เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 249 ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หว่านชิงค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ คุณผู้หญิงก็ค่อยๆฟื้นตัวเช่นกัน มีแค่หนานกงเฉินที่ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลย

ทั้งๆที่สีหน้าของเขาเห็นได้ว่าดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขายังไม่ฟื้นก็ไม่รู้ ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มกังวลขึ้นมา

ถือโอกาสตอนที่เฉียวซือเหิงตรวจห้อง เธอเลยถามคำถามที่กังวลอยู่ในใจ แต่เฉียวซือเหิงกลับตอบอย่างเย็นชา:“คุณจะรีบอะไร อย่างน้อยหลังหนึ่งเดือนโน่นหนานกงเฉินถึงจะฟื้น”

“หลังหนึ่งเดือน? นานขนาดนั้นเลย?” ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างตกใจ

เฉียวซือเหิงพยักหน้า:“นี่อย่างน้อยแล้วนะ”

“คุณแน่ใจไหมว่าเฉินจะฟื้นขึ้นมา?”

“ผมแน่ใจ” เฉียวซือเฟิงหมุนร่างกลับมา จ้องมาที่เธอ:“แน่นอนว่า สรุปแล้วเขาจะฟื้นหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนหรือสามเดือนหรือว่าจะหลังจากผ่านไปหนึ่งปีนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ทำไมต้องแกล้งโง่?”

ไป๋มู่ชิงเงียบลงสักพัก แล้วพยักหน้า:“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว รอร่างกายเฉินคงที่กว่านี้แล้วฉันจะ……” ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะได้ยินหรือไม่ว่าเธอพูดอะไร

อาการป่วยของหนานกงเฉินครั้งนี้หนักหนาสาหัส คงจะไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรหรอกนะ? เธอคิด

มือถือของไป๋มู่ชิงดังขึ้น หลังจากที่เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วก็กดรับ เสียงปลายสายโทรศัพท์เหมือนลองหยั่งเชิงถาม:“มู่ชิง?”

“ฉันเองค่ะ คุณคือ……?” ร่างของไป๋มู่ชิงนั่งตรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว:“ซูซี่?”

ได้ยิน‘ซูซี่’สองคำนี้ เฉียวซือเหิงเงยหน้าขึ้นมาตามสัญชาตญาณ มองไปที่เธอ

หลังจากที่ซูซี่นิ่งอึ้งไปสักพัก จู่ๆก็มีเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ:“พระเจ้า!เป็นเธอจริงๆเหรอมู่ชิง เธออย่ามาอำฉัน ฉันขี้กลัว!”

ไป๋มู่ชิงหัวเราะ:“เธออย่าพึ่งกลัว ฉันเป็นคนไม่ใช่ผี”

“เรื่องจริงหรือล้อเล่น? เฉียวเฟิงหมอนั่นไม่ได้หลอกฉัน? เธอยังไม่ตาย? ครั้งที่แล้วอีหลินที่ฉันเจอก็คือเธอ? ไป๋มู่ชิง?” ซูซี่ถามเธอชุดใหญ่ราวกับระเบิดลง

ที่แท้เธอก็ฟังเฉียวเฟิงพูดมานี่เอง ไป๋มู่ชิงยังคงอมยิ้ม:“ที่เฉียวเฟิงพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”

“รวมถึงเรื่องของหว่านชิงก็เป็นเรื่องจริง?”

“ใช่ เรื่องจริง”

“พระเจ้า ฉันตกใจจะตายแล้วเนี่ย เธอนี่มันนักต้มตุ๋น!ร้ายมาก!บ้าไปแล้ว……!”

“เสี่ยวซี่……” ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ถึงสายตาที่คมกริบของเฉียวซือเหิง ก็เลยเปลี่ยนคำพูด:“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”

“ฉันพึ่งกลับประเทศมาวันนี้ ร้านอาหารลวี่หยวนอยู่ทางผ่านพอดีก็เลยเข้าไปทานข้าว แล้วก็ได้ยินข่าวน่าตกใจนี้เข้า” ซูซี่พูด

แท้จริงแล้วเธอเจอกับเฉียวเฟิง ก็เลยพลั้งปากถามเขาไปว่าอีหลินกับเสียวหว่านชิงล่ะอยู่ที่ไหน กลับไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวน่าตกใจนี้จากปากของเฉียวเฟิงเขา เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจริงๆ

จู่ๆเฉียวซือเหิงก็ทนไม่ไหววางมือลงแล้วยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ในมือของไป๋มู่ชิง พูดกับซูซี่ทางโทรศัพท์ว่า:“คุณผู้หญิงเฉียว คุณยังรู้จักกลับมาอีกเหรอ?”

“นายเป็นใครอะ? ทำไมอยู่กับมู่ชิง?” ซูซี่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่

เฉียวซือเหิงกลับโมโห กัดฟันแล้วพูดออกไป:“นี่คุณฟังไม่ออกจริงๆเหรอว่าผมเป็นใคร?”

“อ๋อ คุณชายเฉียวนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานนะ” ซูซี่แกล้งทำว่านึกออกขึ้นมา

“ใช่ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ไม่รอให้เขาเอ่ยปากพูด ซูซี่ก็พูดต่อ:“แต่วันนี้ฉันยังไม่อยากเจอคุณ วันหน้าแล้วกัน”

พูดจบเธอก็วางสายโทรศัพท์

พอได้ยินเสียงตู๊ดๆจากโทรศัพท์ จู่ๆเฉียวซือเหิงก็โมโหขึ้นมา ก็เลยจำใจคืนโทรศัพท์กลับไปให้ในมือของไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงกำโทรศัพท์ไว้ มองเขาที่สีหน้าไม่ค่อยดีแล้วถาม:“ผ่านไปหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับซูซี่ไม่ดีขึ้นเลยเหรอ?”

เฉียวซือเหิงมองเธอ ยิ้มอย่างเฉยชา:“จู่ๆผมก็รู้สึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อยที่ช่วยชีวิตหนานกงเฉินไว้”

“อะไรนะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขาที่ตอบไม่ตรงคำถาม

“ไม่มีอะไร ผมไปก่อนนะ” เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองหนานกงเฉินที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ แล้วหมุนร่างเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เขารีบเดินนิดหน่อย ไป๋มู่ชิงอยากจะถามเขาต่อก็ไม่ทันได้ถาม

ถึงแม้ว่าซูซี่จะพูดว่าไม่อยากเจอเฉียวซือเหิง แต่ไม่นานเฉียวซือเหิงก็เดินทางมาถึงที่ร้านอาหารลวี่หยวน กั้นเธอไว้ในห้องอาหาร

ตอนที่เขามาถึง ซูซี่ยังคงคิดถึงเรื่องที่ไป๋มู่ชิงฟื้นคืนชีพกลับมาอยู่ เวลานี้กำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่ด้านหน้าของหน้าต่างยาวจรดพื้น

คงเพราะเรื่องเมื่อสักครู่น่าตกใจเกินไป การปรากฏตัวของเฉียวซือเหิงไม่ได้ทำให้เธอตกใจเลยแม้แต่น้อย

“คุณมาได้ยังไง?” เธอหยุดเดิน ปรับอารมณ์ตัวเอง จ้องไปที่เขาแล้วถาม

“มาหาภรรยาผมที่ไม่ได้เจอหลายเดือน” เฉียวซือเหิงเดินไปหาเธอ ฝ่ามือกุมแก้มเธอเอาไว้ แล้วก้มหน้าไปจูบที่ริมฝีปากอมชมพูของเธอ:“คิดถึงผมไหม?”

“คุณอยากฟังความจริงหรือเปล่า?” ซูซี่ยื่นมือเล็กๆมาจัดเสื้อเชิ้ตเขาที่อยู่ตรงหน้าเธอ แล้วยิ้มหวาน:“ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าคุณเป็นสามีของฉัน”

งานแต่งของเธอกับเขา สำหรับเธอก็แค่งานที่จัดแสดงขึ้นมา ไม่มีความหมายอื่นใด เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผู้ชายน่าเกลียดคนนี้เหนื่อยล้าจากการมั่วสุมกับผู้หญิงข้างนอก มักอดไม่ได้ที่จะลวนลามเธอ ทำให้เธอหมดคำพูด

“งั้นเหรอ? งั้นผมต้องรีบทำให้คุณจำผมได้แล้วล่ะ” เฉียวซือเหิงพูดแล้วจูบเธอที่ริมฝีปากอีกครั้ง จูบอย่างลึกซึ้งโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด

ซูซี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ และไม่ใช่ผู้หญิงที่เล่นตัวอะไรทำนองนั้น อีกทั้งเธอกับเฉียวซือเหิงใช่ว่าจะไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวหรือจูบกันมาก่อน

ขณะที่เฉียวซือเหิงจูบเข้าไปในปากเธออย่างตรงๆนั้น เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่ดิ้นปฏิเสธอย่างกับเล่นตัว แต่เธอกลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว:“เดี๋ยวก่อน”

เธอใช้แขนเช็ดริมฝีปากของตัวเอง แล้วสังเกตเขา:“วันนี้คุณจูบผู้หญิงคนอื่นมาหรือเปล่า? แปรงฟันแล้วหรือยัง?”

“คุณไวต่อความรู้สึกอยู่แล้วนี่ ชิมดูไม่รู้เหรอ?” เฉียวซือเหิงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ยิ้มชั่วร้าย:“กลิ่นยาฆ่าเชื้อ ได้กลิ่นหรือเปล่า?”

“พึ่งมาจากโรงพยาบาล?”

“ถูกต้อง”

“หนานกงเฉินเขาเป็นยังไงบ้าง?”

สีหน้าของเฉียวซือเหิงอึมครึมลง ก้มหน้าลงมองที่เธอแล้วกัดฟัน:“คุณแน่ใจว่าจะถามถึงเขาก่อนที่จะถามถึงผม?”

“ฉันจะถามถึงคุณทำไม?” ซูซี่กวาดสายตามองเขา:“ฉันดูแล้วคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงกะล่อนเหมือนเดิม เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้”

“คุณควรถามผมว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง มีความสุขดีไหม ได้ไปหาผู้หญิงนอกบ้านบ้างหรือเปล่า หรือว่าได้……”

“ฉันเห็นคุณมีความสุขดี ชีวิตรักก็น่าจะเข้ากันได้ดี พอเข้ากันได้ดีก็มีความสุขเป็นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องถามหรอก” ซูซี่หยิบกระเป๋าจากบนโซฟามาถือ:“ที่รัก ฉันมีธุระด่วน ไม่อยู่เล่นกับคุณแล้วนะ”

เธอใช้มืออีกข้างตบไปที่หน้าอกของเขา:“ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหนี ครั้งนี้ฉันว่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่งค่อยไป”

เฉียวซือเหิงขมาดคิ้ว:“คุณจะไปไหน? เยี่ยมหนานกงเฉิน?”

ซูซี่ไม่ได้สนใจเขา ผลักประตูแล้วออกจากห้องอาหารไป เหลือไว้แค่เขาคนเดียวที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่นั่น

ซูซี่มาที่โรงพยาบาลจริงๆ แต่เธอไม่ได้ตรงไปเยี่ยมหนานกงเฉิน เธอไปหาไป๋มู่ชิง

หลังจากที่เห็นไป๋มู่ชิง เธอก็สังเกตเขาตลอด บนใบหน้าทั้งงุนงงทั้งดีใจ ถึงขนาดยื่นมือไปบีบใบหน้ารูปไข่ของไป๋มู่ชิง:“เธอคือมู่ชิงจริงๆเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงลูบใบหน้าเล็กๆที่ถูกเธอบีบจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แล้วพยักหน้า:“ถูกต้อง ฉันเอง เธอถามแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ”

“มิน่าล่ะตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรกที่บ้านตระกูลเฉียวถึงรู้สึกว่าเธอคุ้นหน้าคุ้นตามาก ที่แท้ก็……” ซูซี่พยักหน้า แล้วรีบถามต่อ:“สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ตอนนั้นเธอไม่ใช่……อะไรแล้วนะ?”

“คุณหนูซู เธอแน่ใจว่าจะถามคำถามพวกนี้ตอนนี้?” ไป๋มู่ชิงยิ้มเล็กน้อย:“ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ สามวันสามคืนคาดว่าคงไม่พอ”

“คนเขาอยากรู้นี่”

“วางใจเถอะ รอให้มีโอกาส ฉันจะบอกเธอกับเสียวเหม่ยทั้งหมดอย่างละเอียดเอง” ไป๋มู่ชิงพูด

ซูซี่กวาดสายตามองรอบทิศ ตอนนี้ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้จริงๆ เธอที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ก็เลยต้องยอมแพ้:“ก็ได้ เรื่องนี้พวกเราค่อยว่ากันวันหลัง แล้วเรื่องของหว่านชิงล่ะ? เธอควรเล่าให้ฉันฟังถูกไหม?”

“หว่านชิง?” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างลำบากใจ แล้วมองเธอ:“ถึงแม้ว่าในระหว่างนั้นเรื่องราวจะซับซ้อนมาก แต่ตอนนี้ฉันอยากขอบคุณเธอ ขอบคุณเธอที่ในตอนนั้นช่วยฉันเรื่องหว่านชิง”

“ฉัน?”

“ใช่ ภายนอกคุณชายใหญ่เฉียวไม่ได้ตอบรับว่าจะช่วยเธอ แต่ลึกๆแล้วความจริงเขาช่วยแล้วนะ เขาคือผู้ชายคนนั้นที่ฉันเจอที่ห้องน้ำ เขาแอบสับเปลี่ยนลูกของฉัน ส่งเด็กทารกผู้ชายที่ถูกทิ้งคนนั้นไปที่ไป๋ยิ่งอัน”

“เฉียวซือเหิงแอบสับเปลี่ยนลูกของเธอ? งั้นทำไมเขาต้องโกหกฉันล่ะว่าไม่ได้ช่วย? แล้วยังโกหกฉันมาตลอดที่บอกว่าจะช่วยตามหาเด็ก? ที่แท้ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเขา เจ้าหมอนี่!”

“เสี่ยวซี่ เธออย่าพึ่งใจร้อนไป” ไป๋มู่ชิงหัวเราะ:“ถึงแม้ว่าการกระทำของคุณชายใหญ่เฉียวจะน่าเกลียด แต่พอเห็นว่าหว่านชิงสบายดี ฉันก็อภัยให้เขาไปหมดเลย แล้วอีกอย่างพอเห็นว่าเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันถึงกับขอบคุณเขาที่สับเปลี่ยนหว่านชิง ไม่งั้นตอนนี้เฉินอาจจะตายไปแล้ว”

สมมุติถ้าตอนนั้นไม่ใช่เฉียวซือเหิงที่ซ่อนหว่านชิงของเธอไว้ ไป๋ยิ่งอันคงไม่ปล่อยหว่านชิงไป หว่านชิงก็คงไม่มีชีวิตจนถึงตอนนี้เช่นกัน ถ้าไม่มีหว่านชิง หนานกงเฉินก็คงตายไปแล้ว

เพราะฉะนั้นเธอก็เลยให้อภัย ให้อภัยเขานานแล้ว!

“ตอนนี้หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง?” ซูซี่ที่ได้สติคืนมาจากความสงสัยก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเหมือนจะลืมถามถึงหนานกงเฉิน ก็เลยรีบเก็บอาการบนใบหน้า

“คุณชายใหญ่เฉียวบอกว่าต้องอย่างน้อยหลังหนึ่งเดือนถึงจะฟื้นขึ้นมา” พูดถึงหนานกงเฉิน ใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็ถูกปกคลุมด้วยความกลัดกลุ้มไม่สบายใจ

ตอนนี้ที่เธอกังวลที่สุดคือหนานกงเฉิน อีกทั้งสัญญาระหว่างเธอกับเฉียวซือเหิงนั่นอีก นั่นก็ทำให้เธอกังวลมากเหมือนกัน

“เฉียวซือเหิงมารักษาหนานกงเฉินด้วยตัวเองเลย?” ซูซี่ตกใจ

“ใช่ เพราะฉะนั้นฉันเลยขอบคุณเขา”

“ไม่ถูกสิ เขาไม่ได้มีจิตใจดีนี่” ซูซี่สังเกตเธอแล้วถาม:“บอกฉันมาตามตรง เขาเสนอเงื่อนไขอะไรมาให้เธอใช่หรือเปล่า?”

ไป๋มู่ชิงมองเธอ จู่ๆในใจก็ตื้นตัน เธอก้มหน้าลง:“ความจริงแล้วขอแค่คุณชายเฉินฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเงื่อนไขอะไรฉันก็รับได้ทั้งนั้น”

“สรุปแล้วเขาเสนอเงื่อนอะไรให้เธอ? บอกฉันมา บางทีฉันสามารถช่วยเธอได้นะ?”

“เขาให้ฉันกลับไปอยู่ข้างๆเฉียวเฟิง” ไป๋มู่ชิงพูด:“เสี่ยวซี่ นี่เป็นข้อตกลงที่ฉันยินยอมเอง”

“เขาเอาเรื่องของความรู้สึกมาทำข้อตกลง?”

“ฉันรู้ว่าเขาทำเพื่อเฉียวเฟิง ยังไงซะเฉียวเฟิงก็ทำอะไรตั้งมากมายเพื่อฉัน แต่ฉันกลับทิ้งเขาอย่างไร้น้ำใจ”

“แต่คนที่เธอรักคือหนานกงเฉินนี่ พวกเธอยังมีหว่านชิงอีก ถ้าพวกเธอสองคนเลิกกัน แล้วหว่านชิงล่ะจะทำยังไง? จะอยู่กับเธอหรือว่าหนานกงเฉิน เกรงว่าพวกเธอทั้งสองไม่ว่าใครคงตัดใจให้เขาไปไม่ลงล่ะสิ?” ซูซี่พูดอย่างหาคำตอบไม่ได้

“เรื่องพวกนี้……พอถึงเวลาค่อยคิดไปทีละขั้นก็แล้วกัน” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างจนปัญญา

เดิมทีเฉียวซือเหิงก็ไม่ได้ให้โอกาสเธอคิดเรื่องพวกนี้เลย ตอนนั้นเธอมีแค่ทางเลือกเดียว ก็คือทำให้หนานกงเฉินฟื้นขึ้นมา

ไม่อยากจะคุยหัวข้อบทสนทนานี้ต่อไป เธอก็เลยเปลี่ยนหัวข้อ:“เสี่ยวซี่เธอล่ะ? ช่วงนี้โอเคดีไหม? ครั้งนี้กลับมาแล้วยังไปอีกหรือเปล่า?”

ซูซี่ไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่ยื่นมือมาจับมือเธอไว้ ใบหน้ารู้สึกผิด:“ขอโทษนะ มู่ชิง ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมายขนาดนี้ ในฐานะที่สนิทกัน ฉันควรเผชิญหน้าด้วยกันกับเธอ ช่วยเธอเอาชนะความลำบากพวกนั้น”

ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ทุกอย่างกำลังจะผ่านไปแล้ว ช่วงเวลาที่ยากที่สุดใกล้จะจบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้วล่ะ”

“ไม่ใช่ว่าเฉียวซือเหิงต้องการให้เธอกลับไปอยู่ข้างเฉียวเฟิงเหรอ? ถ้าว่าตามนิสัยเธอคงไม่กล้าผิดคำพูดหรอกใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงยิ้มด้วยความลำบากใจ เฉียวซือเหิงได้พูดไว้ชัดเจนแล้ว หนานกงเฉินจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ เธอกลับไปอยู่ข้างเฉียวเฟิงเมื่อไหร่ หนานกงเฉิงก็ฟื้นขึ้นมาเมื่อนั้น แล้วเธอจะผิดคำพูดได้ยังไง? เฉียวซือเหิงจะโง่ขนาดเหลือโอกาสให้เธอผิดคำพูดได้ยังไง?

“มู่ชิง เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะช่วยเธอพูดกับเฉียวซือเหิงให้เอง” ซูซี่พูด

“พูดอะไรกับฉัน?” จู่ๆก็มีเสียงของเฉียวซือเหิงดังขึ้นด้านหลัง

ทั้งสองคนที่อยู่ตรงบันไดหนีไฟหันกลับมา ก็เห็นว่าเฉียวซือเหิงกำลังค่อยๆเดินขึ้นมาจากชั้นล่าง มือข้างหนึ่งของเขาซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกลับทำให้คนสังเกตเห็นได้ยากว่าไม่สบายใจอยู่

“คุณชายเฉียว” ไป๋มู่ชิงมองเฉียวซือเหิง แล้วหันไปมองซูซี่ ยิ้มอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

เฉียวซือเหิงกลับเดินตรงไปที่หน้าซูซี่ เชยใบหน้าเล็กๆที่สวยงามของเธอขึ้นแล้วยิ้มชั่วร้าย:“เคลื่อนไหวเร็วจริงนะ พริบตาเดียวก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว”

ซูซี่ยื่นมือไปปัดมือเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว จ้องเขาแล้วถาม:“คุณมาพอดีเลย ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

“เรื่องอะไร? เกี่ยวกับหนานกงเฉินเหรอ?” เฉียวซือเหิงยิ้มแล้วยักไหล่:“ที่รัก ผมก็มีหลายเรื่องเหมือนกันที่อยากบอกคุณ แต่ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยจริงๆ พวกเรากลับบ้านแล้วค่อยว่ากัน”

เฉียวซือเหิงจับข้อมือเธอแล้วออกแรงดึง จนเธอเข้ามาในอ้อมกอด เป่าลมข้างหูเธอ:“สามีคิดถึงคุณพอดีเลย”

ซูซี่รู้สึกไม่ดีที่เขากอดตัวเองแบบนี้ แต่เพื่อที่จะให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลยว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่สุดท้ายเธอก็ได้แค่อดทน พูดกับไป๋มู่ชิง:“มู่ชิง ฉันกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยมาหาเธอใหม่”

“พรุ่งนี้?” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว:“พรุ่งนี้คุณยังจะมาอีก?”

ฝ่ามือของเขาที่จับอยู่ที่ไหล่ของซูซี่เริ่มออกแรง ซูซี่มองเขาด้วยความโมโห หลังจากนั้นก็สะบัดเขาออกแล้วเดินนำหน้าลงไปก่อน

ไป๋มู่ชิงมองด้านหลังของพวกเขาที่ไกลออกไป ถอนหายใจอย่างหมดปัญญา คู่กัดคู่นี้ ไม่รู้จริงๆว่าพวกเขายังต้องกัดกันไปถึงเมื่อไหร่

ไป๋มู่ชิงกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย เห็นว่าพี่เหอกำลังเก็บของอยู่ ก็เลยเดินเข้าไปถาม:“คุณย่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”

พี่เหอพยักหน้า:“ใช่ คุณผู้หญิงไม่ชินกับเตียงที่นี่ นอนไม่หลับทั้งคืน ครั้งนี้ก็เลยจะกลับไป”

“แต่คุณหมอเจ้าของไข้บอกแล้วนะ ว่าคุณผู้หญิงต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างน้อยครึ่งเดือนขึ้นไปถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้”

คุณผู้หญิงที่ดูภาพเป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงที่ระเบียงหันหน้ามาพูด:“แผลของฉันค่อยๆดีขึ้นแล้ว แล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรด้วย อีกอย่างที่บ้านก็มีหมอเหมือนกัน” เธอยิ้มบางๆแล้วลูบหัวของเสียวหว่านชิง:“โรงพยาบาลเชื้อโรคเยอะ หว่านชิงถูกถ่ายเลือดไปเยอะขนาดนั้นภูมิต้านทานก็ลดลงด้วย ฉันสามารถพาเขากลับไปพักฟื้นที่คฤหาสน์หลังเก่าได้พอดีเลย”

ไป๋มู่ชิงได้ยินคำพูดของคุณผู้หญิง เธอเอ่ยเสียงออกมาอย่างหมดแรง:“คุณย่า……”

“ทำไม? ไม่ดีเหรอ? ที่นั่นอากาศดี พื้นที่ก็กว้าง”

“หนูเคยพูดกับคุณย่าแล้วนะคะ เงื่อนไขในตอนแรกที่เฉียวซือเหิงยอมช่วยชีวิตคุณชายใหญ่คือ……” เธอมองเสียวหว่านชิง ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้:“ตอนนั้นหนูไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ตอบรับคำขอของเขา”

“แต่หว่านชิงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหนานกงนะ” คุณผู้หญิงโอบหว่านชิง:“ฉันจะให้หว่านชิงไปเป็นคนของตระกูลเฉียวได้ยังไง พวกคนตระกูลเฉียวทำไมถึงไม่มีเหตุผลแบบนี้นะ? แย่งผู้ใหญ่ไปคนหนึ่งแล้วยังจะแย่งเด็กอีก”

“คุณย่า อย่าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหว่านชิงสิคะ” ไป๋มู่ชิงพูด

คุณผู้หญิงมองหว่านชิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย:“ไม่ง่ายเลยที่ฉันจะมีหลานสาว ฉันตัดใจให้เขาไปไม่ลง……”

แน่นอนไป๋มู่ชิงรู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาไป ที่ต้องทำไปก็เพราะเงื่อนไขของเฉียวซือเหิง ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงตรงหน้าคุณผู้หญิง จ้องเธอแล้วพูด:“คุณย่า ถ้าตอนนัั้นคุณย่าอยู่ในเหตุการณ์ คุณย่าคงต้องเลือกช่วยหนานกงเฉินอย่างแน่นอนถูกต้องไหมคะ? หนูไม่ได้เลือกผิดใช่ไหมคะ?”

“เธอไม่ได้เลือกผิด แต่……ฉันตัดใจให้หว่านชิงไปไม่ลงจริงๆ” คุณผู้หญิงพูดพลางน้ำตาไหลพลาง

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าคุณย่าตัดใจไม่ลง และก็รู้ด้วยว่าตอนนี้อีกครึ่งหนึ่งของคุณย่าคือแสดงอยู่ จุดประสงค์ก็เพื่อให้หว่านชิงอยู่ต่อ แต่เรื่องนี้เธอพูดนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอแล้วเอ่ยปาก:“มู่ชิง หรือไม่ก็เธอไปพูดกับพวกคนตระกูลเฉียวหน่อย ให้หว่านชิงอยู่ที่เมืองซีได้หรือเปล่า?”

ไป๋มู่ชิงงงงัน แล้วรีบพยักหน้า:“ได้ค่ะ หนูจะลองพูดกับเขาดู”

เสียวหว่านชิงเห็นคุณผู้หญิงเสียใจขนาดนั้น ก็เงยหน้าเล็กๆปลอบโยน:“คุณย่าทวดอย่าร้องไห้สิคะ หว่านชิงจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ”

คุณผู้หญิงปาดน้ำตา พูดด้วยความลำบากใจ:“เด็กโง่ หนูไม่เข้าใจ ย่าทวดอยากจะอยู่ด้วยกันกับหนูทุกวัน ไม่ได้อยากจะให้ปีหนึ่งกลับมาหาย่าทวดครั้งหนึ่ง”

“หว่านชิง หนูไม่อยากอยู่กับพ่อเหรอ?” คุณผู้หญิงลูบเส้นผมของเธอแล้วถาม

เสียวหว่านชิงพยักหน้า แล้วรีบพูด:“แต่หนูอยากอยู่กับพ่อเฉียวและแม่มากกว่า”

“พ่อเฉียวไม่ใช่พ่อแท้ๆของหนูสักหน่อย”

“แต่พ่อเฉียวรักหนูมาก ดีกับหนูมากเลยนะ”

“คุณย่า……” ไป๋มู่ชิงทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้นมา:“ตอนนี้หว่านชิงแยกไม่ค่อยออกเรื่องความสัมพันธ์สายเลือดนี่ อีกอย่าง……เธอคงชินกับการอยู่กับเฉียวเฟิง”

หว่านชิงอยู่กับเธอและเฉียวเฟิงตั้งแต่อายุหนึ่งขวบ ถ้าแยกกันได้ง่ายขนาดนี้ งั้นก็หมายความว่าไม่มีหัวจิตหัวใจน่ะสิ? นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของหว่านชิงเลยสักนิด

คุณผู้หญิงพยักหน้า ถามอย่างเสียดาย:“งั้นเธอคิดจะทำยังไง? ส่งเขากลับไปตระกูลเฉียวเหรอ?”

“คงจะให้เขากลับไปอยู่ข้างๆเฉียวเฟิงก่อนชั่วคราว แต่คุณย่าวางใจได้ค่ะ รอเฉินฟื้นขึ้นมา คุณย่าสามารถคุยกับเฉียวเฟิงให้ส่งหว่านชิงกลับมาได้ หนูเชื่อว่าเฉียวเฟิงต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน” ไป๋มู่ชิงพูดปลอบโยน

ไป๋มู่ชิงจับมือเล็กๆของหว่านชิง แล้วยิ้มเล็กน้อย:“ลูกรัก อีกสักพักแม่จะส่งลูกกลับไปที่บ้านของพ่อเฉียวนะ ลูกต้องเป็นเด็กดี ดูแลร่างกายให้ดีๆนะรู้ไหม?”

“แม่ หนูอยากอยู่ที่นี่กับแม่รอพ่อฟื้นขึ้นมา”

“ไม่ได้จ่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า:“ในโรงพยาบาลไม่สะอาด หว่านชิงอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้ อีกอย่างถ้าแม่ต้องดูแลพ่อแล้วต้องมาดูแลหว่านชิงอีกคงดูแลไม่ไหวนะ”

“งั้นก็ได้ค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า จ้องเธอด้วยความเป็นห่วง:“งั้นแม่เองก็ต้องระวังด้วยนะ ห้ามถูกเชื้อโรคแพร่เอา”

“ขอบใจจ่ะ แม่จะระวังนะ” ท่าทางการเข้าใจเอาใจใส่ดูแลของเธอทำให้ไป๋มู่ชิงประทับใจ เธอกอดหว่านชิง ลูบหัวของเธอ:“งั้นพวกเราไปดูพ่อก่อนแล้วค่อยกลับไปดีไหม?”

“ดีค่ะ” หว่านชิงพยักหน้า ไป๋มู่ชิงจับมือเธอแล้วเดินไปทางเตียงผู้ป่วยของหนานกงเฉิน

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว หนานกงเฉินก็ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเลยสักนิด ไป๋มู่ชิงจับมือของเขาไว้ พูดเสียงอ่อนโยน:“เฉิน ฉันไปส่งหว่านชิงกลับบ้านก่อนนะ แล้วจะกลับมาอยู่กับคุณโอเคไหม?”

แน่นอนว่าหนานกงเฉินไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอ

เสียวหว่านชิงก็พูดเช่นกัน:“พ่อ พ่อต้องตั้งใจรักษาตัวนะ หว่านชิงกลับบ้านก่อน แต่พ่อวางใจได้ค่ะ ต่อไปหว่านชิงจะมาเยี่ยมพ่อบ่อยๆ” พูดจบเธอก็เขย่งเท้าจูบไปที่หน้าผากของหนานกงเฉิน:“ลาก่อนค่ะพ่อ”

มองฉากที่อบอุ่นแบบนี้ ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอย่างตื้นตันใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ ในใจก็คิดถึงภาพที่ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกต้องแยกจากกันอย่างไม่รู้ตัว

เธอหายใจเข้า แล้วจับมือของเสียวหว่านชิงเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยของหนานกงเฉิน

หลังจากที่ซูซี่กลับมาถึงบ้านกับเฉียวซือเหิง ก็เจอเข้ากับคุณผู้หญิงเฉียวที่ไม่ได้ออกไปเล่นไพ่พอดี คุณผู้หญิงเฉียวเห็นว่าเธอกลับมา รอยยิ้มก็ผลิบานขึ้นมาบนใบหน้า:“เสี่ยวซี่กลับมาแล้ว”

“แม่” ซูซี่มองเฉียวซือเหิง ทำได้แค่วางเรื่องของไป๋มู่ชิงลงก่อน แล้วอยู่คุยกับคุณผู้หญิง

“จะกลับมาทำไมไม่บอกก่อนสักคำล่ะ ฉันจะได้ให้น้าหงทำของอร่อยไว้ให้” คุณผู้หญิงเฉียวยิ้มอย่างสดใสแล้วสังเกตเธอ:“เป็นยังไงบ้าง? หนูเคยสัญญากับฉันไว้ว่ากลับมาครั้งนี้จะไม่ไปไหนแล้ว ไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”

ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย:“แม่คะ หนูพึ่งกลับมา อย่าพึ่งพูดเรื่องไปสิ”

“ฉันดูแล้วหนูน่าจะอยากไปนะ” คุณผู้หญิงเฉียวพูดอย่างไม่ดีใจ

“เปล่านะคะ” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย

คุณผู้หญิงเฉียวจู่ๆก็ดึงมือของซูซี่มาพูด:“เดือนที่แล้วคุณผู้หญิงหวางเขาพึ่งมีหลานคนที่สี่ไป เสี่ยวซี่ หนูวางแผนไว้ว่าจะมีให้ฉันสักคนตอนไหนดีล่ะ?”

ซูซี่ไม่ได้พูดอะไร คุณผู้หญิงเฉียวก็เลยเปลี่ยนไปถามเฉียวซือเหิง:“ซือเหิง แกว่ายังไง?”

“แม่ พวกเราก็พยายามกันอยู่ครับ” เฉียวซือเหิงพูด

“ทุกครั้งพวกแกก็บอกกำลังพยายามกันอยู่ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้สักที มันจะเป็นไปได้ยังไง?”

“แม่คะ เรื่องแบบนี้มันรีบกันไม่ได้นะคะ” ซูซี่พูด สิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือคุณผู้หญิงเฉียวพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ไม่ได้ ครั้งนี้พวกแกต้องให้คำตอบที่แน่ชัดกับฉัน” คุณผู้หญิงเฉียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง:“อาทิตย์ที่แล้วคุณผู้หญิงหวางก็มาถามฉันเรื่องนี้ แถมยังแอบถามฉันอีกว่าพวกแกสองคนมีใครมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แล้วยังแนะนำคุณหมอเฉพาะทางให้ฉันอีก พูดซะจนฉันไปไม่ถูกเลย”

“แม่คะ คนแบบนี้ต่อไปไม่ต้องสนใจมากหรอกค่ะ” ซูซี่พูดอย่างจนปัญญา

เฉียวซือเหิงนั่งลงบนโซฟาไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ลุกขึ้นยืนพูด:“คุยกันไปนะครับ ผมขึ้นไปก่อนละ”

“แกอย่าพึ่งรีบไป” คุณผู้หญิงเฉียวเรียกเขาไว้:“คิดจะหนีอีกแล้วใช่ไหม? วันนี้แกต้องให้คำตอบที่แน่ชัดว่าจะมีหลานให้ฉันเมื่อไหร่? ไม่พูดก็ไม่ต้องไป”

ฝีเท้าของเฉียวซือเหิงหยุดลง หันหน้าแล้วจ้องมาที่เธอ:“แม่ อยากมีหลานชายมันยากมากเลยนะ ปีนี้จะให้สักคนแล้วกัน”

“จริงเหรอ?” คุณผู้หญิงเฉียวเซอร์ไพร์ส ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะรับปากเร็วขนาดนี้

สามปีก่อนเดิมทีนึกว่าจะมีหลานชายให้ตระกูลเฉียวจริงๆเสียอีก เริ่มแรกเธอดีใจมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าจริงๆแล้วเป็นหลานสาว พอตรวจสอบอีกทีกลับพบว่าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเฉียว เรื่องนี้ทำให้เธอกลุ้มใจมาก ลูกชายตัวดีของเธอไม่เคยจะรีบเรื่องนี้ ซูซี่ยิ่งไม่รีบเข้าไปใหญ่

เธอถึงกับสงสัยว่าร่างกายของซูซี่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า

พอคุณผู้หญิงเฉียวได้ฟังก็ดีใจมาก ในใจของซูซี่กลับไม่สบายใจเลย เขามีความมั่นใจขนาดนั้น ดูแล้วผู้หญิงข้างนอกนั่นคงมีเยอะจริงๆ

หลังจากทานอาหารค่ำ ซูซี่ก็อยู่เป็นเพื่อนกับคุณผู้หญิงเฉียวสักพัก หลังจากนั้นก็เป็นอิสระ สามารถขึ้นข้างบนไปอาบน้ำแล้วคิดบัญชีกับเฉียวซือเหิงได้สักที

หลังจากที่เธออาบน้ำแล้ว และเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังจะเข้าไปหาเฉียวซือเหิงในห้องหนังสือ เฉียวซือเหิงก็เดินเข้ามาพอดี

ผมของเธอยังชื้นอยู่ ม้วนขึ้นไปอย่างหลวมๆบนศีรษะ ชุดนอนที่ไม่เซ็กซี่กลับปิดทรวดทรงองเอวของเธอไม่มิด รูปลักษณ์ก็สวยงามดั่งดอกชบา จู่ๆก็ภายในร่างกายของเฉียวซือเหิงก็ถูกกระตุ้น

“คุณจะไปไหน?” เขาถาม

“หาคุณไง”

“อดทนรอไม่ไหวขนาดนั้นเลย?” เฉียวซือเหิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาข้างหน้าสองก้าว มือข้างหนึ่งคว้าเอวของเธอเข้ามา อีกข้างหนึ่งโอบหลังของเธอไว้แล้วก้มหน้าจูบลงไป ขณะเดียวกันก็เดินไปข้างหน้า แล้วกดเธอลงบนเตียง

จูบของเขาทั้งเผด็จการทั้งร้อนแรง ซูซี่ถึงกับใจลอย แต่เธอก็ยังมีสติหันหน้าเล็กๆไปด้านข้าง แล้วจ้องเขา:“เฉียวซือเหิงคุณคิดมากไปแล้ว ฉันหาคุณเพราะมีธุระ”

“เรื่องเกี่ยวกับหนานกงเฉินเหรอ?”

“อย่าพูดถึงหนานกงเฉินทุกครั้งได้ไหม ที่ฉันเป็นห่วงคือมู่ชิง”

“งั้นเหรอ? งั้นไม่รีบ คุณอยากคุยเรื่องของเขารอพวกเราทำเรื่องนี้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยก็ได้”

“เฉียวซือเหิง ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเล่นกับคุณนะ”

“ไม่ต้องรีบ อีกเดี๋ยวคุณก็มีอารมณ์แล้ว” เฉียวซือเหิงกดแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ จูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ:“บอกผมมา ช่วงนี้ได้ทำแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า?”

“คุณคิดว่าไงล่ะ?” ซูซี่มองเขาแล้วยิ้มเยาะ:“คุณคิดว่าไม่มีผู้ชายต้องการฉันหรือคิดว่าฉันต้องปกป้องร่างกายนี้เพื่อคุณ?”

“นี่คุณตั้งใจยั่วผมงั้นเหรอ?”

“คุณบอกฉันสรุปแล้วหว่านชิงจะกลับไปหรือยังไง แล้วฉันจะบอกคุณว่าช่วงนี้ทำกับผู้ชายคนไหน” ซูซี่ยื่นนิ้วมือเรียวยาวขึ้น ปลายนิ้วลูบไล้ไปที่กรามของเขา หลังจากนั้นก็บีบไปที่คางของเขาเหมือนที่เขาทำ:“คุณนี่มันคนโกหก!คนบ้า!ประสาท……!คุณทำอย่างนี้จุดประสงค์คืออะไรกันแน่? คุณพูดสิ!”

เฉียวซือเหิงส่ายหน้า:“ไม่มีจุดประสงค์อะไร ก็แค่สนุก”

“คุณ……งั้นคุณเคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเขาบ้างไหม?” ซูซี่ตบหน้าเขาไปหนึ่งที พูดอย่างโมโห:“ตอนแรกตอนที่ฉันขอให้คุณช่วยมู่ชิงตามหาลูกสาวคุณพูดไว้ว่ายังไง? คุณพูดไว้อย่างดิบดี แต่ความจริงล่ะ? คุณเอาลูกสาวของเธอซ่อนไว้ คุณเห็นเธอกับหนานกงเฉินเป็นเรื่องตลก!คุณทำร้ายมู่ชิงในการตามหาลูกสาวของเธอ ทำร้ายซะจนเธอร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมคุณมันน่ารังเกียจขนาดนี้?”

เฉียวซือเหิงถูกเธอตบหน้า สีหน้าจู่ๆก็อึมครึมลง เขามองเธอแล้วถามกลับ:“ทำไมทุกครั้งที่พูดเรื่องที่โยงถึงหนานกงเฉินคุณต้องโกรธง่ายขนาดนั้น?”

“ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องพูดถึงหนานกงเฉินกับฉันอีก!ที่ฉันถามตอนนี้คือทำไมคุณต้องทำแบบนี้!”

“ทำไมต้องทำแบบนี้?” เฉียวซือเหิงเงียบลงสักพัก แล้วหัวเราะ:“โทษคุณคงไม่ได้ คุณอยากช่วยเขาปกป้องลูกสาว ผมก็แค่ทำให้เขาปกป้องลูกสาวไม่ได้ เข้าใจหรือยัง? มันก็ง่ายแบบนี้แหละ”

“คุณ–!” ซูซี่โมโห ยกมือจะตบเขาอีกครั้ง

เฉียวซือเหิงโกรธจัด จับมือของเธอที่ง้างแล้วพูดด้วยความโมโห:“คุณกล้าตบผมเหรอ?” พูดจบ เขาก้มลงไปจูบบนซอกคอของเธอ

เขาไม่ได้เถียงกับเธออีก และไม่สนใจเธอที่ดิ้นและโมโหอยู่ เขาคิดจะจูบเธอ ลูบไล้เธอด้วยการบังคับอย่างนี้แหละ เขาฉีกเสื้อผ้าบนตัวของเธอออก แล้วเอาร่างกายของตัวเองกดทับเธออย่างโหดเหี้ยม

ซูซี่เห็นว่าเขาโกรธจนขาดสติแล้ว รู้ดีว่าถ้าตัวเองยังดิ้นต่อไปก็มีแต่ทำร้ายตัวเอง ก็เลยหยุดลง รอให้เขาระบายอารมณ์อย่างเต็มที่จนพอใจแล้วค่อยเถียงกับเขาต่อ

ร่างกายเธอแข็งทื่ออยู่บนเตียง ปิดตาลง พยายามให้ตัวเองไม่ต้องไปคิดเรื่องที่ทำให้จิตใจวุ่นวาย

ในตอนแรกเธอยังรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าอับอายอยู่เลย แต่พอเวลาผ่านไปนาน เธอก็คิดได้แล้ว

ต่อให้ทั้งสองฝ่ายไม่มีความรู้สึกที่จริงจังและจริงใจต่อกัน เขาใช้เธอเป็นภรรยาในการทำเรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าเธอสามารถใช้เขาเป็นสามีในการเติมเต็มความต้องการของผู้หญิงได้เหมือนกัน ทุกคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ครั้งนี้เธอก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท