เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 266 ตอนจบ9

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงไม่ได้มองผิด เธอคือเลขาเหยียนบุคคลที่ควรออกจากเมืองซีไปตั้งแต่หกเดือนก่อนแล้วจริง ๆ !

แม้เลขาเหยียนที่อยู่เบื้องหน้าจะท้องโตเหมือนตะกร้า รวมถึงขนาดของรูปร่างและใบหน้าอวบอิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่า แถมยังอยู่ภายใต้แสงแห่งค่ำคืนอันสลัว ๆ ด้วยก็ตาม ครั้นเขาเห็นแค่พริบตาเดียวก็มองออกแล้วว่าเป็นเธอ !

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแปดปีกว่า เขาจะจำผิดไปได้อย่างไร ?

เหยียนเยว่คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าตนเองจะเจอะเจอกับหนานกงเฉินที่นี่ได้ และไม่ทราบว่าเนื่องจากความคิดอันใดของเธอ ทำให้ความรู้สึกแรกเมื่อเจอหน้าเขานั้นเกิดความต้องการหันหลังวิ่งหนีทันที

“เหยียนเยว่ เธอจะวิ่งหนีทำไม ? ยืนอยู่นั่นแหละอย่าขยับ !” หนานกงเฉินตะโกนใส่แผ่นหลังเธอ

“ฉันไม่ได้ชื่อเหยียนเยว่ คุณจำคนผิดแล้วค่ะ !” เหยียนเยว่วิ่งไปข้างหน้าด้วยความยากลำบากพลางพูดบอกเขาไป

“เลขาเหยียนเขาเป็นอะไรไปคะ ?” ไป๋มู่ชิงเองก็งุนงงไปกับการตอบสนองของเธอเช่นเดียวกับหนานกงเฉิน จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเป็นกังวล : “ท้องเขาโตขนาดนั้น ถ้าหกล้มขึ้นมาต้องแย่แน่”

หนานกงเฉินเห็นว่าเลขาเหยียนวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นห่วงว่าเธอจะหกล้มขึ้นมาจริง ๆ ดังนั้นเขาเลยก้าวขายาว ๆ เข้าประชิดตัวเธอจนทัน แล้วเข้าไปขวางเบื้องหน้าเธอเอาไว้

เมื่อรู้ตัวว่าตนเองวิ่งไปไม่พ้นแล้ว เลขาเหยียนจึงทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง ขณะที่เธอมองหน้าหนานกงเฉินด้วยความจนปัญญาแล้วนั้น จึงหายใจหอบแล้วกล่าวขึ้นว่า : “ไม่มีธุระอะไรจะตามฉันมาทำไมคะ ?”

หนานกงเฉินไม่ได้ตอบคำถามเธอ ครั้นมองสำรวจท้องอันใหญ่โตของเธอ สีหน้าค่อย ๆ หมองหม่นลงเรื่อย ๆ

เหยียนเยว่เห็นว่าเขาจ้องมองท้องของตนเองด้วยสายตาเช่นนั้น จึงใช้สองมือกุมไว้โดยไม่รู้ตัว แล้วพยายามกล่าวอธิบายเขาไปด้วยความลำบากใจ : “เอ่อ……”

“ใครเป็นคนทำ ?” สุดท้ายหนานกงเฉินก็เอ่ยขึ้นก่อน ครั้นกลับพูดคำเช่นนี้ออกมา

ไป๋มู่ชิงก็ตกตะลึงกับคำถามของหนานกงเฉินเช่นเดียวกัน เธอรีบเดินเข้าไปกระตุกแขนของเขาทันที : “เฉิน คุณควรจะถามเลขาเหยียนว่าแต่งงานกับคุณชายบ้านไหนต่างหาก……”

“ไม่ว่าจะแต่งงานกับคุณชายบ้านไหนก็ไม่มีทางท้องโตได้ภายในหกเดือนแบบนี้หรอกใช่ไหม ?” หนานกงเฉินจ้องหน้าเหยียนเยว่พร้อมซักถามต่อ : “เด็กในท้องเป็นของใครกันแน่ ? ถูกคนอื่นรังแกมาใช่ไหม ? เดี๋ยวนะ……” เขามองสำรวจท้องของเหยียนเยว่อีกครั้ง : “ตอนนี้เด็กในท้องกี่เดือนแล้ว ? ท้องโตขนาดนี้คงไม่ใช่แค่หกเดือนใช่ไหม ?”

“เก้าเดือนแล้ว……” เหยียนเยว่กำลังสับสนว่าควรอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังเช่นไรดี

“เก้าเดือนแล้ว ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม : “ถ้างั้นก็แสดงว่าเธอถูกคนอื่นรังแกตอนที่ทำงานอยู่ในบริษัทหนานกงกรุ๊ปสินะ ? มันเป็นใครกันแน่ ! เธอบอกฉันมา !”

หนานกงเฉินคว้าข้อมือของเธอเอาไว้แน่นด้วยความร้อนรนใจ พร้อมซักถามเธอด้วยความกระวนกระวายใจ : “กล้ามารังแกคนภายใต้การดูแลของฉันงั้นเหรอ ? ฉันคิดว่ามันคงไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วสินะ เหยียนเยว่เธอบอกมานะว่าใครเป็นคนทำ ฉันจะไป……”

“ฉันทำเอง” เสียงจากข้างหลังตัดบทเขา

เสียงของบุคคลคนนี้มีความคุ้นเคยอย่างยิ่ง หนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับไปมองพร้อมกัน จึงเห็นเฉียวเฟิงกำลังถือแก้วชานมร้อนอยู่ ซึ่งยืนอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงสิบเมตรเท่านั้น

ถูกต้อง เขายืนอยู่

ไป๋มู่ชิงอุทานเสียงเบาขึ้นมาทันที : “แม่เจ้า –!”

เธอปิดปากของตัวเองเอาไว้ พร้อมมองสำรวจเฉียวเฟิงด้วยความตกตะลึง สุดท้ายก็เคลื่อนสายตามาอยู่บนสองขาเรียวยาวของเขา

ตั้งแต่ที่เธอรู้จักเขามา เขาก็นั่งอยู่บนวีลแชร์แล้ว ไม่เคยเห็นเขายืนตรงอย่างเช่นตอนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เวลาผ่านไปเพียงแค่หกเดือนที่พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากัน เขายืนได้แล้วหรือนี่ ?

“อาเฟิง……ขาของคุณ……” ผ่านไปเนิ่นนานเธอค่อยกล่าวขึ้นมาด้วยความตะลึงงัน

“หายดีแล้ว” เฉียวเฟิงตอบกลับสั้น ๆ

เมื่อเห็นเฉียวเฟิงที่กำลังยืนอยู่ หนานกงเฉินเองก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน เพียงแค่ปฏิกิริยาของเขาไม่ได้รุนแรงเท่าไป๋มู่ชิงเท่านั้น อีกทั้งจุดที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่ขาของเขา แต่เป็น……

“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ ? นายเองเหรอที่เป็นคนรังแกเหยียนเยว่ ?” สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะพุ่งเข้าไปต่อยหน้าเขา : “ตอนนั้นนายแย่งมู่ชิงไปไม่ได้ เลยเปลี่ยนมาลงมือกับเลขาของฉันงั้นเหรอ ? ตอนนั้นฉันนึกว่านายเป็นคนดีแถมยังรู้สึกซาบซึ้งใจนาย คิดไม่ถึงเลยว่า……”

เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะพุ่งเข้าไปชกหน้าเฉียวเฟิง เหยียนเยว่จึงพุ่งเข้าไปดึงเขาเอาไว้ทันที : “คุณชายเฉินคะ คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ……”

“ฉันเข้าใจอะไรผิด ? เขารังแกเธอขนาดนี้แล้วเธอยังปกป้องเขาอีกหรือไง ?” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความโมโห

เหยียนเยว่ที่เขาเคยรู้จักเมื่อก่อนนั้นไม่มีความสนใจกับการแต่งงานเลยแม้แต่น้อย และสำหรับเรื่องการมีลูกยิ่งไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน ถ้าหากเธอไม่ถูกขืนใจจะตั้งครรภ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร ?

“ไม่ใช่ค่ะ เขาไม่ได้รังแกฉัน ฉันรังแกเขาต่างหาก ถูกค่ะ ตอนนั้นฉันเป็นคนขืนใจเขาเอง” เหยียนเยว่กระวนกระวายจนใช้คำพูดที่สบาย ๆ : “คุณคิดดูนะ ตอนนั้นคุณชายรองเฉียวขาพิการทั้งสองข้าง จะมารังแกฉันได้ยังไงคะ……”

หนานกงเฉินมองหน้าเธอ บนใบหน้าแสดงถึงความฉงนใจอย่างเห็นได้ชัด

เฉียวเฟิงสาวเท้าเดินเข้าไปหาเหยียนเยว่ จากนั้นก็ยื่นชานมร้อนในมือให้เธอ แล้วสบตาหนานกงเฉิน กล่าวว่า : “คุณชายหนานกง ไม่ว่าฉันจะรังแกเหยียนเยว่หรือเหยียนเยว่รังแกฉัน มันเกี่ยวอะไรกับนายไม่ทราบ ? เยียนเยว่เป็นแค่เลขาของนายก็เท่านั้น อีกอย่างเธอลาออกจากบริษัทหนานกงกรุ๊ปไปตั้งนานแล้วด้วย”

“เมื่อเก้าเดือนก่อนเหยียนเยว่ยังเป็นเลขาของฉันอยู่ เป็นลูกน้องของฉัน ฉันมีความจำเป็นต้องปกป้องเธอ”

“ถ้าตอนนั้นไม่เป็นเพราะนาย เธอจะถูกฉันรังแกได้ยังไง ?”

“นายว่าอะไรนะ……” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว

“ทั้งสองคนเลิกทะเลาะกันได้แล้วค่ะ……” เหยียนเยว่เป็นห่วงว่าพวกเขาจะชกต่อยกันขึ้นมา และเมื่อเธออารมณ์ร้อนขึ้นมาท้องของเธอก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นกัน จนทำให้เธอต้องทำตัวโก่งแล้วร้อง ‘โอ๊ย’ ขึ้นมา……

“เหยียนเยว่เป็นอะไรไป ?” เนื่องจากเป็นช่วงเวลาใกล้จะถึงกำหนดคลอด จึงทำให้พักนี้เฉียวเฟิงมีการตอบสนองที่อ่อนไหวต่อเหยียนเยว่เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเธอกุมท้องด้วยใบหน้าอันเจ็บปวด จึงรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาทันที

“ฉัน……เจ็บท้องมาก”

“คงไม่ใช่ว่าจะคลอดหรอกใช่ไหม ?” ไม่ง่ายเลยกว่าไป๋มู่ชิงจะได้สติคืนมาจากการอึ้งอยู่กับสองขาที่หายเป็นปลิดทิ้งของเฉียวเฟิง เมื่อได้ยินเหยียนเยว่ตะโกนว่าเจ็บท้องจึงรีบสอบถามขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ

เหยียนเยว่ร้องโอดโอยขึ้นมา ด้วยสีหน้าอันซีดเซียว

“ไป เดี๋ยวผมส่งคุณไปโรงพยาบาล” เฉียวเฟิงประคองแขนของเหยียนเยว่ : “เดินไหวไหม ? มา เราเดินกันช้า ๆ นะ”

“ไม่ไหว……ฉันไม่ไหวแล้ว……” เหยียนเยว่ส่ายหน้า เธอกล่าวเสียงหอบพร้อมเหงื่อที่ผุดออกมาเต็มใบหน้า : “ฉันเดินไม่ไหว……โอ๊ย……ทำยังไงดี……ฉันเดินไม่ไหว……”

“ถ้างั้นผมจะอุ้มคุณไปโรงพยาบาลเอง” เฉียวเฟิงก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น

เหยียนเยว่กลับยกมือขึ้นห้ามเขาไว้พร้อมส่ายหน้า : “อย่า……คุณอย่าอุ้มฉัน……ฉันอยากให้คุณชายเฉินอุ้ม……”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดคาดว่าเธอจะร้องขอเช่นนี้ออกมา

เมื่อหนานกงเฉินเห็นสีหน้าอันซีดเซียวของเธอ ประกอบกับเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้า เขาจึงไม่มีเวลาไปคิดเยอะเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้นทันที จากนั้นก็สาวเท้าเดินมุ่งไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่

ไป๋มู่ชิงที่อยู่ข้างหลังสบตากับเฉียวเฟิง จากนั้นก็เดินสาวเท้าเร็ว ๆ ตามพวกเขาไป

“เธอน่าจะกลัวขาผมได้รับบาดเจ็บเลยให้หนานกงเฉินอุ้มน่ะ” เฉียวเฟิงมองแผ่นหลังของพวกเขาพร้อมกล่าวขึ้น ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังปลอบใจตนเองหรือว่าไป๋มู่ชิงที่กำลังอึ้งอยู่ข้าง ๆ กันแน่

ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมาอย่างช้า ๆ จากนั้นทั้งสองคนสาวเท้าเดินตามไปพร้อมกัน

พวกเขามายังโรงพยาบาล หมอจากแผนกนารีเวชได้รออยู่หน้าประตูใหญ่ของโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนานกงเฉินอุ้มเหยียนเยว่วางบนเตียงผู้ป่วยเคลื่อนที่ เหยียนเยว่คว้ามือของหมอใหญ่พร้อมโอดครวญขึ้นอย่างเจ็บปวดทรมาน : “หมอคะ……ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันใกล้จะตายแล้ว……เขาเตะฉันอยู่……”

คุณหมอเข็นเธอมุ่งไปยังลิฟต์อย่างเร่งรีบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นพร้อมกล่าวปลอบประโยนเธอไป : “คุณผู้หญิงอย่าเครียดนะคะ กำลังจะคลอดแล้วค่ะ สูดหายใจเข้าลึก ๆ นะคะ……อ้าปากออกสูดหายใจเข้าลึก ๆ อดทนแปปเดียวโอเคไหมคะ ?”

“ฉันทนไม่ไหวแล้ว……” นิ้วมือที่เหยียนเยว่จับขอบเตียงนั้นซีดเซียว และบนหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเยอะมาก

เหยียนเยว่ถูกเข็นเข้าไปในห้องตรวจชั้นสาม เฉียวเฟิงอยากจะเดินเข้าไปดูด้วยครั้นถูกพยาบาลสาวผลักออกมา จึงทำได้เพียงรอคอยอยู่ด้านนอกอย่างอับจนหนทางเท่านั้น

พยาบาลสาวเริ่มทำการตรวจสอบก่อนคลอดให้เหยียนเยว่อย่างเรียบง่าย หลังจากที่พบว่าเธอสามารถคลอดได้แล้วตอนนี้ จึงเข็นเธอไปยังห้องคลอดข้าง ๆ ทันที

ขณะที่ผ่านประตูห้องคลอดนั้น เหยียนเยว่ยื่นมือไปจับขอบประตูห้องผ่าตัดเอาไว้ : “ฉันต้องเข้าไปคนเดียวเหรอคะ ? ฉัน……ฉันไม่เอา !”

คุณหมอสอบถาม : “คุณผู้หญิงต้องการให้ญาติเข้ามาอยู่คลอดด้วยใช่ไหมคะ ?”

เหยียนเยว่พยักหน้าพร้อมน้ำตาที่อาบแก้ม : “ฉันกลัว ! ฉันต้องการคนอยู่คลอดด้วย……!”

สามคนที่ไม่เคยผ่านเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน หลังจากที่เข้ามาในโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ทราบว่าตนเองสามารถทำอันใดได้บ้าง เมื่อเห็นเหยียนเยว่เจ็บปวดทรมานเช่นนั้นก็อยากแบ่งเบาความเจ็บปวดจากเธอมาบ้างตามสันชาตญาณ และในเวลานี้เมื่อได้ยินว่าเธอต้องการมีคนอยู่คลอดด้วย เฉียวเฟิงจึงสาวเท้าเดินหน้าไปหาเธอทันที ทว่าคุณหมอกลับหันหน้าไปพูดกับหนานกงเฉินว่า : “มาค่ะ เชิญญาติเข้ามาอยู่คลอดด้วยค่ะ”

คุณหมอจำได้ว่าเมื่อสักครู่นี้หนานกงเฉินเป็นผู้อุ้มเหยียนเยว่ออกมาจากในรถ จึงคิดเอาเองว่าเขาคือพ่อของเด็กไปโดยปริยาย

หนานกงเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกับทุกคนจนสมองทื่อไปชั่วขณะ ครั้นเมื่อได้ยินการเรียกของคุณหมอก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง เขาสาวเท้าเดินเข้าไปเบื้องหน้าเหยียนเยว่ทันที

เมื่อเหยียนเยว่เห็นหนานกงเฉินจึงบ่นพึมพำอย่างเอือมละอาว่า : “หนานกงเฉิน……ฉันจะให้ญาติอยู่คลอดด้วย คุณจะแจ้นมาทำอะไรเนี่ย ? ฮะ……เฉียวเฟิงคุณไปตายที่ไหนแล้ว……!”

เฉียวเฟิงได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งพุ่งเข้ามาพร้อมคว้ามืออันเย็นยะเยือกของเธอเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนใจ : “ผมอยู่นี่ ผมคิดว่าคุณไม่ต้องการให้ผมอยู่ด้วยซะอีก……”

“พวกปัญญาอ่อน……!” เยียนเยว่ตะคอกขึ้นมาอย่างไร้คำพูด

เวลาน่าสิ่วน่าขวานเช่นนี้ ทุกคนกำลังแสดงละครเรื่องสมองทื่อให้เธอชมอยู่หรืออย่างไร !

“นั่นน่ะสิ เธอต้องการให้ญาติอยู่คลอดด้วยนะ ทำไมคุณต้องกระตือรือร้นขนาดนั้นด้วย ?” ไป๋มู่ชิงกระชากหนานกงเฉินกลับมาพร้อมกล่าวขึ้นด้วยความเอือมละอา

“หมอเรียกฉันเองนี่นา” หนานกงเฉินทำสีหน้าใสซื่อ

“เพราะคุณหมอไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง คุณเองก็ไม่รู้เหมือนกันหรือไง ?”

“ฉัน……แค่ก……สบสนไปชั่วขณะน่ะ” หนานกงเฉินไอแห้งขึ้นมาสองครั้งด้วยความเขินอาย

ทั้งสองคนมองเหยียนเยว่ที่มีเฉียวเฟิงเดินเข้าไปในห้องคลอดด้วย จึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเสียที

หลังจากที่เหยียนเยว่เข้าไปแล้วนั้น หนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงก็สบตากันชั่วครู่ หลังจากนั้นก็เดินมานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ ผ่านมาเนิ่นนานไป๋มู่ชิงค่อยเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา : “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย ? ทำไมไม่เจอเลขาเหยียนแค่หกเดือนก็ท้องโตใกล้คลอดซะแล้ว ขาของเฉียวเฟิงก็หายดีแล้ว อีกอย่างทั้งสองคนยังมาอยู่ด้วยกันแบบนี้อีก ?”

สำหรับคำถามนี้ เธอสงสัยเป็นอย่างมากจริง ๆ !

หนานกงเฉินหันหน้าไปสบตาเธอ : “ทำไม ? เห็นขาของเฉียวเฟิงหายดีแล้ว เลยนึกเสียใจภายหลังที่จากเขามางั้นเหรอ ?”

“พูดอะไรของคุณน่ะ ? ตอนนั้นที่ฉันออกจากเขามาไม่ใช่เพราะขาของเขาไม่ดีสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงมองค้อนเขาด้วยความรู้สึกเอือมละอา ป่านนี้แล้ว ผู้ชายบ้าคนนี้ยังหึงหวงเพราะเหตุผลเช่นนี้อยู่อีกหรือ

หนานกงเฉินยิ้มพร้อมโอบไหล่ของเธอไป ความจริงแล้วเขาเพียงพูดหยอกล้อเท่านั้น เวลานี้เขาจะยังสงสัยในความซื่อสัตย์และความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาได้อย่างไร ?

เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ : “เวลาเนี่ยเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้จริง ๆ เลย ฉันก็สงสัยมากเหมือนกันว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงมาอยู่ด้วยกันได้”

พูดจบเขาก็เอ่ยเสริมขึ้นอีก : “แค่นึกถึงเลขาเหยียนผู้ที่ไม่สนใจผู้ชายทุกรูปแบบ แต่สุดท้ายดันไปแต่งงานกับคนพิการอย่างเฉียวเฟิงได้นี่ ฉันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับเธอเลยนะ! ”

“พิการอะไรกัน คุณไม่เห็นหรือไงว่าขาของเฉียวเฟิงหายดีแล้ว ?”

“นั่นมันน่าจะเป็นเรื่องของช่วงหลังมานี้ไม่ใช่เหรอ ?” อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ราวกับนึกอะไรออกอย่างไรอย่างนั้น : “เลขาเหยียนคงไม่ใช่ทำเพื่อให้พวกเราได้สมหวังกัน เลยเลือกที่จะเสียสละความสุขตลอดชีวิตของตัวเองในการแย่งชิงเฉียวเฟิงไปจากเธอหรอกใช่ไหม ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง ?” ไป๋มู่ชิงหุบยิ้ม

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ? ตอนนั้นเลขาเหยียนยังไปเป็นสายลับที่บริษัทจื้อหย่วนเพื่อที่จะจัดการเซิ่งตงหยางแทนฉันด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการบริษัทจื้อหย่วนได้อย่างง่ายดายแบบนั้นได้เหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองเขา จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกอิจฉา : “ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคนจะลึกซึ้งกว่าฉันกับคุณอีกนะ เธอเสียสละทุกอย่างเพื่อคุณได้ แถมคุณยังวิ่งไปห้องคลอดเพื่อหาเธอเลยโดยไม่คิดอีกด้วย”

เมื่อหนานกงเฉินได้ยินเธอพูดมาดังนั้น จึงหันหน้ามายักคิ้วพร้อมฉีกยิ้มให้เธอ : “เป็นอะไร ? ตอนนี้ถึงตาเธอพูดซี้ซั้วแล้วงั้นเหรอ ?”

“หรือฉันพูดผิด ?” น้ำเสียงของไป๋มู่ชิงยังคงขุ่นมัวเช่นเคย

หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ : “ระหว่างฉันกับเลขาเหยียน……พูดแบบนี้ดีกว่า ฉันเป็นห่วงเขาเหมือนอย่างน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองเลย”

“แค่น้องสาวจริง ๆ เหรอ ?”

“แน่นอน ไม่งั้นจะเป็นอะไรไปได้ ?” หนานกงเฉินหุบยิ้ม : “ต่อให้ฉันอยากให้เขาเป็นอะไร เขากับเฉียวเฟิงคงไม่ยินยอมหรอกจริงไหม ?”

“ก็จริงของคุณ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

หลังจากที่ทั้งสองคนรอคอยอยู่หน้าประตูเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มแล้ว ประตูห้องคลอดจึงเปิดออก เวลาต่อมาเฉียวเฟิงอุ้มเด็กทารกที่มีผ้านวมห่อตัวไว้อยู่ออกมา

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นเขาอุ้มเด็กออกมา จึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วบึ่งเข้าไปหาทันที : “เป็นยังไงบ้าง ? ลูกชายหรือลูกสาวคะ ? แล้วเลขาเหยียนสบายดีไหมคะ ?”

“สองแม่ลูกปลอดภัยดี เป็นลูกสาว น่ารักกว่าหว่านชิงนิดหน่อย” เวลานี้ใบหน้าของเฉียวเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บริเวณหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความรู้สึกลำพองใจ

“จริงเหรอ ? สองแม่ลูกปลอดภัยดี ? ยินดีกับคุณด้วยนะคะ” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปหาเขาด้วยความปลื้มปิติ : “มา ให้ฉันอุ้มหน่อย”

“ไม่ได้” เฉียวเฟิงเบี่ยงตัวหลบเธอ : “ผมเพิ่งอุ้มได้ไม่นานเอง”

“ขี้เหนียวจริง ถ้างั้นให้ฉันดูหน่อยสิ ได้อยู่ใช่ไหม ?” ไป๋มู่ชิงเดินอ้อมมาอยู่เบื้องหน้าเขาอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิดผ้าห่มข้าง ๆ หมอนน้อยของเด็กทารกออก จากนั้นก็มองสำรวจเด็กทารกน้อยตัวนุ่มนิ่มที่ถูกห่ออยู่ข้างใน : “จริงด้วยนะแค่มองดูก็รู้ว่าเป็นลูกสาว น่ารักจริง ๆ……” สิ้นเสียงเธอก็หันหน้าไปเรียกหนานกงเฉิน : “เฉิน คุณรีบมาดูเร็วเข้า”

หนานกงเฉินเดินเข้ามาแนบลำตัวชิดกับเธอ จากนั้นก็ยื่นคอมองสำรวจเด็กทารกหญิง เวลาต่อมาก็กล่าวขึ้นมาเสียงเบา : “น่ารักดี แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้น่ารักไปกว่าหว่านชิงนะ ?”

ไป๋มู่ชิงยกมือชกไปยังแขนของเขา : “อาเฟิงเขาล้อเล่นหรอกค่ะ”

“ฉันก็ล้อเล่นเหมือนกัน” หนานกงเฉินยักไหล่

เวลานี้ อยู่ ๆ ภายในห้องคลอดก็มีคุณหมอท่านหนึ่งเดินออกมา แล้วพูดกับเฉียวเฟิงว่า : “คุณผู้ชายคะ ทำไมคุณถึงอุ้มเด็กออกมาแบบนี้ล่ะคะ ? พวกเราต้องพาเด็กไปเข้ารับการบำรุงร่างกายอีกนะคะ”

สิ้นเสียงหมอท่านนั้นก็ยื่นมือมาอุ้มเด็กจากอ้อมแขนเฉียวเฟิงไป พร้อมยิ้มและกล่าวแซวว่า : “คุณนี่อดทนรอไม่ไหวเกินไปหรือเปล่าคะเนี่ย ?”

“เขาอดทนรอไม่ไหวที่จะอุ้มออกมาอวดกับพวกเราน่ะครับ” หนานกงเฉินเสริมเข้าไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คุณหมอพาเด็กไปยังห้องบำรุงร่างกาย ไป๋มู่ชิงกำลังอยากจะถามเรื่องราวของเหยียนเยว่จากเฉียวเฟิง ครั้นเหยียนเยว่ถูกนางพยาบาลเข็นออกมาจากห้องคลอดพอดี

“เหยียนเยว่ คุณโอเคไหม ?” เฉียวเฟิงเดินเข้าไปกุมมือของเหยียนเยว่

เหยียนเยว่ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยล้อเลื่อนมีท่าทางราวกับเพิ่งถูกดึงจากน้ำขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้นเส้นผมของเธอเปียกปอนไปทั้งหัว ในเวลานี้เธอดูเหมือนคนทรุดไปแล้ว แม้แต่แรงในการลืมตาก็ไม่มี เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ มองเฉียวเฟิงพร้อมถามว่า : “ลูกล่ะ ? อยู่ที่ไหน……?”

“ถูกนางพยาบาลอุ้มไปห้องบำรุงร่างกายแล้ว” เฉียวเฟิงใช้มือลูบเส้นผมอันเปียกปอนข้างแก้มของเธอ จากนั้นก็กล่าวขึ้นเสียงอ่อนโยน : “เหนื่อยแย่แล้วใช่ไหม ? เหนื่อยแล้วก็หลับตานอนพักผ่อนให้เต็มที่เถอะนะ ผมจะอยู่ข้างกายคุณตลอดเอง”

“อืม ฉันจะนอนจริง ๆ แล้วนะ คุณต้องดูแลลูกให้ดี ๆ……”

“สบายใจได้” เฉียวเฟิงโน้มตัวลงไปพรมจูบบนหน้าผากของเธอ

นี่คือจูบแรกของเขาหลังจากที่ดื่มเมาในคืนนั้นเมื่อครั้งอดีต แถมยังจูบอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

เหยียนเยว่ลืมตาขึ้นมาอย่างเขินอาย ส่งยิ้มให้เขาเจือจาง จากนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่พยาบาลเข็นเข้าไปยังห้องผู้ป่วย

เฉียวเฟิงเดินเข้าห้องผู้ป่วยพร้อมกับเจ้าหน้าที่พยาบาล จากนั้นก็เคลื่อนย้ายเธอจากเตียงมีล้อเลื่อนมายังเตียงธรรมดาด้วยตัวเอง พร้อมกับห่มผ้าให้เธอเสร็จสรรพ หลังจากที่เฝ้าจนเธอนอนหลับใหลไปแล้วค่อยเดินออกจากห้องผู้ป่วยมา

บริเวณด้านหน้าห้องผู้ป่วย สองคนที่สงสัยในตัวเฉียวเฟิงและเหยียนเยว่เมื่อเห็นท่าทางอันดูแลใส่ใจของเฉียวเฟิงแล้วนั้น ในที่สุดก็เริ่มเชื่อว่าระหว่างพวกเขาไม่มีใครรังแกใคร ครั้นเป็นการชอบกันจริง ๆ แล้ว

เมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่กลับไป เฉียวเฟิงจึงกวาดสายตามองพวกเขาแล้วพูดว่า : “ดึกขนาดนี้แล้วทำไมพวกคุณยังไม่กลับไปอีก ?”

หนานกงเฉินจ้องหน้าเขา และกล่าวขึ้นโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ : “พวกเรากำลังรอให้นายมาอธิบายให้พวกเราฟังอยู่”

“อธิบายอะไร ?” เฉียวเฟิงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“นายคิดว่าไงล่ะ ?” หนานกงเฉินจ้องหน้าเขา : “ทั้งที่ตอนนั้นนายทำเหยียนเยว่ท้องแล้ว แต่กลับพามู่ชิงกับหว่านชิงไปต่างประเทศ หรือพูดอีกอย่างก็คือ……นายแย่งมู่ชิงจากฉันไป พร้อมกระทำกับเยียนเยว่ไปด้วยงั้นเหรอ ? การที่นายทำแบบนี้ไม่ละอายใจกับมู่ชิงหรือเหยียนเยว่เลยหรือไง ?”

“ตอนนั้นที่ฉันพามู่ชิงกับหว่านชิงไปต่างประเทศ ไม่รู้ว่าเหยียนเยว่ท้อง” เฉียวเฟิงกวาดสายตามองทั้งสองคน : “เรื่องนี้ฉันควรต้องอธิบายให้มู่ชิงฟังจริง ๆ นั่นแหละ มานั่งตรงนี้หน่อย”

สิ้นเสียงเฉียวเฟิงก็หันหลังเดินนำไปยังห้องพักผ่อนข้าง ๆ

ไป๋มู่ชิงมองเฉียวเฟิงสลับกับมองหนานกงเฉิน จากนั้นก็คล้องแขนหนานกงเฉินเดินตามเขาไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท