เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 232 เลือดเย็นแบบนี้แหละ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“ผมเข้าใจ” เซิ่งเคอพยักหน้าแล้วกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง “เธอบอกผมหน่อยว่าพี่สาวชื่ออะไร เป็นภรรยาคนที่เท่าไหร่ของพี่ชาย ผมอาจจะรู้อะไรก็ได้นะ”

“เธอชื่อหยางหลี่ ความจริงเราไม่ได้นามสกุลผู่แต่เป็นหยาง เพื่อที่จะแก้แค้นฉันก็เลยเปลี่ยนนามสกุล” ผู่เหลียนเหยาส่ายหัวร้องไห้ไปด้วย “ฉันเคยแอบถามนายแล้ว นายบอกว่าหยางหลี่เป็นภรรยาคนแรกของหนานกงเฉิน ตอนนั้นนายกำลังเรียนอยู่ที่อื่นก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง……”

“หยางหลี่……” เซิ่งเคอตอบอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษ ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่บ้านหนานกงแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเธออย่าใจร้อน ผมจะช่วยเธอสืบเองว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นแล้วพี่สาวเธอตายยังไง”

“ไม่ต้อง!” ผู่เหลียนเหยาพูดอย่างโมโห “ไม่ว่าจะตายยังไงก็ตายเพราะตระกูลหนานกง ถึงแม้ตอนนั้นเธอยังไม่ตายเพราะว่าเธอไม่ใช่คู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ แต่ยังไงเธอก็ต้องตายอยู่ดี!”

จากสิ่งที่ไป๋มู่ชิงโดนตอนนั้น เธอก็จินตนาการณ์ถึงพี่สาวตัวเองได้เลย ถ้าเธอเป็นคู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ก็คงจะโดนควักหัวใจไปหลังจากแต่งงานสามปี ถ้าไม่ใช่คุณหญิงก็จะฆ่าเธอลับๆเพราะว่าเธอรู้ความลับของตระกูลหนานกง ยังไงถ้าแต่งเข้ามาในตระกูลหนานกงก็ต้องตายอยู่ดี!

หนานกงเฉินก็เอาแต่ใจแล้วเลือดเย็นแบบนี้แหละ!

ผู้ช่วยเหยียนเห็นข่าวบนหนังสือพิมพ์ของหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิง ในใจก็นึกถึงเฉียวเฟิงเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าถ้าเขาเห็นข่าวแล้วจะรู้สึกยังไง คงจะเสียใจมากเลยสินะ

เธอคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเขาแล้วขับรถไปที่หน้าบ้านเขา

เธอยืนอยู่หน้าประตูกำลังจะยกมือขึ้นกดกริ่งก็เห็นเฉียวซือเหิงออกมาจากบ้าน เธอเลยวางมือที่ยกขึ้นแล้วหลบไปข้างๆ

เฉียวซือเหิงเมื่อเห็นเธอสีหน้าก็ประหลาดใจไป จากนั้นก็ยิ้ม “ผู้ช่วยเหยียนเป็นเพื่อนกับน้องชายที่โมโหร้ายของผมเมื่อไหร่?”

“เปล่าค่ะ แค่มาเยี่ยมคุณชายรองเฉียวค่ะ”

“ก็ว่าทำไมเจ้านั่นไม่ให้ผมมา ที่แท้……” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเดินผ่านตัวเธอไป

“คุณชายเฉียวเข้าใจผิดแล้วค่ะ ถ้าฉันรู้ว่าคุณจะมาฉันก็คงไม่มา” ผู้ช่วยเหยียนพูดตามหลังเขาไปแล้วในใจก็รู้สึกเอื้อมระอาด้วย เธอลืมว่าเฉียวเฟิงมีพี่ชายที่ทั้งรวยทั้งมีอำนาจอย่างเฉียวซือเหิง แล้วยังเป็นห่วงว่าเขาจะหิวตายคนเดียวที่นี่อีก

รถของเฉียวซือเหิงแล่นออกไป ผู้ช่วยก็แอบมองเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นว่าเฉียวเฟิงไม่เป็นอะไรเธอก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแล้ว แต่เมื่อหันหลังจะก้าวไป ด้านหลังก็มีเสียงของเฉียวเฟิงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมาแล้วก็เข้ามาเถอะ”

ผู้ช่วยเหยียนลังเลไป จากนั้นก็หันหลังก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ข้างประตูก็เลยก้าวเดินเข้าไป

เธอยืนต่อหน้าเขาแล้วเอ่ย “ไม่มีอะไร เมื่อกี้เห็นข่าวก็เลยกลัวว่าคุณจะคิดมาก เลยมาเยี่ยมแล้วเอาอาหารเช้ามาให้ด้วย”ผู้ช่วยเหยียนเธอยกกล่องข้าวในมือขึ้น

“ขอบใจ” เฉียวเฟิงยิ้มอย่างเสียดสี “คุณชายเฉียวก็กลัวว่าผมจะคิดมากก็เลยเอาอาหารเช้ามาเยี่ยมผม”

“ออ งั้นก็ทิ้งเถอะ” ผู้ช่วยเหยียนยกมือขึ้นจะโยนอาหารเช้าในมือทิ้ง แต่เฉียวเฟิงก็เอ่ยว่า “วางไว้ก่อนเถอะ”

เฉียวเฟิงหลีกไปข้างๆ ผู้ช่วยเหยียนก็เดินเข้ามา ก็เห็นว่าบนโต๊ะมีของกินเต็มไปหมด เธอหันไปมองเฉียวเฟิงที่ค่อยๆเข้ามา “ดูเหมือนว่าเฉียวซือเหิงดีกับคุณมากยัง ซื้อของกินให้คุณเยอะขนาดนี้”

“เขาก็ดีกับผมจริง ถ้าอยากได้อะไรเขาก็ให้หมด”

“รวมถึงความรัก” ผู้ช่วยเหยียนพูดเสริม

เฉียวเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วสูดหายใจเข้าเบาๆ

ที่เฉียวซือเหิงดีกับเขาก็แค่อยากจะชดใช้กับสิ่งที่คุณหญิงเฉียวทำกับเขา ไม่ว่าจะยังไง จากที่เขาดูมาเฉียวซือเหิงก็ไม่แย่ ในตระกูลที่ร่ำรวยมีความโกรธแค้นเยอะแยะ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่ช่วยเหลือลูกนอกสมรสอย่างเขา แถมยังจะทำร้ายเขาพร้อมกับแม่ตัวเองด้วย

ไป๋มู่ชิงอยู่ในคอนโดทั้งวันทั้งคืน ก็รู้สึกเบื่อมาก

แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอก็เลยจำใจต้องอยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เธอก็ได้รับโทรศัพท์ของผู่เหลียนเหยา

“เธอรู้โทรศัพท์ที่นี่ได้ยังไง?” ไป๋มู่ชิงเอ่ยถาม

เธอรู้ว่าเธอซ่อนอยู่ในคอนโดของหนานกงเฉิน ดูเหมือนว่าเธอจะลงทุนมาก ที่หนานกงเฉินคิดไว้ไม่ผิดเลย ผู่เหลียนเหยาเพื่อที่จะทำลายหลักฐานไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆแน่

“รู้ได้ยังไงไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่ฉันจะพูดกับเธอ” อีกฝั่งของโทรศัพท์เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

“ถ้าเธอจะบอกกับฉันเรื่องอีเมลนั่นก็ไม่ต้องเอ่ยปากพูดหรอก เพราะว่าฉันจะไม่……”

“เธอทำแน่” ผู่เหลียนเหยาพูดแทรกขึ้น “ขอแค่เธอฟังฉันพูดจนจบ เธอก็จะร่วมมือกับฉันแน่ ไม่งั้น……”

“เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่คิดที่จะฟังเธอพูดจนจบ แค่นี้” ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์กลับไปที่เดิม

อีกฝั่งของโทรศัพท์ผู่เหลียนเหยาก็ตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ สุดท้ายโมโหจนโยนโทรศัพท์ไปข้างๆ

เธอโทรไปอีกครั้ง แต่เสียงตอบรับคือหมายเลขไม่สามารถติดต่อได้

“เป็นไงบ้าง? เธอไม่รับหรอ?” ผู้ชายข้างกายเอ่ยถามขึ้น

“ใช่”

“เราจะทำยังไง? ที่คอนโดเซียงตี๋ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก แล้วหนานกงเฉินก็ยังให้คนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วย เราติดต่อผู้หญิงคนนั่นไม่ได้เลย”

“แม้แต่โอกาสที่จะพูดคำเดียวกับเธอก็ไม่มีหรอ?”

ผู้ชายคนนั้นส่ายหน้า

ผู่เหลียนเหยาโกรธจนกัดฟันแน่น “ดีมาก งั้นก็อย่าโทษว่าฉันไม่ให้โอกาสเธอเลือกแล้วกัน”

“คุณหนูผู่ แล้วเรายังจะติดต่อเธออีกไหมครับ?”

“ติดต่อสิ” ผู่เหลียนเหยายิ้มอย่างเยือกเย็น “ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะยอมเห็นหนานกงเฉินตาย”

ผู้ชายพยักหน้า “ผมจะพยายาม”

หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็ไม่มีอะไรทำเลยเปิดโทรทัศน์ดู แต่ก็ดูไม่เข้าตาเลย

เมื่อสายตามองกวาดไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ เธอลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับตัวไปวางโทรศัพท์แล้วยกหูขึ้นโทรหาเบอร์ของเฉียวเฟิง สถานการณ์แบบนี้เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอควรจะพูดอะไรกับเฉียวเฟิง

หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปสักพัก เธอก็เอ่ยถามขึ้น “คุณอยู่บ้านคนเดียวยังดีไหม? คุณชายเฉียวให้คนมาดูแลคุณหรือเปล่า?”

“มีแล้ว วางใจเถอะ” น้ำเสียงของเฉียวเฟิงดูเรียบนิ่ง ฟังไม่ออกเลยว่าไม่พอใจ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วพูดกับเขาไปไม่กี่คำ สถานการณ์ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง

สุดท้ายเฉียวเฟิงก็เอ่ยปากปลอบใจ “มู่ชิง คุณไม่ต้องสนใจผมหรอก ดูแลตัวเองดีๆ”

“อื้อ ถ้าฉันได้หลักฐานแล้วฉันจะกลับไป”

“ได้ ถ้าคุณกลับมาแล้วเราจะไปหาหว่านชิงที่ต่างประเทศด้วยกัน”

“ได้” ตอนที่ไป๋มู่ชิงพูดตอบคำนี้ไป ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดใจแต่ก็ตอบไปอย่างหนักแน่น

ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์กลับไปที่เดิม หน้าประตูก็มีเสียงเปิดประตูลอยมา เธอลุกขึ้นจากโซฟาแล้วมองไปทางประตู

ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ประตูเธอก็กลัวจนขนลุก ถึงแม้หน้าประตูจะมีคนที่หนานกงเฉินให้มาปกป้องเธอ

เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินกลับมาแล้วเธอค่อยโล่งอกไป

“นายเป็นอะไร?” เธอรู้สึกได้ว่าฝีเท้าของหนานกงเฉินไม่หนักแน่นเลยเดินไปพยุงแขนของเขาไว้

“ผมไม่เป็นไร เมื่อกี้ดื่มกับผู้บริหารมานิดหน่อย” หนานกงเฉินกอดเธอไว้แล้วก้มลงไปจุมพิตเธอ “ที่รัก คิดถึงผมหรือเปล่า?”

เขาดื่มจริงๆด้วย บนริมฝีปากมีกลิ่นหอมของวิสกี้

ไป๋มู่ชิงหลบหน้าไปข้างๆแล้วเอ่ยถาม “ดื่มกับผู้บริหารคนไหน?”

เขาก็เป็นผู้บริหารไม่ใช่หรอ? ยังต้องดื่มกับผู้บริหารอีก?

“จะมีใครอีกล่ะ……ก็พวกที่มีอำนาจแต่ทำไม่ได้เรื่องไง ” หนานกงเฉินจับหน้าเธอขึ้นอย่างหงุดหงิด “ถ้าไม่จับคนร้ายให้หมด……เธอจะทำยังไง……คงเอาแต่หลบอยู่ที่นี่ไม่ได้?”

ไป๋มู่ชิงเอ่ย “นายดูแลตัวเองก่อนเถอะ ผู่เหลียนเหยาคงจ้องจะลงมือกับนายอยู่”

“ไม่……ตอนนี้เธอกำลังหาวิธีหลุดพ้นจากความผิด ไม่มีอารมณ์มาลงมือกับผมหรอก” เธอพยุงตัวหนานกงเฉินไปนั่งลงบนโซฟาจากนั้นก็เทน้ำให้เขาแล้วเอ่ย “นายนั่งที่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำร้อนมาเช็ดหน้าเช็ดมือให้”

“อือ……” หนานกงเฉินดึงไหล่เธอมาในอ้อมกอดแล้วก้มลงไปจูบเธออีกครั้งแล้วยิ้มอย่างมีความสุข “มีภรรยาอยู่บ้านก็ดีแบบนี้แหละ”

สีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปแล้วผลักออกจากอ้อมกอดเขา

เมื่อกี้……เธอเพิ่งตอบตกลงกับเฉียวเฟิงว่าถ้าได้หลักฐานมาแล้วจัดการเรื่องของผู่เหลียนเหยาแล้วจะไปหาหว่านชิงที่อังกฤษกับเขา

ไป๋มู่ชิงไปตักน้ำร้อนที่ห้องอาบน้ำ หนานกงเฉินก็นั่งอยู่บนโซฟาแล้วพักสายตา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง หนานกงเฉินหันไปมองจากนั้นก็ยกขึ้น ไม่รอให้เขาเอ่ยปากพูดอีกฝั่งของโทรศัพท์ก็มีเสียงของผู่เหลียนเหยาดังขึ้น “ไป๋มู่ชิงแกฟังไว้เลย ถ้าแกยังไม่ติดต่อฉันอีก ฉันจะทำให้หนานกงเฉินตายอย่างทุกข์ทรมานกว่าจูจูอีก……”

หนานกงเฉินยิ้มเยือกเย็น จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้วถอดปลั๊กโทรศัพท์ด้วย

เขาพิงกลับไปที่โซฟาพักสายตาต่อ ในสมองก็มีแต่คำข่มขู่ของผู่เหลียนเหยา กลัวว่าเธอจะมาตอแยไป๋มู่ชิงอีก ก็เลยหยิบกรรไกรขึ้นจากใต้โต๊ะแล้วตัดสายโทรศัพท์ทิ้งซะ

ไป๋มู่ชิงที่ยกน้ำเดินมาเมื่อเห็นว่าเขาตัดสายโทรศัพท์ทิ้งก็เลยเอ่ยถามขึ้น “ใครโทรมา? ผู่เหลียนเหยาโทรมาใช่ไหม?”

“ใช่ มาเตือนให้ผมระวังตัว” หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอ “อย่าสนใจเธอเลย แล้วอย่าติดต่อเธอด้วย”

“ฉันรู้” ไป๋มู่ชิงบิดผ้าขนหนูแล้วเช็ดหน้าเช็ดมือให้เขา

เธอเช็คได้ละเอียดตั้งใจมาก เช็ดนิ้วมือเรียวยาวแต่ละนิ้วของเขาให้สะอาด

หนานกงเฉินทอดมองไปที่ใบหน้าเธออย่างเนิ่นนาน ในสมองก็มีหน้าตาตอนเด็กลอยเข้ามาก็เลยเอ่ยถามความสงสัยในใจ “มู่ชิง……บอกกับผมเกี่ยวกับเรื่องของเธอได้หรือเปล่า? ทำไมเธอไม่เคยบอกผมว่าศัลยกรรม……ยังศัลยกรรมเป็นหน้าของไป๋ยิ่งอันอีก……”

ไป๋มู่ชิงที่กำลังเช็คนิ้วมือให้เขาหยุดลงแล้วยิ้มอย่างเสียดสี “เรื่องที่น่าอายขนาดนี้ฉันจะมีหน้าพูดได้ยังไง? แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดด้วย”

“ทำไมไม่จำเป็นล่ะ? ถ้าเธอบอกว่าเธอเคยศัลยกรรม……บางครั้งผมคงไม่ต้องรอถึงตอนนี้ค่อยรู้ว่าเธอเป็นจูจูตอนเด็ก……บางครั้งผมอาจจะสงสัยว่าตอนเด็กหน้าตาเธอเป็นยังไง แต่ว่าหลังจากที่รู้ความจริงแล้ว……อีกอย่าง……ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องที่ขายหน้าสักหน่อย”

ไป๋มู่ชิงมองสบตาไปที่สายตาที่ตั้งใจของเขาแล้วเอ่ย “นาอยากรู้ขนาดนั้นเลยหรอ?”

“ใช่” หนานกงเฉินพยักหน้า “จูจูบอกว่าเธอศัลยกรรมแล้วไปที่บ้านตระกูลไป๋……แต่ ไม่ได้บอกรายละเอียดผมเลย”

จูจูบอกว่าไป๋มู่ชิงอยากเป็นคุณหนูตระกูลไป๋ก็เลยไปศัลยกรรม แต่เขาไม่เชื่อว่าไป๋มู่ชิงเป็นคนเห็นแก่เงิน เขารู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

ไป๋มู่ชิงวางผ้าขนหนูลงแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนนั้นแม่ของฉันอยู่ที่บ้านของคุณลุงต่อไม่ไหวก็เลยให้ฉันเข้าไปในตระกูลไป๋ แต่คุณย่าตระกูลไป๋เห็นว่าหน้าตาของฉันไม่เหมือนประธานไป๋เลย ไม่มีทางเป็นลูกหลานของตระกูลไป๋แน่นอน แม่ของฉันหงุดหงิดก็เลยพาฉันไปศัลยกรรมเป็นหน้าตาของไป๋ยิ่งอัน แม่ของฉัน……” ไป๋มู่ชิงยิ้มขมขื่นอีกครั้ง “ท่านเป็นคนทำอะไรไม่คิดอยู่แล้ว อารมณ์ร้อนตลอด เป็นเพราะเรื่องนี้ก็เลยให้ฉันไปเป็นอีกคน แค่คิดก็รู้ หลังจากที่ทำแล้วก็ทำให้ตระกูลไป๋ยิ่งเกลียดฉันมากกว่าเดิม แม่ของฉันก็โทษฉันแทนว่าเป็นเพราะฉันไม่ใช่เด็กผู้ชาย แล้วท่านก็คิดว่าถ้าฉันเป็นเด็กผู้ชายตระกูลไป๋ก็คงไม่ทำกับท่านแบบนี้ ท่านก็เลยไม่ชอบฉันแล้วโทษว่าฉันไม่ใช่เด็กผู้ชายจนกระทั่งโต……”

“เพราะฉะนั้นสิ่งที่แม่ของเธอมีให้มีแค่ความเข้มงวด ไม่ใช่ความเป็นห่วง”

“ใช่”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” หนานกงเฉินจับหน้าของเธอไว้ “ผมสงสัยมาตลอด……ทำไมเสี่ยวหว่านชิงถึงหน้าตาเหมือนเธอตอนเด็กขนาดนั้น? แล้วอีกอย่าง……หน้าของเธอเป็นยังไงกันแน่? ทำไม……”

“ฉันกับเฉียวเฟิงรับเลี้ยงเสี่ยวหว่านชิงมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กด้วยกัน” ไป๋มู่ชิงรีบอธิบาย “ตอนนั้นที่เห็นว่าหว่านชิงหน้าตาเหมือนฉันมากก็รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นลูกที่ฉันคลอดเอง ก็เลยรับเลี้ยงเธอกลับมา”

“ใช่หรอ?”

“ใช่” ไป๋มู่ชิงหลบสายตาแล้วหักห้ามความรู้สึกไว้

เธอไม่กล้าดูปฏิกิริยาของหนานกงเฉิน แล้วเอาแต่พูดในใจซ้ำไปซ้ำมาว่าขอโทษ ขอโทษ ให้อภัยที่ฉันโกหกด้วย……

เธอจะไม่มีหว่านชิงไม่ได้ แล้วตอนนี้ก็จะได้ไปหาเธอแล้ว ถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าหว่านชิงเป็นลูกสาวของเขา เขาต้องแย่งหว่านชิงกลับมาแน่นอน

เธอเลยเปลี่ยนประเด็นว่า “ใบหน้าของฉัน……ความจริงฉันไม่ชินหรอกที่ต้องใช้ใบหน้าของไป๋ยิ่งอัน กลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ดีเหมือนกัน”

“เธอรู้ได้ยังไงว่าแต่ก่อนเธอหน้าตายังไง?” นิ้วของเขาลากผ่านหน้าเธอไปมา

ไป๋มู่ชิงลังเลไปแล้วเอ่ย “ต้องขอบคุณเฉียวเฟิง เขาให้คุณหมอศัลยกรรมให้ฉันเป็นแบบนี้”

เธอรู้ว่าหนานกงเฉินไม่ชอบฟังชื่อของเฉียวเฟิง ก็เลยพูดอย่างลังเล สุดท้ายเมื่อหนานกงเฉินได้ยินเธอเอ่ยพูดสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ” ไป๋มู่ชิงจับมือของเขาลงจากใบหน้าตัวเอง “อย่าพูดถึงพวกนี้เลย นายหิวหรือเปล่า ฉันไปทำอะไรให้นายกิน”

“มู่ชิง……” หนานกงเฉินดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วจูบคอของเธอ “ขอโทษ……ผมทำให้คุณลำบากขนาดนี้”

ไป๋มู่ชิงอึ้งไป จากนั้นก็ใช้มือตบหลังเขาเบาๆ “ผ่านไปหมดแล้ว ฉันก็ไม่ได้โทษนายด้วย”

“เธอรู้ไหม……ผมอยากให้เธอโทษผม เกลียดผม ด่าผม……แต่ไม่ใช่เอาแต่พูดว่าไม่โทษผมแล้วไม่ยอมกลับมาข้างกายผมแบบนี้”

“หนานกงเฉิน นายอย่าทำแบบนี้……นายเมาแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“มู่ชิง” เขาปล่อยเธอแล้วใช้มือจับใบหน้าเธอไว้ด้วยสายตาที่งัวเงีย “กลับมาข้างกายผมได้ไหม……ผม……ผมสัญญา……ผมจะดูแลไม่ยอมให้คุณย่าควักหัวใจเธอ……แล้วไม่ยอมให้คนอื่นมารังแกเธอด้วย ผมไม่อยากเสียเธอไปจริงๆ……ไม่อยากเห็นว่าเธอสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นอีก……”

“นายอย่าพูดอีกเลย” ไป๋มุ่ชิงยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้แล้วยิ้ม “นายคิดว่าฉันกลัวหรอก็เลยไม่กลับไปข้างกายนาย? นายคิดว่าฉันกลัวตายขนาดนั้นเลยหรอ? ไม่ใช่……ฉันสัญญากับเฉียวเฟิงจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต ฉันจะเป็นคนผิดสัญญาไม่ได้ ฉันจะทำร้ายเขาไม่ได้”

“แล้วเธอก็ยอม……ที่จะทำร้ายผมหรอ?”

“ขอโทษ……”

“ผมไม่อยากได้ยินคำขอโทษ……ผมอยากได้ยินเธอพูดว่า……ฉันตกลง” หนานกงเฉินเอนตัวไปแล้วทับเธอลงบนโซฟาพร้อมทอดมองไปที่เธอ “เธอพูดสิ……”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาทับจนขยับร่างกายไม่ได้แล้วเอ่ยสบตาเขา “หนานกงเฉินนายเมาแล้ว”

“เมาแล้วยังไง……ผมพูดจากใจจริง”

“ไม่ ฉันคิดว่าตอนนี้เราควรจะแก้ปัญหาสถานการณ์ตอนนี้ก่อน ไม่ใช่……พูดอะไรแบบนี้”

“ถ้าไม่ได้เธอ……จะจัดการปัญหาทุกอย่างไปแล้วมีประโยชน์อะไร?” เขาเอ่ยถามอย่างขมขื่น

“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงยังอยากพูดอะไรอีก แต่หนานกงเฉินไม่อยากฟังข้ออ้างของเธออีกเลยก้มลงไปจูบริมฝีปากเธอ จนทำให้เธอต้องกลืนคำพูดกลับไป ถ้าจะพูดคำพูดที่ปฏิเสธแบบนี้ เขาไม่ฟังดีกว่า!

ไป๋มู่ชิงรู้จักนิสัยของเขาดี ถ้ายิ่งต่อต้านก็จะกระตุกต่อมอารมณ์เขา แต่ว่าเธอจะปล่อยให้เขาทำแบบนี้ไม่ได้ จะพัวพันกับเขาเหมือนที่โรงแรมครั้งก่อนไม่ได้ เพราะว่าเธอเพิ่งตอบตกลงกับเฉียวเฟิงว่าอีกไม่กี่วันจะไปอังกฤษพร้อมกับเขา

เธอใช้ทีเผลอของหนานกงเฉินแล้วผลักเขาออกจากตัวเอง จากนั้นก็ยืนขึ้นบนโซฟาแล้วรีบเดินกลับไปทางห้องนอน

หนานกงเฉินไม่ได้วิ่งตามไป แต่กลับนั่งบนโซฟาแล้วใช้มือจับหน้าตัวเองไว้

ไป๋มู่ชิงเอาแต่พูดว่าเขาเมาแล้ว ความจริงเขายังมีสติแล้วรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ เขาก็ผิดหวังจริงๆ แล้วเสียใจด้วย!

เช้าวันต่อมา ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกว่าไม่รู้จะเผชิญหน้ากับหนานกงเฉินยังไง เธอกลัวหนานกงเฉินจะพูดคำพูดเมื่อคืนอีก เพราะว่าเธอไม่มีทางตอบคำถามให้พอใจเขาได้

เธอลังเลอยู่ในห้องนอนสักพักก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องนอน

หนานกงเฉินก็ยังตื่นเช้าเหมือนเดิมแล้วให้คนมาส่งอาหารเช้าแล้วด้วย

“ตื่นแล้วหรอ?” เขาทักทายเธอเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะเมาจริงๆด้วย ที่พูดไปก็คงไม่ได้สติ ขอแค่ตอนนี้เขาไม่บอกให้เธอกลับไปข้างกายเขาก็พอแล้ว

“มากินข้าวช้าวกันเถอะ” หนานกงเฉินวางอาหารเช้าลง ไป๋มู่ชิงก็เดินไปนั่งลงแล้วเอ่ยถาม “วันนี้นายจะออกไปหรอ?”

“ใช่ ที่บริษัทยังมีเรื่องให้ผมต้องจัดการ”

“ออกไปก็ระวังด้วยนะ” ความจริงไป๋มู่ชิงแค่ถามลอยๆ

เธอรู้ว่าช่วงนี้บริษัทมีผลกระทบเพราะว่าภาพลักษณ์ของเขา เซิ่งตงหยางก็หาโอกาสจะลงมือกับเขา ยังไงตอนนี้เขาก็มีแต่ศัตรู

“ที่เธออยู่คนเดียวรู้สึกเหงาหรือเปล่า? ให้ผมหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนไหม?”

“ไม่ต้อง ฉันดูทีวีในบ้าน อ่านนิตยสารเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

“ก็ได้ งั้นผมจะรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อน”

“ได้”

เมื่อหนานกงเฉินรับประทานอาหารเช้าแล้วเดินออกจากลิฟท์ชั้นล่างสุด ก็เห็นเซิ่งเคอยืนอยู่หน้าประตู ดูเหมือนว่ากำลังรอเขา สีหน้าเขาก็รู้สึกประหลาดใจไปจากนั้นก็เอ่ยเยาะเย้ย “ตอนนี้นายควรจะเอาชีวิตรอดอยู่ต่างประเทศไม่ใช่หรอ? ทำไมตอนนี้คิดได้แล้วจะกลับมามอบตัวงั้นหรอ?”

“พี่ชาย……” เซิ่งเคอพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ผมรู้ว่าตัวเองทำผิดมาก ผมไม่กล้าขอให้พี่ให้อภัยผม แต่ตอนนี้ผมอยากจะให้พี่ปล่อยผมไปก่อน รอให้ผมจัดการทุกอย่างเสร็จผมจะไม่หนีอีก แล้วผมจะไปมอบตัวขอร้อง……”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ธุระที่นายพูดถึงคือเรื่องของผู่เหลียนเหยาใช่ไหม?เธอให้นายมาหรอ?”

“ไม่ใช่ เหลียนเหยาไม่ยอมให้คนอีกดูถูก ไม่มีทางก้มหัวขอความช่วยเหลือผมแน่นอน” เซิ่งเคอรีบอธิบาย “ผมรู้ว่าเธอทำผิดมาก ก็เลยอยากจะขอร้องให้พี่ชายให้อภัยเธอเพราะว่าเธอก็มีเหตุผลนะครับพี่……”

“ให้อภัย? ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่ฉันต้องให้อภัยเธอ? คนที่เธอทำให้ตายเป็นคุณหนูจู เธอควรจะไปให้คุณหนูอภัยสิถึงถูก”

“ถ้าพี่ชายช่วยเธอ เธออาจจะได้ลดโทษ”

หนานกงเฉินเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่หน้าเขาด้วยความสงสัย “เซิ่งเคอ นายรู้ว่าเธอเป็นคนที่จิตใจอำมหิตแล้วเอาแต่ปั่นหัวนาย โกหกนาย ตอนนี้นายยังจะมาขอร้องแทนเธออีก? นายยังรักเธออยู่งั้นหรอ?”

ผ่านไปสักครู่เซิ่งเคอค่อยเอ่ยขึ้น “พี่ชาย ตอนนั้นไป๋มู่ชิงก็ทำเหมือนพี่เป็นคนโง่ โกหกพี่ พี่ก็ยังรักเธอไม่ใช่หรอ?”

หนานกงเฉินไม่รู้จะเอ่ยตอบเขายังไง

“เธอไม่เหมือนกับไป๋มู่ชิง อย่างน้อยไป๋มู่ชิงไม่ฆ่าคนแล้วไม่ทำร้ายใครด้วย แล้วเธอล่ะ อุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนของมู่ชิงแล้วกี่วันก่อนก็ทำให้จูจูตาย เธออำมหิตขนาดนี้เทียบกับมู่ชิงไม่ได้เลย”

“แต่ที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะตระกูลหนานกง”

“หมายความว่ายังไง? ตระกูลหนานกงทำอะไรเธอ?”

“ใช่” เซิ่งเคอก้าวเดินไปแล้วมองไปที่เขา “พี่ชายที่วันนี้ที่ผมมาเจอพี่ นอกจากจะขอร้องแทนเหลียนเหยา ยังมีเรื่องสำคัญที่อยากจะรู้จากพี่เกี่ยวกับความแค้นที่เหลียนเหยามีให้พี่”

“เธอเกลียดฉัน?” หนานกงเฉินเลิกคิ้วขึ้น เขาคิดมาตลอดว่าผู่เหลียนเหยาช่วยตระกูลเซิ่งยักยอกเงินตระกูลหนานกง ก็เลยใส่ร้ายเขา

“ใช่ เธอเกลียดพี่ ก็เลยอยากจะเข้าใกล้พี่ชาย ก็เลยทำเรื่องผิดพวกนั้น”

“พูดมาสิว่าทำไมเธอถึงเกลียดฉัน?” หนานกงเฉินกอดอกแล้วเริ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู่เหลียนเหยาคิดจะทำอะไร

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท