เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 206 ทะเลาะกัน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ขณะที่ทานอาหารเช้า จู่ๆ คุณผู้หญิงก็ถามขึ้น “เฉินไปทำงานนอกสถานที่หลายวันแล้ว จะกลับมาเมื่อไร? ”

คำพูดนี้เธอถามเซิ่งเคอ เพราะมีแค่เซิ่งเคอเท่านั้นที่อยู่บริษัททุกวัน

เซิ่งเคอเงยหน้าขึ้นมา มองคุณผู้หญิงแล้วพูดขึ้น “พี่ไม่ได้ไปทำงานนอกสถานที่นะครับ”

“ไม่ได้ไปเหรอ? แล้วช่วงไม่กี่วันนี้เขาไปไหน? ” คุณผู้หญิงวางตะเกียบลงบนโต๊ะ พูดอย่างไม่พอใจ “เขาจะทำอะไร? ยาก็ไม่กลับมากิน ครอบครัวก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม? ”

ขณะที่เธอพูดก็หันไปหาจูจู พบว่าหน้าจูจูน้ำตาไหลออกมาสองข้างอย่างน้อยใจตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ จึงมองสังเกตเธอแล้วถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น? ทะเลาะกับเฉินเหรอ? ”

จูจูส่ายหน้า พูดสะอึกสะอื้น “คุณย่า ช่วงนี้เฉินอยู่กับเลขาเหยียน เดาว่ากลับไปอยู่บ้านเลขาเหยียน เฉินไม่รับโทรศัพท์ฉัน และไม่บอกที่อยู่เขากับฉัน ฉันก็ไม่ได้เจอเขามาสามวันแล้วค่ะ”

“เขากลับไปบ้านเลขาเหยียน? หมายความว่าไง? นี่ต้องการอยู่กับเลขาเหยียนเหรอ? ”

“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” จูจูรับทิชชูที่ผู่เหลียนเหยาส่งมาให้เช็ดน้ำตาบนใบหน้า “เมื่อคืนตอนฉันโทรหาเลขาเหยียน เธอวางสายฉันอย่างไม่เกรงใจ ถ้าเฉินไม่เอาใจเธอ เธอจะกล้าไม่สนใจฉันแบบนี้เหรอคะ? ”

คุณผู้หญิงคิดแล้วพูดขึ้น “เลขาเหยียนไม่ใช่คนไม่มีน้ำหนักแบบนั้นหรอก”

เท่าที่เธอรู้ เลขาเหยียนเป็นผู้หญิงที่ทุ่มเทกับงานมาตลอด สุภาพมีมารยาทกับผู้อื่น ไม่อย่างนั้นหนานกงเฉินคงไม่ใช้เธอเป็นเวลานานขนาดนั้น

ผู่เหลียนเหยากระแอมไอเบาๆ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณย่า คุณย่าดูสิเลขาเหยียนหน้าตาสวยขนาดนั้น แถมยังเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่แต่งงานมีลูก คุณย่าว่าเป็นเพราะอะไรคะ ไม่ใช่เพื่อรอวันนี้เหรอ? ”

“ผู้หญิงแกร่งในตอนนี้ก็เป็นแบบนี้หมดไม่ใช่เหรอ? คนฮ่องกงหลายคนก็ไม่แต่งงานตลอดชีวิตนะ” เซิ่งซินพูด

“แต่เลขาเหยียนไม่ใช่คนฮ่องกงนะ”

“งั้นก็ไม่รู้แล้ว” เซิ่งซินยิ้ม

“ฉันว่าพวกผู้หญิงอย่างพวกเธอเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ทั้งวันทั้งคืนเลย เธอไม่แต่งงานเพราะคิดอะไรกับพี่เนี่ยนะ? จิตใจแย่มาก” เซิ่งเคอพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างไม่ใส่ใจ

“ต้องโทษนาย บอกให้ช่วยดูพี่ให้หน่อยก็ดูไว้ไม่ได้” ผู่เหลียนเหยายื่นมือมาจิ้มศีรษะเขาหนึ่งที

เซิ่งเคอไม่พอใจ “พวกคุณก็ไม่ใช่ไม่รู้นิสัยพี่ แม้แต่พี่สะใภ้ก็ดูเขาไม่ได้ ฉันจะไปดูได้ยังไงล่ะ ใช่ไหมครับคุณย่า” ขณะที่พูดเขาหันไปทางคุณผู้หญิง

คุณผู้หญิงเหลือบมองทุกคน แล้วมองจูจูที่กำลังร้องไห้อีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร

จูจูเห็นเธอไม่แสดงความคิดเห็น จึงสะอึกสะอื้นอย่างเสียใจมากขึ้น “จะสามปีแล้ว เฉินไม่เพียงแต่ไม่ยกโทษให้ฉัน ถึงขนาดยอมยุ่งกับเลขาเหยียนกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมากกว่ามองฉันอีก ฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าเฉินทำแบบนี้กับฉันตลอดไป ฉันก็อาจจะตายได้เหมือนกัน”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตาย’ ในที่สุดคุณผู้หญิงก็ชะงักตะเกียบอีกครั้ง เบนสายตาขึ้นมองเธอ “เธอตายไม่ได้ ถ้าเธอตายแล้วเฉินจะทำยังไง? ”

“แต่คุณย่า……คุณไม่รู้สึกเหรอคะว่าช่วงนี้เฉินยิ่งทำเกินไปมากเลย? ”

“ไม่ใช่แค่เลขาเหยียนคนเดียวเหรอ? ก็แค่ไล่เธอออก ถึงขนาดสิ้นหวังเลยเหรอ? ”

“คุณย่าก็รู้ว่าฉันรักเฉินมากแค่ไหน ความรักคือความเห็นแก่ตัวไงคะ” จูจูทำหน้าน้อยใจและเพิ่มความไร้เดียงสา

“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว รีบกินข้าวเถอะ” คุณผู้หญิงคิด “เดี๋ยวฉันโทรหาเฉิน ให้คืนนี้เขาต้องกลับบ้านมาอยู่กับเธอ”

“ช่างเถอะค่ะ……” จูจูหยุดน้ำตา สูดจมูกแล้วพูดขึ้น “ถ้าเฉินรู้ต้องคิดว่าฉันกำลังหึงมั่วซั่วแน่ๆ จากนั้นก็ยิ่งเข้าใจผิดไปอีก”

“พี่สะใภ้ นี่พี่ไม่ได้หึงมั่วซั่วนะ มันเป็นเรื่องสมควรที่จะหึงในฐานะภรรยา พี่คงเข้าใจ” ผู่เหลียนเหยาหันไปหาคุณผู้หญิงด้วยรอยยิ้ม “ใช่ไหมคะคุณย่า? ”

เพื่อบรรเทาอารมณ์จูจู คุณผู้หญิงจึงพูดอย่างสบายๆ “อืม เธออยู่บ้านอย่างสบายใจเถอะ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง”

คุณผู้หญิงพูดจบ จากนั้นก็เสริมอีกประโยค “แต่เรื่องนี้เธออย่าไปเก็บมาใส่ใจนักเลย ผู้ชายน่ะ โดยเฉพาะผู้ชายที่รวยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรัก เกือบจะพอแล้วล่ะ”

จูจูตอบรับอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้พูดอะไรอีก

หลังจากพาไป๋มู่ชิงกลับมาที่คฤหาสน์หลังเล็ก หนานกงเฉินก็แทบไม่ได้ไปที่บริษัท หลังจากออกมาจากห้องไป๋มู่ชิงเขาก็เดินลงไปข้างล่าง แต่ยังคงไม่ได้ไปบริษัท

เมื่อครู่นี้การตอบสนองของไป๋มู่ชิงทำให้เขาปวดใจและผิดหวัง เขายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจเรื่องที่ตัวเองทำกับไป๋มู่ชิง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอทนต่อตัวเองมาก ไม่คิดว่าจะใช้วิธีนี้บังคับเธอ ไม่แปลกใจที่เธอยอมชนกำแพงตายมากกว่าจำนนต่อเขา

เขาสูดลมหายใจแผ่วเบา จัดการเสื้อผ้าบนร่างกายให้เรียบแล้ว แล้วหันตัวเดินออกจากห้องน้ำ

นอกประตูมีเสียงบทสนทนา จากนั้นเลขาเหยียนก็เดินลงมากับพี่หลิง

“คุณชายเฉิน คุณเหยียนมาแล้ว” พี่หลิงพูดกับหนานกงเฉิน จากนั้นก็หันไปเตรียมน้ำชา

เลขาเหยียนเดินมายืนนิ่งตรงหน้าหนานกงเฉิน มองสังเกตเขาที่ดูลำบากใจนิดหน่อยแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน คุณจะไม่ต้องการบริษัทแล้วเหรอ? ”

“บริษัทเป็นอะไร? ไม่ใช่ว่าดีมากเหรอ? ” หนานกงเฉินเดินไปนั่งโซฟา

เลขาเหยียนส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง จากนั้นก็เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายใหญ่ คุณจ่ายเงินเดือนให้ฉันหนึ่งเดือนเพื่อช่วยเรื่องงาน ช่วยเรื่องส่วนตัว เรื่องข่าวอื้อฉาวฉันก็ช่วย คุณว่านี่มันเหมาะสมไหม? ”

“เงินเดือนน้อยไปเหรอ? เธอไปหาฝ่ายการเงินเพื่อเพิ่มเงินสิ” หนานกงเฉินเหลือบมองเธอ

เลขาเหยียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าเงินเดือนฉันน้อยค่ะ แต่บางเรื่องฉันไม่สามารถช่วยคุณได้ตลอด”

“เรื่องอะไร? ”

“ช่วยคุณปกปิดเรื่องคุณหนูไป๋ ฉันว่านายหญิงน้อยเกลียดฉันเข้ากระดูกไปแล้ว”

“เธอเป็นคนที่ตัวตรงไม่หวั่นแม้เงาจะเฉเฉียงมาตลอดเหรอ? ” น้ำเสียงหนานกงเฉินยังคงขี้เกียจ

เลขาเหยียนพูดอย่างหมดหนทาง “แต่นายหญิงน้อยเอาจริงเอาจัง คุณชายเฉิน ฉันไม่ได้มาเพื่อบ่นอะไรคุณหรอก แค่อยากให้คุณสามารถจัดการเรื่องตรงหน้าอย่างเหมาะสม” เธอเหลือบมองขึ้นไปชั้นบน “คุณขังคุณหนูไป๋ไว้ที่นี่มันมีประโยชน์เหรอ? ฉันว่ามันไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรนะ แม้ว่าคุณจะกักขังเธอ แต่ก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันทั้งคืนนะ ทางด้านนายหญิงน้อยก็ต้องการการปลอบโยนเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินถึงจูจู หนานกงเฉินก็ขมวดคิ้ว เหลือบมองเธอ “จูจูให้เธอมาเหรอ? ”

“เปล่าค่ะ” เลขาเหยียนส่ายหน้า “ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากเจอเธอ แต่ยังไงเธอก็เป็นภรรยาคุณ โชคดีที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าช่วงนี้คุณอยู่กับฉัน ถ้าให้เธอรู้ว่าคุณอยู่กับคุณหนูไป๋ เธอคงไม่นั่งเฉยๆ เหมือนตอนนี้แน่ๆ ดังนั้น ถึงแม้จะเพื่อคุณหนูไป๋ คุณก็ควรเดินออกไปจากที่นี่ กลับไปคฤหาสน์หลังเก่าให้บ่อยๆ ”

คำพูดเลขาเหยียนเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น โทรศัพท์ในห้องนอนคุณผู้หญิงโทรมา

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มรับสาย ในโทรศัพท์มีเสียงตำหนิของคุณผู้หญิงดังขึ้นมาทันที ตำหนิที่เขาละเลยจูจูอย่างที่คิดไว้!

เขาเงยหน้ามองเลขาเหยียน คิดแล้วพูดขึ้น “คุณย่า ผมจะกลับไปตอนกลางคืน”

พูดจบ เขาก็วางสายไป

เลขาเหยียนมองเขา หนานกงเฉินยิ้มอย่างหมดหนทาง “ดูเหมือนไม่กลับไปคงจะไม่ได้สินะ”

“คุณชายเฉิน ฉันไม่เคยชอบการว่าคนหลับหลังหรอกนะคะ แต่คนอย่างคุณหนูจู……ฉันแค่อยากเตือนให้คุณระหวังหน่อย เธอในฐานะภรรยาของคุณ ถ้าคุณละเลยเธอมากเกินไปมันจะไม่ดีต่อคุณกับคุณหนูไป อย่าประเมินเธอต่ำเกินไป ยังไงเธอก็เป็นคนรักที่ถูกลิขิตของคุณ อีกอย่าง……ไม่ใช่ว่าทุกอย่างฉันจะช่วยคุณจัดการได้อย่างเหมาะสม อย่าพึ่งพาฉันมากเกินไป ไม่งั้นเมื่อฉันจากไป คุณจะพบว่ามันยากมากที่จะปรับตัวเข้ากับผู้ช่วยคนใหม่”

“ไป? ” หนานกงเฉินเหลือบมองเธอ “ไปไหน? ”

“ฉันบอกว่าถ้า ยังไงฉันก็ไม่สามารถอยู่บริษัทหนานกงกรุ๊ปได้ตลอดเวลา”

หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

เลขาเหยียนยืนขึ้นจากโซฟา “ฉันขึ้นไปดูคุณหนูไป๋นะคะ”

“ช่วยฉันปลอบเธอสักสองสามประโยคด้วย” หนานกงเฉินพูด

“แม้แต่คำคุณเธอยังไม่ฟัง เดาว่ายิ่งไม่อยากฟังฉันนะ” เลขาเหยียนพูด “แต่ฉันจะลองดูแล้วกัน”

เธอพูดจบ ก็หันตัวเดินขึ้นไปข้างบน

จริงๆ แล้วเลขาเหยียนไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรกับไป๋มู่ชิง แค่รู้สึกว่าในเมื่อมาแล้ว ขึ้นไปดูเธอหน่อยก็ควรทำ

ขณะที่เธอเคาะประตูเดินเข้าไปในห้องนอนไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงยังนั่งอยู่หัวเตียง อาหารเช้าที่วางบนโต๊ะก็ยังไม่ถูกแตะต้อง

ได้ยินเสียงเปิดประตู ไป๋มู่ชิงก็ไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น

เลขาเหยียนสูดลมหายใจเบาๆ หลังจากเดินไปนั่งข้างเตียงก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “คุณหนูอี คุณยังโอเคไหม? ”

ได้ยินเสียงเธอ ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เงยใบหน้าเล็กขึ้นอย่างแผ่วเบา กวาดตามองเธอแล้วลุกขึ้นมาจากหัวเตียงทันที จับสองมือเธอแล้วพูดอย่างกังวล “เลขาเหยียน คุณช่วยฉันโน้มน้าวคุณชายเฉินได้ไหม? คุณก็รู้ ที่บ้านฉันมีสามีและลูก ฉันต้องกลับไปดูแลพวกเขาสองพ่อลูก ฉันอยากกลับบ้าน……”

เลขาเหยียนก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเองที่เธอจับไว้แน่น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วพูด “คุณน่าจะรู้นิสัยคุณชายเฉิน เขาถูกคุณผู้หญิงเอาใจตั้งแต่เล็กจนโต เป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจและทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรถ้าเขาต้องการ เขาจะไม่ยอมให้ใครแย่งไป สิ่งของก็เป็นแบบนี้ นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดล่ะ? คุณหนูอีคุณจะให้ฉันโน้มน้าวเขายังไง? ”

“ฉัน……ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่อดีตภรรยาเขา”

“ถ้าคุณเชื่อจริงๆ ว่าตัวเองไม่ใช่อดีตภรรยาเขา แล้วทำไมคุณต้องต่อต้านการกินยา หรือคุณหนูอีไม่ได้จงใจหลบหนีใช่ไหม? ” เลขาเหยียนยิ้มอย่างหมดหนทาง “คุณหนูอีกลัวว่าตัวเองจะจำอดีตได้แล้ว ไม่สามารถเลือกได้ระหว่างคุณชายรองตระกูลเฉียวกับคุณชายเฉิน ไม่สามารถอธิบายให้คุณชายรองตระกูลเฉียวกับน้องเฉียวหว่านชิงใช่ไหม? ”

“เปล่าค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า “ไม่ว่าฉันจะจำอดีตได้ไหม ฉันก็ทิ้งเฉียวเฟิงกับหว่านชิงไปไม่ได้”

“งั้นคุณก็ยอมทิ้งคุณชายเฉิน? คุณรู้ไหมสองปีที่คุณหายตัวไป คุณชายเฉินใช้ชีวิตยังไง? บางทีคุณชายรองตระกูลเฉียวอาจจะช่วยคุณไว้มาก จ่ายอะไรเพื่อคุณไปมากมาย แต่คนที่น่าสงสารจริงๆ คือคุณชายเฉิน เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้รักเพราะการจากไปของคุณ สองปีนี้เขาใช้ชีวิตเหมือนศพเดินได้ ไม่มีเพื่อน ไม่มีรอยยิ้ม ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้ความจำเสื่อม คุณต้องสงสารเขาจนน้ำตาไหลแน่ๆ ”

“ถึงฉันจะเป็นอดีตภรรยาเขา แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เขามีภรรยาแล้ว ฉันกับเขาก็มีชีวิตใหม่กัน ตั้งแต่ฉันจำความได้ เฉียวเฟิงอยู่เคียงข้างฉัน ให้ชีวิตที่สองแก่ฉัน เป็นคนที่ดึงฉันออกมาจากปีที่มืดมนนั้นทีละนิด ถึงเมื่อก่อนเขาจะเคยเป็นศัตรูกับฉันมาพันปี หลังจากหลายวันหลายเดือนฉันก็ตกหลุมรักเขา แต่หนานกงเฉินล่ะ? เขาอาจจะเสียใจและเจ็บปวดจริงๆ แต่ตอนนี้เขาเป็นสามีของผู้หญิงอื่นก็เป็นความจริง ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าตอนนี้ฉันต้องการอะไร แต่กลับต้องการทำลายชีวิตของฉัน หรือเขาอยากให้ชีวิตฉันต่อจากนี้ไม่มีเพื่อนไม่มีรอยยิ้มถึงจะพอใจ? ” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอ “เพราะเขาเอาแต่ใจทำอะไรตามอำเภอใจ เลยขังฉันอยู่ที่นี่โดยไม่คำนึงถึงความปรารถนาฉันเลยใช่ไหม? ”

สุดท้ายเลขาเหยียนก็พูดไม่ออก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ไม่แน่แปลกใจที่คุณหนูอีมีความคิดแบบนี้ แต่คุณอย่าไปเกลียดคุณชายเฉินมากเกินไป ยังไงเขาก็แค่รักคุณมากเกินไป ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร”

ไป๋มู่ชิงคุกเข่าทีละนิด กระซิบทุ้มต่ำ “ถ้าเขาไม่ปล่อยฉันออกไปอีก ฉันอาจจะเกลียดเขาเข้ากระดูกก็ได้”

เลขาเหยียนมองใบหน้าเย็นชาของเธอ สุดท้ายก็ยืนขึ้นจากขอบเตียงโดยที่ไม่พูดอะไร แล้วพูดขึ้น “คุณหนูอีพักผ่อนให้เต็มที่นะคะ ฉันไปก่อน”

ไป๋มู่ชิงไม่สนใจเธอ เลขาเหยียนลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องนอน

ขณะที่เดินออกไปจากห้องนอน เธอเห็นหนานกงเฉินที่อยู่นอกประตู ยักไหล่ให้เขาอย่างหมดหนทาง

เดิมทีหนานกงเฉินก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ตอนนี้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น หันตัวเดินลงไปข้างล่าง

เลขาเหยียนเดินลงตามหลังเขาไป จ้องมองเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน คุณคิดว่าวิธีแบบนี้จะโอเคจริงๆ เหรอ? ”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างหมดหนทาง “นอกจากนี้ ฉันยังมีวิธีอื่นอีกเหรอ? ”

“แต่คุณหมอบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการฟื้นฟูความทรงจำคือการร่วมมือระดับสูงจากผู้ป่วย คุณบังคับเธอแบบนี้มันไม่ได้ผลเลยสักนิด ถึงขนาดจะทำให้หัวใจเธอแตกสลาย เกลียดคุณเข้ากระดูกอย่างที่เธอพูดเมื่อกี้นี้ก็ได้”

หนานกงเฉินไม่พูด เลขาเหยียนจึงเปลี่ยนคำพูด “โอเค ฉันกลับก่อนนะคะ”

ตอนกลางคืนเสียวหว่านชิงอดไม่ได้ที่จะถามถึงที่อยู่ของไป๋มู่ชิง เฉียวเฟิงทำได้แค่ปลอบเธอด้วยคำโกหกต่อไป บอกว่าแม่ออกไปทำงานนอกสถานที่ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะกลับมา

เสียวหว่านชิงพูดอย่างไม่พอใจ “หว่านชิงคิดถึงคุณแม่มาก แต่คุณแม่ไม่โทรหาหว่านชิงเลย”

“อ่อ……อาจจะเพราะบริษัทแม่ค่อนข้างเข้มงวด ตอนไปทำงานนอกสถานที่ห้ามโทรศัพท์ล่ะมั้ง หว่านชิงต้องเป็นเด็กดี ไม่งั้นแม่รู้ว่าหว่านชิงไม่มีความสุขเธอก็จะไม่มีความสุขตามนะ” เฉียวเฟิงหยิบหนังสือนิทานจากโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาหนึ่งเล่ม ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “พ่อเล่านิทานให้หนูฟังดีไหม? เล่าเสร็จเราจะได้หลับกันเร็วๆ ”

“ก็ได้ค่ะ” เสียวหว่านชิงพยักหน้า

กว่าจะกล่อมหว่านชิงให้หลับไป เฉียวเฟิงก็วางหนังสือนิทานกลับไปที่หัวเตียง หันหน้ามองที่ว่างข้างกาย

เวลานี้ในอดีต ไป๋มู่ชิงควรนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนตนแล้ว แต่วันนี้ ไม่รู้ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง มีความคืบหน้ากับหนานกงเฉินอย่างไรบ้าง

คิดถึงว่าอาจจะไม่ได้กลับมาหาตนอีกแล้ว ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่

ไม่กี่วันมานี้เพราะหว่านชิงมักจะอารมณ์ไม่ดี เขาไม่มีทางเลือกทำได้แค่ส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลต่อ ด้วยความร่วมมือของคุณครูโรงเรียนอนุบาลและเหล่าเพื่อนๆ เสียวห่านชิงก็มีความสุขขึ้นไม่น้อยอย่างที่คิดไว้ แต่พอถึงตอนกลางคืนก็ยังคงไม่มีความสุขเพราะคิดถึงคุณแม่

ผ่านไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ ไป๋มู่ชิงยังคงไม่ได้ทานอะไร เธอนอนขดตัวอยู่บนเตียงแบบนี้ ทั้งร่างแห้งเหี่ยวและอ่อนแอ

ถ้ายังไม่ทานอะไร เดาว่าเธอคงตายที่นี่จริงๆ

หนานกงเฉินมองเธอที่อยู่บนเตียง ถามขึ้นอย่างโกรธๆ “เธอต้องทรมานตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ? ”

ไป๋มู่ชิงหลับตาสองข้าง ขี้เกียจคุยกับเขาด้วยซ้ำ

“หรือเธออยากให้ฉันป้อนเธอกินด้วยตัวเอง? ” หนานกงเฉินเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โน้มตัวไปดึงเธอขึ้นมาจากเตียง มืออีกข้างหนึ่งตักซุปไก่บนโต๊ะเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นก็จูบปากเธอ

ไป๋มู่ชิงกัดฟัน ดิ้นขณะที่ผลักร่างกายเขาแล้วด่า “หนานกงเฉิน! คุณมันวิปริต!”

หนานกงเฉินไม่สนใจการดิ้นและการด่าของเธอ ฉวยโอกาสตอนเธออ้าปากป้อนซุปไก่เข้าปากเธอ ไป๋มู่ชิงโดนบังคับให้ทานซุปไก่ เธอตกตะลึงสักพัก กรีดร้องและผลักร่างกายเขาต่อ

อาจจะเป็นเวลานานมากเกินไปที่ไม่ได้ทานอะไร ร่างกายอ่อนแอเกินไป จู่ๆ เธอก็นอนบนเตียงอาเจียนออกมาเสียงดัง เธออาเจียนซุปไก่ที่เพิ่งทานเข้าไปคำโต

“มู่ชิง……” หนานกงเฉินตกตะลึง รีบพยุงร่างที่สั่นเทาของเธอจากการอาเจียนขึ้นมา

กระเพาะไป๋มู่ชิงเดิมทีไม่มีอาหารอยู่ อาเจียนครั้งนี้เป็นการอาเจียนทุกอย่างออกมาโดยธรรมชาติ แต่เธออาเจียนออกมาเยอะมาก อาเจียนจนหน้าเล็กแดงก่ำ กว่าจะหยุด เธอเกือบทรุดลงในอ้อมแขนของหนานกงเฉิน

“ฉันไม่กิน……” แม้ช่วงเวลาที่เจ็บปวดมากที่สุด เธอยังไม่ลืมที่จะประท้วง

เห็นใบหน้าดื้อรั้นและอ่อนแอของเธอ หนานกงเฉินก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด วางเธอกลับไปบนเตียงแล้วยืนขึ้น จากนั้นก็หันตัวเดินไปที่ประตูห้องนอน

ตอนกลางคืนเฉียวซือเหิงพาหว่านชิงไปเล่นในเมือง หว่านชิงกลับบ้านมาก็ง่วงจนหลับไป

เฉียวเฟิงช่วยเสียวหว่านชิงห่มผ้าแล้วก็ออกจากห้องนอนมา เขามาถึงห้องรับแขก เฉียวซือเหิงกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนโซฟา เงยหน้ามองเขาแล้วถาม “หว่านชิงหลับหรือยัง? ”

“หลับแล้ว” เฉียวเฟิงพยักหน้า มองเขาแล้วถาม “ต่อไปทำยังไงดี? รอต่อไปเหรอ? ”

เฉียวซือเหิงพยักหน้า “อดทนหน่อย มู่ชิงต้องกลับมาแน่”

เฉียวเฟิงยิ้มอย่างหมดหนทาง “มู่ชิงไม่ใช่ของนาย นายก็รอได้ แต่ฉันรอไม่ได้”

“ไม่งั้นทำไง? นายจะไปถึงที่เพื่อแย่งมู่ชิงกลับมาเหรอ? ” เฉียวซือเหิงยักไหล่ “ถ้านายเชื่อมั่นและมั่นใจแบบนี้ ทำไมไม่ทำล่ะ”

เฉียวเฟิงเงียบ เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความมั่นใจ ไป๋มู่ชิงสักวันหนึ่งจะกลับไปรักหนานกงเฉินอีกครั้งก็ยากที่จะพูด ช่วงนี้เขาคิดแล้วคิดอีก รู้สึกตลอดว่าไป๋มู่ชิงจะจากตนไปไม่ช้าก็เร็ว ความรู้สึกนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เฉียวซือเหิงยืนขึ้นจากโซฟา พูดขึ้น “ฉันไปก่อนนะ”

เขาเพิ่งเดินไปที่ข้างประตู ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากที่ประตูใหญ่ ตามด้วยรถคันคุ้นเคยที่จอดอยู่ประตูทางเข้าลานบ้าน

รถของหนานกงเฉิน!

“เขาทนไม่ได้มากกว่าเรา” เฉียวซือเหิงยิ้มเย้ยหยัน

เฉียวเฟิงก็เห็นรถหนานกงเฉินเช่นกัน สภาพจิตใจเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเฉียวซือเหิง ขณะที่เห็นรถหนานกงเฉิน นอกเหนือจากความประหลาดใจก็คือยิ่งตื่นตระหนก

หนานกงเฉินลงจากรถ น่าเสียดายที่แค่เขาคนเดียว หลังจากเห็นเขาปิดประตูรถ ความคาดหวังเล็กๆ ในใจเฉียวเฟิงก็หมดลง ดูเหมือนเขาจะไม่พาไป๋มู่ชิงกลับมา

“พี่ นายกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะคุยกับเขา” เฉียวเฟิงเอ่ยปาก

“นายดูไม่ออกเหรอ? เขาไม่ได้มาคุยกับนาย เหมือนจะมาหาเรื่องมากกว่านะ” เฉียวซือเหิงพูด “นายเข้าไปอยู่กับหว่านชิงซะ อย่าให้เธอตกใจกลัว”

“นายจะทะเลาะกับเขาเหรอ? ”

“จะพยายามข่มอารมณ์ให้ดีแล้วกัน” เฉียวซือเหิงพูดขณะที่เดินไปเปิดประตู

เฉียวซือเหิงเปิดประตูใหญ่ หนานกงเฉินก็ผลักประตูเข้าทันที ขณะเดียวกันก็ยกกำปั้นเหวี่ยงไปที่หน้าเฉียวซือเหิง

หมัดหนักแน่นชกเข้าที่ใบหน้าเฉียวซือเหิง เขาตะคอก จากนั้นก็หันหน้ามาจ้องมองเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา “หนานกงเฉิน ฉันจะรับแค่หมัดเดียวของนาย อย่าโลภมากเกินไป……”

ไม่รอให้เขาพูดจบ หนานกงเฉินก็เหวี่ยงอีกหมัดเข้าที่หน้าเขา จากนั้นก็หมัดที่สอง หมัดที่สาม……

เฉียวซือเหิงหลบหมัดแต่ละหมัดของเขา สุดท้ายเขาที่โกรธก็ชกกลับ พูดขึ้นโกรธเคือง “เมื่อกี้ฉันพูดแล้วนะ ฉันรับแค่หนึ่งหมัด! นายให้ฉัน……!”

หนึ่งหมัดดัง ‘ผลั่วะ’ โดนหน้าเขาอีกครั้ง ร่างกระแทกที่ประตูเหล็กบานใหญ่

หนานกงเฉินจ้องมองเขา ดวงตาสองข้างแดงก่ำ น้ำเสียงเย็นชา “เฉียวซือเหิง! นายไม่เสียใจสักนิดเลยเหรอ? ”

“หยุด!” เฉียวซือเหิงถอยหลังหนึ่งก้าว หลีกเลี่ยงกำปั้นเขาแล้วเหลือบมอง “ทำไมฉันต้องเสียใจ? ”

“สองปีที่ผ่านมานี้ นายแอบซ่อนภรรยาของฉันขณะที่มาดื่มเหล้ากับฉันบอกให้ฉันลืมอดีตครั้งแล้วครั้งเล่า ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณชายใหญ่เฉียวจะเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้!”

“ทนมาตั้งหลายวัน สุดท้ายก็ทนไม่ได้ที่จะมาทำร้ายฉันเหรอ? ” เฉียวซือเหิงยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก แสยะยิ้ม “ฉันยังคิดอยู่เลยว่านายจะทนได้ถึงเมื่อไร”

เขาพูดจบ จากนั้นก็ยิ้มอีกครั้ง “มู่ชิงโดนนายแย่งกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไม? เก็บไว้ไม่ได้? ผู้ชายที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดแบบนาย มีตอนที่ไม่ถูกชื่นชอบด้วยเหรอ? ”

หนานกงเฉินโกรธจนอยากจะเข้าไปซัดเขาอีก เฉียวซือเหิงหลบอย่างต่อเนื่องแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “นายจะจบไม่จบ? ”

หนานกงเฉินคว้าเสื้อผ้าที่หน้าอกเขา ตะโกนพร้อมผลัก “ทำไมนายต้องทำแบบนี้? นายทำทุกวิถีทางเพื่อให้มู่ชิงไปจากฉันมันเพราะเหตุผลอะไร? เฉียวซือเหิงนายพูดมาสิ!”

“เพื่อเฉียวเฟิงใช่ไหม? เพราะเฉียวเฟิงชอบเธอเหรอ? ตระกูลเฉียวพวกแกเป็นผู้ร้ายหรือไงวะ? เป็นโจรเหรอ? สิ่งที่ชอบก็แย่งไปยังไงก็ได้? ทำไมนายไม่เอาโลกทั้งใบกลับมาเลยล่ะ? ” ขณะที่หมัดหนานกงเฉินจะต่อยตัวเขาอีกครั้ง ก็ถูกเขาต่อยจนล้มลงพื้น

ในที่สุดมุมปากหนานกงเฉินก็มีเลือดไหลออกมา เขาไม่สนว่าใบหน้าตัวเองจะบาดเจ็บ ลุกขึ้นต้องการโต้กลับ เฉียวซือเหิงกระทืบหน้าอกเขา ก้มมองเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้อหนึ่ง ตอนที่ฉันช่วยชีวิตไป๋มู่ชิงเธอเซ็นใบหย่าเรียบร้อยแล้ว เธอเป็นอิสระ ข้อสอง ถ้าตอนแรกฉันไม่ได้ช่วยชีวิตไป๋มู่ชิง ถ้าเธอไม่ตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ ก็คงตายเพราะโดนหมาป่าและเสือที่อยู่รอบตัวฉีกร่างกายเป็นกระดูกไปนานแล้ว นายยังมาเจอเธอได้อีกเหรอ? ยังมาทะเลาะกับฉันอีก? นายรักกับคุณหนูจูไปตลอดชีวิตแล้ว!”

“ก่อนที่ฉันจะเซ็น มู่ชิงยังเป็นภรรยาฉัน……” หนานกงเฉินพยายามอย่างมากในการยกรองเท้าออกจากร่างกายตน

“แล้วตอนนี้ล่ะ? นายแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว เธอก็เป็นอิสระไม่ใช่เหรอ? ”

“ไม่ใช่แน่ๆ ! เธอเกิดมาเป็นคนของหนานกงเฉินอย่างฉัน ตายไปก็เป็นผีของหนานกงเฉินอย่างฉัน……” หนานกงเฉินมองเขาอย่างโกรธเคือง “อีกอย่าง ถึงแม้ตอนแรกนายจะช่วยชีวิตเธอไว้ นายก็ไม่มีสิทธิแย่งเธอไปจากฉัน ไม่มีสิทธิบังคับเธอให้กับเฉียวเฟิง! ”

“บังคับเหรอ? คำนี้ไม่ค่อยเหมาะมั้ง? นายไม่เห็นเหรอว่าเธอรักเฉียวเฟิงมากแค่ไหน? ทำไมเธอถึงเอาแต่ร้องไห้ให้นายปล่อยเธอไป? เพราะเธอรักเฉียวเฟิง เธออยากอยู่กับเฉียวเฟิงไปตลอดชีวิต แต่งงานกับนายมานานขนาดนี้ นายเคยเห็นเธอยิ้มจริงใจไหม? น่าจะไม่มั้ง? แต่นายดูตอนเธออยู่กับเฉียวเฟิงและหว่านชิงสิว่ามีความสุขมากแค่ไหน นายให้สิ่งเหล่านี้กับเธอได้หรือเปล่า? ”

“พวกนายมันหลอกลวง ฉวยโอกาสตอนเธอความจำเสื่อมแล้วสร้างฝันสวยงามให้เธอ รอสักวันหนึ่งเธอฟื้นความจำ ตื่นจากฝัน นายคิดว่าเธอจะมีความสุขไหมล่ะ? นายรับประกันได้ไหมล่ะว่าชีวิตนี้เธอจะไม่ฟื้นความทรงจำ? ” หนานกงเฉินลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก ดึงเสื้อผ้าบนร่างกายขณะที่จ้องมองเขาแล้วกัดฟันพูด “พวกนายไม่หวาดผวาเหรอ? ไม่รู้สึกผิดเหรอ? ฉันขอบคุณมากที่พวกนายช่วยชีวิตเธอในตอนแรก แต่พวกนายห้ามบังคับเธอให้อยู่ข้างกายเพราะเหตุนี้ คนที่เธอรักมาตลอดคือฉัน ไม่ใช่เฉียวเฟิงน้องชายของนาย! ”

“ในเมื่อนายมั่นใจขนาดนั้น งั้นก็ไปคุยกับไป๋มู่ชิงตรงๆ จะมาทะเลาะที่นี่ทำไม? ” เฉียวซือเหิงก็จัดเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองเช่นกัน แล้วพูดขึ้น “นายแน่ใจขนาดนั้นว่าเธอรักนาย และแน่ใจขนาดนั้นว่าตัวเองรักเธอ แล้วตอนแรกนายทำอะไรอยู่? ตอนเธอถูกคนใส่ร้ายทำร้ายบาดเจ็บนายกำลังทำอะไรอยู่? นายมองไม่เห็นหรือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น? พูดตามตรงนายเป็นคนทำร้ายเธอจนตายตั้งแต่แรก นายเป็นคนไปรับรู้ศพด้วยตัวเอง แม้แต่อีกฝ่ายคือภรรยาของตัวเองหรือเปล่ายังไม่แน่ใจเลย ยังมีสิทธิอะไรไปรักเธอ? ”

“นี่มันเรื่องของฉัน! ไม่เกี่ยวกับนาย!” หนานกงเฉินหงุดหงิดอับอายจนกลายเป็นโกรธ

ทุกวันนี้เขาเองก็ครุ่นคิดปัญหานี้มาตลอด ทำไมตอนแรกเขาเร่งรีบในการรับรู้ศพขนาดนั้น ทำไมไม่มองให้ดี ตรวจสอบให้ดีๆ ตอนนั้นเขาเป็นลมในห้องเก็บศพไป เป็นลมหลายวัน เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา ศพของไป๋มู่ชิงก็จัดการไปเรียบร้อยแล้ว

เขารู้ว่าตัวเองมีความผิด รู้สึกละอายใจต่อไป๋มู่ชิง แต่สวรรค์ไม่ควรลงโทษเขาด้วยวิธีนี้ ไม่คิดว่าจะให้ภรรยาของตัวเองกลายเป็นภรรยาของคนอื่น เป็นแม่ของลูกคนอื่น

“แล้วตอนนี้ล่ะ? ไป๋มู่ชิงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายแล้ว นายยังจะไปยุ่งกับเธอจนถึงเมื่อไร? ”

“ฉันบอกไปแล้ว ตราบใดที่ฉันยังไม่ได้เซ็นชื่อ มู่ชิงก็ยังเกี่ยวข้องกับฉัน” หนานกงเฉินยกมือขึ้นชี้เขาด้วยความโกรธ “ฉันจะเตือนนายไว้นะเฉียวซือเหิง! อย่าทำอะไรเกินไปจะดีที่สุด มู่ชิงฉันต้องแย่งกลับมาให้ได้แน่ ถ้านายรู้ว่าอะไรควรทำก็ให้เฉียวเฟิงไปบอกความจริงกับเธอทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”

“นายเตือนฉันเหรอ? ”

“ถูกต้อง! ” หนานกงเฉินกระแทกหมัดดัง ‘ผลั่วะ’ “ฉันไม่ได้เตือนนายอย่างเดียวแต่จะต่อยนายแรงๆ ด้วย! ไอ้ชั่ว! ”

เมื่อเฉียวซือเหิงโดนชกโดยไม่ได้ระวัง ก็โกรธเป็นไฟ “นายอยากจะต่อยอีกใช่ไหม? ” ขณะที่พูดก็เริ่มลงมือ

ทั้งสองคนเริ่มชกกันอีกครั้ง ไม่มีใครยอมรับความพ่ายแพ้

จนกระทั่งเฉียวเฟิงส่งเสียง ทั้งคู่จึงหยุดในที่สุด

หนานกงเฉินพอเห็นเฉียวเฟิงก็ยิ่งโกรธ หันตัวไปอยากจะซัดเขาเพื่อระบายความเกลียดชัง ก็มีเสียงเตือนเฉียวซือเหิงดังขึ้นด้านหลัง “นายลองทำเขาดูสิ?”

หนานกงเฉินในตอนนี้จะสนคำเตือนเขาที่ไหนกัน ไม่สนว่าเฉียวเฟิงจะเป็นคนพิการนั่งรถเข็นหรือไม่ เขาแค่รู้ว่าภรรยาตัวเองในตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของชายคนนี้ และได้รับความทุกข์ทรมานจากการหลอกลวงของเขาอยู่ตลอด

เขาชกเฉียวเฟิงร่วงหล่นจากรถเข็นด้วยหมัดรุนแรง เฉียวซือเหิงเห็นหนานกงเฉินชกเฉียวเฟิงจริงๆ เขาที่โกรธจัดก็พุ่งตัวไปผลักหนานกงเฉินออกไปจากร่างเฉียวเฟิง และจัดการเขาอย่างหนัก

เฉียวเฟิงโดนหนานกงเฉินต่อยหนึ่งหมัด แค่รู้สึกเจ็บแสบร้อนบนหน้า เขาใช้มือเช็ดหน้าตัวเอง ลุกขึ้นจากพื้นกลับไปนั่งบนรถเข็นอย่างยากลำบาก

“อย่าต่อยกันอีก” เฉียวเฟิงพูด

ทั้งสองที่ต่อยกันอย่างดุเดือดก็หยุดในที่สุด ในขณะเดียวกันก็หันมาทางเขา

หนานกงเฉินเห็นเฉียวเฟิงที่นั่งบนรถเข็น ยิ่งเห็นก็ยิ่งโกรธ ผู้ชายคนนี้นอนกับภรรยาเขา ก็คือมัน!

เฉียวเฟิงก็หันมามองเขาเช่นกัน ใบหน้าดูสงบนิ่ง จากนั้นสักพักก็เอ่ยปากพูด “ถูกต้อง ฉันหลอกลวง เป็นโจร ฉวยโอกาสตอนมู่ชิงความจำเสื่อมเก็บเธอไว้ข้างกาย แต่มีหนึ่งอย่างที่นายปฏิเสธไม่ได้ มีแค่ฉันเท่านั้นที่ปกป้องความปลอดภัยของมู่ชิงได้ มีแค่ฉันที่ทำให้เธอมีความสุขได้ ถึงแม้จะเป็นแค่ความฝันที่สวยงามแต่มันก็มีความสุข ถ้าตอนแรกพี่ชายฉันช่วยเธอขึ้นมาจากทะเลแล้วส่งกลับไปตระกูลหนานกง จุดจบของเธอจะเป็นยังไง? นอกจากอุบัติเหตุรถยนต์อีก เผชิญกับอันตรายถึงชีวิตอีกครั้ง จนกว่าเธอจะตายจริงๆ นี่คือผลลัพธ์ที่นายต้องการเหรอ? นายยอมให้มู่ชิงตายต่อหน้าตัวเอง แต่ไม่ยอมให้เธอมีความสุขในอ้อมกอดคนอื่นเหรอ? ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท