หว่านชิงค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ คุณผู้หญิงก็ค่อยๆฟื้นตัวเช่นกัน มีแค่หนานกงเฉินที่ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลย
ทั้งๆที่สีหน้าของเขาเห็นได้ว่าดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขายังไม่ฟื้นก็ไม่รู้ ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มกังวลขึ้นมา
ถือโอกาสตอนที่เฉียวซือเหิงตรวจห้อง เธอเลยถามคำถามที่กังวลอยู่ในใจ แต่เฉียวซือเหิงกลับตอบอย่างเย็นชา:“คุณจะรีบอะไร อย่างน้อยหลังหนึ่งเดือนโน่นหนานกงเฉินถึงจะฟื้น”
“หลังหนึ่งเดือน? นานขนาดนั้นเลย?” ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างตกใจ
เฉียวซือเหิงพยักหน้า:“นี่อย่างน้อยแล้วนะ”
“คุณแน่ใจไหมว่าเฉินจะฟื้นขึ้นมา?”
“ผมแน่ใจ” เฉียวซือเฟิงหมุนร่างกลับมา จ้องมาที่เธอ:“แน่นอนว่า สรุปแล้วเขาจะฟื้นหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนหรือสามเดือนหรือว่าจะหลังจากผ่านไปหนึ่งปีนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ทำไมต้องแกล้งโง่?”
ไป๋มู่ชิงเงียบลงสักพัก แล้วพยักหน้า:“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว รอร่างกายเฉินคงที่กว่านี้แล้วฉันจะ……” ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะได้ยินหรือไม่ว่าเธอพูดอะไร
อาการป่วยของหนานกงเฉินครั้งนี้หนักหนาสาหัส คงจะไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรหรอกนะ? เธอคิด
มือถือของไป๋มู่ชิงดังขึ้น หลังจากที่เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วก็กดรับ เสียงปลายสายโทรศัพท์เหมือนลองหยั่งเชิงถาม:“มู่ชิง?”
“ฉันเองค่ะ คุณคือ……?” ร่างของไป๋มู่ชิงนั่งตรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว:“ซูซี่?”
ได้ยิน‘ซูซี่’สองคำนี้ เฉียวซือเหิงเงยหน้าขึ้นมาตามสัญชาตญาณ มองไปที่เธอ
หลังจากที่ซูซี่นิ่งอึ้งไปสักพัก จู่ๆก็มีเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ:“พระเจ้า!เป็นเธอจริงๆเหรอมู่ชิง เธออย่ามาอำฉัน ฉันขี้กลัว!”
ไป๋มู่ชิงหัวเราะ:“เธออย่าพึ่งกลัว ฉันเป็นคนไม่ใช่ผี”
“เรื่องจริงหรือล้อเล่น? เฉียวเฟิงหมอนั่นไม่ได้หลอกฉัน? เธอยังไม่ตาย? ครั้งที่แล้วอีหลินที่ฉันเจอก็คือเธอ? ไป๋มู่ชิง?” ซูซี่ถามเธอชุดใหญ่ราวกับระเบิดลง
ที่แท้เธอก็ฟังเฉียวเฟิงพูดมานี่เอง ไป๋มู่ชิงยังคงอมยิ้ม:“ที่เฉียวเฟิงพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
“รวมถึงเรื่องของหว่านชิงก็เป็นเรื่องจริง?”
“ใช่ เรื่องจริง”
“พระเจ้า ฉันตกใจจะตายแล้วเนี่ย เธอนี่มันนักต้มตุ๋น!ร้ายมาก!บ้าไปแล้ว……!”
“เสี่ยวซี่……” ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ถึงสายตาที่คมกริบของเฉียวซือเหิง ก็เลยเปลี่ยนคำพูด:“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ฉันพึ่งกลับประเทศมาวันนี้ ร้านอาหารลวี่หยวนอยู่ทางผ่านพอดีก็เลยเข้าไปทานข้าว แล้วก็ได้ยินข่าวน่าตกใจนี้เข้า” ซูซี่พูด
แท้จริงแล้วเธอเจอกับเฉียวเฟิง ก็เลยพลั้งปากถามเขาไปว่าอีหลินกับเสียวหว่านชิงล่ะอยู่ที่ไหน กลับไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวน่าตกใจนี้จากปากของเฉียวเฟิงเขา เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจริงๆ
จู่ๆเฉียวซือเหิงก็ทนไม่ไหววางมือลงแล้วยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ในมือของไป๋มู่ชิง พูดกับซูซี่ทางโทรศัพท์ว่า:“คุณผู้หญิงเฉียว คุณยังรู้จักกลับมาอีกเหรอ?”
“นายเป็นใครอะ? ทำไมอยู่กับมู่ชิง?” ซูซี่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่
เฉียวซือเหิงกลับโมโห กัดฟันแล้วพูดออกไป:“นี่คุณฟังไม่ออกจริงๆเหรอว่าผมเป็นใคร?”
“อ๋อ คุณชายเฉียวนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานนะ” ซูซี่แกล้งทำว่านึกออกขึ้นมา
“ใช่ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ไม่รอให้เขาเอ่ยปากพูด ซูซี่ก็พูดต่อ:“แต่วันนี้ฉันยังไม่อยากเจอคุณ วันหน้าแล้วกัน”
พูดจบเธอก็วางสายโทรศัพท์
พอได้ยินเสียงตู๊ดๆจากโทรศัพท์ จู่ๆเฉียวซือเหิงก็โมโหขึ้นมา ก็เลยจำใจคืนโทรศัพท์กลับไปให้ในมือของไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงกำโทรศัพท์ไว้ มองเขาที่สีหน้าไม่ค่อยดีแล้วถาม:“ผ่านไปหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับซูซี่ไม่ดีขึ้นเลยเหรอ?”
เฉียวซือเหิงมองเธอ ยิ้มอย่างเฉยชา:“จู่ๆผมก็รู้สึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อยที่ช่วยชีวิตหนานกงเฉินไว้”
“อะไรนะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขาที่ตอบไม่ตรงคำถาม
“ไม่มีอะไร ผมไปก่อนนะ” เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองหนานกงเฉินที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ แล้วหมุนร่างเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เขารีบเดินนิดหน่อย ไป๋มู่ชิงอยากจะถามเขาต่อก็ไม่ทันได้ถาม
—
ถึงแม้ว่าซูซี่จะพูดว่าไม่อยากเจอเฉียวซือเหิง แต่ไม่นานเฉียวซือเหิงก็เดินทางมาถึงที่ร้านอาหารลวี่หยวน กั้นเธอไว้ในห้องอาหาร
ตอนที่เขามาถึง ซูซี่ยังคงคิดถึงเรื่องที่ไป๋มู่ชิงฟื้นคืนชีพกลับมาอยู่ เวลานี้กำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่ด้านหน้าของหน้าต่างยาวจรดพื้น
คงเพราะเรื่องเมื่อสักครู่น่าตกใจเกินไป การปรากฏตัวของเฉียวซือเหิงไม่ได้ทำให้เธอตกใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณมาได้ยังไง?” เธอหยุดเดิน ปรับอารมณ์ตัวเอง จ้องไปที่เขาแล้วถาม
“มาหาภรรยาผมที่ไม่ได้เจอหลายเดือน” เฉียวซือเหิงเดินไปหาเธอ ฝ่ามือกุมแก้มเธอเอาไว้ แล้วก้มหน้าไปจูบที่ริมฝีปากอมชมพูของเธอ:“คิดถึงผมไหม?”
“คุณอยากฟังความจริงหรือเปล่า?” ซูซี่ยื่นมือเล็กๆมาจัดเสื้อเชิ้ตเขาที่อยู่ตรงหน้าเธอ แล้วยิ้มหวาน:“ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าคุณเป็นสามีของฉัน”
งานแต่งของเธอกับเขา สำหรับเธอก็แค่งานที่จัดแสดงขึ้นมา ไม่มีความหมายอื่นใด เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผู้ชายน่าเกลียดคนนี้เหนื่อยล้าจากการมั่วสุมกับผู้หญิงข้างนอก มักอดไม่ได้ที่จะลวนลามเธอ ทำให้เธอหมดคำพูด
“งั้นเหรอ? งั้นผมต้องรีบทำให้คุณจำผมได้แล้วล่ะ” เฉียวซือเหิงพูดแล้วจูบเธอที่ริมฝีปากอีกครั้ง จูบอย่างลึกซึ้งโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด
ซูซี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ และไม่ใช่ผู้หญิงที่เล่นตัวอะไรทำนองนั้น อีกทั้งเธอกับเฉียวซือเหิงใช่ว่าจะไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวหรือจูบกันมาก่อน
ขณะที่เฉียวซือเหิงจูบเข้าไปในปากเธออย่างตรงๆนั้น เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่ดิ้นปฏิเสธอย่างกับเล่นตัว แต่เธอกลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว:“เดี๋ยวก่อน”
เธอใช้แขนเช็ดริมฝีปากของตัวเอง แล้วสังเกตเขา:“วันนี้คุณจูบผู้หญิงคนอื่นมาหรือเปล่า? แปรงฟันแล้วหรือยัง?”
“คุณไวต่อความรู้สึกอยู่แล้วนี่ ชิมดูไม่รู้เหรอ?” เฉียวซือเหิงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ยิ้มชั่วร้าย:“กลิ่นยาฆ่าเชื้อ ได้กลิ่นหรือเปล่า?”
“พึ่งมาจากโรงพยาบาล?”
“ถูกต้อง”
“หนานกงเฉินเขาเป็นยังไงบ้าง?”
สีหน้าของเฉียวซือเหิงอึมครึมลง ก้มหน้าลงมองที่เธอแล้วกัดฟัน:“คุณแน่ใจว่าจะถามถึงเขาก่อนที่จะถามถึงผม?”
“ฉันจะถามถึงคุณทำไม?” ซูซี่กวาดสายตามองเขา:“ฉันดูแล้วคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงกะล่อนเหมือนเดิม เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้”
“คุณควรถามผมว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง มีความสุขดีไหม ได้ไปหาผู้หญิงนอกบ้านบ้างหรือเปล่า หรือว่าได้……”
“ฉันเห็นคุณมีความสุขดี ชีวิตรักก็น่าจะเข้ากันได้ดี พอเข้ากันได้ดีก็มีความสุขเป็นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องถามหรอก” ซูซี่หยิบกระเป๋าจากบนโซฟามาถือ:“ที่รัก ฉันมีธุระด่วน ไม่อยู่เล่นกับคุณแล้วนะ”
เธอใช้มืออีกข้างตบไปที่หน้าอกของเขา:“ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหนี ครั้งนี้ฉันว่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่งค่อยไป”
เฉียวซือเหิงขมาดคิ้ว:“คุณจะไปไหน? เยี่ยมหนานกงเฉิน?”
ซูซี่ไม่ได้สนใจเขา ผลักประตูแล้วออกจากห้องอาหารไป เหลือไว้แค่เขาคนเดียวที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่นั่น
—
ซูซี่มาที่โรงพยาบาลจริงๆ แต่เธอไม่ได้ตรงไปเยี่ยมหนานกงเฉิน เธอไปหาไป๋มู่ชิง
หลังจากที่เห็นไป๋มู่ชิง เธอก็สังเกตเขาตลอด บนใบหน้าทั้งงุนงงทั้งดีใจ ถึงขนาดยื่นมือไปบีบใบหน้ารูปไข่ของไป๋มู่ชิง:“เธอคือมู่ชิงจริงๆเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงลูบใบหน้าเล็กๆที่ถูกเธอบีบจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แล้วพยักหน้า:“ถูกต้อง ฉันเอง เธอถามแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ”
“มิน่าล่ะตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรกที่บ้านตระกูลเฉียวถึงรู้สึกว่าเธอคุ้นหน้าคุ้นตามาก ที่แท้ก็……” ซูซี่พยักหน้า แล้วรีบถามต่อ:“สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ตอนนั้นเธอไม่ใช่……อะไรแล้วนะ?”
“คุณหนูซู เธอแน่ใจว่าจะถามคำถามพวกนี้ตอนนี้?” ไป๋มู่ชิงยิ้มเล็กน้อย:“ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ สามวันสามคืนคาดว่าคงไม่พอ”
“คนเขาอยากรู้นี่”
“วางใจเถอะ รอให้มีโอกาส ฉันจะบอกเธอกับเสียวเหม่ยทั้งหมดอย่างละเอียดเอง” ไป๋มู่ชิงพูด
ซูซี่กวาดสายตามองรอบทิศ ตอนนี้ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้จริงๆ เธอที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ก็เลยต้องยอมแพ้:“ก็ได้ เรื่องนี้พวกเราค่อยว่ากันวันหลัง แล้วเรื่องของหว่านชิงล่ะ? เธอควรเล่าให้ฉันฟังถูกไหม?”
“หว่านชิง?” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างลำบากใจ แล้วมองเธอ:“ถึงแม้ว่าในระหว่างนั้นเรื่องราวจะซับซ้อนมาก แต่ตอนนี้ฉันอยากขอบคุณเธอ ขอบคุณเธอที่ในตอนนั้นช่วยฉันเรื่องหว่านชิง”
“ฉัน?”
“ใช่ ภายนอกคุณชายใหญ่เฉียวไม่ได้ตอบรับว่าจะช่วยเธอ แต่ลึกๆแล้วความจริงเขาช่วยแล้วนะ เขาคือผู้ชายคนนั้นที่ฉันเจอที่ห้องน้ำ เขาแอบสับเปลี่ยนลูกของฉัน ส่งเด็กทารกผู้ชายที่ถูกทิ้งคนนั้นไปที่ไป๋ยิ่งอัน”
“เฉียวซือเหิงแอบสับเปลี่ยนลูกของเธอ? งั้นทำไมเขาต้องโกหกฉันล่ะว่าไม่ได้ช่วย? แล้วยังโกหกฉันมาตลอดที่บอกว่าจะช่วยตามหาเด็ก? ที่แท้ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเขา เจ้าหมอนี่!”
“เสี่ยวซี่ เธออย่าพึ่งใจร้อนไป” ไป๋มู่ชิงหัวเราะ:“ถึงแม้ว่าการกระทำของคุณชายใหญ่เฉียวจะน่าเกลียด แต่พอเห็นว่าหว่านชิงสบายดี ฉันก็อภัยให้เขาไปหมดเลย แล้วอีกอย่างพอเห็นว่าเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันถึงกับขอบคุณเขาที่สับเปลี่ยนหว่านชิง ไม่งั้นตอนนี้เฉินอาจจะตายไปแล้ว”
สมมุติถ้าตอนนั้นไม่ใช่เฉียวซือเหิงที่ซ่อนหว่านชิงของเธอไว้ ไป๋ยิ่งอันคงไม่ปล่อยหว่านชิงไป หว่านชิงก็คงไม่มีชีวิตจนถึงตอนนี้เช่นกัน ถ้าไม่มีหว่านชิง หนานกงเฉินก็คงตายไปแล้ว
เพราะฉะนั้นเธอก็เลยให้อภัย ให้อภัยเขานานแล้ว!
“ตอนนี้หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง?” ซูซี่ที่ได้สติคืนมาจากความสงสัยก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเหมือนจะลืมถามถึงหนานกงเฉิน ก็เลยรีบเก็บอาการบนใบหน้า
“คุณชายใหญ่เฉียวบอกว่าต้องอย่างน้อยหลังหนึ่งเดือนถึงจะฟื้นขึ้นมา” พูดถึงหนานกงเฉิน ใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็ถูกปกคลุมด้วยความกลัดกลุ้มไม่สบายใจ
ตอนนี้ที่เธอกังวลที่สุดคือหนานกงเฉิน อีกทั้งสัญญาระหว่างเธอกับเฉียวซือเหิงนั่นอีก นั่นก็ทำให้เธอกังวลมากเหมือนกัน
“เฉียวซือเหิงมารักษาหนานกงเฉินด้วยตัวเองเลย?” ซูซี่ตกใจ
“ใช่ เพราะฉะนั้นฉันเลยขอบคุณเขา”
“ไม่ถูกสิ เขาไม่ได้มีจิตใจดีนี่” ซูซี่สังเกตเธอแล้วถาม:“บอกฉันมาตามตรง เขาเสนอเงื่อนไขอะไรมาให้เธอใช่หรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงมองเธอ จู่ๆในใจก็ตื้นตัน เธอก้มหน้าลง:“ความจริงแล้วขอแค่คุณชายเฉินฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเงื่อนไขอะไรฉันก็รับได้ทั้งนั้น”
“สรุปแล้วเขาเสนอเงื่อนอะไรให้เธอ? บอกฉันมา บางทีฉันสามารถช่วยเธอได้นะ?”
“เขาให้ฉันกลับไปอยู่ข้างๆเฉียวเฟิง” ไป๋มู่ชิงพูด:“เสี่ยวซี่ นี่เป็นข้อตกลงที่ฉันยินยอมเอง”
“เขาเอาเรื่องของความรู้สึกมาทำข้อตกลง?”
“ฉันรู้ว่าเขาทำเพื่อเฉียวเฟิง ยังไงซะเฉียวเฟิงก็ทำอะไรตั้งมากมายเพื่อฉัน แต่ฉันกลับทิ้งเขาอย่างไร้น้ำใจ”
“แต่คนที่เธอรักคือหนานกงเฉินนี่ พวกเธอยังมีหว่านชิงอีก ถ้าพวกเธอสองคนเลิกกัน แล้วหว่านชิงล่ะจะทำยังไง? จะอยู่กับเธอหรือว่าหนานกงเฉิน เกรงว่าพวกเธอทั้งสองไม่ว่าใครคงตัดใจให้เขาไปไม่ลงล่ะสิ?” ซูซี่พูดอย่างหาคำตอบไม่ได้
“เรื่องพวกนี้……พอถึงเวลาค่อยคิดไปทีละขั้นก็แล้วกัน” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างจนปัญญา
เดิมทีเฉียวซือเหิงก็ไม่ได้ให้โอกาสเธอคิดเรื่องพวกนี้เลย ตอนนั้นเธอมีแค่ทางเลือกเดียว ก็คือทำให้หนานกงเฉินฟื้นขึ้นมา
ไม่อยากจะคุยหัวข้อบทสนทนานี้ต่อไป เธอก็เลยเปลี่ยนหัวข้อ:“เสี่ยวซี่เธอล่ะ? ช่วงนี้โอเคดีไหม? ครั้งนี้กลับมาแล้วยังไปอีกหรือเปล่า?”
ซูซี่ไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่ยื่นมือมาจับมือเธอไว้ ใบหน้ารู้สึกผิด:“ขอโทษนะ มู่ชิง ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมายขนาดนี้ ในฐานะที่สนิทกัน ฉันควรเผชิญหน้าด้วยกันกับเธอ ช่วยเธอเอาชนะความลำบากพวกนั้น”
ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ทุกอย่างกำลังจะผ่านไปแล้ว ช่วงเวลาที่ยากที่สุดใกล้จะจบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเฉียวซือเหิงต้องการให้เธอกลับไปอยู่ข้างเฉียวเฟิงเหรอ? ถ้าว่าตามนิสัยเธอคงไม่กล้าผิดคำพูดหรอกใช่ไหม?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มด้วยความลำบากใจ เฉียวซือเหิงได้พูดไว้ชัดเจนแล้ว หนานกงเฉินจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ เธอกลับไปอยู่ข้างเฉียวเฟิงเมื่อไหร่ หนานกงเฉิงก็ฟื้นขึ้นมาเมื่อนั้น แล้วเธอจะผิดคำพูดได้ยังไง? เฉียวซือเหิงจะโง่ขนาดเหลือโอกาสให้เธอผิดคำพูดได้ยังไง?
“มู่ชิง เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะช่วยเธอพูดกับเฉียวซือเหิงให้เอง” ซูซี่พูด
“พูดอะไรกับฉัน?” จู่ๆก็มีเสียงของเฉียวซือเหิงดังขึ้นด้านหลัง
ทั้งสองคนที่อยู่ตรงบันไดหนีไฟหันกลับมา ก็เห็นว่าเฉียวซือเหิงกำลังค่อยๆเดินขึ้นมาจากชั้นล่าง มือข้างหนึ่งของเขาซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกลับทำให้คนสังเกตเห็นได้ยากว่าไม่สบายใจอยู่
“คุณชายเฉียว” ไป๋มู่ชิงมองเฉียวซือเหิง แล้วหันไปมองซูซี่ ยิ้มอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
เฉียวซือเหิงกลับเดินตรงไปที่หน้าซูซี่ เชยใบหน้าเล็กๆที่สวยงามของเธอขึ้นแล้วยิ้มชั่วร้าย:“เคลื่อนไหวเร็วจริงนะ พริบตาเดียวก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว”
ซูซี่ยื่นมือไปปัดมือเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว จ้องเขาแล้วถาม:“คุณมาพอดีเลย ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไร? เกี่ยวกับหนานกงเฉินเหรอ?” เฉียวซือเหิงยิ้มแล้วยักไหล่:“ที่รัก ผมก็มีหลายเรื่องเหมือนกันที่อยากบอกคุณ แต่ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยจริงๆ พวกเรากลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน”
เฉียวซือเหิงจับข้อมือเธอแล้วออกแรงดึง จนเธอเข้ามาในอ้อมกอด เป่าลมข้างหูเธอ:“สามีคิดถึงคุณพอดีเลย”
ซูซี่รู้สึกไม่ดีที่เขากอดตัวเองแบบนี้ แต่เพื่อที่จะให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลยว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่สุดท้ายเธอก็ได้แค่อดทน พูดกับไป๋มู่ชิง:“มู่ชิง ฉันกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยมาหาเธอใหม่”
“พรุ่งนี้?” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว:“พรุ่งนี้คุณยังจะมาอีก?”
ฝ่ามือของเขาที่จับอยู่ที่ไหล่ของซูซี่เริ่มออกแรง ซูซี่มองเขาด้วยความโมโห หลังจากนั้นก็สะบัดเขาออกแล้วเดินนำหน้าลงไปก่อน
ไป๋มู่ชิงมองด้านหลังของพวกเขาที่ไกลออกไป ถอนหายใจอย่างหมดปัญญา คู่กัดคู่นี้ ไม่รู้จริงๆว่าพวกเขายังต้องกัดกันไปถึงเมื่อไหร่
—
ไป๋มู่ชิงกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย เห็นว่าพี่เหอกำลังเก็บของอยู่ ก็เลยเดินเข้าไปถาม:“คุณย่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”
พี่เหอพยักหน้า:“ใช่ คุณผู้หญิงไม่ชินกับเตียงที่นี่ นอนไม่หลับทั้งคืน ครั้งนี้ก็เลยจะกลับไป”
“แต่คุณหมอเจ้าของไข้บอกแล้วนะ ว่าคุณผู้หญิงต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างน้อยครึ่งเดือนขึ้นไปถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้”
คุณผู้หญิงที่ดูภาพเป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงที่ระเบียงหันหน้ามาพูด:“แผลของฉันค่อยๆดีขึ้นแล้ว แล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรด้วย อีกอย่างที่บ้านก็มีหมอเหมือนกัน” เธอยิ้มบางๆแล้วลูบหัวของเสียวหว่านชิง:“โรงพยาบาลเชื้อโรคเยอะ หว่านชิงถูกถ่ายเลือดไปเยอะขนาดนั้นภูมิต้านทานก็ลดลงด้วย ฉันสามารถพาเขากลับไปพักฟื้นที่คฤหาสน์หลังเก่าได้พอดีเลย”
ไป๋มู่ชิงได้ยินคำพูดของคุณผู้หญิง เธอเอ่ยเสียงออกมาอย่างหมดแรง:“คุณย่า……”
“ทำไม? ไม่ดีเหรอ? ที่นั่นอากาศดี พื้นที่ก็กว้าง”
“หนูเคยพูดกับคุณย่าแล้วนะคะ เงื่อนไขในตอนแรกที่เฉียวซือเหิงยอมช่วยชีวิตคุณชายใหญ่คือ……” เธอมองเสียวหว่านชิง ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้:“ตอนนั้นหนูไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ตอบรับคำขอของเขา”
“แต่หว่านชิงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหนานกงนะ” คุณผู้หญิงโอบหว่านชิง:“ฉันจะให้หว่านชิงไปเป็นคนของตระกูลเฉียวได้ยังไง พวกคนตระกูลเฉียวทำไมถึงไม่มีเหตุผลแบบนี้นะ? แย่งผู้ใหญ่ไปคนหนึ่งแล้วยังจะแย่งเด็กอีก”
“คุณย่า อย่าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหว่านชิงสิคะ” ไป๋มู่ชิงพูด
คุณผู้หญิงมองหว่านชิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย:“ไม่ง่ายเลยที่ฉันจะมีหลานสาว ฉันตัดใจให้เขาไปไม่ลง……”
แน่นอนไป๋มู่ชิงรู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาไป ที่ต้องทำไปก็เพราะเงื่อนไขของเฉียวซือเหิง ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงตรงหน้าคุณผู้หญิง จ้องเธอแล้วพูด:“คุณย่า ถ้าตอนนัั้นคุณย่าอยู่ในเหตุการณ์ คุณย่าคงต้องเลือกช่วยหนานกงเฉินอย่างแน่นอนถูกต้องไหมคะ? หนูไม่ได้เลือกผิดใช่ไหมคะ?”
“เธอไม่ได้เลือกผิด แต่……ฉันตัดใจให้หว่านชิงไปไม่ลงจริงๆ” คุณผู้หญิงพูดพลางน้ำตาไหลพลาง
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าคุณย่าตัดใจไม่ลง และก็รู้ด้วยว่าตอนนี้อีกครึ่งหนึ่งของคุณย่าคือแสดงอยู่ จุดประสงค์ก็เพื่อให้หว่านชิงอยู่ต่อ แต่เรื่องนี้เธอพูดนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอแล้วเอ่ยปาก:“มู่ชิง หรือไม่ก็เธอไปพูดกับพวกคนตระกูลเฉียวหน่อย ให้หว่านชิงอยู่ที่เมืองซีได้หรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงงงงัน แล้วรีบพยักหน้า:“ได้ค่ะ หนูจะลองพูดกับเขาดู”
เสียวหว่านชิงเห็นคุณผู้หญิงเสียใจขนาดนั้น ก็เงยหน้าเล็กๆปลอบโยน:“คุณย่าทวดอย่าร้องไห้สิคะ หว่านชิงจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ”
คุณผู้หญิงปาดน้ำตา พูดด้วยความลำบากใจ:“เด็กโง่ หนูไม่เข้าใจ ย่าทวดอยากจะอยู่ด้วยกันกับหนูทุกวัน ไม่ได้อยากจะให้ปีหนึ่งกลับมาหาย่าทวดครั้งหนึ่ง”
“หว่านชิง หนูไม่อยากอยู่กับพ่อเหรอ?” คุณผู้หญิงลูบเส้นผมของเธอแล้วถาม
เสียวหว่านชิงพยักหน้า แล้วรีบพูด:“แต่หนูอยากอยู่กับพ่อเฉียวและแม่มากกว่า”
“พ่อเฉียวไม่ใช่พ่อแท้ๆของหนูสักหน่อย”
“แต่พ่อเฉียวรักหนูมาก ดีกับหนูมากเลยนะ”
“คุณย่า……” ไป๋มู่ชิงทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้นมา:“ตอนนี้หว่านชิงแยกไม่ค่อยออกเรื่องความสัมพันธ์สายเลือดนี่ อีกอย่าง……เธอคงชินกับการอยู่กับเฉียวเฟิง”
หว่านชิงอยู่กับเธอและเฉียวเฟิงตั้งแต่อายุหนึ่งขวบ ถ้าแยกกันได้ง่ายขนาดนี้ งั้นก็หมายความว่าไม่มีหัวจิตหัวใจน่ะสิ? นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของหว่านชิงเลยสักนิด
คุณผู้หญิงพยักหน้า ถามอย่างเสียดาย:“งั้นเธอคิดจะทำยังไง? ส่งเขากลับไปตระกูลเฉียวเหรอ?”
“คงจะให้เขากลับไปอยู่ข้างๆเฉียวเฟิงก่อนชั่วคราว แต่คุณย่าวางใจได้ค่ะ รอเฉินฟื้นขึ้นมา คุณย่าสามารถคุยกับเฉียวเฟิงให้ส่งหว่านชิงกลับมาได้ หนูเชื่อว่าเฉียวเฟิงต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน” ไป๋มู่ชิงพูดปลอบโยน
ไป๋มู่ชิงจับมือเล็กๆของหว่านชิง แล้วยิ้มเล็กน้อย:“ลูกรัก อีกสักพักแม่จะส่งลูกกลับไปที่บ้านของพ่อเฉียวนะ ลูกต้องเป็นเด็กดี ดูแลร่างกายให้ดีๆนะรู้ไหม?”
“แม่ หนูอยากอยู่ที่นี่กับแม่รอพ่อฟื้นขึ้นมา”
“ไม่ได้จ่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า:“ในโรงพยาบาลไม่สะอาด หว่านชิงอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้ อีกอย่างถ้าแม่ต้องดูแลพ่อแล้วต้องมาดูแลหว่านชิงอีกคงดูแลไม่ไหวนะ”
“งั้นก็ได้ค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า จ้องเธอด้วยความเป็นห่วง:“งั้นแม่เองก็ต้องระวังด้วยนะ ห้ามถูกเชื้อโรคแพร่เอา”
“ขอบใจจ่ะ แม่จะระวังนะ” ท่าทางการเข้าใจเอาใจใส่ดูแลของเธอทำให้ไป๋มู่ชิงประทับใจ เธอกอดหว่านชิง ลูบหัวของเธอ:“งั้นพวกเราไปดูพ่อก่อนแล้วค่อยกลับไปดีไหม?”
“ดีค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า ไป๋มู่ชิงจับมือเธอแล้วเดินไปทางเตียงผู้ป่วยของหนานกงเฉิน
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว หนานกงเฉินก็ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเลยสักนิด ไป๋มู่ชิงจับมือของเขาไว้ พูดเสียงอ่อนโยน:“เฉิน ฉันไปส่งหว่านชิงกลับบ้านก่อนนะ แล้วจะกลับมาอยู่กับคุณโอเคไหม?”
แน่นอนว่าหนานกงเฉินไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอ
เสียวหว่านชิงก็พูดเช่นกัน:“พ่อ พ่อต้องตั้งใจรักษาตัวนะ หว่านชิงกลับบ้านก่อน แต่พ่อวางใจได้ค่ะ ต่อไปหว่านชิงจะมาเยี่ยมพ่อบ่อยๆ” พูดจบเธอก็เขย่งเท้าจูบไปที่หน้าผากของหนานกงเฉิน:“ลาก่อนค่ะพ่อ”
มองฉากที่อบอุ่นแบบนี้ ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอย่างตื้นตันใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ ในใจก็คิดถึงภาพที่ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกต้องแยกจากกันอย่างไม่รู้ตัว
เธอหายใจเข้า แล้วจับมือของเสียวหว่านชิงเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยของหนานกงเฉิน
—
หลังจากที่ซูซี่กลับมาถึงบ้านกับเฉียวซือเหิง ก็เจอเข้ากับคุณผู้หญิงเฉียวที่ไม่ได้ออกไปเล่นไพ่พอดี คุณผู้หญิงเฉียวเห็นว่าเธอกลับมา รอยยิ้มก็ผลิบานขึ้นมาบนใบหน้า:“เสี่ยวซี่กลับมาแล้ว”
“แม่” ซูซี่มองเฉียวซือเหิง ทำได้แค่วางเรื่องของไป๋มู่ชิงลงก่อน แล้วอยู่คุยกับคุณผู้หญิง
“จะกลับมาทำไมไม่บอกก่อนสักคำล่ะ ฉันจะได้ให้น้าหงทำของอร่อยไว้ให้” คุณผู้หญิงเฉียวยิ้มอย่างสดใสแล้วสังเกตเธอ:“เป็นยังไงบ้าง? หนูเคยสัญญากับฉันไว้ว่ากลับมาครั้งนี้จะไม่ไปไหนแล้ว ไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”
ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย:“แม่คะ หนูพึ่งกลับมา อย่าพึ่งพูดเรื่องไปสิ”
“ฉันดูแล้วหนูน่าจะอยากไปนะ” คุณผู้หญิงเฉียวพูดอย่างไม่ดีใจ
“เปล่านะคะ” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย
คุณผู้หญิงเฉียวจู่ๆก็ดึงมือของซูซี่มาพูด:“เดือนที่แล้วคุณผู้หญิงหวางเขาพึ่งมีหลานคนที่สี่ไป เสี่ยวซี่ หนูวางแผนไว้ว่าจะมีให้ฉันสักคนตอนไหนดีล่ะ?”
ซูซี่ไม่ได้พูดอะไร คุณผู้หญิงเฉียวก็เลยเปลี่ยนไปถามเฉียวซือเหิง:“ซือเหิง แกว่ายังไง?”
“แม่ พวกเราก็พยายามกันอยู่ครับ” เฉียวซือเหิงพูด
“ทุกครั้งพวกแกก็บอกกำลังพยายามกันอยู่ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้สักที มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
“แม่คะ เรื่องแบบนี้มันรีบกันไม่ได้นะคะ” ซูซี่พูด สิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือคุณผู้หญิงเฉียวพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ไม่ได้ ครั้งนี้พวกแกต้องให้คำตอบที่แน่ชัดกับฉัน” คุณผู้หญิงเฉียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง:“อาทิตย์ที่แล้วคุณผู้หญิงหวางก็มาถามฉันเรื่องนี้ แถมยังแอบถามฉันอีกว่าพวกแกสองคนมีใครมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แล้วยังแนะนำคุณหมอเฉพาะทางให้ฉันอีก พูดซะจนฉันไปไม่ถูกเลย”
“แม่คะ คนแบบนี้ต่อไปไม่ต้องสนใจมากหรอกค่ะ” ซูซี่พูดอย่างจนปัญญา
เฉียวซือเหิงนั่งลงบนโซฟาไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ลุกขึ้นยืนพูด:“คุยกันไปนะครับ ผมขึ้นไปก่อนละ”
“แกอย่าพึ่งรีบไป” คุณผู้หญิงเฉียวเรียกเขาไว้:“คิดจะหนีอีกแล้วใช่ไหม? วันนี้แกต้องให้คำตอบที่แน่ชัดว่าจะมีหลานให้ฉันเมื่อไหร่? ไม่พูดก็ไม่ต้องไป”
ฝีเท้าของเฉียวซือเหิงหยุดลง หันหน้าแล้วจ้องมาที่เธอ:“แม่ อยากมีหลานชายมันยากมากเลยนะ ปีนี้จะให้สักคนแล้วกัน”
“จริงเหรอ?” คุณผู้หญิงเฉียวเซอร์ไพร์ส ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะรับปากเร็วขนาดนี้
สามปีก่อนเดิมทีนึกว่าจะมีหลานชายให้ตระกูลเฉียวจริงๆเสียอีก เริ่มแรกเธอดีใจมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าจริงๆแล้วเป็นหลานสาว พอตรวจสอบอีกทีกลับพบว่าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเฉียว เรื่องนี้ทำให้เธอกลุ้มใจมาก ลูกชายตัวดีของเธอไม่เคยจะรีบเรื่องนี้ ซูซี่ยิ่งไม่รีบเข้าไปใหญ่
เธอถึงกับสงสัยว่าร่างกายของซูซี่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า
พอคุณผู้หญิงเฉียวได้ฟังก็ดีใจมาก ในใจของซูซี่กลับไม่สบายใจเลย เขามีความมั่นใจขนาดนั้น ดูแล้วผู้หญิงข้างนอกนั่นคงมีเยอะจริงๆ
—
หลังจากทานอาหารค่ำ ซูซี่ก็อยู่เป็นเพื่อนกับคุณผู้หญิงเฉียวสักพัก หลังจากนั้นก็เป็นอิสระ สามารถขึ้นข้างบนไปอาบน้ำแล้วคิดบัญชีกับเฉียวซือเหิงได้สักที
หลังจากที่เธออาบน้ำแล้ว และเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังจะเข้าไปหาเฉียวซือเหิงในห้องหนังสือ เฉียวซือเหิงก็เดินเข้ามาพอดี
ผมของเธอยังชื้นอยู่ ม้วนขึ้นไปอย่างหลวมๆบนศีรษะ ชุดนอนที่ไม่เซ็กซี่กลับปิดทรวดทรงองเอวของเธอไม่มิด รูปลักษณ์ก็สวยงามดั่งดอกชบา จู่ๆก็ภายในร่างกายของเฉียวซือเหิงก็ถูกกระตุ้น
“คุณจะไปไหน?” เขาถาม
“หาคุณไง”
“อดทนรอไม่ไหวขนาดนั้นเลย?” เฉียวซือเหิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาข้างหน้าสองก้าว มือข้างหนึ่งคว้าเอวของเธอเข้ามา อีกข้างหนึ่งโอบหลังของเธอไว้แล้วก้มหน้าจูบลงไป ขณะเดียวกันก็เดินไปข้างหน้า แล้วกดเธอลงบนเตียง
จูบของเขาทั้งเผด็จการทั้งร้อนแรง ซูซี่ถึงกับใจลอย แต่เธอก็ยังมีสติหันหน้าเล็กๆไปด้านข้าง แล้วจ้องเขา:“เฉียวซือเหิงคุณคิดมากไปแล้ว ฉันหาคุณเพราะมีธุระ”
“เรื่องเกี่ยวกับหนานกงเฉินเหรอ?”
“อย่าพูดถึงหนานกงเฉินทุกครั้งได้ไหม ที่ฉันเป็นห่วงคือมู่ชิง”
“งั้นเหรอ? งั้นไม่รีบ คุณอยากคุยเรื่องของเขารอพวกเราทำเรื่องนี้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยก็ได้”
“เฉียวซือเหิง ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเล่นกับคุณนะ”
“ไม่ต้องรีบ อีกเดี๋ยวคุณก็มีอารมณ์แล้ว” เฉียวซือเหิงกดแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ จูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ:“บอกผมมา ช่วงนี้ได้ทำแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า?”
“คุณคิดว่าไงล่ะ?” ซูซี่มองเขาแล้วยิ้มเยาะ:“คุณคิดว่าไม่มีผู้ชายต้องการฉันหรือคิดว่าฉันต้องปกป้องร่างกายนี้เพื่อคุณ?”
“นี่คุณตั้งใจยั่วผมงั้นเหรอ?”
“คุณบอกฉันสรุปแล้วหว่านชิงจะกลับไปหรือยังไง แล้วฉันจะบอกคุณว่าช่วงนี้ทำกับผู้ชายคนไหน” ซูซี่ยื่นนิ้วมือเรียวยาวขึ้น ปลายนิ้วลูบไล้ไปที่กรามของเขา หลังจากนั้นก็บีบไปที่คางของเขาเหมือนที่เขาทำ:“คุณนี่มันคนโกหก!คนบ้า!ประสาท……!คุณทำอย่างนี้จุดประสงค์คืออะไรกันแน่? คุณพูดสิ!”
เฉียวซือเหิงส่ายหน้า:“ไม่มีจุดประสงค์อะไร ก็แค่สนุก”
“คุณ……งั้นคุณเคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเขาบ้างไหม?” ซูซี่ตบหน้าเขาไปหนึ่งที พูดอย่างโมโห:“ตอนแรกตอนที่ฉันขอให้คุณช่วยมู่ชิงตามหาลูกสาวคุณพูดไว้ว่ายังไง? คุณพูดไว้อย่างดิบดี แต่ความจริงล่ะ? คุณเอาลูกสาวของเธอซ่อนไว้ คุณเห็นเธอกับหนานกงเฉินเป็นเรื่องตลก!คุณทำร้ายมู่ชิงในการตามหาลูกสาวของเธอ ทำร้ายซะจนเธอร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมคุณมันน่ารังเกียจขนาดนี้?”
เฉียวซือเหิงถูกเธอตบหน้า สีหน้าจู่ๆก็อึมครึมลง เขามองเธอแล้วถามกลับ:“ทำไมทุกครั้งที่พูดเรื่องที่โยงถึงหนานกงเฉินคุณต้องโกรธง่ายขนาดนั้น?”
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องพูดถึงหนานกงเฉินกับฉันอีก!ที่ฉันถามตอนนี้คือทำไมคุณต้องทำแบบนี้!”
“ทำไมต้องทำแบบนี้?” เฉียวซือเหิงเงียบลงสักพัก แล้วหัวเราะ:“โทษคุณคงไม่ได้ คุณอยากช่วยเขาปกป้องลูกสาว ผมก็แค่ทำให้เขาปกป้องลูกสาวไม่ได้ เข้าใจหรือยัง? มันก็ง่ายแบบนี้แหละ”
“คุณ–!” ซูซี่โมโห ยกมือจะตบเขาอีกครั้ง
เฉียวซือเหิงโกรธจัด จับมือของเธอที่ง้างแล้วพูดด้วยความโมโห:“คุณกล้าตบผมเหรอ?” พูดจบ เขาก้มลงไปจูบบนซอกคอของเธอ
เขาไม่ได้เถียงกับเธออีก และไม่สนใจเธอที่ดิ้นและโมโหอยู่ เขาคิดจะจูบเธอ ลูบไล้เธอด้วยการบังคับอย่างนี้แหละ เขาฉีกเสื้อผ้าบนตัวของเธอออก แล้วเอาร่างกายของตัวเองกดทับเธออย่างโหดเหี้ยม
ซูซี่เห็นว่าเขาโกรธจนขาดสติแล้ว รู้ดีว่าถ้าตัวเองยังดิ้นต่อไปก็มีแต่ทำร้ายตัวเอง ก็เลยหยุดลง รอให้เขาระบายอารมณ์อย่างเต็มที่จนพอใจแล้วค่อยเถียงกับเขาต่อ
ร่างกายเธอแข็งทื่ออยู่บนเตียง ปิดตาลง พยายามให้ตัวเองไม่ต้องไปคิดเรื่องที่ทำให้จิตใจวุ่นวาย
ในตอนแรกเธอยังรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าอับอายอยู่เลย แต่พอเวลาผ่านไปนาน เธอก็คิดได้แล้ว
ต่อให้ทั้งสองฝ่ายไม่มีความรู้สึกที่จริงจังและจริงใจต่อกัน เขาใช้เธอเป็นภรรยาในการทำเรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าเธอสามารถใช้เขาเป็นสามีในการเติมเต็มความต้องการของผู้หญิงได้เหมือนกัน ทุกคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ครั้งนี้เธอก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว