เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 211 บทที่สำคัญ 2

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

คุณตำรวจกลัวว่าเมื่อผู้ร้ายตื่นตระหนกแล้วจะขุ่นเคืองจนโมโหขึ้นมาจากนั้นก็ทำร้ายตัวประกันจนถึงแก่ชีวิต ภายใต้คำขอร้องของหนานกงเฉินจึงเปลี่ยนชุดเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ

สถานที่ที่เฉียวเฟิงส่งให้เขาคือภายในหมู่บ้านชานเมืองทางตะวันตกของเมืองซี อีกทั้งพวกเขายังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มาตลอด

ทางนั้นจะต้องเป็นโรงงานเป็นแน่ หมู่บ้านชานเมืองส่วนมากจะเป็นบ้านพักส่วนตัวที่มีความสูงสามสี่ชั้น ผู้ที่พักอาศัยอยู่ล้วนเป็นผู้ใช้แรงงานที่ทำงานอยู่ภายในโรงงาน

และเวลานี้ ไป๋มู่ชิงเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการสลบ เธอขยับร่างกายและรู้สึกว่าตัวเองยังคงถูกมัดเอาไว้เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าหากต้องการหลบหนีคงเป็นเรื่องที่ยากมาก

เธอจำได้ว่าขณะที่เธอกำลังโวยวายอยู่ภายในรถตู้นั้น ฝ่ายคนร้ายได้วางยาสลบให้เธอเป็นลมไป เวลานี้บริเวณรอบ ๆ มืดมิดไปหมด ดูเหมือนว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว ทันใดนั้นเองเธอก็คิดถึงหว่านชิงขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง จะถูกพวกพ้องของพวกมันจับตัวไปหรือไม่

“ฟื้นแล้วเหรอ ?” อยู่ ๆ ข้างลำตัวเธอก็มีเสียงคนแปลกหน้าดังขึ้นมา

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าเรียวเล็กของตนขึ้นมา เมื่อมองเห็นผู้ชายแปลกหน้าที่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำเบื้องหน้า จึงรีบสอบถามทันทีอย่างกระวนกระวายใจ : “ลูกสาวฉันล่ะ ? พวกแกทำอะไรกับเธอ ?”

“แกยังมีหน้ามาถามเรื่องลูกสาวอีกเหรอ ?” ชายผู้นั้นง้างมือขึ้นมาตบลงใบหน้าของเธอ : “ถ้าไม่เป็นเพราะแก ตอนนี้พวกเราจะถูกตำรวจประกาศจับเหรอ ? และตาของฉัน เกือบจะบอดไปแล้ว !”

ไป๋มูชิ่งถูกเขาตบหน้าจนร้องตกใจขึ้นมา บริเวณแก้มของเธอได้บวมแดงขึ้นตั้งนานแล้ว

ทว่าเธอยังคงกล่าวขอร้องขึ้นมาโดยไม่เกรงกลัวต่อความตาย : “พวกนายจะตีหรือฆ่าฉันก็ได้ แต่ลูกสาวของฉันยังเด็กอยู่ เธอไม่รู้อะไรเลย ขอร้องพวกนายอย่าทำร้ายเธอเลยนะ ขอร้องละ……”

“แกมาขอร้องฉันมันจะไปมีประโยชน์อะไร ? ฉันเป็นแค่คนที่รับเงินมาแล้วทำตามเท่านั้น !”

“นายรับเงินใครมาทำร้ายฉันกันแน่ ? ฉันไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเลยนะ ? ทำไมต้องทำอย่างนี้กับฉันด้วย ?”

“ตอนที่เธอแย่งสามีคนอื่น ทำไมถึงไม่คิดผลที่จะตามมาบ้าง ?” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม

ไป๋มู่ชิงอึ้งไปกับคำพูดของเขา จากนั้นจึงส่ายหน้าทันควัน : “ฉันเปล่านะ ! ฉันไม่เคยแย่งสามีของใครเลย……ฉันมีสามีแล้วฉันจะไปแย่งสามีคนอื่นมาได้ยังไงกัน……”

และทันใดนั้นเองเธอก็นึกถึงคำเตือนที่จูจูพูดกับตนในตอนนั้นพร้อมทั้งใบหน้าที่เคร่งขรึมน่ากลัวอย่างยิ่งของเธอด้วย และในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนี้ตนถึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ! ผู้หญิงคนนั้นชั่วร้ายจนน่ากลัว ชั่วร้ายจนไม่มีขอบเขต !

เธอรีบใช้มือดึงขากางเกงของชายผู้นั้นเอาไว้ทันที จากนั้นก็กล่าวขอร้อง : “เธอให้นายเท่าไหร่ ? ฉันจะให้นายสองเท่าเลย ขอแค่นายปล่อยพวกเราสองแม่ลูกไป……การที่พวกนายทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ กฎหมายไม่มีทางปล่อยพวกนายไปแน่……”

“ถึงยังไงเจ้าหนี้พวกนั้นก็ไม่ยอมปล่อยฉันไปหรอก ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี ฉันจะกลัวอะไร ?”

“ฉันจะช่วยนายคืนหนี้เอง……”

“หุบปาก คนเจ้าเล่ห์อย่างแกมีแค่ผีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ !” ชายผู้นั้นสะบัดขาอย่างแรง ทำให้มือของเธอหลุดออกจากขาเขา

“พี่รอง เรารีบจัดการ รีบแยกย้ายกันดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าตำรวจตามมาจะยุ่งเอานะ” ชายอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พูดเร่ง

ชายหนุ่มหันหน้าไปหา : “นายโทรไปยืนยันหน่อยว่าให้จัดการยังไงกันแน่ บอกเขาว่าถ้าจะให้จัดการละก็ รีบโอนเงินเข้ามา”

“ครับ” ชายอีกคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง จากนั้นก็รีบโทรหาเบอร์หนึ่งทันที

หลังจากที่ปลายสายรับแล้วเขาก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาทันทีว่า : “คุณหนูจู เอาเด็กกลับคืนมาไม่ได้ ตอนนี้คุณหนูอีอยู่ในมือของพวกเราแล้ว ขอถามหน่อยว่าจะต้องทำยังไงต่อ ?”

จูจูที่อยู่ปลายสายในเวลานี้กำลังเล่นที่สระว่ายน้ำภายในสวนดอกไม้เป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงอยู่ มือหนึ่งของเธอหยิบโทรศัพท์ อีกมือโอบเสียวหว่านชิงเอาไว้ นิ้วมือลูบไปบนแก้มเล็ก ๆ ของเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นเธอก็ก้มหน้ามองเสียวหว่านชิงที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า : “ฉันจะจัดการเด็กเอง อีกคน……จัดการให้ฉันเดี๋ยวนี้”

“จัดการตอนนี้เลยได้ แต่เงินครึ่งหนึ่งที่คุยกันไว้ล่ะ ?” ชายหนุ่มถาม

“ฉันจะโอนให้เดี๋ยวนี้แหละ” จูจูวางสายโทรศัพท์ จากนั้นก็กดไปมาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์

หลังจากที่เธอโอนเงินเสร็จสรรพ จึงพบว่าเสียวหว่านชิงกำลังเงยหน้ามองตนด้วยสายตาฉงนสงสัย เธอจึงฉีกยิ้มส่งไปให้พร้อมลูบเส้นผมของเธอ : “คุณพ่อบอกว่ารถติดนิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว พวกเรารออีกหน่อยโอเคไหมคะ”

เสียวหว่านชิงพยักหน้า

ไป๋มู่ชิงสามารถได้ยินเสียงพูดของผู้หญิงที่อยู่ปลายสายได้เลือนราง เธอจึงรู้สึกกระส่ายกระสับขึ้นมากกว่าเดิม

ทำอย่างไรดี ? ดูท่าทางพวกเขาแล้วไม่เหมือนกำลังทำให้เธอหวาดกลัวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าต้องการฆ่าแกงกัน ถ้าหากเธอยังไม่คิดหาวิธีหนีเอาตัวรอดออกมา เช่นนั้นวันนี้จะต้องตายแหงแก๋เป็นแน่

เธอถือโอกาสตอนที่พวกนั้นกำลังรอยอดเงินเข้าบัญชี รีบพูดขึ้นมาภายใต้จิตใจอันร้อนรน : “ฉันอยากไปเข้าห้องน้ำ”

เธอไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทำได้เพียงถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด

“ห้ามไป” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

“นี่คือคำขอร้องสุดท้ายก่อนที่ฉันจะตาย พวกแกยังไม่ยอมให้ฉันไปอีกงั้นเหรอ ? พวกแกไม่กลัวฉันตายเป็นผีแล้วตามรังควานเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงพูดขู่ด้วยความโมโหพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

“อย่าคิดเอาเรื่องนี้มาทำให้พี่ตกใจหน่อยเลย ทั้งชีวิตนี้พี่ไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเรื่องผีสาง เชื่อแต่ตัวเอง”

ครั้นชายอีกผู้หนึ่งกลับสะดุ้งโหยงพร้อมกล่าวว่า : “ให้เธอไปเถอะ ถึงยังไงเธอก็หนีไม่พ้นหรอก”

ชายหนุ่มทำได้เพียงแกะเชือกที่สองขาของไป๋มู่ชิงออก จากนั้นก็ผลักเธอเข้าห้องน้ำไป

หลังจากไป๋มู่ชิงเข้าห้องน้ำไปแล้วจึงรีบล็อกประตูโดยเร็ว จากนั้นก็พิงประตูแล้วเริ่มกวาดสายตามองทุกมุมในห้องน้ำ

จากนั้นก็มีเสียงกล่าวตักเตือนดังขึ้นมาจากหน้าประตู : “นังตัวดี ฉันขอเตือนเธอไว้นะอย่าเล่นแง่ นอกหน้าต่างคือกำแพงที่เต็มไปด้วยตะปูนะโว้ย ถ้าแกกล้ากระโดดลงไปจะต้องตายอย่างน่าเวทนาสุด ๆ เลยแหละ และก็ถ้าแกกล้าร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันจะข่มขืนแกแล้วฆ่าทิ้งทันที……”

คำขู่อันน่ากลัวเข้ามากระทบใบหูเป็นชุด ๆ ไป๋มู่ชิงกระวนกระวายจนขีดสุด ครั้นกลับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

เธอใช้ฟันกัดเชือกที่มัดแขนเธอเอาไว้อย่างแรง จากนั้นก็ปีนขึ้นขอบหน้าต่างไป ด้านล่างเห็นกำแพงที่มีตะปูตั้งอยู่เต็มไปหมดอย่างที่เขาว่า ถ้าหากกระโดดลงจากตรงนี้ไม่เพียงแต่อาจถูกตะปูทิ่มแทงจนพรุนเป็นรังผึ้ง และอาจจะหล่นลงบนพื้นปูนซีเมนต์ตายก็เป็นได้

เธอปิดปากเอาไว้ กระวนกระวายใจจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

จากนั้นก็มีเสียงผู้ชายดังเข้ามาจากหน้าประตู : “พี่รอง เงินเข้าแล้วครับ พวกเรารีบจัดการรีบหนีเอาตัวรอดกันเถอะ”

“รอมันออกมาก็จัดการได้เลย” อีกเสียงหนึ่งกล่าว

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋มู่ชิงจึงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม เธอคิดว่าตกลงไปตายยังดีเสียกว่าให้พวกมันฆ่าตาย คิดได้ดังนั้นเธอใช้สองมือเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก

หน้าต่างห้องน้ำเล็กมาก ลำตัวครึ่งท่อนของเธอสามารถฝืนยัดเข้าไปได้ ทันใดนั้นเองเธอมองเห็นด้านล่างมีเงาคนวิ่งกรูเข้ามาอยู่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือหนานกงเฉิน เมื่อเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยแล้วเธอจึงรู้สึกราวกับเห็นความหวัง น้ำตาจึงไหลรินลงมาทันที

หนานกงเฉินที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเธอแล้วเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นว่าเธออาจจะกระโดดลงมา จึงรีบโบกไม้โบกมือให้เธอด้วยความกระวนกระวาย : “มู่ชิงรีบกลับไป……อย่ากระโดดเด็ดขาด……”

ไป๋มู่ชิงใช้มือปิดปากไว้พร้อมร้องไห้โฮ เธอไม่กล้าทำเสียงดัง ทำได้เพียงร้องไห้โดยไม่มีเสียง และขอความช่วยเหลือโดยไม่มีเสียง

“อย่ากลัว ผมจะต้องช่วยคุณมาให้ได้……เชื่อผมนะ……” หนานกงเฉินพูดจบแล้วก็วิ่งพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่ของตึกเล็ก ๆ ด้วยความเร็ว จากนั้นเขาก็กระชากประตูใหญ่ออก พบว่าประตูถูกล็อกเอาไว้แน่น เขาซึ่งขณะนี้กำลังร้อนรนใจอยู่นั้นจึงออกมาข้างนอกใหม่ พร้อมกวาดสายตามองรอบ ๆ สุดท้ายก็เลือกที่จะปีนกำแพงของบ้านข้าง ๆ ขึ้นไป

“คุณชายเฉิน อันตราย……” ผู้ที่มาพร้อมกันพูดห้ามปรามเขา

หนานกงเฉินไม่สามารถสนใจเรื่องอื่นได้ เขาคิดเพียงว่าต้องปีนขึ้นด้านบนตึกให้เร็วที่สุด จากนั้นก็เข้าไปช่วยเหลือไป๋มู่ชิงกลับคืนมาในขณะที่คนร้ายยังไม่รู้ตัว ไม่อย่างนั้นถ้าพวกมันรู้ตัว ไป๋มู่ชิงต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

ผู้ชายที่รับผิดชอบเฝ้าทางเห็นด้านล่างมีคนอยู่มากมาย จึงรีบวิ่งกลับเข้าห้องพร้อมพูดกับชายทั้งสองคนว่า : “แย่แล้ว ด้านล่างมีคนมาเพียบเลย”

“นายว่าอะไรนะ ?” ชายทั้งสองคนวิ่งมายังระเบียงจากนั้นก็ก้มมองด้านล่าง และเห็นมีคนมากมายอยู่ด้านล่างจริง ๆ

พวกเขาอึ้งไป จากนั้นหนึ่งในนั้นก็รีบสาวเท้ามุ่งมายังห้องน้ำพร้อมพูดว่า : “รีบฆ่ามันซะแล้ววิ่งหนีไปจากชั้นบน”

เขาถีบประตูไม้ของห้องน้ำออกด้วยเท้าเดียว จากนั้นก็กระชากไป๋มู่ชิงลงมาจากขอบหน้าต่าง ในมือถือมีดหั่นผลไม้ที่เอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นมีดที่อยู่ในมือเขาจึงตกใจจนขวัญเสียทันที เธอกรีดร้องจากนั้นก็เดินถอยหลังไป

“พี่รอง ถ้าฆ่าเธอแล้วพวกเรายังหนีไปได้อยู่อีกไหม ? พวกเราพาเธอไปเป็นตัวประกันที่ด้านบนก่อน” ชายอีกผู้หนึ่งกล่าว

ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายลงคอจากนั้นก็รีบพูดขึ้นมา : “พวกนายอย่าทำนะ……ฆ่าคนต้องถูกประหารชีวิตนะ……ถ้าตอนนี้พวกนายล้มเลิกอย่างมากก็แค่เข้าคุก……”

“หุบปากเดี๋ยวนี้……!” ชายหนุ่มง้างมือขึ้นหมายจะตบเธอ

ไป๋มู่ชิงจึงใช้สองมือกุมใบหน้าของตนเอาไว้ทันที

ชายหนุ่มไม่ได้ตบเธอ ครั้นคว้าเธอพร้อมกระชากเธอออกจากห้องน้ำมา จากนั้นก็เดินมุ่งไปชั้นบน พร้อมพูดกำชับพวกพ้องว่า : “รีบไปเร็ว ขึ้นไปชั้นบนสุด”

อาณาบริเวณนี้ไม่มีผู้ใดคุ้นเคยมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว จากชั้นบนนั้นเป็นเส้นทางดีในการหนีเอาตัวรอดโดยแท้จริง พวกเขาพาไป๋มู่ชิงมายังชั้นบนสุดของตึก ขณะที่กำลังจะกระโดดลงไปจากตึกเพื่อนบ้านนั้น อยู่ ๆ เบื้องหน้าก็มีเงาร่างคนปรากฏขึ้นมา

เท้าของพวกเขาหยุดชะงักลง พร้อมทั้งมองหนานกงเฉินที่กระโดดข้ามมาจากบนตึกที่อยู่ข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง

“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงตะโกนออกมาเสียงเบา จากนั้นน้ำตาก็ไหลรินลงด้วยความอัดอั้นตันใจ

“ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไปไกล ๆ !” ชายหนุ่มจ้องหน้าหนานกงเฉินตาเขม็งพร้อมพูดขู่อย่างเย็นชา ในเวลาเดียวกันนี้ก็นำมีดขึ้นมาไว้ที่ลำคอของไป๋มู่ชิง และใช้สายตาส่งสัญญาณบอกให้พรรคพวกจัดการหนานกงเฉินทิ้งเสีย

“คำพูดนี้ต้องเป็นฉันที่พูดกับพวกแกมากกว่า ถ้าไม่อยากตายก็รีบปล่อยเธอซะ” หนานกงเฉินจ้องหน้าเขา พร้อมสาวเท้ามาข้างหน้าเรื่อย ๆ

ผู้ชายสองคนเดินหน้ามาโจมตีหนานกงเฉิน ครั้นหนานกงเฉินชิงลงมือก่อนด้วยความรวดเร็ว เขาล้มชายหนึ่งในนั้นลงพื้นอย่างแรง ครั้นมือของเขาก็ถูกชายอีกคนใช้มีดฟันเข้ามาอย่างแรง เลือดสด ๆ ไหลออกจากเสื้อเชิ้ตบาง ๆ ของเขาทันที

เมื่อเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ไป๋มู่ชิงจึงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ พร้อมพูดขึ้นมา : “คุณชายเฉินอย่าสนใจฉันค่ะ พวกมันคนเยอะกว่าคุณสู้ไม่ไหวหรอก……”

หนานกงเฉินใช้มืออีกข้างกุมแขนข้างที่เลือดสด ๆ ไหลออกมา จากนั้นก็จ้องหน้าเธอพร้อมพูดขึ้นว่า : “มู่ชิง ฟังให้ดีนะ ถ้าพวกมันกล้าทำร้ายเธอจนถึงแก่ความตาย ฉันจะฆ่าพวกมันทิ้งให้หมดแล้วตายไปพร้อมกับเธอ”

“อย่านะ……” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา : “ฉันไม่ต้องการให้คุณตายเป็นเพื่อนฉัน ฉันไม่ได้รักคุณสักหน่อย……ฉันไม่ต้องการ……”

เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าหนานกงเฉินจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากจะบอกว่าไม่ประทับใจเลยคงไม่ใช่เรื่องจริง ครั้นเธอไม่อยากให้เขาได้รับบาดเจ็บเพราะเธอหรือเสียชีวิตเพราะเธอจริง ๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็เป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นคนที่เธอเคยรักมาก่อนจริง ๆ เธอเองก็ไม่มีทางกลับไปอยู่เคียงข้างเขาได้อีกต่อไปแล้ว

เธอถูกชายผู้นั้นลากเดินมุ่งไปยังรั้วกั้นทีละก้าว เธอไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลืออีกต่อไป ครั้นมองไปหาหนานกงเฉินแล้วพูดว่า : “คุณชายเฉิน ขอโทษด้วยนะคะ บางทีเมื่อก่อนพวกเราอาจเคยรักกันจริง ๆ แต่ตอนนี้ฉันแต่งงานกับเฉียวเฟิงแล้ว ฉันไม่ควรค่าที่จะทำให้คุณต้องมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ชาตินี้ถ้าฉันติดค้างอะไรคุณ ชาติหน้าฉันค่อยมาคืนให้คุณ คุณได้โปรดออกไปจากตรงนี้ด้วยค่ะ……เลิกต่อยตีกับพวกมันได้แล้วได้ไหมคะ……”

“ไม่ใช่ ชาตินี้ผมติดค้างคุณต่างหาก เพราะงั้นผมจะใช้ชาตินี้และชาติหน้ารวมถึงชาติหน้า ๆ เพื่อคืนให้คุณ ผมจะไม่ยอมให้คุณตายไปอย่างนี้เป็นแน่……” หนานกงเฉินสาวเท้าก้าวมาด้านหน้าเรื่อย ๆ สายตาพลางหันไปมองชายกลุ่มนั้น : “ได้ยินหรือยัง ถ้าพวกแกกล้าทำให้เธอตาย ฉันจะให้พวกแกชดใช้ด้วยชีวิตทีละคน !”

“พูดเพราะจังเลยนะ !” ชายหนุ่มได้ถอยไปจนถึงรั้วกัน ขาข้างหนึ่งได้ก้าวข้ามรั้วไปแล้ว จากนั้นก็ลากไป๋มู่ชิงตามตนมา

“ขอโทษทีนะ ผู้หญิงคนนี้จะต้องตายวันนี้” ชายหนุ่มได้ยินเสียงเท้าวิ่งมาด้วยความรวดเร็วจากบันได จึงทราบทันทีว่าคนที่อยู่ด้านล่างได้ทำลายประตูและวิ่งขึ้นมาแล้ว ด้วยความร้อนรนใจเขาจึงผลักไป๋มู่ชิงออกไปนอกรั้วกั้นอย่างแรง ตนเองกลับวิ่งหนีเอาชีวิตไปยังชั้นบนสุดของตึกข้าง ๆ ด้วยความรวดเร็ว

“กรี๊ด……!” ไป๋มู่ชิงกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา ร่างกายร่วงหล่นลงเบื้องล่าง จากนั้นเธอจึงคว้าท่อระบายน้ำที่อยู่ด้านล่างของรั้วด้วยสัญชาตญาณ

“มู่ชิง……!” หนานกงเฉินตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักพัก จากนั้นก็รีบพุ่งเข้ามาหมายจะดึงไป๋มู่ชิงขึ้น

ครั้นเนื่องจากร่างกายของไป๋มู่ชิงได้ร่วงลงไปเยอะมากแล้ว หนานกงเฉินไม่สามารถคว้ามือเธอถึงได้โดยสิ้นเชิง

ไป๋มู่ชิงตกใจจนร้องไห้โฮขึ้นมา

“มู่ชิง คุณจะต้องอดทนไว้นะ !” หนานกงเฉินได้ก้าวข้ามออกไปยังรั้วที่ไม่สูงมากนักด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็โน้มลำตัวลงไปด้านล่างอย่างเต็มกำลัง และคว้ามือของไป๋มู่ชิงเอาไว้ได้ก่อนที่นิ้วมือของเธอจะลื่นด้วยความยากลำบาก

“มู่ชิง จับมือผมไว้ให้แน่น ๆ นะ” หนานกงเฉินกัดฟันแน่น จากนั้นก็พยายามดึงเธอขึ้นมา

บาดแผลที่อยู่บนแขนของเขาฉีกขาดเนื่องจากใช้แรงเยอะเกินไป จึงทำให้เลือดไหลทะลักออกมา โดยไหลลงจากข้อมือของเขาจนถึงมือของไป๋มู่ชิง

เขาเจ็บปวดจนต้องกัดฟันแน่น ทำให้เขาไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิม

“แขนของคุณ……” ไป๋มู่ชิงพูดพึมพำด้วยความรู้สึกสงสาร : “แขนคุณได้ขาดแน่”

“ไม่ต้องสนแขนผม” หนานกงเฉินอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้พร้อมกล่าวขึ้น

ตำรวจบ้านที่เร่งมา ณ ที่เกิดเหตุได้ไล่ตามผู้ร้ายด้วยความเร็วไปแล้ว มีเพียงหนึ่งในนั้นที่วิ่งมาช่วยเหลือเอาไว้ ครั้นเนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่อำนวย เขาจึงช่วยเหลือไว้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าเขาไม่ทราบว่าควรจะช่วยเหลืออย่างไร จึงรีบพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจว่า : “ถอดเสื้อผ้าออกเร็วเข้า”

“อ้อ” ตำรวจบ้านผู้ซึ่งไร้ประสบการณ์ปลดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตของตนออก

เวลาต่อมาเนื่องจากหนานกงเฉินเสียเลือดมาก จึงทำให้บนหน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เรี่ยวแรงก็เริ่มน้อยลงทุกครา ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ว่าร่างกายของเขาเริ่มส่ายไปส่ายมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่นานอาจรับไม่ไหว ถ้าหากตนไม่รีบปล่อยมือเขา มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะหล่นลงไปทั้งคู่

เธอรวบรวมความกล้า จากนั้นก็คลายมือน้อย ๆ ที่จับมือเขาไว้ออก

“เสื้อมาแล้วครับ คุณหนูอีรีบจับไว้ครับ……” ขณะที่ตำรวจบ้านหย่อนเสื้อเชิ้ตของตนลงไปนั้น ร่างของไป๋มู่ชิงก็กำลังร่วงหล่นลงไปแล้ว……

“มู่ชิง……!” หนานกงเฉินอึ้งไป เขามองร่างกายของเธอที่ร่วงลงด้วยความเร็วจากนั้นก็หล่นกระทบบนพื้นระหว่างทางเชื่อมตึก

ร่างกายของเขาสั่นแรงขึ้น

“คุณชายเฉิน……อดทนไว้นะครับ !” ตำรวจบ้านรีบคว้าร่างของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ลากเขาขึ้นมาบนพื้น

หนานกงเฉินนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงบนพื้น หลังจากที่นั่งเหม่อลอยอยู่สองนาทีก็ค่อยลุกขึ้นจากพื้นด้วยความรวดเร็ว เขาพยุงร่างกายของตนเองเอาไว้ด้วยสองขาอันไร้เรี่ยวแรง หลังจากที่ยืนมั่นแล้วก็วิ่งมุ่งไปยังด้านล่างด้วยความเร็วทันที

ขณะที่เขาวิ่งมาถึงด้านล่างนั้น ก็มีผู้คนเข้ามาล้อมวงกันแน่นหนาขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว บางคนก็เข้าไปตรวจสอบไป๋มู่ชิงที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้น บางคนก็ช่วยโทรหารถฉุกเฉินให้มาช่วยเหลือ

หนานกงเฉินเบียดฝูงคนเข้าไป ขณะที่เห็นไป๋มู่ชิงนอนคว่ำเลือดนองร่างนั้น สองขาจึงอ่อนแรงลงจนเกือบล้มลงไปกองที่พื้น เขาโถมเข้าหาร่างไป๋มู่ชิง กอดเธอขึ้นมาจากพื้นครั้นไม่กล้าแตะต้องตัวเธอสุ่มสี่สุ่มห้า สองมืออันสั่นเครือยื่นเข้าไปกุมกระโหลกศีรษะที่มีเลือดสด ๆ ไหลออกมาไม่หยุดเอาไว้

“มู่ชิง……” เขาเรียกชื่อของเธอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ครั้นไป๋มู่ชิงที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไร้การตอบสนองราวกับไม่ได้ยินที่เขาเรียก

“มู่ชิง……ได้โปรดอดทนเอาไว้นะได้ยินไหม ? ขอแค่เธออดทนผ่านครั้งนี้ไปได้ ขอแค่เธอหายดี ฉันสาบานว่าจากนี้ไปฉันจะไม่ไปยุ่งกับเธออีกแล้ว จะไม่โผล่หน้ามาให้เธอเห็นอีก จะไม่บังคับเธอทำเรื่องอะไรทั้งนั้น……” น้ำตาของหนานกงเฉินพรั่งพรูออกมา จากนั้นเขาก็พูดอ้อนวอนด้วยความเจ็บปวดหัวใจ : “มู่ชิง……อุบัติเหตุที่รุนแรงแบบนั้นเธอยังรอดมาได้เลย ครั้งนี้ก็ต้องรอดมาได้เหมือนกันใช่ไหม……ถ้าเธอตายไปแบบนี้ ฉันจะตายตามเธอไปจริง ๆ แล้วนะ เธอทนได้ไหม……”

ไป๋มู่ชิงที่นอนอยู่บนพื้นขยับดวงตาเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาทีละนิด

ภาพที่อยู่เบื้องหน้ากำลังหมุนวนไป เธอมองเห็นใบหน้าอันทุกข์ทรมานของหนานกงเฉิน นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจของเธอ……เจ็บปวดขึ้นมาตามเขาทันที

เธออยากยื่นมือออกไป ครั้นกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำได้เพียงร้องเรียกเสียงเบา : “เฉิน……”

หนานกงเฉินรีบจับมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ทันที พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลใจ : “มู่ชิงเธอฟื้นแล้วเหรอ เธอจะต้องอดทนไว้ห้ามหลับไปอีกเข้าใจไหม ?”

“เฉิน……” ไป๋มู่ชิงน้ำตาไหลรินลงตามเขา จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาอย่างยากลำบากอีกครั้งว่า : “หว่านชิง……เธอ……”

“ตอนนี้หว่านชิงสบายดี เธอไม่ต้องห่วง” หนานกงเฉินกล่าวปลอบใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มขึ้นมาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ : “คุณ……จะต้องปกป้อง……หว่านชิง……เธอ……”

หนานกงเฉินรีบพยักหน้า : “ขอแค่เธอหายดี ฉันจะปกป้องเธออย่างดีแน่นอน”

“มู่ชิง……” หนานกงเฉินตกตะลึงไปในทันใด เวลาต่อมาก็ร้องเรียกด้วยความกังวลใจว่า : “มู่ชิงเธอรีบฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะอดทนเอาไว้ ? มู่ชิง……!”

ทันใดนั้นเขาก็หันหน้าไปด้านหลัง จากนั้นก็ตะโกนใส่กลุ่มคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง : “รถพยาบาลล่ะ ? ทำไมรถพยาบาลยังไม่มาถึงอีก……!”

“คุณผู้ชายใจเย็น ๆ นะครับ รถพยาบาลใกล้จะถึงแล้วครับ” มีคนกล่าวขึ้นมาจากในกลุ่มคน

เวลาต่อมาก็มีเสียงของรถพยาบาลดังขึ้นมาจากด้านนอกตรอกซอย จากนั้นก็มาถึงจุดเกิดเหตุโดยเร็ว เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบบึ่งลงมาจากบนรถด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่ตรวจสอบร่างกายอย่างง่าย ๆ ให้ไป๋มู่ชิงเสร็จแล้ว ก็ยกเธอขึ้นบนเปลและส่งขึ้นรถพยาบาลไป

หนานกงเฉินขึ้นรถไปพร้อมเธอ เขานั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เหงื่อเย็น ๆ ค่อย ๆ ไหลลงพื้นรถ ไม่ทราบว่าเนื่องด้วยความเป็นห่วงหรือบาดแผลที่ทำให้ขาดเลือดเยอะเกินไป

หลังจากที่พยาบาลช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ไป๋มู่ชิงแล้วนั้น จึงหันหน้ามาพูดกับหนานกงเฉินว่า : “คุณผู้ชาย ดูแล้วคุณเองก็อาการไม่ค่อยดีเลยนะคะ ให้ฉันช่วยคุณจัดการแผลบนแขนคุณหน่อยดีกว่า”

“ไม่ต้องสนใจผม ตอนนี้ช่วยเธอก่อน !” หนานกงเฉินชักแขนกลับคืนมาด้วยความเกรี้ยวกราด

เมื่อนางพยาบาลถูกเขาตะคอกมาเช่นนี้ จึงทำได้เพียงไม่เข้าไปยุ่งกับเขา

ไป๋มู่ชิงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด จนกระทั่งส่งเธอเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว หนานกงเฉินค่อยหยุดเท้าตนเอง จากนั้นก็ลงไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ช้า ๆ

เขาหลับตาลง ภายในสมองว่างเปล่า

เขาไม่กล้าไปคิดว่าครั้งนี้ไป๋มู่ชิงจะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือไม่ เขารู้เพียงว่าเธอหล่นลงมาจากชั้นสาม ทำให้มีเลือดออกเยอะมาก ๆ อีกทั้งตลอดทางก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย

จูจูพาเสียวหว่านชิงเล่นน้ำอยู่ข้าง ๆ สระว่ายน้ำ เมื่อเห็นท่าทางไม่ร่าเริงของเธอ จูจูจึงยิ้มพร้อมพูดขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวล : “หว่านชิงเป็นอะไรไปคะ ? ทำไมไม่ยิ้มแล้วล่ะ ?”

“หนูคิดถึงคุณพ่อคุณแม่” เสียวหว่านชิงกล่าวด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

“เมื่อกี้น้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ พ่อของหนูกำลังมา น่าจะใกล้ถึงแล้วแหละ” จูจูชี้นิ้วไปยังน้ำที่อยู่ในสระ : “หนูดูสิน้ำในสระสะอาดมากเลยนะ พวกเราลงไปเล่นน้ำดีไหมคะ ?”

“หนูไม่อยากเล่นน้ำ หนูอยากกลับบ้าน”

“หว่านชิงไม่ดื้อนะ พวกเรารออีกหน่อยดีไหมคะ ?” จากนั้นจูจูก็คิดแผนการขึ้นมา : “หรือไม่น้าให้พี่สาวคนนั้นไปเอาของกินมาให้หว่านชิงทานดีไหมคะ ?”

เมื่อจูจูพูดจบจึงหันหลังไปพูดกับสาวคนรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ มาตลอด : “เธอไปเอาของอร่อยมาให้หว่านชิงหน่อยสิ เอามาเยอะ ๆ หน่อยนะ”

สาวคนรับใช้พยักหน้า จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป

ในที่สุดภายในสวนก็เหลือเพียงพวกเธอสองคนแล้ว บนใบหน้าของจูจูเหี้ยมโหดขึ้นมา เมื่อเธอลงไปในน้ำก็ได้คว้าเสียวหว่านชิงลงมาด้วย

ทันใดนั้นเสียวหว่านชิงก็ถูกเธอกดลงใต้น้ำ เด็กตัวน้อยลำลักน้ำจนต้องใช้มือตีไปมาเพื่อดิ้นรนขัดขืน ขณะเดียวกันผิวน้ำก็มีฟองลอยขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

“นังหนู อย่าว่าฉันใจร้ายเลยนะ ถ้าจะโทษก็โทษตัวแกเองเถอะที่คลอดออกมาเป็นทายาทของตระกูลหนานกง” จูจูกัดฟันกรอบจากนั้นก็กดร่างน้อย ๆ ของเธอเอาไว้อย่างแรง

เป็นครั้งแรกที่ทำร้ายชีวิตน้อย ๆ เช่นนี้ ภายในใจของเธอยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ทว่าเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เธอจึงกัดฟันแน่น ฝืนใจไม่ให้ตนเองทิ้งโอกาสอันมีค่านี้ไปเนื่องจากความกลัวของตน

เสียงหนึ่งที่อยู่ในใจเอาแต่ดังขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า : ขอเพียงเด็กคนนี้ตาย เธอก็จะสามารถมีชีวิตได้อย่างปกติสุข……

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท