เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 208 หว่านชิงหายตัวไปแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ถ้าเขาบีบคอเธอให้ตายแบบนี้ มู่ชิงจะกลับมาอยู่ข้างๆ เขาไหม? ไม่ใช่นะ?

ผู้หญิงตรงหน้านี้เขาได้รับมามากพอแล้ว ผิดหวังกับเธอมานานมาก ฆ่าเธอให้ตาย เขาไม่รู้สึกปวดใจเลยสักนิด แต่เมื่อข้อนิ้วถึงพลังเฮือกสุดท้าย เขาก็ทำไม่ลงอีกต่อไป ในหัวมีความคิดแวบเข้ามา ตอนเด็กๆ เธอนั่งยองๆ หน้าเตียง สองมือประคองแก้มยิ้มแล้วถามขึ้น “โตขึ้นนายจะแต่งงานกับฉันไหม? รอนายแต่งงานกับฉัน เราก็จะเป็นครอบครัว ฉันก็จะดูแลนายได้ไง”

ตอนนั้นเขาตอบว่าอย่างไร? เขาพูดว่า “ฉันสัญญา โตขึ้นฉันจะต้องแต่งงานกับเธอ”

น่าเสียดายที่เวลามันหมดไป คนที่เคยเป็น เรื่องที่เคยเป็น……สิ่งต่างๆ ยังเหมือนเดิมแต่คนมันเปลี่ยนไปแล้ว!

“เฉิน เธอจะทำอะไร?” คุณผู้หญิงเห็นหน้าจูจูเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีม่วงเพราะถูกหนานกงเฉินบีบคอ ก็ดุอย่างโกรธเคือง “เธอจะบีบคอหล่อนจนตายหรือไง? ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”

“จูจู ฉันไม่เคยอยากให้เธอตายเหมือนในตอนนี้เลย นี่มันปัญหาของฉันหรือปัญหาของเธอ?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างขมขื่นแล้วพ่นออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ปล่อยมือ จูจูหลุดออกจากฝ่ามือเขา ไหลลงกับพื้นหายใจหอบ

หน้าเธอ เปลี่ยนจากสีม่วงเป็นซีดเซียวในพริบตาเดียว

จู่ๆ เขาก็โน้มตัวลงมา จ้องมองเธอแล้วพูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่กล้ารับประกันว่าฉันกับผู้ช่วยหลินคนนี้จะรักษาความสัมพันธ์ที่สะอาดกันได้ไหม เธออยากไล่หล่อนไปจากฉันใช่ไหม?”

“ฉัน……” จูจูไออย่างรู้สึกแย่หลายทีแล้วพูดขึ้น “ฉันเปล่า……”

“ทุกเรื่องที่เธอทำ พอทำเสร็จเธอก็บอกว่าเปล่า ฉันฟังจนเบื่อแล้ว” หนานกงเฉินยืนขึ้นอย่างขมขื่น มองไปที่คุณผู้หญิงแล้วพูดขึ้น “คุณย่า เรื่องในชีวิตผมคุณดูแลได้เพราะคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เรื่องการทำงาน ต่อไปหวังว่าคุณอย่ามายุ่งอีกนะครับ ฝึกอบรมพนักงานที่มั่นใจในตัวเองและมีความสามารถมันไม่ง่าย ดูทั้งบริษัทสิ นามสกุลหนานกงจริงๆ มีกี่คน? ทั้งบริษัทจะกลายเป็นของตระกูลเซิ่งแล้ว!”

“เธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับบริษัทตลอดเวลา เรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้ โทษลูกน้องว่าไม่เชื่อใจเธอได้ไหม?”

“คุณก็เลยจัดการเลขาเหยียนแทนผมเหรอ? จูจูเธอแสดงอารมณ์เพื่อประโยชน์ของตัวเอง คุณอายุป่านนี้แล้วยังไม่เข้าใจการเดิมพันพวกนี้เหรอครับ?”

“หนานกงเฉิน นี่เธอกำลังสอนฉันเหรอ?” คุณผู้หญิงโกรธแล้ว

หนานกงเฉินส่ายหน้า “ไม่กล้าหรอกครับ ผมแค่เตือนคุณ ให้แยกแยะความสำคัญ”

“สำหรับฉัน การที่เธอมีชีวิตที่มีความสุขนั้นสำคัญที่สุด!” คุณผู้หญิงพูดอย่างโกรธเคือง

แน่นอนว่าเธอรู้ว่าเลขาเหยียนสำคัญสำหรับหนานกงเฉินมาก สำคัญกับบริษัทมากเช่นกัน แต่ถ้าไม่กำจัดเลขาเหยียนจูจูก็จะตายได้ทุกเมื่อ เธอจะทำอะไรได้บ้าง? ถ้าสักวันหนึ่งเธอทนไม่ไหวจริงๆ ฆ่าตัวตายขึ้นมา เธอจะทำอย่างไร? หนานกงเฉินจะทำอย่างไร?

ทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ หนานกงเฉินมักจะไม่สามารถพูดกับเธอได้ ไม่อยากเถียงกับเธออีกต่อไป เขาไม่พูดอะไรอีกเลย หันตัวเดินไปที่ประตูใหญ่

“เฉิน……เธอเพิ่งกลับมาก็จะไปอีกแล้วเหรอ?” คุณผู้หญิงพูดอย่างโกรธเคืองใส่แผ่นหลังเขา

“ผมจะไปอยู่อพาร์ทเมนท์” หนานกงเฉินทิ้งประโยคนี้แล้วก็ขับรถออกไป

หนานกงเฉินไปแล้ว จูจูกว่าจะได้สติกลับมาจากความตื่นตระหนก เธอร้องไห้เสียงดังใส่คุณผู้หญิง ร้องไห้น้อยใจสุดๆ

คุณผู้หญิงเห็นเธอร้องไห้ ก็ปลอบหนึ่งประโยคอย่างค่อนข้างหงุดหงิด “เธอไม่ต้องร้องไห้แล้ว ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้ว เฉินนิสัยแบบนี้แหละ ยิ่งต่อสู้กับเขามากเท่าไรเขาก็ยิ่งรังเกียจเธอมากเท่านั้น ทำตามเขาไปเถอะ เป็นเด็กดีเชื่อฟังเขาจะยิ่งชอบ”

ตอนนี้จูจูเข้าคำพูดเหล่านี้เข้าไปที่ไหนกัน แน่นอนว่าเธอก็อยากเป็นภรรยาที่ดีและเชื่อฟัง แต่เธอเชื่อฟังมาสองปีกว่าแล้ว แม้แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของหนานกงเฉินยังไม่เคยได้รับเลย? วันนี้มันเกินไปมาก ไม่คิดว่าเขาอยากบีบคอเธอให้ตายจริงๆ ?

แค่นึกถึงความเย็นชาบนใบหน้าเขาตอนที่บีบคอตนเมื่อครู่นี้ เธอก็หวาดผวาอยู่เลย!

คราวก่อนที่หนานกงเฉินโกรธเธอเพราะคุณหนูอี แถมยังขู่เธอด้วย วันนี้อยากบีบคอเธอให้ตายเพราะเลขาเหยียนคนเดียวอีก สำหรับเขาแล้วผู้หญิงทุกคนที่เป็นคนนอกนั้นสำคัญหมด ยกเว้นภรรยาอย่างเธอคนนี้!

หลังจากปล่อยไป๋มู่ชิงไป ชีวิตของหนานกงเฉินก็ตกอยู่ในความว่างเปล่าอีกครั้งในพริบตาเดียว

เขาดูวิดีโออุบัติเหตุรถชนของไป๋มู่ชิงในตอนแรกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูการตรวจตราในโรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉียวเฟิงบอกว่าอุบัติเหตุรถยนต์นี้มีคนทำขึ้น แต่เขายังไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่เชื่อใจจูจูอย่างเด็ดขาด แต่ก็ยังหาเบาะแสไม่ได้

เขาหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาโทรไปที่ห้องทำงานเลขาเหยียน หลังจากโทรเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าเธอลาออกไปแล้ว จึงวางโทรศัพท์กลับไปที่เครื่อง อย่างไรก็ตามนอกจากเลขาเหยียน เขาก็ไม่เชื่อใจใครอีก ถึงแม้มันจะไม่เหมาะสม แต่เขาก็ยังกดโทรเข้าเบอร์เลขาเหยียน

เลขาเหยียนอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์กำลังทำงานออนไลน์อยู่ ได้รับโทรศัพท์จากเขาแล้วก็สำรวมใจทันที ถามขึ้นอย่างสุภาพ “มีอะไรเหรอคะ? คุณชายเฉิน”

“เธอบอกว่าเธอจะช่วยฉันใช่ไหม?”

“แน่นอนค่ะ ฉันยังรับเงินเดือนคุณอยู่นะ”

หลังจากลาออกไปแล้ว น้ำเสียงเลขาเหยียนที่พูดกับหนานกงเฉินก็ผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อน ไม่ใช่บทสนทนาที่เข้มงวดเหมือนหัวหน้าคุยกับลูกน้องอีกต่อไป

“เรื่องอะไร?” เธอถามอีกประโยค

“ฉันอยากตรวจสอบเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ของมู่ชิงตอนนั้นอีกครั้ง” หนานกงเฉินพูด “เธอไปหานักสืบมืออาชีพมาให้ฉันสักกลุ่มสิ”

“ได้ค่ะ ยังไงแล้วตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรทำ” เลขาเหยียนพูด “ฉันจะไปตั้งใจสอบถาม พยายามหาคนที่เป็นมืออาชีพที่สุด”

“ขอบคุณครับ”

“แต่คุณชายเฉิน……” เลขาเหยียนพูดอีก “ต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริง คุณหนูจูเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุด คุณต้องการตรวจสอบแบบโจ่งแจ้งหรือลับๆ ?”

“ตอนนี้ฉันสงสัยว่าเรื่องนี้จูจูเป็นคนทำ ดังนั้นต้องดำเนินการโดยที่เธอไม่สังเกตเห็น”

“ตอนแรกคุณก็สงสัยเธอ และสืบไปทางเธอไม่ใช่เหรอ?”

“บางทีตอนนั้นสืบไม่ละเอียดมากพอ มีบางอย่างหายไปล่ะมั้ง” หนานกงเฉินพูดอย่างขมขื่น

เลขาเหยียนพยักหน้า พูดขึ้น “ถ้าสืบลับๆ ……พูดตามตรง มันยากมาก แต่คุณชายเฉินไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”

“โอเค งั้นก็เอาตามนี้นะ” หนานกงเฉินพูดจบ ก็วางสายไป

เช้าตรู่ ไป๋มู่ชิงที่ไม่มีอะไรทำไปส่งเสียวหว่านชิงที่โรงเรียนอนุบาลเสร็จแล้ว ก็ขับรถไปส่งเฉียวเฟิงที่ร้านอาหาร

หลังจากรถออกมาจากโรงเรียนอนุบาล จู่ๆ ไป๋มู่ชิงก็ถามเฉียวเฟิง “เฟิง เราจะไปต่างประเทศเมื่อไร?” ในใจเธอคิดว่าคงไม่ใช่เพราะทะเลาะกับหนานกงเฉินครั้งนี้ เลยไม่ได้วางแผนไปต่างประเทศแล้วใช่ไหม?

เฉียวเฟิงคิดแล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ของหนานกงเฉินยังไม่ได้รับการแก้ไข ถึงเราจะไปต่างประเทศ เขาก็ตามเราไปได้เหมือนกัน ดังนั้น……รอเรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“แล้วคุณวางแผนจะแก้ไขยังไง?” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอย่างค่อนข้างกังวล

“จริงๆ ฉันยังคิดไม่ออก” เฉียวเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เขาไม่ใช่ยังไม่ได้คิด แต่รู้สึกเป็นฝ่ายถูกกระทำ อย่างไรแล้วคนที่มาพัวพันไม่ยอมปล่อยตลอดก็คือหนานกงเฉิน

เขาก็เคยคิดจะพาไป๋มู่ชิงหนีไปทันที แต่ต่อมาก็คิดว่า หนานกงเฉินเคยบอกว่าจะไม่ปล่อยไป๋มู่ชิงไปและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไปไกลสุดขอบฟ้าก็ไม่มีประโยชน์

คืนนั้นปัญหาที่เขาให้หนานกงเฉินไป เขารู้ว่าหนานกงเฉินต้องทำไม่ได้แน่ๆ ถึงแม้เขาจะโหดร้ายก็ตามแต่คุณผู้หญิงต้องไม่อนุญาตแน่ๆ ท้ายที่สุดแล้วในสายตาตระกูลหนานกง จูจูสำคัญต่อชีวิตหนานกงเฉิน

ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้ว่าควรแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรดี จึงทำได้แค่เงียบ

เงียบไปสักพักหนึ่ง เฉียวเฟิงมองสังเกตเธอแล้วถามความสงสัยที่อยู่ในใจมาตลอด “หลิน ทำไมเธอไม่ถามฉันเลยว่า……ในอดีตเธอกับหนานกงเฉินมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า?”

ไป๋มู่ชิงหันไปมองเขา พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “จริงๆ ฉันเคยบอกหนานกงเฉินไปหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าอดีตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ประสบอะไรมาบ้าง ความทรงจำพวกนั้นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ฉันไม่อยากหามันกลับมาอีก และไม่จำเป็นต้องตามหามันกลับมาด้วย”

“เธอคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ?”

“อืม ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันมีความสุขมาก ไม่จำเป็นต้องทำลายชีวิตที่มีความสุขนี้อีก และถึงแม้ว่าฉันกับหนานกงเฉินจะมีอะไรด้วยกันมา ระหว่างเราสองคนก็แต่งงานกันแล้ว ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉียวเฟิงพยักหน้า “เธอคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว แบบนี้ฉันจะได้สบายใจ”

ตอนบ่าย เสียวหว่านชิงเพิ่งตื่นนอนก็ถูกครูฟางเรียกไปที่ประตูห้องเรียน

ขณะที่เขาเห็นหนานกงเฉินที่ยืนด้านหลังครูฟาง ก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “คุณลุงขี้โกหก ทำไมมาอยู่ที่นี่คะ?”

สีหน้าหนานกงเฉินขมวด แสร้งทำเป็นพูดไม่พอใจ “คราวที่แล้วเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ให้เรียกฉันว่าคุณลุงขี้โกหก”

“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ ฉันควรเรียกคุณว่าลุงเฉิน” เสียวหว่านชิงพูด

“ที่แท้พวกคุณก็รู้จักกันจริงๆ ด้วย” ครูฟางเหลือบมองหนานกงเฉิน พบว่าเขาดูไม่เหมือนคนนอกเลยสักนิด และความสัมพันธ์กับเสียวหว่านชิงก็ดูเหมือนสนิทกันมาก จึงพูดขึ้น “ลุงเฉินของหนูบอกว่าอยากพาหนูออกไปเล่นสักหน่อย ได้ไหม?”

เสียวหว่านชิงมองหนานกงเฉินแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ลุงเฉิน คุณจะหนูไปเล่นที่ไหน?”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หนูอยากไปไหน? พาหนูไปกินของหวานดีไหม?”

เขาจำได้ว่าเสียวหว่านชิงชอบทานขนมหวาน คราวก่อนครอบครัวพวกเขาสามคนเพิ่งไปมา

“แต่แม่บอกว่าห้ามออกจากโรงเรียนไปกับคนอื่นตามใจชอบ หนูกลัวแม่ว่าหนู”

“ไม่เป็นไร ก่อนเลิกเรียนช่วงบ่ายฉันจะพาหนูมาส่งก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ลุงเฉินก็ไม่ใช่คนเลวใช่ไหม?”

“ลุงเฉินจะมาส่งหนูกลับก่อนเลิกเรียนช่วงบ่ายจริงๆ ใช่ไหม? ห้ามหลอกหนูนะ”

“แน่นอน ลุงเฉินเคยหลอกหนูตอนไหน?” หนานกงเฉินพูดจบก็กระแอมไอเบาๆ โดยไม่สนใจความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้ถูกเธอเรียกว่าคุณลุง ‘ขี้โกหก’

“งั้นก็ได้ค่ะ” เสียวหว่านชิงหันตัวไปพูดกับครูฟาง “ครูฟาง หนูอยากออกไปเที่ยวกับลุงเฉิน ครูห้ามบอกแม่หนูนะคะ”

ครูฟางมองหนานกงเฉิน แล้วมองเสียวหว่านชิงอีกครั้ง ลังเลอย่างลำบากใจเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ไม่ให้แม่รู้……แบบนี้ไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลุงเฉินบอกว่าจะพาหนูมาส่งก่อนเลิกเรียนช่วงบ่าย” เสียวหว่านชิงพูด “ครูฟาง ลุงเฉินไม่ใช่คนเลว คราวก่อนเขาช่วยชีวิตหนูที่บันไดเลื่อนด้วยล่ะ”

ครูฟางมองหนานกงเฉิน สุดท้ายก็ตกลง

หนานกงเฉินพาเสียวหว่านชิงเดินออกมาจากโรงเรียนอนุบาล เดินไปยังเขตตัวเมือง

เขาพาเสียวหว่านชิงมาที่ร้านขนมสุดหรูแห่งหนึ่ง ให้เสียวหว่านชิงเลือกขนมที่ตัวเองโปรดปราน จากนั้นก็นั่งข้างๆ หน้าต่างดูเธอทาน

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องพาเสียวหว่านชิงออกมาจากโรงเรียนอนุบาล ตอนบ่ายเขาไปทำธุระบางอย่างที่สถานีตำรวจมา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกว่างเปล่า ต้องการหาเหตุผลที่จะไปเจอไป๋มู่ชิง คิดมาค่อนวันก็หาเหตุผลไม่ได้

ขณะที่ผ่านโรงเรียนอนุบาล ในใจก็เกิดความคิดที่จะรับเสียวหว่านชิงออกมา

มองเสียวหว่านชิงฝั่งตรงข้ามที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย หนานกงเฉินนึกถึงความรักของไป๋มู่ชิงที่มีต่อเธอในตอนปกติ ไป๋มู่ชิงชอบเด็กมากๆ มาตลอด นิ่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนจนถึงวันนี้!

“ลุงเฉิน ทำไมคุณไม่กินล่ะคะ?” เสียวหว่านชิงเงยหน้ามองเขาแล้วถาม

หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อย พูดขึ้น “ฉันตั้งใจพาหว่านชิงมากิน”

“แต่ทำไมลุงเฉินดีกับหว่านชิงแบบนี้ล่ะ?” เสียวหว่านชิงเอียงศีรษะแล้วถาม

“เพราะเสียวหว่านชิงน่ารักมาก แล้วก็ทำตัวให้ชอบมากด้วย ลุงเฉินชอบหนูมากเลย”

“ขอบคุณค่ะลุงเฉิน ลุงเฉินก็ทำตัวให้ชอบเหมือนกันค่ะ”

“จริงเหรอ?” หนานกงเฉินถามอย่างดีใจ “หนูพูดบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอว่าลุงเฉินเป็นคนคนขี้โกหก?”

เสียวห่านชิงส่ายหน้า “ไม่ใช่นะคะ ในใจหว่านชิง ลุงเฉินเป็นคนดีตั้งนานแล้ว”

ได้ยินเสียวหว่านชิงพูดแบบนี้ หนานกงเฉินก็รู้สึกอบอุ่นในใจนิดหน่อยจริงๆ เขาไม่เคยใส่ใจภาพลักษณ์ตัวเองต่อหน้าคนอื่นขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะต่อหน้าเด็กคนหนึ่ง

สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ เขาทำลายความคิดในอดีตไปแล้ว เมื่อก่อนเขามักรู้สึกว่าเด็กทั้งโวยวายทั้งเสียงดังน่ารำคาญมากเป็นพิเศษ จนเมื่อได้เจอกับเสียวหว่านชิง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางครั้งเมื่อเด็กน่ารักขึ้นมาก็จะเป็นนางฟ้า เขาไม่เพียงแต่ทุกครั้งที่เจอเธอก็จะรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด แต่ยังอยากกินขนมหวานกับเธอที่นี่ด้วย

ถ้าเป็นหนานกงเฉินในอดีต เรื่องพวกนี้ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ทำหรอก!

หว่านชิง หว่านชิง……แม้แต่ชื่อของเธอ เขาก็รู้สึกว่ามันไพเราะสุดๆ

“หว่านชิง……ชื่อของหนูใครช่วยตั้งให้?” จู่ๆ หนานกงเฉินก็ถามอย่างสงสัย

เสียวหว่านชิงเงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อตั้งให้ค่ะ พ่อบอกว่าชื่อนี้มีความหมายมาก มันเพราะมากเลยใช่ไหมคะ?”

“อะไรคือมีความหมายมาก?” หนานกงเฉินสงสัย

เสียวหว่านชิงส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ พ่อบอกเป็นความลับ”

ความลับ……

หว่านชิง……

ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็ยิ้มขมขื่น พูดขึ้น “ต่อไปรอฉันมีลูกสาว ฉันก็จะตั้งชื่อว่าหว่านชิงเหมือนกัน”

“ไม่ได้นะคะ!” เสียวหว่านชิงรีบทักท้วงทันที “หว่านชิงคือชื่อที่พ่อตั้งให้หนู คุณห้ามตั้งชื่อลูกคุณเหมือนหนู”

เมื่อหนานกงเฉินเห็นใบหน้ากังวลของเธอ ยิ้มและยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กของเธอ “แค่ยืมใช้ชื่อหนูเท่านั้นเอง อย่าขี้เหนียวสิ”

เสียวหว่านชิงทำหน้าทะเล้นใส่เขา “พ่อแม่บอกว่าหนูไม่เหมือนใคร ชื่อก็เหมือนกัน”

“เหรอ? ปกติพ่อแม่ของหนูมีความสัมพันธ์ที่ดีมากใช่ไหม?”

“อะไรคือความสัมพันธ์อ่า?” เสียวหว่านชิงถามขึ้นด้วยตาโตสงสัย

“ความสัมพันธ์ก็คือ……” หนานกงเฉินไม่รู้ควรอธิบายคำศัพท์นี้ให้เธอฟังอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มและพูดขึ้น “ก็คือปกติพวกเขาใช้ชีวิตกันมีความสุขไหม? ทะเลาะกันไหม? มีปากเสียงกัน?”

“ไม่มีน้า” เสียวหว่านชิงพูดโดยไม่คิด “พ่อบอกหนูเป็นเด็กตัวน้อยของเขา แม่เป็นเด็กตัวโตของเขา เขาอยากทำให้พวกเรามีความสุขในทุกๆ วัน”

เสียวหว่านชิงพูดจบก็ก้มหน้าทานของหวานในจานต่อ

หนานกงเฉินที่กว่าจะอารมณ์ดีนิดหน่อยก็ตกอยู่ในความเศร้าอีกครั้ง จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ในการที่เขาแอบสังเกตการณ์อยู่หลายครั้งก็เข้าใจในจุดนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามหว่านชิง ด้วยความสำนึกตื้นๆ เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของไป๋มู่ชิงกับเฉียวเฟิงดีเท่าไรนัก เขาอยากได้ยินคำตอบที่แตกต่างจากปากของเสียวหว่านชิง แต่น่าเสียดาย……

“ลุงเฉิน คุณเป็นอะไร? คุณไม่มีความสุขเหรอ?” เสียวหว่านชิงสังเกตเขาอย่างเป็นห่วงแล้วถามขึ้น

หนานกงเฉินได้สติกลับมา จากนั้นก็ส่ายหน้า “เปล่านะ ฉันแค่กำลังคิดบางเรื่องอยู่”

เสียวหว่านชิงพยักหน้า หยิบช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งในจานแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “ลุงเฉิน ช็อกโกแลตที่นี่อร่อยมาก คุณลองสิ”

“จริงเหรอ? ขอบคุณนะหว่านชิงที่รัก” หนานกงเฉินโน้มตัว อ้าปากรับช็อกโกแลตที่เธอยื่นมาให้ จากนั้นก็พยักหน้า “อืม……อร่อยมากจริงๆ ถ้าหว่านชิงชอบต่อไปลุงเฉินพาหนูมาอีกดีไหม?”

“ขอบคุณค่ะลุงเฉิน”

จู่ๆ หนานกงเฉินก็พูดขึ้นอีก “แม่ชอบกินช็อกโกแลตของร้านนี้มากที่สุด เดี๋ยวหว่านชิงเอากลับไปให้คุณแม่กินหนึ่งกล่องดีไหม?”

“ไม่ได้ค่ะ แม่จะรู้ว่าหนูแอบออกมาจากโรงเรียนอนุบาล” เสียวหว่านชิงส่ายหน้า

“หนูบอกเธอได้ว่าได้มันมาจากโรงเรียนอนุบาล”

“แม่บอกว่า เด็กดีไม่พูดโกหก”

“……” ชอบเด็กที่เอาจริงเอาจังจัดการยากที่สุดแล้ว

หนานกงเฉินคิด แล้วพูดปลอบ “มันคือคำโกหกที่หวังดี คำโกหกที่หวังดีนั้นพูดได้นะรู้ไหม”

“อะไรคือคำโกหกที่หวังดีคะ?”

“ก็คือไม่ได้เจตนาร้าย ก็คือคำโกหกที่ไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายคนอื่นแต่ยังมีผลดีต่อคนอื่นด้วยนะ เช่นหว่านชิงแอบเอาช็อกโกแลตให้คุณแม่” หนานกงเฉินพูด ในใจคิดว่าเหตุผลนี้น่าจะไม่เลวทีเดียว

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ไป๋มู่ชิงที่ไม่ได้ไปทำงานก็ไปรับเสียวมู่ชิงเลิกเรียนที่โรงเรียนอนุบาลด้วยตัวเอง แต่ในห้องเรียนไม่มีเงาของเสียวหว่านชิง

เห็นเด็กคนอื่นมีพ่อแม่มารับทีละคน แต่ไป๋มู่ชิงไม่รอให้เสียวหว่านชิงออกมาจากในห้องเรียน ในใจเธอคิดว่าอาจจะเพราะหว่านชิงถูกโรงเรียนให้อยู่ฝึกเป็นเจ้าภาพตัวน้อย เพราะก่อนหน้านี้ครูฟางเคยพูดเรื่องนี้กับเธอ

หลังจากครูฟางว่างเล็กน้อย เธอจึงเดินเข้าไปถาม “ครูฟาง หว่านชิงล่ะคะ?”

ครูฟางถามด้วยความประหลาดใจ “หว่านชิงยังไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ?”

“คุณพูดอะไรคะ? หว่านชิงกลับบ้านแล้ว?” ไป๋มู่ชิงเครียดในพริบตาเดียว

“อ๋อ คือแบบนี้นะคะ วันนี้ตอนบ่ายมีผู้ชายท่านหนึ่งบอกว่าอยากพาเธอไปกินขนมหวาน……”

“ว่าไงนะ……?!” ไป๋มู่ชิงอุทาน “หว่านชิงถูกคนเอาตัวไปแล้ว?”

“ค่ะ ผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อมาก เสียวหว่านชิงเรียกเขาว่าลุงเฉิน” ครูฟางเห็นไป๋มู่ชิงตกใจจนเป็นแบบนี้ ในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมา รีบถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นคะคุณผู้หญิงเฉียว? ฉันเห็นหว่านชิงสนิทกับผู้ชายคนนั้นมากเลย ผู้ชายคนนั้นยังสัญญาว่าจะมาส่งหว่านชิงที่โรงเรียนก่อนเลิกเรียน สุดท้ายก็ไม่ได้มาส่ง ฉันเลยคิดว่าเขาพาเธอกลับบ้านไป”

ลุงเฉิน……

ไป๋มู่ชิงกระวนกระวายใจมาก แน่นอนว่าเธอรู้ว่าลุงเฉินคนนี้หมายถึงหนานกงเฉิน แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินต้องพาเสียวหว่านชิงไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร? หรือว่า……

เธอไม่กล้าคิดถึงผลไม่ดีที่จะตามมาเหล่านี้ แต่เสียวหว่านชิงไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับหนานกงเฉิน ทำไมเขาใจดีพาหว่านชิงไปกินขนมแบบนั้น? เขาจะใช้หว่านชิงบังคับเธอให้กลับไปหาเขาหรือเปล่า?

“คุณผู้หญิงเฉียว คุณอย่าเพิ่งกังวลนะคะ” ครูฟางเห็นเธอกังวลมากจนเท้าอยู่ไม่นิ่ง พูดปลอบอย่างรู้สึกผิด “ไม่งั้นคุณลองโทรถามลุงเฉินของหว่านชิงดีไหมคะ?”

ไป๋มู่ชิงหายใจเข้าเบาๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าอย่างสั่นกลัวแล้วโทรเบอร์หนานกงเฉิน

โทรศัพท์ดังขึ้นนานมากไม่มีคนรับ เธอหันตัวรีบเดินออกไปพลางเปลี่ยนเป็นโทรหาเฉียวเฟิง เมื่อเชื่อมต่อโทรศัพท์ได้เธอก็ร้องไห้ออกมา “อาเฟิง หนานกงเฉินเอาตัวหว่านชิงไป ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน……”

“เธอว่าไงนะ? หนานกงเฉินเอาตัวหว่านชิงไป?” เฉียวเฟิงตกใจกับข่าวที่เธอพูดออกมา

“อือ ครูฟางบอกว่าเอาตัวไปตอนบ่าย ฉันโทรหาเขา เขาไม่รับสาย ทำยังไงดีอ่า……” นึกถึงเหตุการณ์ที่หนานกงเฉินเพื่อให้เธอกลับไปอยู่เคียงข้างเขา ไม่ลังเลที่จะกักขังเธอ บังคับให้เธอทานยา เธอเป็นห่วง เป็นห่วงว่าเขาจะหงุดหงิดอับอายจนโกรธแล้วทำร้ายหว่านชิง

เฉียวเฟิงคิด แล้วปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “หลิน เธอไม่ต้องเป็นห่วง หว่านชิงจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต หนานกงเฉินไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายลูก เธอกลับบ้านก่อนนะ ฉันจะส่งคนไปตามหา”

“เด็กดี กลับบ้านก่อนนะ ฉันวางแล้ว” เฉียวเฟิงวางสายไป

หลังจากเฉียวเฟิงวางสาย ก็รีบเปลี่ยนเป็นโทรหาเฉียวซือเหิงทันที พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “พี่ หนานกงเฉินรับหว่านชิงมาจากโรงเรียนอนุบาล พี่ว่าจะเป็นจุดประสงค์อะไร?”

เฉียวซือเหิงคิดแล้วยิ้ม “คงไม่เอาไปตัวดีเอ็นเอหรอก วางใจได้”

“แต่นอกจากจุดประสงค์นี้ จะมีอะไรอื่นอีกเหรอ?”

“หนานกงเฉินฝันยังไงก็ไม่คิดหรอกว่าตัวเองมีลูกสาวอยู่ข้างนอก ถึงจะตรวจก็ต้องตรวจหว่านชิงกับคุณหนูจูด้วย ก็ปล่อยให้เขาตรวจไปเถอะ”

“พี่ประเมินไอคิวหนานกงเฉินต่ำไปหรือเปล่า?”

“มันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับไอคิว ถ้าเป็นนาย จะพาเด็กไปตรวจดีเอ็นเอกับตัวเองหรือเปล่า?” เฉียวซือเหิงหยุดไปชั่วขณะหนึ่งแล้วพูดขึ้น “พวกนายอย่าเพิ่งกังวล จากความรู้สึกที่เขามีต่อไป๋มู่ชิง เขาไม่กล้าทำร้ายหว่านชิงหรอก รอดูก่อน ถ้าตอนเย็นมันไม่พาหว่านชิงกลับไปฉันจะออกไปอีกครั้ง”

เฉียวเฟิงไม่มีทางเลือก ทำได้แค่วางสายไป

“ลุงเฉิน โทรศัพท์ลุงดังตลอดเวลาเลย” เสียวหว่านชิงที่อยู่เบาะหลังเห็นหนานกงเฉินไม่รับสายตลอดเวลา จึงพูดเตือนด้วยความหวังดี

หนานกงเฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดขึ้น “เป็นโทรศัพท์ที่ไม่สำคัญ กลับบ้านค่อยรับ”

“มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่สุภาพไม่ใช่เหรอคะ”

“รู้แล้วล่ะ กลับไปฉันค่อยขอโทษเขา” หนานกงเฉินมองคิวยาวของรถตรงหน้า แล้วมองดูเวลาบนนาฬิกา มันเลยเวลาเลิกเรียนแล้ว

ช่วงเวลาเร่งด่วน ถนนรถติดกลายเป็นลานจอดรถ ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องกลับไปที่โรงเรียนแล้ว

โทรศัพท์เขาดังอีกครั้ง ยังคงเป็นเบอร์นั้นที่คุ้นเคย เขายังคงเหลือบมองเรียบๆ โดยที่ไม่ได้รับสาย

หลังจากติดบนถนนใหญ่เป็นเวลานาน การจราจรก็ค่อยๆ คลายตัวลง หนานกงเฉินเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนที่ตรงไปลานบ้านขนาดเล็กตระกูลเฉียว

ขณะที่โทรศัพท์ดังนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้เสียวหว่านชิงบอกเธอว่าเป็นโทรศัพท์จากแม่

เมื่อได้ยินเสียงเสียวหว่านชิง ไป๋มู่ชิงก็ทั้งร้องไห้ทั้งดุด่าอย่างสะเทือนใจ “เฉียวหว่านชิง! หนูไปไหนมา? หนูอยากทำให้แม่เป็นห่วงตายเหรอ?”

เสียวหว่านชิงมองหนานกงเฉินอย่างรู้สึกผิด แล้วกล่าวด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษค่ะแม่ หนูกับลุงเฉินไปเที่ยวข้างนอกด้วยกัน”

“แม่เคยบอกหนูแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปกับคนอื่นตามใจชอบ?”

“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ลุงเฉินเป็นคนดี เขาจะส่งหนูกลับบ้าน”

“หนูรู้ได้ไงว่าเขาเป็นคนดี” ไป๋มู่ชิงหายใจเข้า จากนั้นก็ถามขึ้น “ตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน? เขาทำให้หนูลำบากใจหรือเปล่า? เขาจะพาหนูส่งกลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม?”

ได้ยินคำพูดกังวลของไป๋มู่ชิงในโทรศัพท์ หนานกงเฉินก็ยิ้มขมขื่น ดูเหมือนความประทับใจที่ไป๋มู่ชิงมีต่อตนจะแย่มากจริงๆ ไม่ใช่คนเลวแท้ๆ !

“แม่ ตอนนี้ลุงเฉินกำลังส่งหนูกลับบ้าน แต่รถมันติด อาจจะต้องรออีกสักพัก”

“เขาจะส่งหนูกลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม?” ไป๋มู่ชิงถามอย่างไม่เชื่อใจ

“ใช่ค่ะ แม่ ลุงเฉินไม่ใช่คนเลว” เสียวหว่านชิงปลอบไป๋มู่ชิง พูดซ้ำอีกครั้ง

หลังจากวางสายไป เสียวหว่านชิงก็มองไปที่หนานกงเฉินอย่างไม่เข้าใจแล้วถามขึ้น “ลุงเฉิน ทำไมแม่ไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนดีล่ะ? ทั้งๆ ที่ลุงเฉินเป็นคนดี”

หนานกงเฉินยิ้มเยาะตัวเอง “เพราะแม่ไม่ชอบลุงเฉิน”

“ทำไมล่ะคะ?”

“อืม……อาจจะเพราะเธอก็มองลุงเป็นคนขี้โกหกด้วยล่ะมั้ง” สำหรับเขา ไป๋มู่ชิงปฏิบัติต่อเขาเป็นมากกว่าคนขี้โกหกอีก มองเขาว่าเป็นไอ้เลวที่บ้า

หนานกงเฉินเห็นไป๋มู่ชิงยืนหน้าประตูลานบ้านจากที่ไกลๆ รอให้เสียวหว่านชิงกลับบ้านอย่างกระตือรือร้น หลังจากเห็นรถเขา ก็ทักทายด้วยความยินดี

หนานกงเฉินจอดรถตรงหน้าเธอ เธอแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดประตูหลังรถอุ้มเสียวหว่านชิงออกมา

เสียวหว่านชิงโอบคอเธอพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ แม่เห็นไหมหนูพูดถูก ลุงเฉินไม่ใช่คนเลว!”

ถึงแม้เสียวหว่านชิงกลับมาแล้ว แต่หัวใจไป๋มู่ชิงที่ตกใจก็ยังไม่หายดี ตบก้นเล็กของเฉียวหว่านชิงแล้วพูดอย่างโกรธๆ “คราวหน้าอย่าไปกับคนอื่นมั่วซั่วอีกนะ แม่จะตีก้นหนูให้พังเลย!”

“แม่……” เสียวหว่านชิงคว่ำปาก ร้องออกมาอย่างน้อยใจ

จากนั้นไป๋มู่ชิงก็วางเธอบนพื้น เดินไปหาหนานกงเฉินที่อยู่ที่เบาะคนขับ จ้องมองเขาผ่านกระจกครึ่งบานแล้วพูดอย่างโมโห “คุณชายเฉิน หว่านชิงเป็นแค่เด็กที่ยังไม่รู้เรื่อง ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก!”

“ดูคุณกังวลมาก ฉันแค่พาหว่านชิงออกไปกินขนมและเที่ยวเล่นรอบๆ เอง”

“แล้วทำไมคุณไม่รับสายฉันตลอดเลย? หรือคุณไม่รู้ว่าฉันจะตามหาเธอเหรอ? อีกอย่าง หว่านชิงกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณมีสิทธิอะไรพาเขาออกไปกินขนม?”

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ นานสักพักกว่าจะพูดออกมาหนึ่งประโยค “เพราะฉันอยากให้เธอลิ้มรสการสูญเสียคนสำคัญที่สุดดูสักหน่อย แค่หนึ่งชั่วโมงเธอยังทนไม่ไหว แต่ฉันทนกับมันทุกวัน เธอเข้าใจไหม?”

ไป๋มู่ชิงเข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร จึงพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง

“ฉันไม่อยากพังคำพูดพวกนี้ของคุณ ฉันจะเตือนคุณอีกครั้ง ไม่ว่าคุณอยากจะทำอะไรกับฉันก็ห้ามลงมือกับลูกสาวฉันอีก ไม่งั้นฉันกับคุณจบกัน” ไป๋มู่ชิงพูดจบ ก็จูงเสียวหว่านชิงเข้าไปในบ้าน

เสียวหว่านชิงถูกไป๋มู่ชิงจูงเดินไป หันหน้าไปโบกมือเล็กให้กับหนานกงเฉิน “ไว้เจอกันค่ะลุงเฉิน!”

หนานกงเฉินก็ยกฝ่ามือให้เธอเช่นกัน ในใจก็รู้สึกไม่อยากจากลาเอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่คาดคิด

จนกระทั่งสองแม่ลูกเดินเข้าไปในบ้านแล้ว เขาถึงหันรถกลับแล้วออกไปจากที่นี่

หลังจากไป๋มู่ชิงจูงเสียวหว่านชิงกลับบ้านแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเฉียวเฟิงทันที บอกเขาว่าไม่ต้องไปตามหาอีกแล้ว

หลังจากวางสายไป เธอถอดกระเป๋านักเรียนเสียวหว่านชิงออก หยิบที่ปัดขนไก่ข้างกายขึ้นมาตีก้นเธอสองที แล้วพูดอย่างโกรธเคือง “แม่เคยบอกหนูแล้วใช่ไหมว่านอกจากพ่อแม่และคุณลุง ใครไปรับหนูที่โรงเรียนอนุบาลก็ห้ามไปด้วย? แม่เคยบอกหรือยัง?”

ที่ปัดขนไก่ประทับบนตัว เสียวหว่านชิงกระเด้งตัวโหยงพร้อมร้องไห้เสียงดังออกมา

“หนูยังกล้าร้องอีก ถ้าถูกคนไม่ดีอุ้มตัวไปจะทำยังไง? ทำไมลูกโง่แบบนี้?” ไป๋มู่ชิงตีเขาเธออีกครั้ง

“แม่……” เสียหว่านชิงหลบพร้อมร้องไห้ออกมาแล้วพูดขึ้น “ลุงเฉินเขาไม่ใช่คนเลว เขาไม่อุ้มหนูไปหรอก”

“หนูรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่คนเลว?”

“คราวก่อนเขาช่วยชีวิตหนู เขาไปส่งหนูที่โรงพยาบาล แม่บอกว่าต้องเป็นคนสุภาพและกตัญญูไม่ใช่เหรอ? ทั้งๆ ที่ลุงเฉินดีกับหว่านชิงแบบนี้ ทำดีกับแม่แบบนี้ ทำไมแม่ยังเห็นเขาเป็นคนเลวล่ะ? แงๆ ……” เสียวหว่านชิงเข็ดน้ำตาบนใบหน้าพลางบ่นไปด้วย

เมื่อก่อนเธอทำผิด ไม่ว่าไป๋มู่ชิงจะตีเธออย่างไร เธอก็ไม่กล้าร้องไห้เสียใจและประท้วงเสียงดังแบบนี้ แต่วันนี้……,

ถึงไป๋มู่ชิงจะโกรธที่เธอเถียงกลับ แต่สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ได้ไร้เหตุผล

หนานกงเฉินช่วยชีวิตเสียวหว่านชิงไว้จริงๆ ในความทรงจำของเสียวหว่านชิง หนานกงเฉินเป็นคนดีจริงๆ

เธอไม่รู้จะอธิบายความคับข้องใจระหว่างเธอกับหนานกงเฉินให้เสียหว่านชิงฟังอย่างไรดี แค่พูดต่อ “ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นคนนอก ลูกไปกับเขาไม่ได้ คราวหน้าไม่อนุญาตแล้วรู้ไหม?”

เสียหว่านชิงเช็ดน้ำตาพร้อมพยักหน้า “หว่านชิงรู้แล้ว”

ไป๋มู่ชิงหายใจเข้าเบาๆ หลังสงบสติอารมณ์ก็มองเธอแล้วถามขึ้น “เขาพาหนูไปทำอะไรบ้าง? ได้พูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?”

เสียวหว่านชิงหยุดร้องไห้ พูดขึ้นเสียงเบา “ลุงเฉินพาหนูไปกินขนมหวาน แล้วพาหนูไปนั่งรถบั๊มด้วย เขาพูดกับหนูเยอะเลย”

“เขายังซื้อช็อกโกแลตให้แม่ด้วยนะ” เสียวหว่านชิงหยิบช็อกโกแลตหนึ่งกล่องออกมาจากกระเป๋านักเรียน ส่งตรงหน้าเธออย่างระมัดระวัง “ลุงเฉินบอกว่าเมื่อก่อนแม่ชอบกินช็อกโกแลตร้านนี้มากที่สุด ให้หนูเอากลับมาให้แม่กินหนึ่งกล่อง”

ไป๋มู่ชิงเบนสายตาลงมองช็อกโกแลตในมือเธอ

ช็อกโกแลตยี่ห้อนี้เธอชอบทานจริงๆ แต่……เขารู้ได้อย่างไร? เธอจำได้ว่าตัวเองไม่เคยบอกเขามาก่อน หรือตัวเองเป็นอดีตภรรยาของเขาจริงๆ ?

ไม่……

เธอรีบส่ายหน้า เอาช็อกโกแลตในมือเสียวหว่านชิงทิ้งลงข้างๆ “แม่ไม่ชอบช็อกโกแลตร้านนี้”

เสียวหว่านชิงมองเธอ แล้วมองช็อกโกแลตบนโต๊ะ ร่างเล็กถอยหลังนิดหน่อย สายตามีความไม่เข้าใจ

ไป๋มู่ชิงเห็นท่าทางเธอน้อยใจและหวาดกลัว ก็ใจอ่อนดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก ลูบศีรษะเล็กของเธอแล้วพูดอย่างสงสาร “หว่านชิง แม่ไม่ได้ตั้งใจดุหนู ไม่ได้ตั้งใจไร้เหตุผล แม่แค่กลัวว่าหนูจะหายตัวไป หนูลืมสิ่งที่แม่เคยพูดกับหนูแล้วเหรอ? หนูคือลูกคนเดียวของพ่อแม่ พ่อแม่ขาดหนูไปไม่ได้นะรู้ไหม?”

“แม่ หนูรู้แล้ว ต่อไปหนูจะไม่ไปกับคนอื่นตามใจชอบอีก” เสียวหว่านชิงพูดในอ้อมกอดเธอ “แต่ลุงเฉินเขาไม่ใช่คนเลวจริงๆ แม่ไม่เกลียดเขาได้ไหม?”

ไป๋มู่ชิงไม่สามารถตำหนิเธอได้อีก ทำได้แค่กอดเธอขณะที่พยักหน้า

เสียวหว่านชิงยิ้มอย่างดีใจ จากนั้นก็ถอยออกมาจากอ้อมกอดเธอ หยิบช็อกโกแลตบนโต๊ะขึ้นมาเปิด จากนั้นก็หยิบชิ้นหนึ่งเข้าปากเธอ “แม่ ลิงน้อยตัวนี้ลุงเฉินเลือกมาให้แม่ กระต่ายขาวตัวนี้หว่านชิงเลือกมาให้แม่ แม่ลองหน่อยว่ามันอร่อยไหม”

ไป๋มู่ชิงอ้าปากรับช็อกโกแลตที่เธอยื่นมาให้ ช็อกโกแลตหวานมาก ละลายในปาก แต่เธอรู้สึกขมขื่นสุดๆ

จูจูมองภาพถ่ายที่นักสืบส่วนตัวส่งมาให้ทางโทรศัพท์ ยิ่งเห็นก็ยิ่งโกรธ ยิ่งเห็นก็ยิ่งขุ่นเคือง

เดิมทีเธอนึกว่าหนานกงเฉินอยู่กับเลขาเหยียนในช่วงนี้ เลยลืมผู้หญิงที่นามสกุลอีไปสนิทเลย ไม่คิดว่าเขายังติดต่อกับเธอจริงๆ และยังใช้เวลาทั้งบ่ายเที่ยวเล่นกับลูกสาวเธอ

ในรูปทั้งหมดเป็นฉากที่หนานกงเฉินกินขนมกับเสียวหว่านชิง และเล่นกันในสวนสนุก หนานกงเฉินที่ไม่ชอบเด็กมาตลอดไม่คิดเลยว่าจะสนิทสนมกับเด็กผู้หญิงที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแบบนี้? ดูสีหน้าใจดีเหมือนพ่อ การกระทำที่ผ่อนคลาย แตกต่างจากเขาในวันปกติโดยสิ้นเชิง!

เดิมทีเธออยากรู้ว่าระหว่างหนานกงเฉินและเลขาเหยียนได้เลิกกันอย่างสิ้นเชิงหรือเปล่า ไม่คิดว่าการติดตามครั้งนี้ ไม่คิดว่าจะได้ผลลัพธ์นี้ออกมา

เธอหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง ในใจแอบปลอบตัวเองว่าไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปแคร์ อย่าไปทำให้หนานกงเฉินโกรธ

ถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าเธอหานักสืบเพื่อติดตามเขา ต้องโกรธจนอยากบีบคอเธอให้ตายอีกแน่ๆ และท่าทีของหนานกงเฉินก็ชัดเจนมาก เขาแต่งงานให้เธอได้ ให้สถานะเธอได้ แต่จะไม่ให้อย่างอื่น ยิ่งไม่ให้เธอควบคุม

เพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ในตอนนี้ อย่าไปทำให้เขาโกรธเลย เธอแอบคิดในใจ

เธอปลอบใจตัวเองอยู่นานมาก ขณะที่ลืมตาขึ้น ในใจก็สงบลงไม่น้อย เธอหันตัวเดินไปที่ประตูห้องนอน

เมื่อเธอหันตัวมา เห็นผู่เหลียนเหยาผ่านประตูมาพอดี จึงเดินไปประคองรถเข็นเธอแล้วพูดขึ้น “เหลียนเหยา เธอจะไปไหน? ฉันจะเข็นเธอไป”

ผู่เหลียนเหยายิ้ม “เปล่าค่ะ แค่เพิ่งตื่น อยากจะไปชงชาที่ห้องนั่งเล่น ไปด้วยกันไหมคะ?”

จูจูคิดแล้วพยักหน้า “เอาสิ”

ผู่เหลียนเหยาชงชาไปด้วยพลางเบนสายตาสังเกตเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เป็นอะไรคะ? ดูท่าทางพี่กระสับกระส่าย หรือว่าหงุดหงิดเรื่องเลขาเหยียนคนนั้นอีกแล้วใช่ไหม?”

จูจูส่ายหน้าอย่างขมขื่น พูดขึ้น “ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ว่า คุณย่าพูดถูก ถึงจะไล่เลขาเหยียนออกไปได้แล้ว แต่ก็ยังมีผู้หญิงนับไม่ถ้วนไปเกาะแขนคุณชายใหญ่”

“เกิดอะไรขึ้น? พี่มีผู้หญิงใหม่อีกแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่คนใหม่ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนนั้นที่ชื่ออีหลิน ไม่คิดว่าวันนี้คุณชายใหญ่จะพาลูกสาวเธอออกไปเที่ยวในช่วงบ่าย เธอคิดว่านี่มันผิดปกติมากเลยใช่ไหม”

“ผิดปกติจริงๆ เท่าที่ฉันรู้มาพี่ไม่ชอบเด็ก”

“อาจจะเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนจูจูตอนเด็กๆ ก็ได้นะ คุณชายใหญ่เลยชอบเธอเป็นพิเศษ คราวก่อนที่ห้างสรรพสินค้าก็รีบลงบันไดเลื่อนเพื่อช่วยชีวิตเธอโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตัวเอง”

“คุณว่าไงนะ?” ผู่เหลียนเหยาถามอย่างประหลาดใจ “เมื่อกี้คุณบอกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนจูจูตอนเด็กมากเหรอ?”

“อืม”

“เหมือนขนาดไหนคะ?” ผู่เหลียนเหยาสงสัยมาก

จูจูจึงนำรูปภาพในโทรศัพท์ออกมาให้เธอดู “รูปพวกนี้คนอื่นส่งมาให้ฉัน เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนี้แหละ”

ผู่เหลียนเหยาหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วดูอีก พบว่าเด็กผู้หญิงตัวน้อยในรูปเหมือนจูจูตอนเด็กจริงๆ จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองจูจูแล้วถามขึ้น “คุณรู้ไหมว่าสามีเธอชื่ออะไร? เป็นคนอะไร? อีกอย่าง……คุณรู้จักเธอมากแค่ไหน?”

“ฉันแค่รู้ว่าสามีเธอชื่อเฉียวเฟิง เป็นเจ้าของร้านอาหารตะวันตกซิงหยวน ส่วนสองแม่ลูกคู่นี้ เพิ่งกลับประเทศเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทำไมเหรอ?”

“เฉียวเฟิง” ผู่เหลียนเหยาคิด จากนั้นก็ยิ้ม “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาน่าจะเป็นคุณชายรองตระกูลเฉียว เป็นคนพิการใช่ไหมคะ?”

“ถูกต้อง นั่งรถเข็น”

จูจูเห็นรอยยิ้มบนหน้าผู่เหลียนเหยาเปลี่ยนไปอย่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ทีละนิด จึงถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร? เธอรู้จักหล่อนเหรอ?”

ผู่เหลียนเหยาเงียบไปนานมาก จู่ๆ ก็เบนสายตาขึ้นมองเธอแล้วพูด “จะบอกความลับที่ลับมากให้คุณฟังหนึ่งเรื่อง เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นลูกสาวแท้ๆ ของหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง”

“เธอว่าไงนะ?” จูจูเพิ่งหยิบแก้วชาขึ้นจะดื่ม เมื่อได้ยินประโยคนี้ฝ่ามือที่ถือแก้วชาก็สั่น แก้วชาเกือบร่วงลงไป

ผู่เหลียนเหยาเหลือบมองประตูห้องนั่งเล่น วางนิ้วชี้ไว้ที่ริมฝีปาก กดเสียงต่ำพูดขึ้น “ความลับนี้นอกจากคนนามสกุลเฉียว ก็ไม่มีใครรู้อีก ปิดยังพี่และพี่สะใภ้คนก่อน ดังนั้นพี่เก็บความลับด้วยจะดีที่สุด”

จูจูมองเธออย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินทั้งหมด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินดีกับเด็กผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนั้น แต่ไม่เคยคิดว่ามันคิดเหตุผลนี้มาก่อน ลูกสาวแท้ๆ ของหนานกงเฉินเหรอ? เป็นไปได้อย่างไร!

“ลูกของคุณชายใหญ่กับไป๋มู่ชิงไม่ใช่ลูกชายเหรอ? ที่ตายไปตั้งนานแล้ว?” จูจูถามเสียงสั่น “อีกอย่าง……เธอรู้ได้ยังไง?”

ผู่เหลียนเหยาเม้มริมฝีปากยิ้ม “คุณอย่าถามฉันเลยว่ารู้ได้ยังไง เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่คุณ”

“ฉันไม่เชื่อ” จูจูส่ายหน้า นี่มันน่าตกใจเกินไป เธอเลยไม่เชื่อ ไม่เชื่อ!

ผู่เหลียนเหยายักไหล่ “ก็ได้ค่ะ งั้นถือว่าเป็นการคาดเดาของฉันก็แล้วกัน”

“มันคือเรื่องจริงหรือเปล่า?” จูจูถามอีกประโยคอย่างไม่เต็มใจ “หลักๆ คือฉันเห็นเด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนแม่เธอมาก แค่มองก็รู้แล้วว่าลูกแท้ๆ ”

ผู่เหลียนเหยาไม่ตอบคำถามนี้ของเธอ แต่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ในความคิดฉัน แม้แต่ผู้หญิงที่ชื่ออีเหลินก็มีปัญหามาก”

“เธอหมายความว่า……” สีหน้าจูจูซีดอีกครั้ง

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า “ไม่งั้นพี่จะสนใจผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทำไม? ฉันว่านี่คือเหตุผลล่ะมั้ง”

“แต่เธอเคยเจอฉันหลายครั้งแล้ว เธอไม่รู้จักฉันนะ”

“แกล้งทำล่ะสิ ไม่งั้นก็ความจำเสื่อมจริงๆ ” ผู่เหลียนเหยาพูด “ฉันเดาว่าเธอน่าจะความจำเสื่อมจริงๆ ไม่งั้นเธอคงไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ ”

“ฉันว่าเธอไม่เหมือนแกล้งทำนะ”

“งั้นก็ความจำเสื่อมจริงๆ แม้แต่พี่เขาก็ลืมไปด้วย”

“เธอหมายความว่า……คุณชายใหญ่ก็รู้ความลับนี้เหรอ?”

“ฉันว่าไม่รู้นะ” ผู่เหลียนเหยาพูด “ไม่งั้นด้วยนิสัยของพี่……พี่ต้องแย่งลูกกลับมาทันที คงไม่เลี้ยงเธออยู่ข้างนอกเรียกคนอื่นว่าพ่อแบบในตอนนี้หรอก”

จูจูพยักหน้า นี่เป็นความจริงแน่นอน

คนในครอบครัวหนานกงหายากมาก ถ้ารู้ว่ามีลูกสาวอยู่ข้างนอกต้องพาเธอกลับมาที่ตระกูลหนานกงเพื่อเลี้ยงดูแน่ๆ

เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด แค่รู้สึกสมองว่างเปล่า

หวังจริงๆ ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการคาดเดาของผู่เหลียนเหยา เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนั้นไม่ใช่ลูกสาวของหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง ผู้หญิงที่ชื่ออีหลินกับไป๋มู่ชิงไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอไม่กล้าคิด ถ้าพวกเธอเป็นอย่างที่ผู่เหลียนเหยาเดาจริงๆ เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร

“ทำยังไงดี? ถ้าเธอคือไป๋มู่ชิงจริงๆ ฉันควรทำยังไงดี?” จูจูใช้ฝ่ามือถูใบหน้าอย่างกังวล ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ถ้าเป็นจริงๆ ล่ะก็ ชีวิตนี้ของเธอก็อย่าคิดจะได้หนานกงเฉินอีก ไม่ว่าร่างกายเขาหรือหัวใจของเขา

ผู่เหลียนเหยาส่ายหน้า “นี่ฉันก็ไม่รู้แล้ว คุณก็ตั้งใจคิดดีๆ ว่าควรทำยังไง”

ผู่เหลียนเหยากวาดตามองไปที่ประตูห้องนั่งเล่นอีกครั้ง กดเสียงต่ำพูดขึ้น “เก็บเป็นความลับ ห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ไม่งั้นมันจะไม่ดีกับคุณ”

จูจูพยักหน้า เรื่องนี้เธอคิดอย่างรอบคอบ ถ้าให้คุณผู้หญิงรู้ คุณผู้หญิงก็ต้องให้พาเสียวหว่านชิงกลับมาแน่ๆ ถ้าให้หนานกงเฉินรู้ เดาว่าเขาจะต้องหย่ากับเธอโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วกลับไปอยู่กับไป๋มู่ชิงอีกครั้ง

ดังนั้นเธอต้องนิ่งไว้ ห้ามให้บุคคลที่สามค้นพบความลับนี้!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท