เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 193 นายหญิงน้อยมาแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนานกงเฉินมองเธอ ในใจก็ไม่เข้าใจว่าก่อนผู้หญิงคนนี้จะออกไปเซ็นสัญญาไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทอีกฝ่ายก่อนเหรอ? “อยู่ที่นี่พอดี เธอล่ะ? ทำไมมาอยู่ที่นี่”

“ฉันคือนักออกแบบของบริษัทหย่งเสียง มากับเจ้านายเราเพื่อเซ็นสัญญา”

“หย่งเสียง……” หนานกงเฉินพยักหน้าอย่างมีความหมาย “ไม่เลว”

ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ภรรยาที่ดีและมีคุณธรรมของเขาที่ตบเขานั้นยังเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ยังเด่นชัดในความทรงจำ เธอรีบพยักหน้าให้เขา “ขอโทษ เจ้านายฉันกำลังตามหาฉัน ไปก่อนนะ”

พูดจบ เธอก็เดินผ่านตัวเขาไป

หนานกงเฉินหันหน้าไปมองแผ่นหลังเธอที่รีบเดินจากไป ในใจก็สงสัยนิดหน่อยว่าเธอเหมือนกำลังหลบหน้าเขาอยู่ ทำไม?

ประธานจางออกมาจากห้องประชุม มองเห็นหนานกงเฉินจากไกลๆ กำลังยืนที่ประตูห้องน้ำกำลังมองที่ไหนสักแห่ง เขามองหนานกงเฉิน แล้วมองไปที่ไป๋มู่ชิงที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ความสงสัยที่สะสมมาในใจทั้งวันก็เหมือนจะชัดเจนยิ่งขึ้น มุมปากเขาแสยะยิ้ม รอยยิ้มกว้างเบ่งบานออกมา เดินไปด้านหน้าหนานกงเฉินพร้อมยื่นมือออกไปทักทายอย่างเคารพ “คุณชายเฉิน ไม่เจอกันนานเลย……”

หนานกงเฉินไม่เคยมีนิสัยจับมือคนอื่น เขากวาดตามองสองมือของประธานจาง สายตามองไปที่ใบหน้าอบอุ่นของเขา “เราเคยเจอกันไหม? ”

รอยยิ้มบนใบหน้าประธานจางแข็งทื่อ พูดขึ้นพร้อมหัวเราะแห้งๆ “อืม……ผมเห็นคุณในนิตยสาร”

“จริงสิ ผมคือผู้รับผิดชอบบริษัทหย่งเสียงชื่อจางเสี้ยน ขอบคุณในความเชื่อใจของคุณที่ให้เรามีโอกาสได้ร่วมมือกัน” ประธานจางเหลือบมองไปทางที่ไป๋มู่ชิงเดินจากไป “ท่านนั้นเมื่อกี้ชื่ออีหลิน เป็นนักออกแบบของบริษัทเรา เดาว่าคุณชายเฉินรู้จักเธอแล้วใช่ไหมครับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเขาปกคลุมไปด้วยความคลุมเครือทีละนิด หนานกงเฉินส่ายหน้า “พูดไม่ได้ว่ารู้จัก”

ทั้งๆ ที่สนใจเธอมาก แต่ไม่ยอมรับ ในใจประธานจางแอบคิด เมื่อครู่นี้สายตาหนานกงเฉินที่มองไป๋มู่ชิงมันชัดเจนสุดๆ แต่เขาต้องแกล้งโง่ แน่นอนว่าเขาไม่แฉเขาอย่างน่าเบื่อขนาดนั้นหรอก

“ประธานจางมีปัญหาอะไรคุยกับเลขาเหยียนได้เลย ผมไม่ได้ไปด้วย” หนานกงเฉินพูดประโยคนี้จบ ก็เดินไปทางห้องทำงาน

“คุณชายเฉินทำธุระไปนะครับ ผมไม่รบกวนแล้ว” ประธานจางพูดหนึ่งประโยคใส่แผ่นหลังหนานกงเฉิน ขณะที่ควักโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงดังออกมาจากกระเป๋า ไป๋มู่ชิงโทรมา บอกเขาว่าเธอลงไปรอชั้นล่างก่อนแล้ว

ระหว่างทางกลับไป ประธานจางขับรถไปด้วยแอบเหลือบมองไป๋มู่ชิงข้างๆ ไปด้วย สุดท้ายก็ถามขึ้นด้วยความทนความอยากรู้ไม่ไหว “เสี่ยวอี เธอกับคุณชายเฉินรู้จักกันเหรอ? ”

“คุณชายเฉินไหนคะ? ”

“จะมีคุณชายเฉินไหนอีก? แน่นอนว่าประธานบริษัทหนานกงกรุ๊ปยังไงล่ะ”

“ไม่รู้จักค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าอย่างไม่คิดเลย

ประธานจางมองเธอ หัวเราะแห้งๆ สองทีแล้วไม่ได้พูดอะไร

ในใจคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เธอไม่บอกเขาก็ปกติ อีกอย่างหนึ่ง ไม่สนว่าเธอกับคุณชายเฉินจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน แค่นำพาประโยชน์มาที่บริษัทก็พอแล้ว

กลับไปถึงบริษัทไป๋มู่ชิงก็เริ่มศึกษาอีเมลที่เลขาเหยียนส่งมาให้เธอและรูปภาพเสื้อผ้าปีก่อนๆ

อีซิงเป็นบริษัทใหญ่โดยแท้จริง เสื้อผ้าแต่ละชุดที่ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันดูดีกว่าชุดมืออาชีพที่ขายตามห้างข้างนอกมาก หลังจากไป๋มู่ชิงมองภาพอยู่นานก็ไม่เกิดแรงบันดาลใจใดๆ สุดท้ายก็เก็บของเลิกงานไปรับลูก

ตอนลงไปข้างล่างก็เจอประธานจางพอดี ประธานจางเห็นเธอเลิกงานเร็วมาก ก็เตือนขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “เสี่ยวอีอ่า เลขาเหยียนให้เธอวาดแบบร่างการออกแบบภายในหนึ่งสัปดาห์ เธอไม่ทำงานล่วงเวลาหน่อยเหรอ? ”

“ประธานจาง ก่อนเข้างานฉันตกลงกับคุณแล้ว ตอนบ่ายฉันต้องไปรับเด็ก”

“โอ๊ยตาย เด็กก็ให้พ่อแม่ไปรับสิ เป็นโอกาสยอดเยี่ยมในการทำงานนะ”

พ่อแม่……ไป๋มู่ชิงเศร้าในใจ เธอไม่รู้มาก่อนว่าพ่อแม่ตัวเองคือใคร แม้แต่หน้าตาก็ไม่เคยเห็น ถึงแม้เฉียวเฟิงจะมีภูมิหลังใหญ่โตอย่างตระกูลเฉียว แต่ไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของคุณนายเฉียว ทั้งสองแทบไม่ได้ติดต่อกัน คุณนายเฉียวไม่ช่วยพวกเขาไปรับลูกอย่างแน่นอน

เธอสูดลมหายใจเบาๆ แล้วพูดกับประธานจางว่า “ประธานจาง คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันต้องส่งต้นแบบร่างในหนึ่งสัปดาห์ต่อมาแน่ๆ ค่ะ”

ประธานจางพยักหน้า “โอเค เธอทำตามที่สมควรแล้วกัน ถ้าไม่ทันก็ให้ลัวลี่ช่วย”

“อืม ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบ ลัวลี่จะช่วยเธอได้อย่างไร? อย่างไรแล้วถึงตอนนั้นความดีความชอบมันก็เป็นของเธอ

ตอนกลางคืนเฉียวเฟิงเล่านิทานให้เสียวหว่านชิงจบแล้ว หลังจากกล่อมเธอนอนหลับ พบว่าไป๋มู่ชิงยังคงนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

เขาเลื่อนรถเข็นเดินไป มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “มองไม่ออกจริงๆ ว่าเธอใส่ใจกับการทำงานขนาดนี้”

“ไม่มีทางเลือก อีกฝ่ายขอให้ฉันส่งแบบร่างภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย เลยทำได้แค่หาภาพมาเป็นแรงบันดาลใจ” ไป๋มู่ชิงพลิกมือไปลูบแก้มเขา “เฟิง คุณไปนอนก่อนเถอะ ฉันจะดูอีกสักพัก”

“ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ห้ามทำงานเหนื่อยเกินไป และห้ามนำงานกลับมาทำที่บ้าน” เฉียวเฟิงยื่นมือไปปิดคอมพิวเตอร์ของเธอ แล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องดูแล้ว นอนเถอะ พรุ่งนี้อาจจะมีแรงบันดาลใจก็ได้”

“จะเป็นไปได้ยังไง? ”

“ลองดูสิ ยังไงตอนนี้เธออยากทุบสมองก็ไม่มีประโยชน์หรอก” เฉียวเฟิงพูดจบก็จูงฝ่ามือเธอ “ไปกันเถอะ ไปนอน”

ไป๋มู่ชิงทำได้แค่พยักหน้า เดินไปที่เตียงกับเขา

เธอดึงผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว วางศีรษะในอ้อมแขนเขา แล้วพูดเปิด “เฟิง คุณว่าพวกเขาเป็นบริษัทใหญ่โตแบบนั้น ทำไมเลือกรัฐวิสาหกิจขนาดกลางแบบเรา? มันแปลกมากอ่ะ”

“ใครจะไปรู้? รวยและทำอะไรตามอำเภอใจมั้ง” เฉียวฟังลูบหลังเธอ “นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะ”

“คุณไม่ถามฉันเลยว่าหมายถึงบริษัทไหน”

“ไม่มีอะไรจะถามนี่”

“อ่อ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า หลับตาพิงในอ้อมอกเขา

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไป๋มู่ชิงนำแบบร่างที่คิดออกมาด้วยมันสมองของตัวเองมาที่บริษัทหนานกงกรุ๊ป

เลขาเหยียนมองเธอ เปิดเอกสารที่เธอเตรียมไว้แล้ว

ไป๋มู่ชิงค่อนข้างอายนิดหน่อย “ฉันเตรียมมาทั้งหมดสามแบบ ไม่รู้ว่าจะเข้าตาคุณไหม”

เลขาเหยียนดูกระดาษร่างทั้งหมดแล้ว หยิบออกมาสองแบบแล้วส่งคืนให้เธอ “นำสำเนาสองชุดนี้ไปให้คุณชายเฉินดู อันอื่นไม่ต้องส่ง”

“คุณชายเฉิน? ” ไป๋มู่ชิงสงสัย

“ใช่ค่ะ เสื้อผ้าพนักงานครั้งนี้คุณชายเฉินเป็นคนควบคุมดูแลด้วยตัวเอง” เลขาเหยียนพูด

เมื่อก่อนเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้หนานกงเฉินถาม ครั้งนี้เพื่อเธอ หนานกงเฉินเริ่มทำงานเล็กน้อยประเภทนี้ให้กับตัวเอง เมื่อนึกถึงการทำงานหนักของเขา เลขาเหยียนก็ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง

เธอจ้องมองไป๋มู่ชิง จากนั้นก็ยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ “คุณหนูอี ฉันจะพาคุณไปพบคุณชายเฉินค่ะ”

“อ่อ โอเคค่ะ” ไป๋มู่ชิงยืนขึ้นจากเก้าอี้ตาม แล้วเดินตามหลังเธอออกไปจากห้องประชุม

เดินผ่านทางเดินที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ผ่านพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ ในที่สุดทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานท่านประธาน เลขาเหยียนเคาะประตูสองครั้ง ผลักประตูแล้วพูดกับด้านใน “คุณชายเฉิน คุณหนูอีมาแล้ว”

“ให้เธอเข้ามาสิ” ไป๋มู่ชิงได้ยินเสียงคุ้นเคย

“คุณหนูอี เข้าไปสิคะ” เลขาเหยียนถอยหนึ่งก้าวไปข้างๆ ดวงตาไป๋มู่ชิงเปิดขึ้นทันที

ห้องทำงานขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างสวยงามวิจิตร ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน และชายหนุ่มรูปหล่อหลังโต๊ะทำงาน……สมองไป๋มู่ชิงแข็งตัวไปชั่วขณะ ชิ้นส่วนที่คุ้นเคยฉายในความคิด ตามด้วยอาการปวดศีรษะ เธอรีบยกมือขึ้นจับบานประตูแล้วปล่อยให้ความรู้สึกนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แย่จริงๆ ปวดศีรษะขึ้นมาในเหตุการณ์แบบนี้ มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ !

“คุณหนูอี คุณเป็นอะไร? ” เลขาเหยียนยื่นมือไปพยุงแขนอีกข้างของเธอ

ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นนวดศีรษะตัวเอง ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างอายๆ นิดหน่อย “ไม่เป็นไรค่ะ อาจจะเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท”

“แน่ใจนะคะ? ”

“อืม แน่ใจค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ขอบคุณค่ะเลขาเหยียน”

“งั้นฉันไปทำธุระก่อนนะคะ” เลขาเหยียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว หันตัวเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

หลังเลขาเหยียนไปแล้ว สายตาไป๋มู่ชิงก็มองไปที่ชายในห้องทำงานอีกครั้ง ทำไมเป็นเขา? เธอรู้สึกศีรษะของตัวเองที่ไม่ค่อยปวดก็เริ่มปวดขึ้นมารางๆ

เธอหายใจเข้าลึกๆ ทรงตัวเดินเข้าไป ยืนตรงหน้าเขาแล้วมองสังเกตเขา “ทำไมเป็นคุณล่ะ? ”

เธอมองไปรอบๆ เขานั่งหลังโต๊ะทำงานประธาน ดูแล้วไม่เหมือนผู้ช่วยหรือเลขาอะไรทำนองนั้นเลย หรือว่าเขาเป็น……

“คุณคือประธานบริษัทหนานกงกรุ๊ปเหรอ? ” เธอถามอย่างประหลาดใจ ทำไมเป็นเขา?

“ประธานจงของพวกเธอไม่ได้บอกเธอเหรอ? ” หนานกงเฉินจ้องมองเธอด้วยสายตาแผดเผา “หรือฉันควรตำหนิที่เธอทำงานไม่จริงจังเกินไป? คุณเคยหาเกี่ยวกับบริษัทหนานกงกรุ๊ปไหม? กล้าที่จะรับออเดอร์? ”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงโดนเขาดักจนพูดไม่ออก จริงๆ แล้วประธานจางก็ไม่ใช่ไม่บอกเธอ แค่เธอไม่รู้ว่าคุณชายเฉินที่เขาพูดที่แท้ก็คือประธานบริษัทหนานกงกรุ๊ป

เธอก้มหน้ามองบัตรตำแหน่งบนโต๊ะเขา ‘หนานกงเฉิน’ ที่แท้เขาก็ชื่อหนานกงเฉิน!

หนานกงเฉิน……หนานกงเฉิน……เธอเอ่ยชื่อนี้อย่างเงียบๆ ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชื่อนี้เหมือนตัวเขา สายตาเขา สามารถเข้าไปในหัวใจเธอทันที ทำให้เธอรู้สึกแย่อย่างอธิบายไม่ได้

เพราะสถานะที่สูงส่งเกินไปของเขา หน้าตาน่าหลงใหลเกินไป หรือว่า……

“แม้แต่ชื่อฉันเธอก็ไม่รู้เหรอ? ” หนานกงเฉินจับจ้องสายตาที่เธอมองมาบัตรตำแหน่งของตัวเอง

ไป๋มู่ชิงได้สติกลับมา รีบพูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ ฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศไม่กี่เดือนก่อน ยังไม่ทันได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ……ข้อมูลของลูกค้า”

“จริงสิ เมื่อกี้นี้นี่คือแบบร่างที่เลขาเหยียนเอาออกมาแล้วรู้สึกว่าใช้ได้ เชิญคุณชายเฉินดูสักหน่อย……” เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียทัศนคติที่ควรรักษาไว้ เธอรีบยื่นแบบร่างสองแผ่นที่อยู่ในมือตัวเอง

หนานกงเฉินเหลือบมองแบบร่างบนโต๊ะ สายตากลับมามองใบหน้าเธอ สีหน้าเธอซีดเซียว มีเหงื่อผุดบนหน้าผาก ปากเขายกขึ้นเล็กน้อย “ไม่สบายเหรอ?”

“เปล่านะคะ? ” ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหน้า

“งั้นก็……ประหม่าเหรอ? ”

ไป๋มู่ชิงคิด แล้วยิ้มอย่างอายๆ “ประมาณนั้นมั้งคะ”

ยอมรับว่าตัวเองประหม่าดีกว่ายอมรับว่าหลงเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!

“ไม่ต้องประหม่า นั่งลงเถอะ” หนานกงเฉินใช้คางชี้ไปที่เก้าอี้ข้างกายเธอ

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง เริ่มรอการประเมินของเขา

ในที่สุดหนานกงเฉินก็ยื่นมือไปหยิบต้นฉบับของเธอมาดู จากนั้นก็เงยหน้ามองเธอ “นี่คือผลลัพธ์ความพยายามของเธอตลอดหนึ่งสัปดาห์เหรอ? ”

“ใช่ค่ะ” ไป๋มู่ชิงมองออกว่าเขาไม่พอใจ รีบพูดอธิบาย “ถ้าคุณชายเฉินคิดว่าไม่ดี ฉันกลับไปดำเนินการปรับปรุงอีกได้ค่ะ ได้โปรดให้เวลาฉันอีกหนึ่งสัปดาห์”

หนานกงเฉินวางต้นฉบับลง ยืนขึ้นจากเก้าอี้ “มันต้องปรับปรุงจริงๆ ”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณชายเฉินค่ะ” ไป๋มู่ชิงเห็นเขาเดินไปที่หน้าตู้กดน้ำแล้วเทน้ำ จากนั้นก็เดินมาทางเธออีกครั้ง ส่งแก้วน้ำให้เธอ “ถ้าฉันดูไม่ผิด ชุดสองสไตล์ที่เธอออกแบบตอนนี้คือชุดสำหรับพนักงานโรงงาน พนักงานฝ่ายผลิตทำงานด้วยมือและกายภาพ ดังนั้น……”

“ไม่ดื่มน้ำเหรอ? ”

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงรีบรับแก้วน้ำที่เขาส่งมาด้านหน้าตน

“สิ่งที่พวกเขาต้องการคือชุดที่สะดวกสบายและเคลื่อนไหวสะดวก ไม่ใช่แบบนี้……” หนานกงเฉินยื่นต้นฉบับส่งกลับมาตรงหน้าเธอ “ชุดสไตล์นี้มันเหมาะกับพนักงานออฟฟิศอย่างเธอมากกว่า”

เขาพูดจนไป๋มู่ชิงรู้สึกอับอายนิดหน่อย รีบรับต้นฉบับมา “ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะกลับไปปรับปรุงแก้ไข”

“ฉันให้เธออีกหนึ่งสัปดาห์”

“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงยืนขึ้นจากเก้าอี้ โค้งตัวให้กับเขา “งั้นฉันกลับก่อนนะคะ”

“ไว้เจอกันครับ”

ขณะที่ไป๋มู่ชิงหันตัวจะไป ทันใดนั้นก็หันกลับมาจ้องเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน ฉันขออะไรคุณหนึ่งอย่างได้ไหมคะ? ”

“อะไร? ”

“ฉัน……” เธอยิ้มอย่างเกรงใจ “จริงๆ แล้ว เมื่อก่อนฉันไม่เคยทำสายงานนี้เลย ตอนอยู่ต่างประเทศก็ช่วยออกแบบชุดแต่งงานหลายชุดที่สตูดิโอของเพื่อน ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับชุดทำงานเลยจริงๆ ไม่งั้นฉันให้หัวหน้าฉันมาทำออเดอร์คุณดีไหมคะ ความสามารถของเธอดีกว่าฉันสิบเท่า ผลงานที่ออกแบบต้องทำให้คุณชายเฉินพึงพอใจมากแน่ๆ ”

หนานกงเฉินมองเธอ แต่คำตอบกลับเป็นคำถาม “เธอเคยออกแบบชุดแต่งงานเหรอ? ”

“ช่วยเพื่อนออกแบบค่ะ ทำเพื่อความสนุก”

“หลายคนชอบไหม? ”

“เอ่อ……เธอเป็นบริษัทจัดงานแต่ง ทำขึ้นสำหรับเช่า ฉันก็ไม่รู้ว่ามีคนชอบไหม”

หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่พูดอะไร

ไป๋มู่ชิงก็พูดไม่ออกนิดหน่อยในใจ ทำไมคนที่นี่เป็นแบบนี้ เวลาตอบคำถามก็ตอบไม่ตรงประเด็น

“คุณชายเฉิน เรื่องเปลี่ยนคน……”

“ไม่จำเป็น” หนานกงเฉินเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

“ทำไม? ” เธอไม่เข้าใจ

“สิ่งที่ฉันต้องการคือชุดทำงาน ไม่ใช่แฟชั่นสำหรับแคทวอร์ค ไม่ได้ต้องการสูงขนาดนั้น” สีหน้าหนานกงเฉินสงบลง

เห็นความจริงจังบนใบหน้าเขา ไป๋มู่ชิงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ถึงเธอจะอยากอยู่ห่างกับเขาสักหน่อย เพื่อไม่ให้ภรรยาเขาเข้าใจผิด แต่เขาไม่ต้องการเปลี่ยนคนเธอก็ทำได้แค่ฝืนทำต่อไป

เธอก้มหน้า “ในเมื่อคุณชายเฉินพูดแบบนี้ งั้นฉันไปก่อนนะคะ”

เห็นหนานกงเฉินพยักหน้า เธอจึงหันตัวเดินไปที่ประตูห้องทำงาน

ตอนกลางคืน หลังจากหนานกงเฉินจัดการธุระในห้องทำงานเสร็จแล้วกำลังกลับไปที่ห้องนอน ประตูทางเข้าก็มีเสียงเคาะประตู เขาตอบกลับไปที่ประตู “เข้ามา”

จูจูผลักประตูเดินเข้ามา ในมือมีขนมหนึ่งกล่อง

เธอวางขนมไว้บนโต๊ะ หยิบมันออกมาขณะที่พูดขึ้น “ฉันเห็นตอนมื้อค่ำคุณกินไปไม่เยอะเท่าไร ฉันเลยไปซื้อขนมนิดหน่อยกลับมา คุณกินมันหน่อยก่อนนอนนะ”

เธอเงยหน้าขึ้นมา มองเขาด้วยความห่วงใย “ไม่งั้นกลางคืนจะหิว”

หนานกงเฉินมองขนมบนโต๊ะ แล้วถามขึ้น “เธอออกไปซื้อโดยเฉพาะเลยเหรอ? ”

“ใช่ค่ะ คุณชอบรสชาเขียวของพวกเขาไม่ใช่เหรอ” จูจูยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยน

หนานกงเฉินหายใจเข้าเบาๆ จ้องมองเธอแล้วพูดขึ้น “ทีหลังไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ ตอนกลางคืนมันก็ไม่ปลอดภัย ถ้าฉันเห็นก็ให้พี่เหอทำอาหารมื้อดึกให้”

“แต่อาหารมื้อดึกที่พี่เหอทำคุณไม่กินนี่หน่า” จูจูดึงเขามานั่งโซฟา แล้วควงแขนเขา “เฉิน คุณเคยบอกว่าคุณจะไม่รักฉัน แต่คุณไม่ได้บอกว่าฉันเป็นห่วงคุณไม่ได้นี่ อย่าว่าแต่ซื้อขนมมาให้คุณ ถึงจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อคุณฉันก็เต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์”

ได้ยินคำพูดของเธอ ถึงหนานกงเฉินประทับใจนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ถูกความอ่อนโยนเธอเอาชนะ เขาหยิบขนมขึ้นมากัดหนึ่งคำเป็นสัญลักษณ์

“อร่อยไหม? ” จูจูถามขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

“อร่อยครับ” หนานกงเฉินพยักหน้า แล้วพูดกับเธอ “ขอบคุณครับ”

“ระหว่างสามีภรรยาจะขอบคุณทำไม? ”

“อืม ดึกแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”

รีบไปพักผ่อนเถอะ……

ช่างเป็นคำไล่ตรงไปตรงมา ในใจจูจูเหมือนถูกมีดบาดในพริบตาเดียว จ้องมองเขา “เฉิน คุณกลับมาก็อยู่ที่ห้องทำงาน ตอนนี้กว่าจะจัดการงานเสร็จ คุยเป็นเพื่อนฉันไม่กี่ประโยคไม่ได้เหรอ? ”

เขาบอกว่าเขาไม่สามารถรักผู้หญิงคนอื่นได้ เธอเชื่อ และเชื่อมาสองปีแล้ว

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ช่างเถอะ แต่ทำไมเขาต้องหลิ่วหูหลิ่วตากับผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งเดียวด้วย? เขาสามารถประทับใจผู้หญิงแปลกหน้าที่ไม่ได้หน้าตาสวยอะไรมากได้ แต่กลับไม่ยอมมองกลับมายังเธอที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นรักแรกของเขาเหรอ?

เธอจะยินยอมได้อย่างไร? ตัดใจได้อย่างไร?

“ขอโทษ พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน เลยอยากพักผ่อนเร็วๆ หน่อย” หนานกงเฉินก้มหน้ามองเธอ “เธออยากคุยอะไร”

“คุยระหว่างสามีภรรยาต้องมีหัวข้อด้วยเหรอ? ” เธอถาม

หนานกงเฉินโดนเธอถามจนไม่มีอะไรจะตอบ ทำได้แค่เงียบ

“เฉิน ฉันได้ยินว่าคุณจะไปทำงานนอกสถานที่ที่เมืองเหยียนอาทิตย์หน้า ฉันไม่ได้กลับไปเมืองเหยียนนานมากแล้ว ให้ฉันกลับไปเยี่ยมสักหน่อยจะได้ไหม? ” จูจูพูดขึ้นขณะที่มองเขาด้วยใบหน้าอ้อนวอน

พาเธอไปที่เมืองเหยียนด้วยกัน……

ความทรงจำหนานกงเฉินโลดแล่นอีกครั้ง ตอนนี้สิ่งที่เขานึกถึงคือฉากที่เขาไปเมืองเหยียนกับไป๋มู่ชิงในตอนแรก

“ฉันอยากไปเยี่ยมคุณยาย ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมเธอมานานแล้ว” พูดถึงคุณยาย ขอบตาจูจูก็แดงอีกครั้ง “คุณยายรักฉันมากที่สุด แต่ฉันจากมาหลายปีแล้ว แม้แต่เทศกาลเชงเม้งทุกปีก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเธอเลย เฉิน คุณว่าเธอจะตำหนิฉันอยู่หรือเปล่า? ก็เลยไม่อวยพรให้ฉันได้ความจริงใจของคุณกลับมา”

พูดถึงตรงนี้ สุดท้ายน้ำตาเธอก็ไหลลงมา

“อย่าไปเชื่อเรื่องพวกนี้ บนโลกใบนี้ไม่มีผีและเทพเจ้าหรอก” หนานกงเฉินดึงทิชชูส่งให้เธอ เอ่ยปลอบเบาๆ “พักผ่อนเร็วหน่อยนะ อย่าไปคิดเรื่องพวกนี้แล้วไม่มีความสุขเลย”

“เฉิน คุณพาฉันกลับไปด้วยได้ไหม? ” จูจูจับแขนเขาแน่น ถามด้วยน้ำตา

หนานกงเฉินมองเธอที่น้ำตาเต็มดวงตา จากนั้นก็พยักหน้า

“เฉิน คุณว่าไงนะ? คุณหมายความว่าคุณตกลงฉันแล้วใช่ไหม? ” จูจูถามด้วยความประหลาดใจ

“พาเธอไปไม่มีปัญหา แต่กำหนดการเดินทางมันสั้น ไปแค่สองวันเท่านั้น ฉันกลัวเธอจะเที่ยวไม่สนุก”

“ไม่เป็นไร ฉันไปเพื่อเยี่ยมคุณยาย ไม่ได้ไปเที่ยว” จูจูระเบิดยิ้ม “ขอบคุณนะคะ คุณสามี”

เธอยื่นมือออกไปโอบคอเขา โน้มตัวจูบปากเขา

ริมฝีปากเธออุ่นและนุ่ม แต่กลับมีความขมขื่นของน้ำตา

หนานกงเฉินมองเธอ ในใจรู้สึกผิดนิดหน่อยอย่างช่วยไม่ได้ เขาสูดลมหายใจเบาๆ จ้องมองเธอแล้วถามขึ้น “จู เธออยู่แบบนี้มันมีความหมายจริงๆ เหรอ? ”

“อะไรเหรอ? ” จูจูไม่เข้าใจ

“ฉันหมายความว่า ถ้าเธอใช้ชีวิตแบบนี้แล้วไม่มีความหมาย สามารถบอกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ ฉันปล่อยเธอให้เป็นอิสระได้” เขาพูดอย่างจริงจังมาก

จูจูมองเขา รอยยิ้มที่ปรากฏเมื่อครู่นี้จางลงทีละนิด และเปลี่ยนเป็นสีหน้าประหม่า “เฉิน คุณกำลังพูดอะไร? อะไรคือปล่อยให้ฉันเป็นอิสระได้? คุณอยากหย่ากับฉันเหรอ? ”

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หนานกงเฉินพูด

แต่จูจูกลับส่ายหน้าอย่างสะเทือนใจ “ไม่ เฉิน คุณห้ามปล่อยฉันเป็นอิสระ ห้ามไม่ต้องการฉัน ถ้าคุณไม่ต้องการฉันแล้วคุณป่วยจะทำยังไง? ร่างกายคุณเพิ่งดีขึ้นมาเมื่อสองปีนี้ ถ้าเราหย่ากัน ร่างกายคุณไม่ดีขึ้นมาอีก……”

“จูจู เธอใจเย็นหน่อย” หนานกงเฉินเห็นเธอสะเทือนใจ รีบจับไหล่เธอแล้วเขย่า “ฉันบอกแล้ว ฉันไม่ได้จะหย่ากับเธอ”

“จริงเหรอ? ”

“จริงสิ”

“งั้นก็ดีแล้ว” ทันใดนั้นจูจูก็ร้องไห้ออกมาอย่างแตกสลาย โผเข้าไปในอ้อมกอดเขา “ฉันนึกว่าคุณจะละทิ้งตัวเอง ไม่สนใจสุขภาพของตัวเองอีกแล้ว”

“ไม่หรอกครับ” หนานกงเฉินถูกน้ำตาเธอโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก แค่หวังว่าเธอจะเอาน้ำตาคืนกลับไปได้โดยเร็ว

“แล้วคุณจะรักผู้หญิงคนอื่นไหม? ” จูจูเงยหน้าขึ้นมา มองเขาด้วยใบหน้าน้อยใจ “เฉิน คุณบอกว่าหัวใจคุณตายไปกับมู่ชิงแล้ว ฉันก็ไม่กล้ารบกวนคุณมาตลอด แค่เฝ้ามองคุณและรอคุณเงียบๆ อยู่ข้างๆ ถ้าจู่ๆ คุณไปรักผู้หญิงคนอื่น ฉันจะเสียใจมาก”

“ไม่หรอก ฉันจะไม่รักผู้หญิงคนอื่น และไม่หย่ากับเธอ” หนานกงเฉินตบบ่าเธอแล้วพูดสัญญา จากนั้นก็ผลักเธอเบาๆ ออกจากอ้อมกอดตน จ้องมองเธอ “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะนะ”

“ต้องโทษคุณ จู่ๆ ก็พูดจะปล่อยให้ฉันเป็นอิสระอะไรนั่น ฉันคิดว่าคุณไปรักผู้หญิงคนอื่นแล้ว” จูจูตีเขาหนึ่งทีเหมือนเป็นเด็กๆ “คราวหน้าห้าทำให้ตกใจแบบนี้อีกแล้วนะรู้ไหม? ”

“ขอโทษ คราวหน้าไม่ทำแล้ว”

จูจูใช้ทิชชูเช็ดน้ำตาบนหน้า สูดลมหายใจเข้า “ฉันอยากอยู่นอนกับคุณ”

หนานกงเฉินส่ายหน้า “ไม่ ฉันกลัวว่าตอนกลางคืนอาการฉันกำเริบแล้วทำร้ายเธอ”

“ฉันไม่กลัว ฉันอยากอยู่ดูแลคุณ”

“เธอลืมรอยแผลเป็นบนตัวมู่ชิงแล้วเหรอ? ฉันทำร้ายเธอไว้มาก ฉันไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บเหมือนหล่อน” หนานกงเฉินหายใจเข้าเบาๆ สายตาหรี่ลงทีละนิด “จริงๆ ทุกครั้งที่มู่ชิงเสี่ยงชีวิตเพื่อดูแลฉัน แต่เธอไม่รู้เลย ตอนนั้นฉันไม่มีสติ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทุกครั้งที่อาการกำเริบเธอจะบาดเจ็บมากกว่าฉันตลอด”

ตอนพูดประโยคนี้ นอกจากเขาอยากให้จูจูถอยหนีจากความยากลำบาก เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดและสงสารไป๋มู่ชิง

วันเวลาที่ได้คบกับเขา ไป๋มู่ชิงได้รับความยากลำบากมาตลอด ตลอดจนสุดท้ายลิ้มรสความทุกข์จนไม่ได้มีความสุขเลย

ได้ยินคำพูดของเขา ถึงแม้ในใจจูจูจะรู้สึกกลัว แต่พูดถึงตรงนี้ถ้าเธอถอยเพราะความยากลำบากหนานกงเฉินจะคิดกับเธออย่างไร? ดังนั้นเพื่อเอาชนะความประทับใจของเขา เธอก็ทำได้แค่ยึดมั่นต่อไปจนถึงที่สุด เธอส่ายหน้า “มู่ชิงทำได้ฉันก็ต้องทำได้แน่ๆ เฉิน ฉันไม่กลัวตาย”

“แต่ฉันกลัว” หนานกงเฉินยกมือลูบไหล่เธอ “เด็กดี กลับไปนอนเถอะนะ”

ประโยคหนึ่งสั้นๆ ทำให้จูจูพูดไม่ออก นี่เขาไม่เหลือเหตุผลในการชักชวนเขาต่อไปเลย

ด้วยความสิ้นหวัง เธอแค่ยืนขึ้นจากโซฟา “งั้นก็ได้ คุณก็พักผ่อนเร็วๆ นะคะ ฉันไปแล้ว”

“ฝันดีครับ”

“ฝันดีค่ะ” จูจูพูดจบ ก็หันตัวเดินออกจากห้องนอนเขาไป

กลับมาที่ห้องนอนตัวเอง เธอซุกตัวบนเตียง หลับตา ในหัวสมองมีภาพน่าหวาดกลัว เหตุการณ์ที่หนานกงเฉินบีบคอไป๋มู่ชิง ทั้งตีและโวยวาย ความจริงแล้วเธอกลัวมากจริงๆ

ตอนนั้นที่เดินจากมาเพราะโรคของหนานกงเฉิน ตอนนี้กลับมาแล้ว ถึงจะเตรียมใจเอาไว้แต่ในใจก็ยังหวาดกลัว โดยเฉพาะหลังจากเห็นบาดแผลแต่ละแผลบนข้อมือไป๋มู่ชิง

ในช่วงสองปีที่ผ่านมาหนานกงเฉินอาการกำเริบน้อยลงหน่อย เธอเห็นด้วยตาตัวเองแค่สองสามครั้ง มันน่ากลัวกว่าที่จินตนาการไว้! ทุกครั้งที่ได้ยินว่าหนานกงเฉินอาการกำเริบ เธอไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปโดยทันที

แต่อัตราอาการกำเริบของหนานกงเฉินก็เกิดขึ้นน้อยมากแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอจะอยู่กับเขาแบบคู่รักนิรนามเพราะกลัวอาการป่วยของเขาตลอดไปเหรอ?

ตั้งแต่พบว่าหนานกงเฉินสนใจไป๋มู่ชิง ประธานจางก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างโอกาสให้ทั้งสองเจอกัน

และไป๋มู่ชิงตั้งแต่พบว่าหนานกงเฉินเป็นเจ้านายบริษัทหนานกงกรุ๊ป ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเลี่ยงโอกาสในการเจอเขา

ถือถุงข้อมูลเอกสารที่ประธานจางบอกว่าต้องส่งให้มือหนานกงเฉินด้วยตัวเอง ไป๋มู่ชิงก็หมดหนทางนิดหน่อย ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่สามารถจัดการเรื่องนี้แต่เธอต้องมาถึงที่ด้วยตัวเอง

ทุกครั้งที่เจอคุณชายเฉินคนนั้นมักจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ถ้าภรรยาเขาอยู่บริษัท เห็นเธอจะต้องเข้าใจผิดอีกแน่ๆ

เมื่อเธอไม่รู้จะทำอย่างไร เธอเห็นเสี่ยวซ่งกำลังเดินออกมาพอดี จึงเอาถุงเอกสารข้อมูลไล่ตามไประหว่างลิฟต์ “เสี่ยวซ่ง เดี๋ยวก่อน”

เสี่ยวซ่งหันตัวกลับมา มองสังเกตเธอ “พี่อี มีอะไรเหรอ? ”

“นายจะไปไหน? ”

“ไปทำธุระนิดหน่อยที่บริษัทหงหย่วน ทำไมเหรอครับ”

“แวะพอดีเลย” ไป๋มู่ชิงส่งถุงข้อมูลเอกสารในมือให้เขา “ช่วยฉันส่งข้อมูลไปให้ถึงคุณชายเฉินบริษัทหนานกงกรุ๊ปหน่อยได้ไหม”

“คุณชายเฉิน? ผมเป็นพนักงานตัวเล็กๆ จะไปหาเขาได้ยังไงครับ” เสี่ยวซ่งกลอกตา “เดาว่ายังไม่ได้เข้าไปประตูใหญ่บริษัทหนานกงกรุ๊ปก็โดนโยนออกมาแล้วมั้ง? ”

“ไม่หรอก คนข้างในสุภาพมาก ตอนนี้เราเป็นบริษัทที่ให้ความร่วมมือกัน แค่แสดงข้อมูลประจำตัวกับคุณผู้หญิงแผนกต้อนรับก็จะช่วยแจ้งให้” ไป๋มู่ชิงประสานมือกันและพูดด้วยใบหน้าอ้อนวอน “ขอร้องล่ะ ช่วยฉันหน่อยได้ไหม ตอนกลางวันฉันเลี้ยงข้าว”

“ไม่ได้ พาผู้หญิงสวยๆ อย่างพี่ไปด้วยแฟนผมต้องตอนผมทิ้งแน่” เสี่ยวซ่งเหลือบมองเธอ

“ฉันไม่ได้ว่างไปกินกับนายหรอก งั้นนายก็ไปกินกับแฟนนายสิ? ” ไป๋มู่ชิงคิด “ร้านอาหารตะวันตกซิงหยวนดีไหม? บอกชื่อฉันแล้วกินและสั่งได้ตามใจเลย ฟรีทั้งหมด”

“จริงหรือหลอก? ” เสี่ยวซ่งมองสังเกตเธออย่างสงสัยพลางน้ำลายไหล

“จริงแท้แน่นอน พี่อีเคยหลอกใครตั้งแต่เมื่อไร? ”

“เชื่อพี่นะ” เสี่ยวซ่งรับถุงข้อมูลเอกสารในมือเธอมา แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “งั้นผมทำธุระเสร็จแล้วจะไปซิงหยวน”

“OK” ไป๋มู่ชิงทำท่าให้กับเขา จากนั้นก็พูดขึ้นอีก “อย่าทำข้อมูลฉันหายเด็ดขาดนะ อีกอย่างอย่าบอกประธานจางว่าฉันเอาข้อมูลให้นาย”

“เข้าใจแล้วครับ” เสี่ยวซ่งพยักหน้าให้เธอแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปอย่างมีความสุข

หลังจากเสี่ยวซ่งไปแล้ว เพื่อแสดงว่าตนไม่ได้ขี้เกียจ ไป๋มู่ชิงก็เก็บคอมพิวเตอร์แล้วออกไปข้างนอกบริษัท มาที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามบริษัทเพื่อคิดร่างการออกแบบต่อไป

นั่งอยู่ในร้านกาแฟ สบายกว่าอยู่ในบริษัทมาก แม้แต่อาหารกลางวันก็ทานในร้านกาแฟ กว่าจะกลับมาบริษัทก็บ่ายสองกว่า

เพิ่งนั่งลงนิ่งๆ ประธานจางก็ทำหน้ามีเลศนัย มองสังเกตเธอแล้วถามขึ้น “ไปกินข้าวข้างนอกไหม? ”

“อืม เพิ่งกินก่อนกลับมาค่ะ”

“คุณชายเฉินได้รับข้อมูลหรือยัง? ”

ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก ตอนนี้เสี่ยวซ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเรอพอดี แล้วทำมือ OK ให้กับไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงจึงพูดขึ้นอย่างไว้วางใจ “ประธานจาง ส่งไปแล้วค่ะ”

“ดี ไม่เลวๆ ขยันต่อไป” ประธานจางเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ ไป๋มู่ชิงเห็นเขายิ้มด้วยใบหน้าภูมิใจ ในใจก็คิดว่าเขาคงดีใจที่จะได้รับออเดอร์ใหญ่ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก

หลังจากประธานจางไปแล้ว เสี่ยวซ่งก็แกว่งตัวไปมาทันที เอนตัวใส่ไป๋มู่ชิงแล้วยิ้มถึงใบหู “พี่อี อาหารที่ร้านซิงหยวนอร่อยมากเกินไปแล้ว มันเกือบฆ่าผม เพื่อนของพี่ใจดีมากเลย ชื่อของพี่ใช้ประโยชน์ได้มากจริงๆ คราวหน้าผมขอยืมอีกนะ”

ไป๋มู่ชิงเหลือบมองร่างอวบของเขา “นายไม่กลัวกินจนเงินหมดเหรอ? ”

“หัวหน้าคนงานที่นั่นบอกว่า ต่อไปนี้ผมไปกินได้ทุกวัน แต่มีเงื่อนไข”

“เงื่อนไขอะไร”

“ให้ดูแลพี่อีของเราให้ดี” เสี่ยวซ่งตบหน้าอกแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ต่อไปนี้พี่อีมีอะไรให้ช่วยก็ให้ผมได้เลย”

“ได้ รีบกลับไปทำงานเถอะ”

หลังจากส่งเสี่ยวซ่งไปแล้ว ไป๋มู่ชิงก็รีบหยิบโทรศัพท์ในลิ้นชักออกมาโทรหาเฉียวเฟิง ไม่นานโทรศัพท์ก็มีคนรับสาย เสียงอมยิ้มเฉียงเฟิงดังขึ้น “แอบโทรระหว่างงานเหรอ? ไม่ค่อยดีมั้ง? ”

“ฉันแค่โทรแป๊บเดียว” ไป๋มู่ชิงถามเสียงทุ้ม “เมื่อกี้เจอเพื่อนร่วมงานฉันเหรอ? ”

“เจอแล้ว แต่ไม่ได้เจอโดยตรง”

“ตอนเช้าฉันให้เขาช่วยส่งเอกสารไปให้ลูกค้า แล้วก็สัญญากับเขาว่าจะเลี้ยงข้าวเขากับแฟน” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันได้ยินเขาพูดกับหัวหน้าคนงานแล้ว” เฉียวเฟิงก็ยิ้ม “ถ้าเขาช่วยดูแลเธอที่บริษัทได้ เชิญเขามากินทุกวันก็ไม่มีปัญหา”

“คุณสามี คุณตามใจฉันจนจะเสียคนแล้ว”

“ตามใจจนเสียคนฉันก็ยังชอบ” เฉียวเฟิงพูด

ไป๋มู่ชิงยิ้มร่าเริง เธอเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว แล้วเจอกัน”

“อืม แล้วเจอกัน”

วางสายไปแล้วไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมา มีรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้า ไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาลุกเป็นไฟของประธานจางกำลังมองทะลุใบหน้าเธออยู่

ประธานจางไม่เพียงแต่ไม่ได้ตำหนิที่เธอแอบคุยโทรศัพท์ระหว่างงาน มุมปากยังเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สำหรับเขา ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างมีความสุขแบบนั้นเพราะกำลังคุยโทรศัพท์กับคุณชายเฉินแน่ๆ

ส่งเอกสารสามารถให้เสี่ยวซ่งไปทำก็ได้ แต่เธอยังต้องไปคุยเรื่องต้นฉบับด้วยตัวเธอเอง หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไป๋มู่ชิงต้องไปเจอหนานกงเฉินอีกครั้ง

อาจจะเพราะมาที่นี่หนึ่งครั้งแล้ว ครั้งนี้เธอจึงไม่มีความรู้สึกเวียนศีรษะเหงื่อออก

แค่หนานกงเฉินยังดูไม่พอใจกับต้นฉบับเธอมากนัก เธอรับต้นฉบับจากมือหนานกงเฉิน แล้วถามอย่างลังเล “คุณชายเฉิน คุณบอกฉันได้ไหมว่าต้นฉบับครั้งนี้มีตรงไหนที่ทำให้คุณไม่พอใจ? หรือว่า……คุณบอกฉันว่าคุณชอบแบบทั่วไปเหรอ? ”

หนานกงเฉินมองเธอ แล้วพูดกับเธอสองคำ “เธอมานี่”

“ทำอะไร? ” ไป๋มู่ชิงถอยหลังด้วยสัญชาตญาณ

หนานกงเฉินเห็นท่าทางเธอเป็นแบบนี้ ก็ยิ้มเย้ยหยัน “ที่แท้หนานกงเฉินอย่างฉันในสายตาคุณหนูอีจะหยาบคายและขาดผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ? ”

“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ขาดผู้หญิง และคงไม่หยาบคายถึงขั้นลวนลามลูกค้าผู้หญิง แต่เมื่อนึกถึงภรรยาที่ดุร้ายของเขา เธอก็อยากอยู่ห่างเขาหน่อย

เธออ้อมโต๊ะทำงานไปข้างตัวเขา หนานกงเฉินใช้มือเดียวดำเนินการบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ไม่กี่ที ภาพวาดการออกแบบชุดทำงานผู้หญิงก็ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

“นี่คือสไตล์ที่ฉันต้องการ เธอลองใช้มันได้”

“คุณจะส่งต้นฉบับให้ฉันเหรอ? ” เธอมองต้นฉบับบนหน้าจอ แล้วมองเขาอีกครั้ง ต้นฉบับสวยกว่าที่เธอวาดเยอะเลย

“ไม่งั้นล่ะ? รอเธอส่งต้นฉบับเกรงว่าต้องรอถึงปีหน้ามั้ง? ”

ไป๋มู่ชิงโดนเขาว่าจนรู้สึกอายขึ้นมา เธอรู้ว่าระดับตัวเองยังอีกห่างไกลมา แต่ใครใช้ให้เขาเลือกเธอล่ะ?

“คุณอีเมลอะไร? ” หนานกงเฉินถาม

หลังจากไป๋มู่ชิงบอกอีเมลเขา ก็เตรียมจะบอกลาเขา จู่ๆ ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น เสียงเลขาเหยียนดังตามเข้ามา “คุณชายเฉิน นายหญิงน้อยมาค่ะ”

นายหญิงน้อย? คือเธอใช่ไหม? ไป๋มู่ชิงวิงเวียนทันที สีหน้าซีดเซียวในพริบตา

สิ่งที่กลัวเกิดขึ้นแล้วจริงๆ !

เธอหันไปมองหนานกงเฉิน หลังจากได้รับสายตาจ้องมองอย่างว่องไวของเธอ หนานกงเฉินไม่เข้าใจทำไมเธอต้องประหม่าขนาดนั้น กำลังจะออกไปตอบรับ กลอนประตูห้องทำงานก็เกิดเสียงดัง ‘คลิก’ ในตอนนี้

เมื่อเห็นบานประตูกำลังเปิด ไป๋มู่ชิงก็หมอบลงไปอย่างตื่นตระหนก หลบเข้าไปใต้โต๊ะทำงาน

“เฉิน……” จูจูผลักประตูห้องเดินเข้ามาพลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จะเลิกงานหรือยังคะ”

หนานกงเฉินก้มหน้าเหลือบมองใต้โต๊ะ แล้วมองจูจูที่เดินเข้ามา “เธอมาทำไม? ”

“ฉันไปชอปปิ้งข้างนอกมา ชอปปิ้งแถวนี้พอดี จึงมาหาคุณเพื่อกลับบ้านด้วยกัน” จูจูพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม พูดจบ เธอก็หันตัวเดินไปหน้าตู้กดน้ำเพื่อรินน้ำ แอบมองรอบๆ ขณะที่สายตามองโซฟา เห็นกระเป๋าผู้หญิงก็นิ่งไปครึ่งวินาที

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท