เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 194 สิบนิ้วไปสู่หัวใจ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก แต่ว่าเธอไม่ได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่ไม่สบายใจนั้นออกมา แต่คือทั้งดื่มน้ำอุ่นในแก้วไปด้วยและยังเดินไปหาหนานกงเฉินและพูดว่า“เป็นอะไรไป?คุณยังไม่คิดจะเลิกงานเหรอ?”

เธอเลยดื่มน้ำจนหมดแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงาน หลังจากนั้นเอามือทั้งสองไปโอบหนานกงเฉินจากช้างหลัง ใบหน้าเล็กๆของเธอแบนชิดกับแก้มของเข้า“เฉินคุณลืมไปแล้วเหรอว่าคุณย่ากำชับไว้ว่าอย่างไร?อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป อาการป่วยของคุณถึงจะค่อยๆดีขึ้น”

ชัดเจนว่าต้องมีผู้หญิงอยู่ที่นี่ แต่กลับมองไม่เห็นเงาเลย?มีความเป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นแน่ๆเลย พอคิดถึงภาพเหตุการณ์ว่าหนานกงเฉินกับผู้หญิงเลวคนนั้นอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เธอกัดฟันด้วยความโกรธแค้น

“ฉันจะระวังตัวเอง”หนานกงเฉินไปตบมือเล็กๆของเธอ

“งั้นก็รีบเก็บของแล้วกลับบ้านกับฉันเถอะ”จูจูกำลังคิดพิจารณาว่าควรใช้เหตุผลอะไรเข้าไปในห้องนั่งเล่นดี ตอนที่กวาดสายตาผ่านที่พื้นนั้นก็พบใต้โต๊ะมีมือของผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมา เธอกัดฟันด้วยความกระวนกระวายใจมาก

หนานกงเฉินเลยดึงมือทั้งสองของเธอลงมาจากคอของตัวเองและจ้องเธอพูดว่า“จูจู เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ”

“คุณยังจะต้องทำงานล่วงเวลาอีกเหรอ?”จูจูยิ้มขึ้นมาและเดินจากด้านหลังมาด้านหน้าของเขา หลังจากนั้นก็ใช้ส้นของรองเท้าส้นสูงเหยียบไปที่พื้นที่มือนั้น

รองเท้าที่เธอใส่เป็นรองเท้าแตะรัดส้นแบบส้นหนาและยังตั้งใจเหยียบเข้าไปเต็มแรง เหยียบจนเจ็บแบบแทบจะร้องขอชีวิต ไป๋มู่ชิงกลั้นไว้ รีบใช้มืออีกข้างมาปิดปากของตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ร้องออกมา

เธอเจ็บไปหมด ในชั่วพริบตาเดียวน้ำตาเธอก็ไหลลงมา

หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของไป๋มู่ชิง เขาไม่ได้มองลงไปดูแต่กลับลุกขึ้น มองไปที่จูจูพดว่า“ไปเถอะ ฉันยังมีงานที่ต้องทำ ฉันจะให้เสี่ยวหลินไปส่งเธอแล้วกัน”พูดสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

จูจูรู้ว่าถ้าเธอยังขืนก่อกวนไม่หยุดแบบนี้เขาต้องโมโหแน่ๆ ถ้าไปดึงผู้หญิงคนนั้นออกมา ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์แล้วยังอาจจะทำให้หนานกงเฉินขายหน้าจนควบคุมสีหน้าไม่อยู่

หนานกงเฉินยอมที่จะแอบไว้เพื่อพิสูจน์ว่าเขายังเป็นห่วงภรรยาคนนี้ของเขาใช่ไหม?

ในกรณีที่โดนฉีกหน้า เขาจะเอาผู้หญิงพวกนี้ไปที่โจ่งแจ้งเพื่อไปยั่วยุเธอทำไมกัน ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็คงไม่ดีหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ในใจของเขาที่ที่เธออยู่มันยังคงต่ำเกินไป

ถึงแม้จะไม่สมัครใจ แต่เธอก็ยังพูดไปอย่างฉลาดว่า“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ คุณก็รีบทำงานจะได้รีบกลับบ้าน”

“รู้แล้ว”หนานกงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย

จนกระทั่งหลังจากที่จูจูไปแล้วนั้นหนานกงเฉินถึงจะพูดว่า“ออกมาได้แล้ว”

รอไปสักครู่หนึ่ง แต่ไม่รอจนกระทั่งไป๋มู่ชิงที่อยู่ใต้โต๊ะออกมา หนานกงเฉินเลยก้มหัวลงไป เห็นคราบเลือดเปื้อนอยู่ที่พื้น เขาโน้มตัวลงไปมองถึงจะพบว่าไป๋มู่ชิงจับมือขวาที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ น้ำตาคลอออกมาจากตาทั้งสองข้าง

“มือเธอเป็นอะไรไป?”หนานกงเฉินมองไปที่หน้าที่น่าสงสารของเธอ

“ฉันไม่เป็นไร……”

หนานกงเฉินดึงมือเธอมา มองที่มือของเธอชัดเจนว่ามือเล็กๆของเธอทั้งสองโดนเหยียบมา หลังจากนั้นมองเธอและพูดว่า“เจ็บหนักขนาดนี้ ยังไม่รู้จักร้องออกมาอีก”

“ฉันไม่อยากให้คุณหญิงของท่านเข้าใจผิด”

“หรือว่านี่เธอไม่รู้เหรอว่ายิ่งหลบๆซ่อนๆแบบนี้ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดกว่าเดิมอีก?”หนานกงเฉินดึงเธอออกมาจากใต้โต๊ะ

ไป๋มู่ชิงสะบัดแขนข้างที่เจ็บ หยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาติดแผลเอาไว้ ทันใดนั้นหนานกงเฉินกลับไปดึงมือเธอ“ทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้ยิ่งอักแสบ เดี๋ยวฉันช่วยเธอใส่ยา”

“ไม่ต้องหรอก……”ไป๋มู่ชิงรีบพูดออกมา หนานกงเฉินกลับเดินไปทางตู้หนังสือแล้วเรียบร้อย หยิบกล่องยาออกมาและเดินไปนั่งที่บนโซฟา หลังจากนั้นเงยขึ้นไปมาอหน้าเธอ“ตอนนี้มือขวาของเธอเจ็บ ถ้าไม่รีบรักษาจะไปวาดรูปได้อย่างไรล่ะ?”

ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก ลังเลอยู่ในใจไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

“มานี่”น้ำเสียงของหนานกงเฉินฟังแล้วค่อยข้างพูดออกมาเป็นคำสั่ง

ไป๋มู่ชิงได้แต่เดินไปหาเขา ไปนั่งอยู่ตรงข้ามเขาและพูดว่า“ให้ฉันทำเองเถอะ”

“คุณหนูอี ฉันงานยุ่งมาก ไม่มีเวลามาไร้สาระกับคุณหรอกนะ”

ได้ยินน้ำเสียงของเขาแล้ว ไป๋มู่ชิงได้แต่ยื่นมือที่เจ็บของเธอให้กับเขา หนานกงเฉินรับมือของเธอมาและรีบขยับเข้าไปใกล้ๆเธอ

ตอนที่เขาดูมือเธออย่างชัดเจน บนหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจทันที มือของเธอ……

มือเรียวเล็กของเธอ ที่นิ้วชี้และนิ้วโป้งนั้นโดนเหยียบจนเนื้อหาย นอกจากแผลใหม่พวกนี้แล้วที่หลังมือของเธอยังมีร่อยรอยบาดแผลจากไฟลวก ควรเป็นมือที่สวยงาม แต่กลับเป็นมือที่มีรอยบาดแผลมากมายขนาดนี้

ในสถานการณ์แบบนี้ไม่นึกเลยว่าเธอจะทนที่จะไม่ร้องออกมาได้ ความอดทนของเธอนี่มันสุดยอดจริงๆ!

ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงสายตาที่ตกตะลึงของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

หนานกงเฉินระมัดระวังมากในการใช้ยาฆ่าเชื่อล้างแผล หลังจากนั้นใช้ผ้าพันแผลไปปิดแผลไว้

แหวนผู้หญิงที่นิ้วนางของเธอนั้นเป็นขนาดที่กำลังพอดี คิดไปคิดมาแล้วน่าจะเป็นแหวนแต่งงาน เพราะใส่แหวนแล้วพอใช้ผ้าพันแผลดูไม่สะดวก

เขาเงยขึ้นไปจ้องเธอและถามว่า“ถอดแหวนออกได้ไหม? ”

“ได้สิ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ยื่นมือให้เขาถอดแหวนออก หนานกงเฉินกลับพูดออกมาอย่างกระทันหันว่า“อย่าขยับ”

หลังจากนั้น เขาถอดแหวนออกอย่างระมัดระวังอย่างมาก แหวนผ่านจากบาดแผลมา ไป๋มู่ชิงเจ็บจนต้องพูดออกมาว่า“คุณทำเบาๆหน่อย”

“ฉันยังคิดว่าเธอไม่กลัวเจ็บสะอีก”หนานกงเฉินหัวเราะเยาะเธอและเอาแหวนของเธอวางไว้บนโต๊ะน้ำชา

“จะไม่กลัวได้อย่างไรกัน?”ไป๋มู่ชิงพูดอะไรไม่ออก

“เพราะเธออดทนเก่งไง”ถ้าให้เป็นผู้หญิงคนอื่นนะร้องไห้งอแงหรือไม่โวยวายไปตั้งนานแล้ว

พันแผลเสร็จแล้ว หนานกงเฉินกลับยังไม่ปล่อยมือเธอ และยังคลึงๆเพราะทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยมือเธอไป

ทำใจไม่ได้ ไม่ผิด มือของเธอเหมือนกับมีเวทมนตร์ทำให้เขาหลงใหลจนไม่อยากจะปล่อยไป……

“คุณชายเฉิน คุณปล่อยมือฉันได้แล้วหรือยัง?”ครู่หนึ่ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ทนไม่ได้ที่จะพูดออกมา

หนานกงเฉินตกใจรู้สึกว่ายับยั้งสติตัวเองไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ปล่อยทันทีแต่เขาจ้องรอยแผลเป็นที่หลังมือของเธอและถามว่า“มือของเธอ……โดนน้ำร้อนลวกเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงรีบดึงมือเธอกลับมา ยิ้มและพูดว่า“ไม่ใช่น้ำร้อนแต่เป็นไฟไหม้ในบ้าน โดนไฟลวก”

เฉียวเฟิงเคยบอกเธอรางๆว่าเธอสูญเสียความทรงจำทำให้เธอเสียโฉมนั้นเป็นเพราะว่าที่บ้านเกิดไฟไหม้ เธอรีบหนีเอาชีวิตรอดจากระเบียงจนเจ็บหนัก เฉียวเฟิงพูดว่าเป็นเรื่องราวที่เจ็บปวดของเธอและเขา ดังนั้นเลยไม่ชอบให้เธอถามเยอะ แต่จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้ไปถามอะไรมาก

“งั้นแสดงว่าต้องเจ็บปวดมากๆ”หนานกงเฉินพูดออกมาเบาๆ และไม่รู้ว่าพูดให้ตัวเธอฟังหรือให้ตัวเองฟัง

ในตอนแรกที่เขาได้ยินซากศพของไป๋มู่ชิงนั้น เธอก็โดนไฟคลอกจนแทบจะไม่เห็นเนื้อ

ไป๋มู่ชิงเห็นเขาไม่พูดไม่จาเหมือนกับว่าคิดเรื่องอะไรที่เก็บไว้ในใจ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเขา เลยลุกขึ้นจากโซฟา“คุณชายเฉิน งั้นฉันกลับก่อนนะ”

“จำไว้นะว่าให้ลงไปที่ลิฟต์ชั้นสอง หลังจากนั้นเดินออกไปทางประตูหลัง”

“ทำไมกันล่ะ?”ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ

“เธออยากให้คนเขาเข้าใจผิดเหรอ?”

“นี่คือทางที่คุณเอาไว้แอบคบชู้เหรอ?”ไป๋มู่ชิงถามออกไปอย่างไม่รู้สึกตัว ถามเสร็จถึงจะรู้สึกตัวเองว่าเธอลืมตัวไป

เป็นอย่างนั้นจริงๆ หนานกงเฉินมองไปที่เธอด้วยสีหน้าที่น่าสยดสยอง

“ขอโทษค่ะ ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันนะคุณชายเฉิน”ไป๋มู่ชิงไม่กล้าอยู่นานเลยรีบหยิบกระเป๋าและออกไปจากห้องทำงาน

เธอทำตามคำแนะนำของหนานกงเฉินไปใช้ลิฟต์ที่ชั้นสอง หลังจากออกจากประตูหลังไปแล้วนั้นก็เรียกรถแท็กซี่

“คนขับรถคะ ช่วยไปส่งฉันที่ตึกยู่หลงหน่อยค่ะ”เธอพูดออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆ ตอนที่รถแท็กซี่ขับมาถึงประตูหน้าของตึก เธอเห็นรถเฟอร์รารี่สีแดงที่มีเงาที่คุ้ยเคยนั่งอยู่ เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับวันนั้นที่ลานจอดรถในห้าง ภรรยาของคุณชายเฉิน!

เธอแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ดีที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปที่ประตูใหญ่

ในคืนนั้น หลังจากที่เฉียวเฟิงลังเลมาสักพักก็ไปพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อฉัน ฉันต้องกลับไปที่ตระกูลเฉียว เธอจะกลับไปกับฉันไหม?”

กลับตระกูลเฉียว?ไป๋มู่ชิงลังเลแล้ว

เธอรู้ว่าคุณนายเฉียวไม่ได้ชอบเฉียวเฟิง และยิ่งไม่ชอบเธอ สองปีมานี้เธอพึ่งได้เจอคุณนายเฉียวแค่ครั้งเดียวเอง ยิ่งกว่านั้นเป็นหนึ่งครั้งที่เจอกันแบบไม่ค่อยมีความสุขเลย

“ถ้าเธอไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ ฉันกลับไปเองคนเดียวได้”เฉียวเฟิงพูดอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณนายเฉียวขอร้องให้ไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงกลับไป เขาก็ไม่อยากให้พวกเธอสองแม่ลูกกลับไปเพราะยังไงคุณนายเฉียวก็เคยเจอไป๋มู่ชิงแล้ว

“ไม่ ฉันคงไม่กลับไปกับคุณแล้วล่ะ”ไป๋มู่ชิงพูด

“เธอไม่กลัวคุณนายเฉียวลำบากใจเธอเหรอ?”

“จะทำให้ฉันลำบากใจไหมก็เป็นเรื่องของอาหารกลางวันมื้อเดียว ไม่เป็นไรหรอก”ไป๋มู่ชิงยิ้มและพูดว่า“แต่คุณควรรู้ว่าฉันนั้นมีความอดทนมาก”

“เอาล่ะ แต่เธอก็ต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรคุณนายเฉียวพูดอะไรไปเธอไม่ต้องไปสนใจนะและยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องราวในอดีตล่ะ”

“ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะไม่ไปสนใจเธอ”

ทานอาหารของเช้าวันที่สองแล้ว เฉียวเฟิงพาไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงกลับไปที่ตระกูลเฉียวแล้ว

คุณนายเฉียวทำสีหน้าไม่ดีตามคาด ทักทายกับเฉียวเฟิงไปแค่ตามมารยาทเท่านั้น และยังแทบจะไม่มองไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงอีกด้วย

ไป๋มู่ชิงเตรียมใจมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเลยไม่ได้ไปสนใจอะไรเธอมาก ยังกว่านั้นยังดันเสียวหว่านชิงไปอยู่ที่หน้าของคุณนายเฉียวและพูดว่า“หว่านชิง นี่คือคุณย่านะ รีบเรียกคุณย่าเร็ว”

“คุณย่า”เสียวหว่านชิงเรียกออกไปอย่างน่าเอ็นดู

คุณนายเฉียวกลับมองเธอไปอย่างเย็นชา พูดว่า“ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าย่าหรอก”

“ทำไมกันละคะ?คุณย่าไม่ชอบหว่านชิงเหรอคะ?”เสียวหว่านชิงถามออกไปด้วยความสงสัยเพราะคุณปู่คุณย่าของเด็กคนอื่นรักพวกเธอมาก

“หว่านชิง คุณย่าไม่ได้ไม่ชอบหนูแต่คุณย่าแค่อารมณ์ไม่ดีเฉยๆ ป่ะเด็กดี พวกเราเข้าไปกันเถอะ”ไป๋มู่ชิงยิ้มออกและลูบหัวเธอ จูงมือเธอเข้าไปในห้อง

หลังจากที่พ่อบ้านพาพวกเขาทั้งสามไปไหว้คุณปู่แล้ว เฉียวเฟิงให้ไป๋มู่ชิงพาเสียวหว่านชิงไปดูทีวีที่ห้องชั้นสอง แล้วตัวเองก็มาที่ห้องรับแขกของชั้นหนึ่ง

คุณนายเฉียวเห็นเขาเข้ามา ได้แต่มองไปอย่างเย็นชา ไม่ได้สนใจเขาเลยและยังดูทีวีต่อไป

เฉียวเฟิงเดินไปที่โซฟา มองไปที่คุณนายเฉียวพูดว่า“แม่ หลินเป็นภรรยาของผม หว่านชิงก็เป็นลูกสาวผม ขอร้องให้แม่ดีกับพวกเขาสองแม่ลูกหน่อยได้ไหม?”พูดขอร้อง แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเย็นชามาก

คุณนายเฉียวกลับไม่พอใจ กลับหันหน้ามาจ้องเขา“เฉียวเฟิง ถึงแม้ว่าลูกจะยอมเรียกแม่ว่าแม่ แต่แม่ก็ยังต้องรับผิดชอบชีวิตลูก ลูกมีคนที่ลูกชอบได้นะ แต่ว่าพอมองดุผู้หญิงคนนี้ที่ชื่ออีหลินนั้นไม่ควรค่าแก่การที่ลูกจะไปชอบเลย ไหนจะลูกของเธอหน้าตาไม่เห็นเหมือนกับลูกเหรอ?อย่างนั้นในท้ายที่แล้วแน่ใจแล้วเหรอว่าเธอเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลูก?แม่บอกตั้งกี่รอบแล้ว ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานกับลูกก็เพราะเงิน ไม่อย่างนั้นผู้ชายบนโลกเยอะมากมายขนาดนี้ทำไมจะต้องมาแต่งงานกับคนพิการด้วย?”

“ผมรู้ดีว่าหลินไม่เหมาะสมกับผม หว่านชิงใช่หรือไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆผมก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”

“เฉียวเฟิง อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่าลูกกำลังเบี่ยงเบนความสนใจอยู่ ลูกก็แค่อยากจะหลอกใช้หว่านชิงเพื่อแบ่งหุ้นของตระกูลเฉียวเท่านั้น แม่เคยบอกลูกแล้ว……”

“คุณนายเฉียว!”เฉียวเฟิงพูดแทรกออกมาอย่างไร้เยื่อใย ในแววตานั้นคือ“ได้โปรดอย่าเอาหัวใจดวงน้อยไปเปรียบเทียบกับทุกคน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความคิดที่ไม่ดีแบบแม่ ผมพูดไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่ายังไงผมกับหว่านชิงก็จะไม่เอาหุ้นของตระกูลเฉียวแม้แต่นิดเดียว แม่สบายใจได้เลย”

“ตอนนั้นแม่ทำกับผมกับแม่ผมอย่างไร ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แต่ยังไงแม่ก็คงไม่รู้ว่าผมให้อภัยแม่อย่างไร ตอนนี้เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ผมไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้แล้ว ตอนนี้ผมอยากขอเพียงแค่อย่างเดียวว่าขอให้แม่ดีกับภรยาและลูกสาวผมหน่อย ผมทนได้นะที่แม่จะรักแกผม แต่ยังไงผมไม่ยอมให้แม่ไปรังแกพวกเขาทั้งสองคนหรอก!”

คุณนายเฉียวจ้องไปที่เฉียวเฟิงด้วยสีหน้าที่งงงวย ราวกับว่าตัวเองพึ่งรู้จักกัน

เฉียวเฟิงก็ไม่เคยพูดออกไปแรงขนาดนี้กับเธอ จำได้ว่าครั้งแรกหลังจากที่เธอรู้ว่าเขาพิการนั้น ก็รู้สึกหวั่นไหวเลยรื้อของในท้องมาทำให้แตกและซากตกอยู่เต็มเท่า จากนั้นหันหน้าไปร้องไห้ หลังจากนั้นกลัวว่าเขาจะโวยวายไหมและไม่เคยทะเลาะกัน

ตอนนั้นเธอยังก็งงไปเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้นและไม่รู้ว่าสรุปแล้วเรื่องนั้นมันกี่นาทีวะ แท้ที่จริงแล้ว……”

ตอนนั้นเธอยังก็งงไปเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้นและไม่รู้ว่าสรุปแล้วเรื่องนั้นมันกี่นาทีวะ แท้ที่จริงแล้ว……”

ไป๋มู่ชิงที่แอบฟังอยู่ที่ชั้นสองนั้น ในที่สุดก็เห็นทั้งสองแม่ลูกต่างคนต่างไม่ยอมกันเลยรีบเดินลงไป เดินไปอยู่ข้างหน้าของเฉียวเฟิงและไปจับมือพูดว่า“เฟิง คุณอย่าโกรธเลย คุณแม่ไม่ได้รังแกฉันกับหว่านชิง คุณดูพวกเราก็มีชีวิตที่มีความสุขไม่ใช่เหรอ?”

คุณนายเฉียวมองไป๋มู่ชิงด้วยสายตาที่เย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง อยากจะพูดออกไปมากว่าอย่ามาทำเป็นอ่อนโยนอยู่ที่นี่ แต่ว่าพอจะพูดก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป

ในใจคิดว่าอย่างไรพวกเขาสามคนไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทะเลาะอะไรกันขนาดนั้น

เฉียวเฟิงพลิกมือไปจับมือของไป๋มู่ชิงและถามเธอด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนว่า“หว่านชิงล่ะ?”

“หว่านชิงเล่นอยู่ที่ห้องของคุณลุง”

ในเวลานั้น ก็มีคนใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับคุณนายเฉียวว่า“คุณนาย คุณชายใหญ่ คุณย่ากลับมาแล้ว”

“จริงเหรอ?เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”คุณนายเฉียวได้ยินว่าซูซี่กลับมาแล้ว ในที่สุดเธอก็ยิ้มออก

ไม่นาน ซูซี่ก็เดินเข้าไป เธอกวาดสายตาไปรอบๆ เดินไปเข้าไปใกล้คุณนายเฉียวและทักทายกันอย่างสนิทสนม คุณนายเฉียวพูดยิ้มออกไปด้วยความโมโหว่า“เธอออกไปแต่ข้างนอกนะหลายๆปีที่ผ่านมานี้ ยังรู้ว่ามีบ้านหลังนี้อยู่ใช่ไหม?”

“แม่ บ้านหลังนี้แม่ก็ดูแลอยู่ แม่ก็ให้หนูออกไปเที่ยวเล่นสองสามปีก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”ซูซี่กับคุณนายเฉียวคุยหัวเราะกันไปสองสามประโยค มองไปทางเฉียวเฟิงกับไป๋มู่ชิง หลังจากนั้นยิ้มให้เฉียวเฟิง“อาเฟิง ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ”

“พี่สะใภ้”เฉียวเฟิงตะโกนออกไปและยังพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“หลิน นี่คือพี่สะใภ้นะ”

“พี่สะใภ้”ไป๋มู่ชิงพูดออกไปอย่างมีมารยาท ซูซี่ก็หันไปมองเธอ ทั้งสองคนสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย

ซูซี่มองไปที่ไป๋มู่ชิง ผ่านไปสักครู่ถึงจะพูดว่า“สวัสดีค่ะ ได้ยินเรื่องเธอมาเยอะเลยจากเฉียวเฟิง ไหนจะลูกสาวเธออีก เธอชื่อะไรนะ……”

ซูซี่คิดคิดยังไงก็คิดไม่ออก ไป๋มู่ชิงเลยตอบไปว่า“หว่านชิง”

“ใช่ หว่านชิง แล้วหว่านชิงล่ะ?เธอกลับมากลับพวกเธอด้วยไหม?”

“คุณป้า หนูอยู่นี่ค่ะ”ทันใดนั้นที่บันไดวนก็มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นมา

ทุกคนหันหน้าไปมองที่ชั้นสอง เห็นเฉียวซือเหิงจูงมือหว่านชิงเดินลงมาจากชั้นสอง

ซูซี่ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปหาทั้งสองคน หลังจากนั้นไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเสียวหว่านชิง มองเธอพูดว่า“หว่านชิงใช่ไหม น่ารักน่าชัง เหมือกับคุณแม่ของหนูมาก”

“ขอบคุณค่ะ คุณป้าก็สวยเหมือนกัน”เสียวหว่านชิงพูดชื่นชม คุณป้าพึ่งจะพูดจบ เวลาที่เจอคุณป้าต้องมีมารยาท ต้องชมด้วย

“เจ้าเด็กนี่พูดเก่งจริงๆเลยนะ ใครสอนมาเนี่ย”ซูซี่ไปขยี้ๆหัวเธอ

“คุณลุงสอนมาค่ะ”เสียวหว่านชิงพูด

ซูซี่กลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเฉียวซือเหิงและลุกขึ้นมาจากพื้น จูงมือเสียวหว่านชิงพูดว่า“ไปกันเถอะ คุณลุงจะเอาของขวัญให้หนู”

“เฮ้อ……”เฉียวซือเหิงเลยกำหมัดไปปิดปากไอไปสองครั้ง

น่าเสียดายที่เธอก็ยังไม่มองไปที่เขาเลยแม้แต่หางตา จูงมือเสียวหว่านชิงเดินขึ้นไป

เฉียวซือเหิงโมโหแล้วหันตัวเดินตามขึ้นไปที่ชั้นสอง

ตอนอยู่ที่มุมโค้งของระเบียง เขาก็จับแขนของซูซี่ดึงเข้ามาในอ้อมแขน ร่ายกายแนบชิดกับเธอ“ไปก็ตั้งหนึ่งปีแล้ว กลับมาไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเลยเหรอ เธอคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร?”

ซูซี่ก็ดิ้นไปมาเพราะเขากอดเธอเอาไว้แน่น หันกลับมามองเขาและหัวเราะเยาะ“ไม่รู้สึกตัวเหรอ?ฉันมองคุณเป็นอากาศ”

“อากาศ?ซูซี่จะเตือนเธอนะ เธอจะขาดอะไรก็ขาดได้แต่จะขาดอากาศแบบฉันไม่ได้ ทางที่ดีเธอระวังตัวไว้เถอะ ถ้าครั้งนี้ยังกล้าจะหนีอีก……”

“พรุ่งนี้บินแปดโมงเช้า ไม่ต้องไปส่งนะ”

“งั้นก็ดูว่าพรุ่งนี้แปดโมงจะตื่นมาไหม!”เฉียวซือเหิงก้มหน้าไปด้วยความโมโห จูบไปที่ริมฝีปากของเธอ เดินผลักเฮไปชิดกับกำแพง

จูบที่ร้อนแรงแต่กลับไร้ความรู้สึกของเขา นำพามาให้ถึงความรู้สึกของความพยาบาท แน่นอนว่า……เป็นความคิดถึง

ซูซี่ถูกเขาผลักไปชิดกำแพงจนขยับไม่ได้ เป็นความสัมพันธ์ที่คุ้นเคยแต่ก็ยังมีความรู้สึกห่างไกลอยู่ เพราะไม่ได้เจอกันมานานมากจริงๆ เจอกกันครั้งที่แล้วแล้วก็มีวันนี้เมื่อปีที่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือเธอเกือบจะลืมกลิ่นอายของเขาไปแล้ว ลมหายใจเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรแต่ว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัสเธอรู้สึกขัดแย้งอยู่เล็กน้อย

ครั้งนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขาไล่ตาม เธอกลับหนีห่าง นี่มันสงครามประสาทชัดๆ

“นี่……”เสียวหว่านชิงใช้มือไปปิดตาทั้งสองข้างของเธอ พูดออกมาว่า“คุณลุงกับคุณป้าจู๋จี๋กัน……”

“ได้ยินไหมว่ามันไม่เหมาะที่เด็กมาเห็น!”ซูซี่ยกขาขึ้นมาเตะไปที่เป้าของเขา

“เฮ้อ……”เฉียวซือเหิงสูดหายใจเข้า ร่างกายถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ มือทั้งสองไปปิดอยู่ที่คิ้วของเธอ“เธอหาเรื่องเหรอ?”

“เพื่อให้ฉันไปขึ้นเครื่องบินทันเวลา”ซูซี่ก็ดึงเสียวหว่าชิงหันกลับเข้าไปที่ห้อง

หลังจากที่ทานข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ซูซี่ไปดื่มชาที่ห้องรับแขกเป็นเพื่อนคุณนายเฉียวและหลังจากนั้นก็ขึ้นไปข้างบน

เธอไม่ได้กลับห้องของเธอโดยตรง แต่ว่ามาที่หน้าประตูห้องของเฉียวเฟิง หลังจากที่ยกมือขึ้นไปเคาะประตูก็ผลักประตูเข้าไป

ในห้องมีแค่ไป๋มู่ชิงที่อยู่ในนั้น เห็นซูซี่เดินเข้ามา เธอก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้บนดาดฟ้าทันทีและพูดว่า“พี่สะใภ้”

ซูซี่ก็หัวเราออกมา มองไปรอบๆทั้งสี่ด้าน“อาเฟิงกับหว่านชิงล่ะ?”

“พี่ใหญ่เรียกให้เขาไปหาที่ห้องหนังสือ หว่านชิงก็อยากตามไปด้วยเหมือนกัน”ไป๋มู่ชิงชี้ไปที่ที่นั่งข้างๆ“พี่สะใภ้นั่งลงสิคะ”

สองปีที่ผ่านมานี้ไป๋มู่ชิงไม่เคยได้เจอกับซูซี่เลย แค่เคยได้ยินจากที่เฉียวเฟิงพูดให้เธอฟัง รู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับคุณชายใหญ่เฉียวไม่ดีเลยสองปีที่ผ่านมานี้ก็อยู่ที่ต่างประเทศ เดิมทีคิดว่าจะอยู่ด้วยกันลำบาก พอวันนี้ได้เจอก็ได้รู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด เห็นได้ชัดว่าก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลย

ซูซี่มองไปที่เธอ มองไปครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมาว่า“พวกเราน่าจะไม่เคยเจอกันใช่ไหม?”

“ไม่เคยค่ะ”ไป๋มู่ชิงสะบัดหัว

“เท่าที่ฉันจำได้ก็คือไม่เคย แต่ว่าทำไมตอนแรกที่ฉันเห็นเธอกลับรู้สึกว่าคุ้นหน้าล่ะ?”ในขณะที่ซูซี่พูดออกมาแบบนี้ สายตาเธอก็มองสำรวจไปมาที่เธอ

ไป๋มู่ชิงหัวเราะ“ฉันพูดจริงๆนะ ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน”

“แปลกมากเลยนะ”ซูซี่พูดออกไปอย่างสองจิตสองใจ

ความรู้สึกนี้เธอรู้สึกมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ดังนั้นเธอเลยมาหาไป๋มู่ชิงที่ห้องว่าสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร

“บางทีพวกเราอาจจะเจอเจอกันที่ต่างประเทศก็ได้นะ”ไป๋มู่ชิงพูด เธอก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เธออยู่กับเฉียวเฟิงมานานขนาดนี้แล้ว ได้เจอกับพี่สะใภ้ก็ไม่ได้แปลกอะไร

แต่ว่าซูซี่กลับไม่คิดแบบนี้ เฉียวเฟิงก็ไม่เคยบอกคนในบ้านเลยว่าเขามีภรรยาและลูกสาวแล้วตอนที่อยู่ต่างประเทศ แม้แต่ขนาดเฉียวซือเหิงก็ไม่บอก จนกระทั่งช่วงนี้เฉียวเฟิงพาไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงกลับมา เธอถึงจะได้ยินคุณนายเฉียวพูดเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็ทำเอาเธอตกอกตกใจไปเลย

เธอคิดมาโดยตลอดว่าเฉียวเฟิงโสดอยู่ ในตอนแรกเกือบจะขยี้เขากับไป๋มู่ชิงแล้ว

คิดถึงไป๋มู่ชิง ทันใดนั้นซูซี่ก็ตบโต๊ะ“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีความรู้สึกนี้ เธอหน้าตาเหมือนกับน้องของฉันอยู่คนหนึ่ง”

“จริงเหรอคะ?เหมือนกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“รูปร่าง ลักษณะท่าทาง ท่าทางการพูด……แม้แต่ขนาดนิสัยก็ยังเหมือนกันมาก”ซูซี่ก็ยืนตรง ตอนที่กำลังจะพูดนั้น ทีประตูก็มีเสียงของเฉียวเฟิงดังขึ้นมาว่า“พี่สะใภ้”

ซูซี่ก็ไม่ได้พูดออกไปและหันกลับมา

“พี่สะใภ้ พวกเรากำลังจะเตรียมตัวกลับกันแล้ว”เฉียวเฟิงมองไป๋มู่ชิงในตาเต็มไปด้วยความกังวล

“ใช่สิ พวกเราเตรียมตัวจะกลับกันแล้ว ไว้ว่างๆค่อยมาคุยกัน”ไป๋มู่ชิงก็ลุกจากเก้าอี้ตามขึ้นมาและเดินไปที่ข้างๆเฉียวเฟิง

เฉียวเฟิงพยกหน้า“งั้นก็ดี พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”

หลังจากที่ลาคุณนายเฉียวแล้วนั้น ทั้งสามคนก็ออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลเฉียว

ขับรถออกไปจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ไป๋มู่ชิงถามว่า“ไม่ใช่ว่าจะกลับไปตอนบ่ายหรอกเหรอ?ทำไมถึงรีบไปขนาดนี้?”

เฉียวเฟิงหัวเราะออกมา“ไม่ได้มาอยู่ที่นี่นานแล้ว ไม่ค่อยชินน่ะ คิดดูแล้วว่ารีบพาหว่านชิงกลับไปงีบตอนบ่ายดีกว่า”

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูซี่กลับมา ถ้าหากว่ารู้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จำไม่พาไป๋มู่ชิงกลับมาที่ตระกูลเฉียวหรอก เมื่อครู่นี้เห็นพวกเขาทั้งสองคนคิดไม่ถึงเลยว่าจะคุยกัน ในใจของเขากระวนกระวายมากจนต้องพูดออกมากว่าจะกลับแล้ว

“พี่สะใภ้คุยอะไรกันกับเธอ?”

“เธอพูดว่าฉันเหมือนกับน้องคนหนึ่งของเธอ”ไป๋มู่ชิงพูด

เฉียวเฟิงรู้สึกหนักอึ้งและรีบถามว่า“ถ้าอย่างนั้นเธอได้คุยเรื่องที่สูญเสียความทรงจำกับเธอไหม?”

ไป๋มู่ชิงสะบัดหัวและไปกุมมือเธอไว้“ก็คุณเคยบอฉันว่าไม่สามารถไปพูดเรื่องนี้กับคนอื่นไปเรื่อยไม่ใช่เหรอ?ดังนั้นแน่นอนว่าฉันจะไม่คุย

“อืม”เฉียวเฟิงพยังหน้าไปด้วยความโล่งใจ จ้องเธอว่า“เป็นเพราะว่าฉันไม่อยากให้คนอื่นมองคุณแปลกไป”

“ฉันรู้”ไป๋มู่ชิงกอดแขนของเขาไว้ หัวของเธอพิงอยู่ที่ไหล่ของเขาทำสีหน้าทั้งรู้สึกขอบคุณและทรายซึ้ง“อาเฟิง จริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องปกป้องอะไรฉันขนาดนี้หรอก ฉันไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่คุณคิดขนาดนั้นหรอกนะ โดยเฉพาะไม่ควรมาเป็นไม่กันหมาให้ฮันกับคุณนายเฉียว จริงๆนะ ฉันไม่สนใจเลยว่าเธอจะทำอะไรกับฉัน ฉันขอแค่คุณกับเสียวหว่านชิงชอบฉัน ดีกับฉันก็เพียงพอแล้ว”

“วางใจเถอะ ยังไงฉันกับเสียงหว่านชิงก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเธอที่สุดแล้ว”เฉียวเฟิงก้มหน้าไปมองเสียวหว่าชิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาสักครู่

“สรุปแล้ว ก็ถือว่าคนทั้งโลกก็ล้วนไม่ชอบฉัน แต่ฉันก็ยังมีความสุขมากเลยนะ”ไป๋มู่ชิงอมยิ้มและพิงไปที่ตัวของเขา

จูจูสมหวังแล้วที่ได้ไปเมืองหยานกับหนานกงเฉิน วันแรกก็ไม่ได้มีงานสำคัญอะไร หนานกงเฉินไปเยี่ยมที่สุสานของคุณยายเป็นเพื่อนจูจู

หลังจากที่ไปโค้งคำนับคุณยายจู หนานกงเฉินก็ไปยืนอยู่ข้างๆ

จูจูนั่งอยู่ข้างหน้าป้ายหลุมฝังศพและคุยกับคุณยายจู คุยกับก็ล้วนเป็นเรื่องตอนเด็กๆ สุดท้ายแล้ว เธอเลิกไม่ได้ที่จะไปลูบที่ป้ายหลุมฝังศพของคุณยายจูและพูดว่า“คุณยาย ครั้งหน้าหนูค่อยมาคุยเป็นเพื่อนกับยายใหม่นะคะ อยู่ข้างล่างนั่นก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆนะคะ หนูรู้ว่าคุณยายไม่ไว้ใจหนู ตอนนี้ก้คงเห็นไปหมดแล้ว หนุแต่งงานกับเฉินแล้ว ความปรารถนาอันสูงสุดของชีวิตนี้ของหนูก็สมหวังแล้ว ดังนั้นยายวางใจเถอะนะคะ หลังจากนี้หนูจะต้องใช้ชีวิตอย่างดีแน่ๆ”

เธอก้มหัวสูดจมูกเข้าไป หลังจากนั้นลุกขึ้นมาจากบนพื้น พูดกับหนานกงเฉินว่า“เฉิน พวกเราไปกันเถอะ”

หนานกงเฉินพยักหน้าและเดินออกไปจากสุสาน

ระหว่างทางที่กำลังกลับโรงแรมนั้นจูจูรู้สึกหนักอึ้งไม่พูดไม่จา ทำหน้าสลดใจ

ประมาณว่าพึ่งโดนเธอกระตุ้นเรื่องราวตอนเด็กๆ ถึงแม้หนานกงเฉินจะเจ็บปวดใจ พูดออกมาว่า“เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ อย่าคิดมากเลย”

จูจูเงยขึ้นมามองหน้าพูดด้วยหน้าตาที่หม่นหมองว่า“คุณรู้เรื่องของฉันกับคุณยายไหม ดังนั้นคุณก็ไม่เข้าใจอยู่แล้วสินะว่าฉันรู้สึกอย่างไร”

“คนเราถ้าตายไปแล้วเกิดใหม่ไม่ได้นะ แน่นอนว่าคนแก่ไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้”

“ฉันรู้”จูจูพยักหน้า

ตอนที่ขับรถผ่านเมืองเก่าทันใดนั้นจูจูก็พูดออกมาว่า“เฉิน ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม?”

หนานกงเฉินกวาดตาไปดูถนนเก่าที่นอกหน้าต่าง หลังจากที่ลังเลสักพักเขาก็พยักหน้า หลังจากนั้นก็ไปจอดรถไว้ที่ริมถนน

ทั้งถนนทั้งวิวยังคงเป็นเหมือนกับสามปีก่อน เพียงแค่วิวที่เหมือนเดิมแต่คนนั้นกลับเปลี่ยนไป หนานกงเฉินไม่เคยเห็นความร่าเริงแจ่มใสในปีนั้นอีกเลย บังคับให้เขาทานอาหารว่างที่รูปทรงสวยงาม ดูจูจูเบียดคนมากมายเข้าไปซื้อชานม ใจลอยเหมือนกับว่าเห็นไป๋มู่ชิงในปีนั้นที่เดินไปๆมาๆบนถนนเส้นนี้

จูจูซื้อชานมมาสองแก้ว ยื่นให้เขาหนึ่งแก้ว

หนานกงเฉินปฏิเสธ“ฉันไม่ชอบกินชานม”

“เฉิน คุณเป็นอะไร?ทำไมสีหน้าไม่ดีเลย”จูจูจ้องถามเขา

“อาจจะเพราะว่าเหนื่อยน่ะ”เขาพูดแบบนั้น เธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเหนื่อยจริงไหม แต่เพียงแค่รู้สึกว่ามันผิดปกติ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อเลยแม้แต่นิดเดียว

ได้ยินเขาพูดว่าเหนื่อย จูจูได้แต่ละทิ้งไว้ความคิดที่จะเดินช้อปปิ้งต่อ พูดว่า“งั้นพวกเรากลับโรงแรมไปพักผ่อนกันเถอะ”

หลังจากกลับถึงโรงแรมแล้วนั้น หนานกงเฉินก็นอนหลับไปอยู่ที่บนเตียงไปแล้ว นอนจนถึงกลางคืนถึงจะถูกปลุกด้วยเสียงของโทรศัพท์

หลังจากเขารับโทรศัพท์แล้วก็เริ่มไปเปลี่ยนชุด

จูจูที่กำลังกังวลอยู่ว่าจะปลุกเขาอย่างไรดีก็เห็นเขาตื่นขึ้นมา เลยรีบพูดว่า“เฉิน คุณตื่นแล้วเหรอ ร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม?”

“ดีขึ้นมากแล้ว”หนานกงเฉินเหลือบไปมองเวลาที่บนผนังก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว เลยพูดว่า“เธอทานข้าวแล้วหรือยัง?”

“ฉันกินแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้คุณทาน”จูจูพูดเสร็จก็กำลังจะเดินลงไปด้านล่าง

หนานกงเฉินพูดออกปากมาว่า“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยง ทุกคนรอฉันอยู่”

ระหว่างที่พูดนั้น เขาก็ทำอะไรเสร็จแล้วเรียบร้อย มองเธอพูดว่า“ฉันไปก่อนนะ ฉันให้เลขาเหยียนไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอแล้วนะ”

“เฉิน คุณจะกลับมาเมื่อไหร่คะ?”

“ยังไม่รู้เลย”

“กลับมาเร็วๆหน่อยได้ไหม?อยู่คนเดียวฉันกลัว”

หนานกงเฉินมองเธอ พูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า“สบายใจได้ ฉันจะให้เลขาเหยียนมาอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง

พอพูดจบ เขาก็เดินออกไปแล้ว

จูจูไม่ได้อยากเดินเล่นที่นี่และเธอยังไม่ได้รู้สึกสนใจวิวทิวทัศน์ของที่นี่ แต่เธอก็ไม่ได้เรียกให้ผู้ช่วยเหยียนมาอยู่เป็นเพื่อนตนเอง แต่อยู่ในห้องคนเดียวรอหนานกงเฉินกลับมา

พรุ่งนี้หนานกงเฉินมีงานต้องทำ ไม่น่าจะกลับมาดึกหรอก แต่ว่ารอจนถึงเที่ยงคืนหนานกงเฉินก็ยังไม่กลับมา เธอเริ่มทนไม่ไหวจนผล็อยหลับลงไปบนเตียง

ในใจที่รอคอยคืนที่งดงาม แต่กลับคว้าน้ำเหลว

ที่ชั้นล่าง หนานกงเฉินนั่งพิงอยู่ที่เบานั่งอยู่คนเดียว หลังจากมองเงาที่หน้าต่างชั้นสองไม่ขยับ ถึงจะเปิดประตูรถออกมาและเดินขึ้นไปชั้นบน

เขาก็เมาอยู่พอสมควร ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเลยที่จะแยกแยะไม่ออก

ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่ผิดพลาด จูจูเป็นภรรยาของเขา เขาควรใส่ใจคู่ครองของตัวเอง สานฝันของเธอ แต่ว่าทำไมเขาไม่ทำแบบนั้น เดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับเธอ ตั้งแต่เริ่มลงจากจาดเครื่องบินนั้นในหัวของเขาก็มีแต่ไป๋มู่ชิงคนเดียว ใช่หมดเลยทุกอย่าง!

จูจูเอาแต่เฝ้ารอคอยการเดินทางที่แสนวิเศษกับเขา น่าเสียดายที่เลือกมาผิดที่ยิ่งกว่านั้นนี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก

เขาค่อยๆปลดเน็กไทที่คอเขาให้หลวมขึ้น เดินเข้าห้องไปเงียบๆ เดินมาถึงเตียงของจูจูเขาก็จ้องเธอ

จูจูนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสบาย ไม่รู้สึกถึงคนข้างหน้าที่เธอรออยู่มาทั้งคืนเลย

หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบาๆและถอนหายใจออกมา“จู ขอโทษนะ พวกเราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ”

เขาคิดว่าตัวเองจะลืมได้แล้ว คิดว่าจะเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงคนอื่นได้แล้ว แต่ว่าวันนี้มาที่เมืองหยานแล้วถึงได้มารู้ตัวเองว่าตัวเองนั้นคิดผิด ยังไงก็ลืมไม่ได้ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน!

ความรู้สึกดีๆทั้งหมดที่เขาให้กับคุณหนูอีกล้วนเป็นความรู้สึกที่เขาคิดถึงไป๋มู่ชิง!

จูจูที่อยู่บนเตียงก็ส่งเสียงละเมอออกมาและพลิกตัวไปนอนต่อ

หนานกงเฉินยืนอยุ่ที่หน้าเตียงของเธอสักพักก็เดินออกไปจากห้องของเธอ เดินไปที่ห้องรับแขกที่อยู่ข้างๆ

ท่านประธานจางเห็นว่าไป๋มู่ชิงมารับลูกหลังจากเลิกงานติดต่อกันหลายวันแล้ว ตอนเที่ยงก็ไม่เคยออกไป ไม่เหมือนคนที่กำลังมีความรักเลยแม้แต่น้อย คิดอยู่ในใจเงียบๆว่าเธอกับหนานกงเฉินพัฒนากันไปถึงขั้นไหนแล้ว ยังไม่สำเร็จอีกเหรอ?

เขานั่งหมุนไปมาอยู่บนเก้าอี้หนัง หลังจากนั้นหยิบโทรศัพท์พี่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมารวบรวมความกล้าแล้วโทรหาเลขาเหยียน

หลังจากโทรติดแล้ว เขาก็รีบยิ้มแล้วพุดออกไปว่า“เลขาเหยียน อรุณสวัสดิ์”

“สวัสดีท่านประธานจาง มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”เลขาเหยียนเงียบและเคร่งขรึมเหมือนกับทุกครั้ง

“เรื่องเป็นแบบนี้ พอดีฉันพึ่งคิดได้ว่าคุณชายเฉินให้ของนำโชคกับพวกเรามา ฉันยังไม่ได้ไม่ได้เชิญท่านกับคุณชายเฉินทานข้าวด้วยกันดีๆเลย ท่านสามารถช่วยจัดการให้หน่อยได้ไหม?”

“ท่านประทานจาง เรื่องราวแบบนี้ปกติแล้วเลขาต้องเป็นคนจัดการ”

“อ้อ……เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นได้ งั้นไม่รับกวนท่านเลขาเหยียนแล้ว”ท่านประธานจางกำลังจะวางสาย ทันใดนั้นผู้ช่วยเหยียนกลับพูดออกมาว่า“ช่างมันเถอะ”

“อะไรกัน?”ท่านประธานจางไม่เข้าใจ

“เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเองค่ะ วันนี้คุณชายเฉินว่างพอดีเลย”

“จริงเหรอ?ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย”ท่านประธานจางพูดออกมาอย่างตื่นเต้น และยังรีบถามอีกว่า“กวานจิงวิลล่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“คุณชายเฉินของพวกเราไม่ทานอาหารป่าค่ะ ไม่ทานอาหารที่ดิบ เย็นและยังไม่ทานอาหารที่ทอดหรือย่าง”เลขาเหยียนพูด

“ที่นั่นไม่ได้มีแต่อาหารป่าอาหารอย่างอื่นก็มี ยิ่งกว่านั้นวิวก็ดีมากๆอีกด้วย”

“งั้นได้ค่ะ เจอกันตอนเย็นค่ะท่านประธานจาง”

“ได้เลย เจอกันตอนเย็น”ท่านประมานจางวางสายไปอย่างดีอกดีใจ

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไปแล้วเลขาเหยียนเงยหน้าขึ้นไปมองหนานกงเฉินและพูดว่า“เรื่องของนำโชคท่านประธานจางนัดท่านไปทานอาหารที่กวานจิง ท่านจะไปใช่ไหม”

“เธอช่วยฉันจัดแจงไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”หนานกเฉินพูดออกไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นไปมองเลย

“คุณชายเฉินถ้าไม่อยากไปสามารถให้ผู้ช่วยหวงไปแทนได้นะคะ”

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นไปมองเธอ“เหมือนเธอแน่ใจมากว่าฉันจะไปตามนัด?”

เลขาเหยียนหัวเราะเยาะ“ในใจเล็กๆน้อยๆของท่านประธานจางใครจะดุไม่ออกกัน?คืนนี้คุณหนูอีต้องไปแน่ๆ”

“ท่านประธานจาง……”หนานกงฉินยิ้มสะแยะ“ถ้าหากมีวันไหนฉันรักคุณหนูอีเข้าแล้วจริงๆ ฉันจะให้เขารับผิดชอบ”

“คุณชายเฉิน หรือว่าพวกเราอย่าไปนัดครั้งนี้เลย”เลขาเหยียนพูดออกมาอย่างลังเล

“ไม่ล่ะ ฉันจะไป”หนานกงเฉินตอบออกไปอย่างเย็นชา

“คุณชายเฉิน ถ้าหากคุณหนูอีอยู่กับท่านประธานจางล่ะ อย่างนั้นจะทำอย่างไร……”

“ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหรอกเหรอ?”หนานกงเฉินขมวดคิ้วถามย้อนกลับไป

ถ้าหากเธอร่วมมือกับท่านประธานจางเพื่อมายึดบริษัทหนานกงกรุ๊ป ใช้เสน่ห์ของผู้หญิงมาล่อลวงเขา ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่เหมือนกับไป๋มู่ชิง เขาก็ยังสามารถยอมแพ้ได้ สามารถละทิ้งความรู้สึกนี้ที่รู้อยู่แก่ใจถึงแม้จะกลับไปไม่ได้แล้ว

หลังจากที่ท่านประธานคุยโทรศัพท์เสร็จนั้นก็รีบลุกออกไปจากห้องทำงานทันที ไปพูดที่หน้าไป๋มู่ชิงว่า“เสี่ยวอี เธอโทรไปบอกคนที่บ้านสักหน่อยเถอะว่าตอนเย็นจะต้องไปทานข้าวกับเลขาเหยียนเป็นเพื่อนฉัน”

ไป๋มู่ชิงตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง จ้องเขาพูดว่า“ที่งานเลี้ยงไม่ใช่ว่าคุณไปกับเสี่ยวเหมิงหรอกเหรอ?ทำไมต้องเอาฉันไปด้วย?”

“เฮือก……เลขาเหยียนเธอพูดแล้วว่าไม่ได้เจอมาหลายวันแล้ว อยากเจอกันหน่อย”ท่านประธานพูด

ไป๋มู่ชิงคิดแล้วคิดอีกและถามว่า“ถ้าอย่างนั้นคุณชายเฉินไหม?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท