพูดพลางดึงกระโปรงสีแดงของตนเอง

ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางยื่นมือไปจัดระเบียบกระโปรงเธอ : “ทำไมคะ ? หนูไปก่อเรื่องอะไรมา ?”

“เพราะว่าหนูไม่อยากถูกคนหาบเร่ลักพาตัวไป ไม่อยากออกจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่หรอกจ้ะ เสียวหว่านชิงจะไม่ถูกคนหาบเร่ลักพาตัวไปแน่นอน” เฉียวเฟิงโอบเธอไว้และพูดปลอบประโยน : “คุณพ่อคุณแม่จะปกป้องเสียวหว่านชิงอย่างดีเอง”

ไป๋มู่ชิงจูงเสียวหว่านชิงเข้าโรงเรียนอนุบาล จากตรงนี้มองเห็นครูฟางกำลังยืนต้อนรับนักเรียนอยู่ด้านหน้าประตูห้องเรียนเหมือนเคย เสียวหว่านชิงกล่าวคำทักทายเธอด้วยความร่าเริง : “อรุณสวัสดิ์ค่ะครูฟาง!”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะเสียวหว่านชิง” ครูฟางจูงมือเล็ก ๆ ของเธอ จากนั้นก็ลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน : “เข้าไปเก็บกระเป๋าเลยค่ะ”

“ค่ะ” เสียวหว่านชิงบอกลาไป๋มู่ชิงแล้วเดินเข้าห้องเรียนไป

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นเธอเดินเข้าไปในห้องเรียนแล้วกลับยังคงไม่ได้เดินกลับไปทันที ครูฟางรู้สึกได้ถึงความอ้ำอึ้งของเธอ จึงพูดสอบถามขึ้นมาว่า : “คุณผู้หญิงเฉียวคะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?”

“คืออย่างนี้นะคะ ครูฟาง……” ไป๋มู่ชิงปริปากพูดอย่างยากลำบาก : “ภาพวาดของวันนั้น……พ่อของหว่านชิงไม่อยากให้โรงเรียนหยิบไปแสดงนิทรรศการที่โถงจัดกิจกรรมเยาวชนค่ะ เขาอยากเอารูปนั้นกลับคืน ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ……หลัก ๆ คือเขากลัวว่าเด็กจะโดดเด่นเกินไปทำให้ไม่ปลอดภัยน่ะค่ะ”

เมื่อครูฟางได้ยินเธอพูดมาเช่นนี้ บนใบหน้าจึงปรากฎสายตาอันอึดอัดใจขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอ้ำอึ้งเช่นเดียวกัน : “ขอโทษด้วยนะคะคุณผู้หญิงเฉียว ภาพวาดของเสียวหว่านชิงหายไประหว่างทางที่ไปโถงจัดกิจกรรมเยาวชนค่ะ พวกเราก็อยากตามหากลับคืนเหมือนกันแต่ว่าถามคนแถวนั้นมาหนึ่งรอบแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่ารูปนั้นหายไปไหน”

“ฮะ ? หายไปงั้นเหรอคะ ?”

“ใช่ค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ……” ครูฟางรีบพูดทันที : “แต่ว่าผู้รับผิดชอบเขาบอกว่ายินยอมชดเชยค่าเสียหายให้นะคะ คุณผู้หญิงเฉียวเสนอราคามาได้เลยค่ะ พวกเราจะช่วยเจรจาเอาค่าเสียหายมาให้ได้ค่ะ”

แม้จะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากต้องชดเชยค่าเสียหายนั้นไป๋มู่ชิงคิดว่าไม่จำเป็นแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ภาพวาดที่มีชื่อเสียงอันใด

“ไม่ต้องชดเชยหรอกค่ะ” เธอพูดขึ้น : พ่อของหว่านชิงไม่อยากให้หว่านชิงโดดเด่นเกินไป ไม่ใช่ว่าอยากได้ภาพนั้นหรอกค่ะ

ตอนแรกเนื่องจากครูฟางต้องการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมการเติบโตของเด็ก ๆ และสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น อีกทั้งให้พ่อแม่ช่วยออกแรงใช้ความถนัดของตนในการทำของขวัญวันเด็กให้กับลูก ๆ หนึ่งชิ้น ดังนั้นเธอจึงนำภาพวาดนั้นให้กับครูฟาง ซึ่งตอนที่เธอให้ไปนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเอากลับคืนมาแต่อย่างใด

ถึงอย่างไรก็เป็นภาพที่ตัวเธอวาดเอง หายไปวาดใหม่ก็ได้

ไป๋มู่ชิงกลับมาบนรถและเล่าเรื่องที่ภาพวาดหายไปให้เฉียวเฟิงฟัง จากนั้นเขาก็นิ่งเงียบไป

ไป๋มู่ชิงเห็นสีหน้าของเขา จึงกล่าวปลอบใจว่า : “เฟิง คุณไม่ต้องห่วงนะ ครูฟางได้ยกเลิกสถานะการเป็นตัวแทนนักเรียนเรียบร้อยแล้ว”

เฉียวเฟิงสูดหายใจเข้าเบา ๆ พร้อมพยักหน้า : “อืม ยกเลิกแล้วก็ดี”

อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนกำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่ หนานกงเฉินไม่เคยเห็นหน้าหว่านชิงมาก่อนแม้แต่คราเดียว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีลูกสาวอยู่ข้างนอกด้วย แม้จะเจอหน้ากันโดยตรงกับหว่านชิงก็มิอาจจำได้แต่อย่างใด ทว่าเขายังคงมีความรู้สึกเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ อยู่ดี

หรืออาจสืบเนื่องจากเสียวหว่านชิงมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับหนานกงเฉินเพียงนิดเดียวเช่นนั้นหรือ ? เขาไม่ทราบจริง ๆ

หลังจากรถออกตัวแล่นอยู่บนถนนแล้ว ไป๋มู่ชิงหันหน้ามาพร้อมถามว่า : “คุณจะไปที่ไหนเหรอ ? ไปร้านอาหาร ?”

เฉียวเฟิงมองหน้าเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นจาง ๆ : “วันนี้ไม่ไปร้านอาหารหรอก จะไปเลือกรถเป็นเพื่อนเธอน่ะ”

“จะไปซื้อรถมาเพิ่มจริง ๆ เหรอคะ ?”

“แน่นอนสิ คันนี้ทิ้งไว้ให้ผมใช้ คุณใช้คันใหม่ ถึงอย่างไรคุณก็ต้องมาส่งผมทุกวัน มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะ”

ไป๋มู่ชิงคิด ๆ ดูแล้วก็จริงอย่างที่เขาว่า ปกติแล้วตัวเธอก็มีงานประจำของตนเอง ไม่สามารถมากับเฉียวเฟิงได้ทุกวัน

ทั้งสองคนมายังร้าน 4S ของรถยี่ห้อหนึ่ง เมื่อพนักงานขายเห็นทั้งสองคนขับรถหรูเข้ามาจึงรีบเดินบึ่งมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที พร้อมถามพวกเขาว่าต้องการรถรุ่นไหนและราคาประมาณเท่าไร

“หลิน คุณมีรุ่นที่ชอบไหม ?” เฉียวเฟิงถามไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ความจริงแล้วฉันไม่รู้จักรถยนต์เท่าไหร่น่ะ ซื้อที่คุณภาพรถดีหน่อยและไม่แพงมากก็พอแล้วค่ะ”

แน่นอนว่าเฉียวเฟิงเองก็สนับสนุนให้เธอซื้อคันที่ไม่แพงมากเช่นเดียวกัน พนักงานขายรีบแนะนำรุ่นหนึ่งบนหนังสือข้อมูลรถให้ทั้งสองคนทันทีและพูดว่า : “ถ้าอยากได้ที่ไม่หวือหวามาก ถ้างั้นต้องรุ่นนี้เลยครับ รถรุ่นนี้ค่อนข้างเหมาะสำหรับให้ผู้หญิงขับ”

เฉียวเฟิงหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วมองดู แววตานิ่งไป จากนั้นก็ส่ายหน้า : “รุ่นนี้ดีกว่า”

ไป๋มู่ชิงกลับพูดขึ้นทันควัน : “ฉันคิดว่ารุ่นนี้ดีจะตายไป มองดูแล้วตัวรถก็ไม่เลวเลยนะคะ”

“หลิน นี่เป็นแค่รูปภาพเท่านั้น ตัวจริงไม่ได้สวยแบบนี้หรอกนะ” สีหน้าของเฉียวเฟิงยังคงเคร่งขรึมเช่นเคย

“พวกเรามีโชว์รูมครับ ไปดูตัวรถได้ที่นั่นเลยครับ” พนักงานขายยืนขึ้นจากบนโซฟา : “ทั้งสองท่านเชิญตามผมมาทางนี้ครับ”

เฉียวเฟิงไม่อยากไป ทว่าไป๋มู่ชิงกลับมีสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอดันเขาไปทางพื้นที่จัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่

พนักงานขายพาทั้งสองคนมายังโชว์รูปรถตัวอย่าง จากนั้นก็ชี้ไปยังตัวรถพร้อมพูดว่า : “รถรุ่นนี้มีทั้งหมดห้าสีครับ แต่ว่ามีแค่สีขาวและดำเท่านั้นที่มีตัวโชว์และสามารถรับรถไปได้เลย ถ้าคุณผู้หญิงเป็นคนขับเอง สีขาวกับสีแดงเหมาะมากเลยนะครับ”

ไป๋มู่ชิงมองรถยนต์คันสีขาวที่จอดอยู่เบื้องหน้า ทั้งที่เธอไม่เคยขับรถคันนี้เลยทว่ากลับมีความรู้สึกราวกับเดจาวู เธอรู้สึกคล้ายกับว่าตนนั้นเคยขับมันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งความรู้สึกเช่นนี้ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความใหม่เอี่ยมและแสงที่สว่างเกินไปหรือไม่ ทันใดนั้นเองเธอก็มีความรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที จากนั้นสมองของเธอก็รู้สึกราวกับมีอะไรมากัดตัวเอง ยิ่งนานก็ยิ่งเจ็บขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมึนหัวขึ้นเรื่อย ๆ……

“หลิน เป็นอะไรไปครับ ?” เฉียวเฟิงผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยรู้สึกว่าสีหน้าของเธอซีดเซียวไปเล็กน้อย และค่อย ๆ กลายเป็นเจ็บปวดทรมานมากขึ้น จึงรีบเข้าไปพยุงร่างกายของเธอเอาไว้

“ฉัน……อยู่ ๆ ฉันก็ปวดหัวมาก……” ไป๋มู่ชิงกุมศีรษะที่เจ็บปวดราวกับจะระเบิดออกเอาไว้แน่น อีกมือจับวีลแชร์ของเฉียวเฟิงเอาไว้และค่อย ๆ นั่งลง เธอหลับตาปี๋ ทันใดนั้นภายในหัวก็ปรากฏเป็นทะเลสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ และหน้าผาลาดอันสูงชัน ครั้นเธอได้พลัดตกลงจากที่สูงลงมาในทันใด

“กรี๊ด–!” ทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องขึ้นมา และนั่งคว่ำหน้าบนขาของเฉียวเฟิง สองมือกอดรัดเขาเอาไว้แน่น

ภาพใบหน้าอันตกตะลึงนั้นวนเวียนขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในหัวของเธอ ราวกับต้องการดูดเธอเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น

“หลิน คุณเป็นอะไรกันแน่ ? ทำไมถึงปวดหัว ?” เฉียวเฟิงกอดเธอไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ลูบหัวเธอพร้อมทั้งพูดปลอบใจอยู่ข้างใบหูเธอว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ด้วยแล้วไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก……”

คำพูดปลอบโยนของเขาได้ผลจริง ๆ ไป๋มู่ชิงค่อย ๆ สงบนิ่งลง ความเจ็บปวดภายในหัวก็เริ่มหายไปทีละนิดภายใต้คำปลอบประโยนที่สุดแสนอ่อนโยนของเขา

พนักงานขายเองก็ตกอกตกใจเนื่องจากการกระทำอันแปลกประหลาดของเธอเช่นกัน จึงรีบกลับล็อบบี้ไปรินน้ำมาให้เธอหนึ่งแก้ว : “คุณผู้หญิงครับ ดื่มน้ำก่อนครับ”

เฉียวเฟิงรับแก้วน้ำจากมือพนักงานขายมา จากนั้นก็ป้อนเข้าปากไป๋มู่ชิงอย่างอ่อนโยน : “เด็กดี ดื่มน้ำอุ่น ๆ สงบสติอารมณ์หน่อยนะ”

ไป๋มู่ชิงอ้าปากดื่มน้ำต้มสุกไปครึ่งแก้ว

เฉียวเฟิงคืนแก้วน้ำให้กับพนักงานขาย จากนั้นก็ลูบศีรษะไป๋มู่ชิงพร้อมกล่าวว่า : “วันนี้ไม่ต้องดูแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณกลับบ้านไปพักผ่อน”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด : “ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็ปวดหัวเหมือนถูกมีดบาดอย่างนั้นเลย”

“ทำไมต้องมาพูดขอโทษกับผม จะต้องเป็นผมที่พูดขอโทษกับคุณถึงจะถูกต้อง” เฉียวเฟิงพูดด้วยความสงสารจับใจ

เมื่อสักครู่ที่เธอเลือกรถยี่ห้อนี้ เขาควรห้ามปรามเธอไว้ถึงจะถูกต้อง ตอนแรกที่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นเธอขับรถยี่ห้อและสีนี้ ครั้นเขายังพาเธอมายังที่นี่แถมยังพาเธอมาดูรถตัวอย่างอีก

“ทำไมต้องขอโทษฉันด้วยคะ ?” ไป๋มู่ชิงถามไปด้วยความไม่เข้าใจ

“เพราะว่า……” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ : “เพราะว่าฉันไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอจนอาการป่วยเธอหายดี” เขาหยุดไปสักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นอีกด้วนน้ำเสียงที่เคร่งขรึม : “ผมว่าพวกเราไม่ต้องไปดูรถหรอกครับ ไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยายาลก่อนดีกว่า ไปดูว่าทำไมคุณถึงปวดหัว”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ปวดแค่วันนี้แหละค่ะ ที่ผ่านมาไม่เคยปวดแบบนี้เลย”

“ถ้าเกิดมันสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ ?” เฉียวเฟิงจับใบหน้าเรียวเล็กของเธอและพูดขึ้นด้วยความเจ็บปวดใจว่า : “ถ้าเกิดคุณไม่หายดี แล้วใครจะมาดูแลผมกับเสียวหว่านชิงล่ะ ? คุณว่าจริงไหมล่ะครับ ?”

เมื่อได้ยินที่เขาพูดมาดังนั้น ไป๋มู่ชิงจึงหาเหตุผลในการปฏิเสธไม่เจอแล้ว จริงด้วย ถ้าหากอาการป่วยของเธอไม่หายดีแล้วใครจะมาดูแลพวกเขาสองพ่อลูก ? เสียวหว่านชิงยังเล็กอยู่เลย เฉียวเฟิงเองก็เป็นผู้ที่ต้องมีคนคอยดูแล

เธอยิ้มพลางพยักหน้า : “โอเค พวกเราไปโรงพยาบาลกัน”

ทั้งสองคนออกจากร้าน 4S พร้อมกัน จากนั้นก็บึ่งรถไปยังโรงพยาบาลเฉียว

คุณหมอเจ้าของไข้ของไป๋มู่ชิงทำการตรวจร่างกายให้เธอแบบครบวงจร หลังจากที่ผลการตรวจร่างกายออกมาแล้วนั้น คุณหมอเจ้าของไข้เริ่มวิเคราะห์ข้อมูลด้านบนอย่างละเอียด ครั้นไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขานั้นรู้สึกวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว

เฉียวเฟิงกลัวว่าไป๋มู่ชิงจะมีอาการแทรกซ้อนจากการประสบอุบัติเหตุรถยนต์ในครั้งนั้น กลัวจะสูญเสียเธอไป

ไป๋มู่ชิงเองก็กลัวว่าตนจะมีอาการแทรกซ้อนเช่นเดียวกัน กลัวว่าหากตนเองเป็นอะไรไปแล้วจะไม่มีใครมาช่วยเธอดูแลเสียวหว่านชิงและเฉียวเฟิง

โชคดีที่คุณหมอประจำไข้ดูผลการตรวจร่างกายแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างโล่งใจ พร้อมพูดว่า : “คุณชายรองสบายใจได้เลยครับ ร่างกายของนายหญิงน้อยไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย”

ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน จากนั้นก็สบตากันพร้อมยิ้มขึ้น

ร่างกายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว

ผ่านไปชั่วครู่เฉียวเฟิงจึงถามขึ้นว่า : “งั้นทำไมเธอถึงได้ปวดหัวขึ้นกะทันหันแบบนั้นล่ะครับ ? อีกทั้งยังเจ็บรุนแรงมากด้วย”

หมอประจำไข้มองหน้าไป๋มู่ชิง จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างหนักแล้วพูดขึ้นว่า : “เมื่อก่อนนายหญิงน้อยเคยเสียความทรงจำไม่ใช่เหรอครับ ก่อนที่จะปวดหัวได้สัมผัสกับสิ่งของที่คุ้นเคยบ้างไหมครับ ?”

เฉียวเฟิงมองหน้าไป๋มู่ชิง จากนั้นพยักหน้าอย่างลังเล : “ครับ……”

เขาหันหน้ามาพูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “หลินคุณไปรอผมด้านนอกก่อน ผมอยากคุยอะไรกับคุณหมอหน่อย”

ไป๋มู่ชิงชะงักไปเล็กน้อย แม้จะไม่เข้าใจ ทว่าเธอยังคงพยักหน้าแล้วออกไปจากห้องทำงานของคุณหมออยู่ดี

เธอรู้อยู่แล้วว่าเหตุใดเฉียวเฟิงจึงต้องให้ตนออกไปก่อน เนื่องจากเฉียวเฟิงไม่ให้เธอได้ทราบเรื่องในอดีตเลย เธอเคยถามเฉียวเฟิงเรื่องที่เธอประสบอุบัติเหตุนับไม่ถ้วน ทว่าเฉียวเฟิงมักจะปฏิเสธเธอโดยให้เหตุผลว่าเรื่องน่าเศร้าในอดีตไม่ควรหยิบยกมาพูดอีก เธอไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บได้อย่างไร และสูญเสียความทรงจำได้อย่างไร

เธอทราบดีว่าที่เฉียวเฟิงทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับตน เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะสงสัยเรื่องในอดีตมากเพียงใดเธอก็ไม่คิดถามเขาเลย และไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปถามด้วยไม่ใช่หรือ ?

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงออกไปแล้ว เฉียวเฟิงจึงเล่าให้คุณหมอประจำไข้ฟังว่า : “วันนี้พวกเราไปดูรถที่ร้าน 4S หลินเห็นรถรุ่นที่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เข้า จากนั้นเธอก็ปวดหัวจนยืนไม่ไหวเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?”

คุณหมอประจำไข้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นจาง ๆ พร้อมพูดว่า : “นี่มันเป็นเรื่องปกติมากครับ แม้ว่านายหญิงน้อยจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ว่าฝันร้ายในครั้งนั้นยังคงฝังลึกอยู่ภายในใจของเธอเหมือนเดิม รถรุ่นนั้นที่เธอเห็นวันนี้ได้กระตุ้นความทรงจำที่ฝังอยู่พอดี เพราะงั้นจึงเกิดเป็นอาการปวดหัวครับ”

“ถ้างั้นต่อจากนี้ไปจะปวดหัวแบบนี้อีกไหมครับ ?”

“บางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ครับ” คุณหมอหยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น : “แต่ว่าคุณชายรองอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะครับ นี่มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ พิสูจน์ถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นความทรงจำของนายหญิงน้อยกลับคืน”

เมื่อได้ยินดังนั้นมือที่ถือแก้วกระดาษอยู่ของเฉียวเฟิงก็กำแน่นขึ้น จนทำให้น้ำไหลออกจากแก้ว……

คุณหมอจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิมว่า : “การที่จะทำให้คนความจำเสื่อมฟื้นความทรงจำมาได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือพาเธอไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยบ่อย ๆ ไปหาคนที่คุ้นหน้าคร่าตา ให้เธอไปทำเรื่องที่เคยชอบทำโดยเมื่อทำซ้ำ ๆ และนาน ๆ ความทรงจำอาจจะฟื้นกลับมาอย่างช้า ๆ ก็เป็นได้ครับ”

เมื่อคุณหมอประจำไข้พูดจบ จึงพบว่าเฉียวเฟิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย จึงได้พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า : “คุณชายรอง เป็นอะไรไปครับ ?”

เฉียวเฟิงไม่ได้ตอบคำถามเขาแต่อย่างใด ครั้นกลับพูดถามว่า : “ถ้างั้นตามประสบการณ์ของหมอ โอกาสที่ความทรงจำของหลินจะกลับคืนมามีเท่าไหร่ครับ ?”

“เรื่องนี้มัน……” คุณหมอประจำไข้ส่ายหน้า : “เรื่องนี้ก็พูดยากเหมือนกันครับ หลัก ๆ จะต้องพึ่งพาคนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ อย่างพวกคุณในการนำพาเธอ ให้ความร่วมมือเธอ ถ้าผลของการนำพาเป็นไปในทางที่ดี ผลลัพธ์ก็จะดีครับ”

คุณหมอพูดเสริมขึ้นอีกว่า : “คุณชายรองอยากจะให้ผมสั่งยาที่ช่วยในการฟื้นฟูความทรงจำของนายหญิงน้อยหน่อยไหมครับ เท่านี้ผลลัพธ์ก็จะดีขึ้นมากเลยครับ”

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ” เฉียวเฟิงพูดปฏิเสธไปทันควัน เวลาต่อมาเขารู้สึกถึงความยั้งสติไม่ดีของตนเองจึงรีบพูดเสริมขึ้นว่า : “ขึ้นชื่อว่ายาต้องมีพิษอยู่แล้วครับ สองปีมานี้เธอทั้งฉีดยาและทานยาเยอะเกินไป ผมไม่อยากให้เธอทานยาต่อไปอีกน่ะครับ”

“อ้อ ครับ” คุณหมอประจำไข้พยักหน้า : “ถ้างั้นก็ไม่ต้องสั่งยาครับ”

เมื่อเฉียวเฟิงออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอแล้ว ก็มองเห็นไป๋มู่ชิงที่กำลังอยู่ไม่นิ่งสีหน้าเบื่อหน่ายบนระเบียงทางเดินที่อยู่ไกล ๆ สักครู่ก็เตะหินเล็กหินน้อยบนพื้น สักครู่ก็กระโดดไปมาข้ามกระเบื้องเซรามิคสี่เหลี่ยม

เธอในเวลานี้ เต็มไปด้วยความไร้กังวลใด ๆ รวมถึงมีความสุขสบายใจเต็มเปี่ยม ซึ่งแตกต่างกับเมื่อตอนที่เจอเธอแรก ๆ ราวฟ้ากับเหว

เมื่อครั้งอดีตตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินแล้ว เขาเคยเจอเธออยู่สามหน หนแรกอยู่ที่บ้านตระกูลเฉียวซึ่งเธอมาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณนายเฉียวกับหนานกงฉันอย่างสนิทสนมกัน หนที่สองเจอแถวบ้านตระกูลหนานกง ที่เธอสวมชุดนอนตัวเดียววิ่งออกจากบ้านมากลางดึกไร้ซึ่งหนทางจะไป ครั้งที่สามคือที่ร้านอาหารตะวันตก ที่เธอทะเลาะจะแยกทางกับหนานกงเฉินเพราะมือที่สาม

ทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน ทุกครั้งจะเจอะเจอเข้ากับช่วงที่เธอเป็นทุกข์ทั้งนั้น

เธอในตอนนั้น อดีตเช่นนั้น เหตุใดต้องให้เธอนึกถึงอีก ?

ผู้ชายแบบนั้น ครอบครัวแบบนั้น เหตุใดต้องให้เธอนึกถึงอีก ?

ท่าทางที่เธอมีความสุข เป็นภาพที่น่าประทับใจที่สุด

เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นการหวังดีกับเธอ เขาก็ไม่สามารถให้เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีตได้อีก จะให้เธอกลับไปในครอบครัวใหญ่ที่มีอันตรายเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด

เขาสูดหายใจเข้า จากนั้นก็เลื่อนวิลแชร์ไปหาเธอ

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นเขาออกมาแล้ว ใบหน้าจึงผุดรอยยิ้มขึ้นมาในทันที จากนั้นก็เดินเข้ามานั่งยองยองลงเบื้องหน้าเขา สองมือพลางวางไว้บนหัวเข่าของเขาแล้วพูดขึ้นถามว่า : “เป็นยังไงบ้างคะ ? คุณหมอบอกว่ายังไงคะ ?”

เฉียวเฟิงวางมือลงบนหลังมือของเธอ จากนั้นก็กุมมือน้อย ๆ ของเธอเอาไว้ : “เมื่อกี้คุณก็ได้ยินที่คุณหมอพูดแล้วไม่ใช่เหรอว่าร่างกายของคุณปกติทุกอย่าง”

“จริงเหรอคะ ?”

“จริงแท้แน่นอน” เฉียวเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็จ้องหน้าเธอพร้อมพูดขึ้นว่า : “จากนั้นผมก็สอบถามเกี่ยวกับวิธีฟื้นความทรงจำกับคุณหมอ เขาสอนผมแล้วบางอย่าง”

“คุณหมอบอกว่ามีหวังไหมคะ ?” ไป๋มู่ชิงถาม

เฉียวเฟิงส่าย

ทันใดนั้นเองในใจของไป๋มู่ชิงก็มีความผิดหวังผุดขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเธอกลับไม่ได้แสดงความผิดหวังนั้นออกมาทางสีหน้า ถึงอย่างไรก็เป็นความทรงจำของตนเอง ต่อให้เป็นความทรงจำที่ไม่ดีเพียงใดก็จะต้องดีกว่าความว่างเปล่าในเวลานี้อยู่ดี ถ้าหากสามารถฟื้นกลับคืนมาได้คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด

เธอไม่อยากให้เฉียวเฟิงรู้ถึงความผิดหวังของตน เธอจึงพูดปลอบเขาไปว่า : “ไม่เป็นไร เอาคืนมาไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ”

“หลิน คุณอยากได้ความทรงจำให้อดีตมากเลยใช่ไหม ?” เฉียวเฟิงจ้องหน้าเธอพร้อมถามขึ้น

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ไม่ใช่ว่าอยากมากหรอกค่ะ ก็แค่บางครั้งก็อยากรู้มากว่าตัวเองเมื่อครั้งอดีตเป็นคนยังไง มีชีวิตยังไง” เธอฉีกยิ้ม : “แล้วก็……พวกเราสองคนรู้จักกันได้ยังไง แต่งงานกันยังไง และมีเสียวหว่านชิงยังไง คลอดเธอออกมายังไง”

“บอกคุณแล้วไม่ใช่หรือไง พวกเราเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน จากนั้นผมก็แอบรักคุณ และจีบคุณติด หลังจากที่แต่งงานกันแล้วก็มีเสียวหว่านชิงด้วยการผสมเทียม ขณะที่คลอดเสียวหว่านชิงก็ราบรื่นมาก คลอดออกมาเลยไม่นาน”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เรื่องราวเหล่านี้เธอเคยได้ยินเฉียวเฟิงเล่าให้ฟังก่อนหน้าแล้ว เพียงแค่เรื่องราวที่งดงามเช่นนี้เธอหวังว่ามันจะถูกกักเก็บอยู่ในความทรงจำเธอก็เท่านั้น !

ขณะที่เลขาเหยียนเคาะประตูและเข้ามาในห้องทำงานของหนานกงเฉินนั้น บนโต๊ะของหนานกงเฉินก็มีภาพวาดเด็กเสมือนจริงวางอยู่พอดี และในมือเขากำลังหยิบรูปสีเหลืองแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วมองสังเกตอย่างละเอียด

เลขาเหยียนมองภาพวาดบนโต๊ะสักครู่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “คุณชายเฉินฉันไปสืบมาแล้วค่ะ ในโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่ามีเด็กคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉียวหว่านชิง ปีนี้อายุสามขวบค่ะ”

“เธอเห็นหน้าเขายัง ?”

“เห็นแล้วค่ะ เหมือนในภาพเปี๊ยบเลย หน้าตาสดชื่นร่าเริงน่ารักมากเลยค่ะ” เมื่อพูดถึงเด็กผู้นั้นแล้ว เลขาเหยียนจึงยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

วันนี้เธอแอบมองอยู่นอกหน้าต่างเป็นเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ครั้นถูกหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดูของเสียวหว่านชิงสะกดเข้าแล้ว

“ถ้าเทียบกับเธอล่ะ ?” หนานกงเฉินยกรูปภาพสีเหลืองที่อยู่ในมือขึ้นมา

เลขาเหยียนมองรูปภาพที่อยู่ในมือของเขา จากนั้นพยักหน้า : “เหมือนมากค่ะ”

เหมือนมาก ? หนานกงเฉินกำรูปถ่ายในมือจากนั้นก็ครุ่นคิดสักพัก

เลขาเหยียนเงียบไปนาน จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพร้อมสอบถามด้วยความระมัดระวังว่า : “คุณชายเฉินคะ ทำไมคุณต้องสนใจเด็กคนนั้นขนาดนี้คะ ? หรือว่า……กำลังสงสัยว่าเธอจะมีความสัมพันธ์กับนายหญิงน้อยคนปัจจุบันคะ ?”

หนานกงเฉินเงยหน้ามองเธอ : “เธอคิดว่าเป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ ?”

“คืออย่างนี้นะคะคุณชายเฉิน แม้ที่โรงเรียนอนุบาลจะไม่ยอมเปิดเผยเรื่องของพ่อแม่ของเฉียวหว่านชิง แต่เธอบอกฉันอย่างมั่นใจว่าเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อแม่ค่ะ อีกทั้งเติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่เด็กด้วยค่ะ ช่วงนี้เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ” หนานกงเฉินกำลังคิดอะไรในใจอยู่เธอรู้ดีเต็มอก เพราะฉะนั้นนอกจากเธอจะไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเฉียวหว่านชิงแล้ว ยังถือโอกาสสอบถามเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาด้วย

เพียงแค่ที่โรงเรียนอนุบาลมีกฎว่าห้ามเปิดเผยเรื่องครอบครัวของเด็กมากเกินไป ข่าวคราวเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของเสียวหว่านชิงนั้นเธอก็ถามมาได้ด้วยความยากลำบาก

เธอพูดขึ้นอย่างเปิดใจว่า : “ถ้าคุณสงสัยว่าเธอเป็นเด็กที่นายหญิงน้อยคลอดออกมา มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลยนะคะ”

“เมื่อสามปีก่อนจูจูก็อยู่ที่ต่างประเทศเหมือนกัน ถ้าคลอดแล้วไม่นานก็กลับประเทศมา เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี” หนานกงเฉินกล่าว

เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง ล้วนอยู่ต่างประเทศกันทั้งนั้น เด็กผู้หญิงคนนี้ก็มาจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน

เลขาเหยียนไม่กล่าวอันใดเพิ่ม

หนานกงเฉินเก็บภาพวาดและรูปถ่ายเอาไว้ เลขาเหยียนจึงรีบสาวเท้าเข้าไปแล้วรับรูปไปวางไว้บนชั้นหนังสือ จากนั้นก็หันหลังมองหน้าและพูดกับเขาว่า : “คุณชายเฉินคะ หรือว่าคุณจะไปสืบชีวิตความเป็นอยู่ของนายหญิงน้อยตอนอยู่ต่างประเทศคะ ไปสืบดูว่าเธอเคยมีลูกกับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า”

หนานกงเฉินเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าพูด ‘อืม’

ตกเย็นมา เมื่อหนานกงเฉินทำโอทีเสร็จและกลับถึงบ้านแล้วนั้น ก็ได้ยินเสียงเดินของจูจูกำลังออกมาจากห้องนอนทันที เธอยิ้มพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “เฉิน กลับมาแล้วเหรอคะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็มองหน้าเธอพร้อมถามว่า : “ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่นอนอีก ?”

เธอสวมชุดนอนกระโปรงผ้าไหมแท้สุดเซ็กซี่ ช่วงหน้าอกอวบอึ๋มน่าหลงใหล สองขาเรียวยาวโผล่ออกมาอยู่ภายนอกกระโปรงอย่างยั่วยวน การแต่งกายที่ล่อแหลมเช่นนี้ ควรจะมีแรงดึงดูดต่อบุรุษเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหนานกงเฉินกลับไร้อารมณ์ที่จะมาชื่นชมความงามของเธอ เพราะว่าภายในหัวมีแต่ภาพของเด็กผู้หญิงคนนั้น

“ฉันรอคุณกลับมาน่ะสิคะ หิวไหมคะ เดี๋ยวฉันไปทำของกินขึ้นมาให้นะคะ” จูจูพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่หิว” หนานกงเฉินพูดกำชับ : “รีบพักผ่อนเถอะ ฉันเข้าไปอาบน้ำก่อน”

“ถ้างั้นคุณก็พักผ่อนเร็ว ๆ เหมือนกันนะคะ” จูจูพูดขึ้นอย่างผิดหวัง

แม้ว่าหนานกงเฉินจะปฏิบัติกับเธอดีมาก ถือว่าอบอุ่นทีเดียว ทว่าเธอสามารถรับรู้ถึงความคัดค้านที่อยู่ภายใต้ความอบอุ่นนั้นของเขา แต่งงานกันมาตั้งสองปีกว่าแล้ว ครั้นเขายังคงปฏิบัติต่อเธออย่างเคารพเช่นแขกผู้มีเกียรติอย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมือนกับสามีภรรยากันจริง ๆ เลย

อีกทั้งความอบอุ่นและความเคารพที่เขามีให้นั้น ก็น่าจะเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เธอเคยช่วยเหลือเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเท่านั้น

หนานกงเฉินเปิดประตูกำลังจะก้าวเข้าห้องนอนไป ทว่าทันใดนั้นเองก็หยุดชะงักและหันหน้ามาพูดกับเธอว่า : “จูจูเธอเข้ามานี่ ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

เมื่อได้ยินคำเชื้อเชิญเข้าห้องนอนจากปากเขา ในใจของจูจูก็ผุดเป็นความดีใจขึ้นมาทันที เธอปลอบตัวเองไม่ให้แสดงออกมาว่าดีใจจนเกินไป เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ : “ค่ะ”

หนานกงเฉินผลักเปิดประตู จากนั้นก็เดินนำเข้าห้องนอนไปก่อน

ทั้งสองคนเพิ่งนั่งอยู่บนโซฟา ครั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาทันใด คนเคาะประตูคือพี่เหอที่นำยามาให้อย่างตรงเวลา

จูจูมองยาที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสารจับใจ : “เฉิน ยาพวกนี้ต้องขมมากแน่ ๆ เลยใช่ไหม ?”

“พอได้อยู่น่ะ ชินแล้ว” หนานกงเฉินยกถ้วยยาขึ้นมาจากนั้นก็ดื่มอึก ๆ จนหมด และนำถ้วยวางกลับบนโต๊ะเหมือนเดิม

เมื่อก่อนขณะที่มีไป๋มู่ชิงเอาใจและกล่อมให้ทานยา เขามักจะอ้างเหตุผลร้อยแปดและทำให้เธออึดอัดใจต่าง ๆ นา ๆ ต้องแหย่ให้เธอดื่มก่อนหนึ่งอึกถึงจะสบายใจ ปัจจุบันนี้ไป๋มู่ชิงไม่อยู่แล้ว เขากลับดื่มยาตรงเวลาและไม่อ้างเหตุผลร้อยแปดแล้ว

ทุกครั้งที่ต้องดื่มยา ราวกับเขามองเห็นไป๋มู่ชิงยืนอยู่ต่อหน้าตนเอง พร้อมจ้องหน้าเขา บังคับให้เขาดื่มยาไม่ให้เกินเวลาแม้แต่วินาทีเดียว

“เฉิน คุณอยากคุยอะไรกับฉันคะ ?” จูจูมองหน้าเขาพร้อมถามขึ้นมา

หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบา ๆ และพูดขึ้นว่า : “ฉันอยากฟังชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างประเทศในปีนั้นของเธอน่ะ”

ชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างประเทศในปีนั้น ? จูจูตะลึงไป และทันใดนั้นเองก็มีความเป็นกังวลแวบเข้ามาภายในใจ สองปีกว่ามานี้เขาไม่เคยเรียกเธอมาเปิดใจคุยกัน ไม่เคยเรียกเธอมาคุยเรื่องอดีตเลย เหตุใดคืนนี้ถึงอยากคุยเรื่องช่วงเวลาที่ต่างประเทศของเธอเสียแล้วล่ะ ? หรือว่าเขารู้ความจริงอะไรมา ? ไม่ได้เด็ดขาด !

“ต่างประเทศเหรอคะ ?” เธอแกล้งทำเป็นถามด้วยความสงสัย : “ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้ถามเรื่องราวที่ผ่านมานานแบบนี้ล่ะคะ ? มีอะไรหรือเปล่า ?”

“เปล่าหรอก ก็แค่อยากรู้เรื่องน่ะ” หนานกงเฉินส่งยิ้มให้เธอ

“เมื่อก่อนฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? ก็คือแม่ฉันจับฉันไปอยู่ต่างประเทศ เมื่อถึงต่างประเทศก็เก็บพาสปอร์ตของฉันไป จากนั้น……”

“จูจู เรื่องความเป็นอยู่ฉันรู้หมดแล้ว แต่ว่า……” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอีกครั้ง : “เหมือนว่าเธอจะไม่เคยเล่าเรื่องความรักให้ฉันฟังมาก่อนเลย อยู่ต่างประเทศมาตั้งหลายปีแบบนี้ ไม่มีทางที่เธอจะไม่เคยมีแฟนหรอกจริงไหม ?”

จูจูตกใจกับคำถามของเขาจนใจเต้นตุบตับ อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็ถามเธอเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน !

เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบส่ายหน้าทันที : “ไม่มีเลย ตั้งแต่เด็กฉันก็ไม่ชอบคนต่างชาติอยู่แล้ว คนจีนที่รู้จักที่นั่นก็น้อยมาก หลัก ๆ เลยเป็นเพราะ……” อยู่ ๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมา : “คุณน่าจะรู้ดี ว่าในใจของฉันไม่เคยลืมคุณได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นฉันจะรักคนอื่นลงและไปคบกับคนอื่นได้ยังไงคะ ?”

หนานกงเฉินเงียบไป

อันที่จริงเขาไม่ควรถามโดยตรงเช่นนี้ เมื่อถามแล้วจูจูก็อาจจะไม่พูดความจริงกับเขาก็ได้จริงไหม ?

“เป็นอะไรไป ? เฉินทำไมอยู่ ๆ ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ?” จูจูจ้องหน้าเขาพร้อมพูดขึ้นด้วยความระมัดระวัง

หนานกงเฉินส่ายหน้า : “ไม่มีอะไร ก็แค่ตอนที่กลับบ้านมาเมื่อกี้นึกคำถามนี้ได้พอดีน่ะ และพบว่าฉันไม่เคยถามเรื่องความรักในอดีตของเธอเลย”

จูจูทราบว่านี่คงไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงแต่อย่างใด ทว่าในเมื่อหนานกงเฉินพูดมาเช่นนี้แล้ว เธอซักถามต่อไปคงไม่ดี อีกทั้งโอกาสทองเช่นนี้ เธอไม่ควรทิ้งไปได้อย่างเสียเปล่า ดังนั้นความเศร้าภายในใบหน้าก็แวบขึ้นมาทันที เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ ในที่สุดก็ได้กลับประเทศมาสักที แถมยังได้แต่งงานกับคุณตามที่ในปรารถนาแล้ว”

“เฉิน” อยู่ ๆ เธอก็เดินอ้อมมานั่งลงข้างลำตัวของเขาบนโซฟา จากนั้นก็คล้องแขนเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล : “ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณยังอาลัยอาวรณ์มู่ชิงอยู่ คุณไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะรอคุณอยู่อย่างช้า ๆ เหมือนอย่างตอนนี้ ไม่ว่าจะอีกกี่ปี จะรอจนกว่าคุณจะลืมเธอ”

“บอกแล้วไงว่าห้ามพูดถึงมู่ชิงต่อหน้าฉันอีก” หนานกงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังไม่ออกว่าโมโหหรือว่าหงุดหงิดใจกันแน่

จูจูนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวบรวมความกล้าพยักหน้าตอบรับ : “ค่ะ ในเมื่อคุณไม่อยากฟังฉันก็จะไม่พูดถึงแล้ว แต่ฉันขอร้องอะไรคุณอย่างได้ไหมคะ”

“เรื่องอะไร ?”

จูจูมองหน้าเขา นัยน์ตาเศร้าปนคับแค้นใจ : “ฉันขอร้องให้คุณมองฉันเป็นภรรยาตัวจริงของคุณได้ไหมคะ ? ไม่เพียงแค่ชื่อแต่ตอนคุยกันอย่าเย็นชาใส่แบบนี้ ทำเหมือนกับที่พวกเราคบกันในเมื่อก่อน อย่างมีความสุขกันทุกวันได้ไหมคะ”

หนานกงเฉินมองหน้าเธอ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเบา ๆ แล้วพูดว่า : “ดูเหมือนว่าเธอจะลืมคำสัญญาตอนนั้นของเราไปแล้ว ?”

“ฉันไม่ได้ลืมนะคะ ฉันก็แค่……” น้ำตาของจูจูไหลรินลงมา : “ฉันก็แค่ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ฉันอยู่ตัวคนเดียวมันเหงามากเลยนะคะ”

เมื่อสองปีก่อนที่คุณผู้หญิงบังคับให้หนานกงเฉินแต่งงานกับเธอ หนานกงเฉินเคยบอกเธอไว้อย่างชัดเจนว่า คนที่เขารักคือไป๋มู่ชิง บางทีอาจจะรักตลอดชาตินี้ แถมยังบอกเธออีกว่า แม้จะแต่งงานกับเธอไปแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาไม่ได้รักเธอแล้วตลอดชาติไปได้ เขาบอกว่าตัวเขาสามารถมอบแหวนให้เธอได้ ให้ตำแหน่งความมั่งคั่งได้ แต่ไม่สามารถให้ความรักกับเธอได้ !

ในตอนนั้นเธอคิดเพียงว่าขอแค่ได้แต่งงานกับเขา ไม่สนใจว่าจะรักหรือไม่รักเลย

ทว่าหลังจากที่แต่งงานแล้วจึงพบว่าที่แท้ความรู้สึกของการที่สามีไม่สนนั้นมันเหงาถึงเพียงนี้ รวมถึงเวลาที่ไม่ถูกรักเลยเดียวดายเพียงนี้ เธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันที่มีอารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป จะไปทนวันเวลาที่มีสามีแต่เหมือนไม่มีเช่นนี้ได้อย่างไร ?

เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ? ต่อให้ในใจของเขายังรักผู้อื่นอยู่ ต่อให้เขาไม่ได้รักตนแล้ว ทว่าถึงอย่างไรก็แต่งงานกับเธอแล้วไม่ใช่หรือ ? เหตุใดทั้งสองคนที่แต่งงานกันแล้วกลับคล้ายคนแปลกหน้าที่ห่างเหินกันเช่นนี้ ?

ความจริงแล้วเธอรู้แก่ใจดีว่าหนานกงเฉินยังคงจดจำการเสียชีวิตของไป๋มู่ชิงอยู่ในใจเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ ยังคงคิดว่าการเสียชีวิตของไป๋มู่ชิงเกี่ยวข้องกับเธอเช่นเคย ดังนั้นจึงปฏิบัติกับเธออย่างห่างเหินเช่นนี้

ในใจของเขาได้กำหนดเอาไว้แล้ว หากเธอต้องการเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปได้ยาก

หลังจากที่กลับมาจากบริษัทลูกค้า หนานกงเฉินได้ขับรถออกมาเองแล่นอยู่บนถนน

ในเวลานี้เขาไม่มีธุระอันใดต้องทำแล้ว และไม่ต้องกลับบริษัทแล้ว ถ้าหากเป็นช่วงที่ยังคบกับไป๋มู่ชิงอยู่นั้น เขาจะต้องขับรถมุ่งไปยังคฤหาสน์หลังเก่าโดยไม่ต้องคิดสักนิดแน่นอน ทว่าวันนี้เขาไม่มีความปรารถนาที่จะกลับบ้านเลยแม้แต่น้อย

บ้านหลังนั้น……ได้กลายเป็นน้ำแข็งอยู่ภายในใจเขาตั้งนานแล้ว และว่างเปล่าไปตั้งนานแล้วเช่นกัน

เขาในปัจจุบันนี้ก็คล้ายกับเทพที่คุ้มครองบ้านหลังนั้นอยู่ ก็แค่คุ้มครองเท่านั้น

เขาจอดรถไว้ตรงถนนทางแยก เมื่อดูเวลาแล้วตอนนี้เป็นช่วงเลิกเรียนพอดี ดังนั้นเขาจึงหักเลี้ยวมุ่งไปยังโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า

ภายในโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า ไป๋มู่ชิงกำลังจูงมือเสียวหว่านชิงเดินออกจากประตูโรงเรียน

เสียวหว่านชิงบอกลาเพื่อน ๆ ตัวน้อย พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่สนุก ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวันนี้ให้ไป๋มู่ชิงฟังไปด้วย ไป๋มู่ชิงจึงตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

หลังจากออกมาจากโรงเรียนอนุบาลแล้ว ไป๋มู่ชิงถูกคุณแม่ผู้ปกครองท่านหนึ่งเรียกไว้ เธอลังเลชั่วครู่จากนั้นก็เดินไปหาเธอ คุณแม่ท่านนั้นจึงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า : “คุณผู้หญิงเฉียวคะ คืออย่างนี้นะคะ เถียนเถียนลูกดิฉันเห็นภาพที่คุณวาดให้ลูกสาวคุณแล้วชอบมากเลย รบเร้าให้ฉันวาดให้เธอบ้างทุกวันเลย แต่ว่าฉันวาดไม่เป็นนี่คะ เพราะฉะนั้นฉันอยากรบกวนคุณช่วยวาดให้ลูกสาวฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันจะจ่ายเงินให้คุณเองค่ะ”

ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองเด็กผู้หญิงที่คุยเล่นสนิทชิดเชื้อกับเสียวหว่านชิงอยู่ด้านข้าง เธอจำได้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้สนิทกับเสียวหว่านชิงพอสมควร ดังนั้นจึงได้พูดไปด้วยรอยยิ้มว่า : “ได้เลยค่ะ”

“จริงเหรอคะ ?” คุณแม่ท่านนั้นถามขึ้นด้วยความดีใจ : “ภาพวาดราคาเท่าไหร่คะ คุณบอกราคามาเลยเดี๋ยวฉันเอาเงินให้คุณตอนนี้เลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถือซะว่าเป็นของขวัญให้เด็กก็แล้วกันค่ะ”

“มันจะดีเหรอคะ”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ แค่ภาพวาดแผ่นเดียวเอง”

“ถ้างั้นฉันต้องเตรียมอะไรบ้างคะ ฉันควรไปซื้อกระดาษและดินสอจากที่ไหนดีคะ ? และก็……”

ระหว่างที่ไป๋มู่ชิงและคุณแม่ท่านนั้นกำลังสนทนากันอยู่นั้น เด็กตัวน้อยสองคนนั้นก็วิ่งเล่นกันไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ทันระวังวิ่งไปยังถนนใหญ่

หนานกงเฉินมาโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่าแห่งนี้เป็นครั้งแรก ไม่ค่อยชินกับสภาพการจราจรของที่นี่เล็กน้อย เพื่อหาที่จอดรถเขาขับวนบริเวณนั้นมาหลายรอบแล้ว

แม้ว่าเขาจะลดความเร็วของรถลงแล้ว ทว่าขณะนั้นอยู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งออกมาจากทางเดินเขาจึงตกใจแทบแย่ และเหยียบเบรคอย่างเร็วไว

“โอ๊ย……!” เด็กผู้หญิงคนนั้นขูดกับรถของเขาเล็กน้อย และล้มก้นกระแทกลงบนพื้น

หนานกงเฉินอึ้งกับเหตุการณ์เบื้องหน้า สายตาพลางจับจ้องไปที่ใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้น บังเอิญเสียจริง เป็นเด็กผู้หญิงคนที่เขาอยากเจอหน้ามาตลอดพอดิบพอดี

เขารีบเรียกสติกลับคืนมาจากนั้นก็ผลักประตูลงรถไป และรีบเดินไปนั่งยองยองต่อหน้าเสียวหว่านชิง และพยุงเธอขึ้นมาพลางมองสำรวจร่างกายของเธอแล้วพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “หนู ขอโทษนะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

เสียวหว่านชิงตบกระโปรงไปพร้อมพูดว่า : “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บเลย”

เธอก้มหน้าตบกระโปรงตัวเอง เธอถักเปียน่ารัก ๆ สองข้าง ผิวพรรณขาวเนียน ใบหน้าสวยงาม เหมือนในภาพวาดอย่างกับแกะจริง ๆ ด้วย แถมยังคล้ายกับเสี่ยวจูตอนเด็ก ๆ มากด้วย !

ใบหน้าสองคนที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้ จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ? จะเป็นไปได้อย่างไร !

“คุณลุงคะ หนูไม่ว่าคุณลุงหรอกค่ะ แต่ว่าครั้งหน้าตอนคุณลุงขับรถต้องระวังมากกว่านี้โอเคไหมคะ ?” เสียวหว่านชิงตบกระโปรงจนสะอาดแล้วจึงเงยใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอขึ้นแล้วพูดกับเขาสีหน้าจริงจัง

“ครับ” หนานกงเฉินตอบรับไปโดยปริยาย

“หว่านชิง” เบื้องหลังมีเสียงเรียกของไป๋มู่ชิงดังขึ้นมา

เสียวหว่านชิงรีบโน้มตัวลงไปกระซิบข้างใบหูหนานกงเฉินว่า : “และก็ ห้ามบอกคุณแม่ว่าหนูถูกรถชนนะคะ คุณแม่ไม่ชอบที่หนูซนที่สุดเลย ถ้ารู้แล้วจะต้องตีก้นหนูแน่ ๆ เลย”

เมื่อเธอกำลังพูดอยู่นั้น ไป๋มู่ชิงก็สาวเท้าเร็ว ๆ เข้ามาถึงแล้ว เธอดึงเสียวหว่านชิงเข้ามาจากตัวหนานกงเฉิน จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความโมโหว่า : “ทำไมหนูถึงวิ่งมากลางถนนแบบนี้ ? ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหม ?”

ปากเล็ก ๆ ของเสียวหว่านชิงกระตุก จากนั้นก็สะดุ้งเฮือกด้วยความรู้สึกผิด

ไป๋มู่ชิงโน้มตัวมองร่างกายเธอ แล้วพูดขึ้นอย่างร้อนรนใจว่า : “โดนชนจนมีแผลหรือเปล่า ? เจ็บไหม ?”

เมื่อสักครู่เธอได้ยินเถียนเถียนบอกว่าเสียวหว่านชิงถูกรถชน เธอตกใจจนใบหน้าซีดเซียว รีบทิ้งแม่เถียนเถียนที่พูดมากมา แล้วมองหาเธอทั่วสารทิศทันที และก็วิ่งมาทางนี้

“คุณแม่คะหนูโดนรถคุณลุงคนนี้ชนนิดหน่อยค่ะ ไม่เป็นไรเลย” เสียวหว่านชิงพูดปลอบประโยน

ไป๋มู่ชิงมองสำรวจร่างกายของเสียวหว่านชิง จนกระทั่งเห็นว่าเสียวหว่านชิงไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ เธอจึงถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็หันหน้ามาขอโทษหนานกงเฉิน : “คุณผู้ชายคะ……ขอโทษจริง ๆ นะคะ เด็กคนนี้ซนไปหน่อย”

เธอก้มหน้า รอปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ทว่ารอมาเนิ่นนานกลับไร้ซึ่งการตอบสนอง

เธอจึงคิดอยู่ในใจว่าหรือฝ่ายนั้นจะโกรธ ?

เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉงนใจ กลับพบว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจ้องมองตนด้วยสายตาที่ตกตะลึงและมองหน้าเธอโดยไม่กระพริบตาเป็นเวลาเนิ่นนาน เวลาต่อมาไม่ทราบว่าสายตาของเขามันบาดใจเกินไปหรือเป็นเพราะใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาส่องสว่างเกินไป ทำให้ไป๋มู่ชิงจิตใจเหม่อลอยไปชั่วขณะ

ความรู้สึกเช่นนี้แปลกเกินไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเจอผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลามาก่อน ทว่านี่ถือเป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายทำให้จิตใจเหม่อลอยเช่นนี้ ราวกับว่าผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้มีเวทมนตร์ที่พิเศษอันใดอย่างไรอย่างนั้น !

ทว่าไม่นานเธอก็เรียกสติกลับคืนมาได้ เธอที่ถูกเขาจ้องจนเขินอายนั้นยิ้มขึ้นด้วยความเคอะเขิน : “คุณผู้ชายคะ ฉันเห็นว่ารถของคุณก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เมื่อเธอพูดจบก็โค้งให้หนานกงเฉิน จากนั้นก็จูงมือเสียวหว่านชิงกลับหลังหันเพื่อเดินออกจากบริเวณนี้

เธอไม่กล้าอยู่นาน ไม่กล้าคิดเตลิดไปไกล ราวกับตั้งใจหลบความรู้สึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้อย่างไรอย่างนั้น !

“รอเดี๋ยว” ทันใดนั้นเองหนานกงเฉินที่จิตใจเหม่อลอยเช่นกันก็พูดขึ้นเพื่อเรียกเธอไว้

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท